ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอสตอนทายาท 3 แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #56 : เวลาที่หยุดหมุน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.12K
      1
      24 พ.ย. 49

    49

                                               เวลาที่หยุดหมุน

     

                คาเรนทรงตื่นบรรทมขึ้นด้วยพระอาการมึนงง สับสน และเหนื่อยล้า ขณะพยายามมองไปรอบๆว่าทรงประทับอยู่ที่ใดกันแน่ ไม่ใช่กระท่อมร้างที่ทรงพักเพื่อทำแผลเมื่อตอนกลางวัน ไม่ใช่ในรถม้าที่ทรงจดจำได้รางๆว่าเริ่มต้นเดินทางมาแล้ว แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน?

                นอกหน้าต่าง หลายชั่วโมงก่อนท้องฟ้ายังเป็นสีหมึก แต่จนบัดนี้มันก็ยังเป็นสีเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่หมายความว่ายังไงกัน?

                หรือเวลาถูกหยุดลง.....

                ตอนนั้นเองที่เรย์เปิดประตูเข้ามาพอดี และเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยตื่นแล้ว ก็กรากเข้ามาช่วยประคองอย่างยินดี ขณะคาเรนที่ทรงพยายามยันพระองค์ขึ้น ก็ต้องนิ่วพระพักตร์อีกครา

                น่าแปลก ไม่ทรงรู้สึกเจ็บอีกแล้ว

                แต่ความร้อนรุ่มและแห้งผากในพระหทัยนี่มันอะไรกัน? ทำไมพระองค์จึงทรงอ่อนแอเพียงนี้

     

                พี่ชาย... สุรเสียงแหบแห้งค่อยตรัสถามเสียงเบายิ่ง ทว่าทรงพระสรวลอ่อนโยนส่งให้ ทำไมต้องหยุดเวลาไว้?

     

                เรย์ออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าตัวน้อยของเขามันดันรู้มาก แต่ก็ยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

