คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : เวลาที่หยุดหมุน
49
เวลาที่หยุดหมุน
คาเรนทรงตื่นบรรทมขึ้นด้วยพระอาการมึนงง สับสน และเหนื่อยล้า ขณะพยายามมองไปรอบๆว่าทรงประทับอยู่ที่ใดกันแน่ ไม่ใช่กระท่อมร้างที่ทรงพักเพื่อทำแผลเมื่อตอนกลางวัน ไม่ใช่ในรถม้าที่ทรงจดจำได้รางๆว่าเริ่มต้นเดินทางมาแล้ว แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน?
นอกหน้าต่าง หลายชั่วโมงก่อนท้องฟ้ายังเป็นสีหมึก แต่จนบัดนี้มันก็ยังเป็นสีเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่หมายความว่ายังไงกัน?
หรือเวลาถูกหยุดลง.....
ตอนนั้นเองที่เรย์เปิดประตูเข้ามาพอดี และเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยตื่นแล้ว ก็กรากเข้ามาช่วยประคองอย่างยินดี ขณะคาเรนที่ทรงพยายามยันพระองค์ขึ้น ก็ต้องนิ่วพระพักตร์อีกครา
น่าแปลก ไม่ทรงรู้สึกเจ็บอีกแล้ว
แต่ความร้อนรุ่มและแห้งผากในพระหทัยนี่มันอะไรกัน? ทำไมพระองค์จึงทรงอ่อนแอเพียงนี้
“พี่ชาย...” สุรเสียงแหบแห้งค่อยตรัสถามเสียงเบายิ่ง ทว่าทรงพระสรวลอ่อนโยนส่งให้ “ทำไมต้องหยุดเวลาไว้?”
เรย์ออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าตัวน้อยของเขามันดันรู้มาก แต่ก็ยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“เวลาเป็นของต้องห้ามที่มนุษย์หรือปีศาจไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง เวทย์หยุดเวลาเป็นเวทย์อันตราย ใช่แต่จะอาศัยเพียงพลังเวทย์แต่ยังอาศัยพลังชีวิตเข้าต้านทานกระแสเวลา เวทย์นี้จึงคงอยู่ได้ไม่นาน แต่จะนานเท่าใดขึ้นอยู่กับระดับพลังเวทย์และพลังชีวิตที่ใช้ไป”
“นึกไม่ถึงแฮะ ว่าเด็กเร่ร่อนจะรู้จักเวทย์นี้ด้วย”
ประโยคนี้ของเรย์ทำให้ทรงฉิวนิดๆ จึงอดย้อนกลับไม่ได้
“นึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าคนเร่ร่อนจะใช้เวทย์นี้เป็น”
“หายไม่ทันเท่าไหร่ เริ่มเถียงคล่องแล้วนะ เอาล่ะ หิวมั้ย”
“ตื่นทีไรก็ถามแต่เรื่องหิว”
คงเพราะใกล้จะหายจริงๆนั่นแหละ จึงได้ทรงอยากจะทะเลาะด้วยอย่างนี้
“ก็เพราะเราน่ะหลับไปนาน ถึงได้ซูบซีดอย่างนี้ บอกมาซิ ตอนนี้จะกินอะไรล่ะ”
“มีที่ให้ซื้อเรอะ?” ตรัสถามแล้วก็ทรงพระสรวลกว้างอย่างแช่มชื่น เพราะทรงทราบดีว่าเมื่อเวทย์หยุดเวลาถูกใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดหมด เหลือเพียงแต่ผู้ใช้เวทย์เท่านั้นที่สัมผัสได้ ส่วนพระองค์ที่ไม่ถูกหยุดไปด้วยน่ะ ก็เพราะพระพรของท่านตาปีศาจนั่นเอง
“ทำไมต้องซื้อ”
“เสกเอา?” งานนี้ล่ะที่ทรงอุทานลั่นอย่างลืมไปว่าทรงเป็นเพียงคนป่วย
“เสกของกินน่ะได้ แต่รับรู้ไม่ได้ถึงความอิ่มอร่อย เพราะมันก็แค่ภาพลวงตา”
“แล้วเอาไง?” คำถามบอกความหลากพระทัยยิ่ง
“เตรียมไว้แล้วล่ะน่า ทั้งหมูย่างทั้งตัว ทั้งไก่อบน้ำผึ้ง ทั้งเนื้อรมควัน จะเอาอะไร”
พระองค์ใหญ่แห่งคาโนวาลไม่ทรงแปลกพระทัยนักกับรายการอาหารดังกล่าว ทว่าก็ยังอุตส่าห์หาทางแกล้งคนชอบเอาใจซะหน่อย
“เอาหมูกำลังย่าง ไก่กำลังอบ เนื้อกำลังรมควัน”
“อะไรนะ?”
เสียงทวนลั่นๆไม่แพ้กัน
“ไง? หาได้มั้ยพี่ชาย” คาเรนทรงสะพระทัยส่วนพระองค์ ที่ได้เห็นอีกฝ่ายเหวอไปเหมือนกัน
“ได้”
เมื่อคำตอบง่ายดาย คนเหวอแทนก็คือพระองค์เอง ก่อนจะถูกประคองให้ลุกจากพระที่รวดเร็ว ทว่านุ่มนวลอ่อนโยน แล้วคนเตรียมอาหารไว้ให้ก็บอกใหม่
“ไป ไปกินกัน”
คาเรนทรงทราบแล้วว่าเมื่อครู่พระองค์บรรทมอยู่ที่ใด
“นี่บ้านพี่ชายเรอะ” เมื่อทรงเสด็จออกมาถึงข้างนอก แล้วเหลียวมองกลับไป บ้านหลังน้อยทว่าน่ารักในสายตาคนมองก็ปรากฏอยู่ท่ามกลางเงาไม้เบื้องหลัง แสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องที่บรรทมช่างทอแสงนวลรางชางยิ่งนัก
“ก็เคยอยู่ตอนเด็กพักเดียว ก่อนที่จะเดินทางเร่ร่อนน่ะ”
“นี่เรามาถึงทริสทอร์แล้วงั้นสิ”
“เปล่า ที่นี่เวนอล ห่างจากจุดที่เราโดนทำร้ายไม่เท่าไหร่ แต่จะเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะนอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครสักคน”
“ก็ชอบเร่ร่อนไปเรื่อยน่ะสิ ถึงได้ไม่มีบ้านไม่มีครอบครัวกับเขา ความจริงพี่ชายน่าจะแต่งงานนะ แล้วมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละ ถึงจะเล็กไปหน่อย แต่ฉันว่ามันดูอบอุ่นดี”
ถึงตอนนี้วรองค์ซีดเซียวก็ถูกประคองมาจนถึงข้างนอกอันมีซากกองไฟก่อทิ้งไว้ เรย์ค่อยๆรอให้พระองค์ทรุดนั่งลงบนแคร่เตี้ยๆ ก่อนจะเอาผ้าที่ถือติดมือลงมาค่อยห่มให้อย่างแผ่วเบา แล้วถอยออกมาจัดการกับกองไฟ
เพียงครู่เดียว แสงสว่างก็ค่อยๆปรากฏขึ้น พร้อมกับความอบอุ่นที่ใช่จะให้ได้เพียงกาย
แต่หมายถึง....หัวใจ
แล้วเรย์ก็เอาเนื้อรมควันที่เตรียมไว้ มารมใหม่ ซึ่งระหว่างรอ บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นเบาๆ
“เคเรส”
“หือ”
“มาอยู่ที่นี่ด้วยกันมั้ย”
คำถามรวดเร็ว แต่คำตอบทอดห่าง เพราะคาเรนทรงมองกองไฟอย่างเหม่อลอย
“ว่าไง?”
“อะไรล่ะ?”
“ฉันถามว่าถ้าเป็นไปได้ มาอยู่ที่นี่ด้วยกันมั้ย”
คาเรนทรงสังเกตคำว่า ‘ถ้าเป็นไปได้’ อย่างจับผิด แต่แล้วก็บอกปัดเพียงว่า
“ไม่”
เรย์เงียบลงทันควันที่ได้ยิน คนมองอยู่จึงเอียงคอมองใบหน้าอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นลอยๆ
“เรื่องอะไรพี่ชายมาชวนฉันล่ะ ไปชวนสาวสวยสักคนมาแต่งงานด้วยสิ ฉันน่ะขี้เกียจอยู่เป็นส่วนเกินเวลาพี่มีครอบครัวแล้วหรอก”
“เลิกพูดแบบนั้นเถอะน่า”
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยฉุนๆ พระองค์ใหญ่ก็ทรงพระสรวลร่า ถามเสียงขบขันว่า
“ทำไมล่ะ”
“เราน่ะเป็นผู้หญิง เลิกพูดว่าตัวเองเป็นหนุ่มน้อยได้แล้ว”
ความเงียบเข้ามาแทนที่พักใหญ่ ขณะที่ต่างฝ่ายต่างตกใจกับคำเฉลยเมื่อครู่ เพราะเรย์ไม่คิดว่าตัวเองจะหลุดปาก และคาเรนก็ไม่ทรงคิดว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว ดังนั้นยามนี้จึงมีเพียงเปรี๊ยะของสะเก็ดไฟที่ดีดตัวลอยขึ้นสู่ที่สูงเท่านั้นที่กั้นกลาง ขณะดวงตาสองคู่ที่อีกฝ่ายสำนึกเสียใจอีกฝ่ายตกพระทัยตะลึงลานจะประสานกันแน่วนิ่งเนิ่นนาน
ลงท้าย พระองค์ใหญ่แห่งคาโนวาลนั่นเองที่หลุบพระเนตรลง
“โกรธมั้ย”
สองคน ถามสองคำพร้อมกัน แล้วก็ตอบพร้อมกันอีก
“มีอะไรต้องโกรธ”
คาเรนทรงถอนพระทัยเฮือก ก่อนเอ่ยสุรเสียงเลื่อนลอย
“ฉันโกหกพี่ชายเรื่อย ไม่เคยนึกโกรธกันบ้างหรือไง”
นี่ยังไม่รวมถึง เรื่องสำคัญที่พระองค์ยังเฉลยไม่หมด ว่าความจริงพระองค์เป็นใคร
“คนเราย่อมมีความลับอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เราจะปิดบังฉันบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉันเองก็....มีเรื่องปิดบังเราเหมือนกัน”
พักตร์งามพยักรับโดยดุษณี ก่อนจะเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีหมึกอย่างเศร้าสร้อย
“พี่ชายรู้ไหม ตอนเด็กๆฉันอยากได้ดาวอยู่ดวงหนึ่ง ลองทายซิว่าดวงไหน”
เมื่อทรงเปลี่ยนเรื่องรวดเร็ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บปวด
“ดาวเหนือ”
“อืม....” หัตถ์เรียวถูกยื่นออกไปเบื้องพักตร์ ก่อนค่อยๆกำลงบังแสงดาวเหนือที่ทอประกายอยู่สุดคว้า “มันไกลเหลือเกินสินะ ความหวังจากดาวดวงนั้นน่ะ”
“ไม่ไกลหรอก” เรย์ค้านนุ่มนวลก่อนยื่นมือตัวเองไปกุมหัตถ์ข้างนั้นไว้
“ความหวังอยู่ในทุกที่ที่ย่างผ่าน ความสุขอยู่ในทุกที่ที่มองเห็น ความรักอยู่ในทุกเวลาที่นึกถึง ทุกอย่างที่เกิดจากใจ จะไขว่คว้าได้ด้วยใจ หากใจรับรู้ไม่ได้ ต่อให้มีคนบอกว่ารักก็ไร้ความหมาย”
“งั้นหรือ?” คำถามลังเล ไม่แน่ใจ ก่อนลดสายพระเนตรลงมาจับจ้องคนพูด
“งั้นสิ” ว่าแล้วเรย์ก็ดึงหัตถ์ที่กุมอยู่มาแนบที่หน้าอกตัวเอง พร้อมบอกเสียงเบา
“หลับตาดูสิ”
คาเรนทรงหลับพระเนตรลงอย่างว่าง่าย ไม่ดึงดันดื้อรั้นเหมือนเคย
“รัก”
กระแสพัดผ่านแผ่วเบา ความอบอุ่นซาบซึ้งกำจาย
“รัก”
ดวงดาว ณ โพยมบนส่องประกายดุจเป็นสักขีพยาน
“รักมาก”
กองไฟลุกโชนโชติช่วง ประกายไฟแลบเลียเริงร่า
“รักมากที่สุด”
แล้วสรรพสิ่งทั้งมวลก็สาบสูญ คำนั้นเท่านั้นเสนาะโสตมิรู้จาง
เรย์พูดถูก ต่อให้เอ่ยคำว่ารักสักเท่าใด หากไม่อาจสัมผัสได้ด้วยใจก็จืดจาง แต่หากคำที่พูดมาพร้อมใจรัก จนสิ้นสมก็ไม่สูญสลาย
เวทย์มนต์ไม่อาจใช้ได้ผลกับคาเรน ทว่าความรักใช้ได้ผลกับทุกคนไม่มียกเว้น
สรรพสิ่งหยุดลงเพราะมนตรา
เราสองหยุดลงเพราะคำเดียว
“รัก”
ความคิดเห็น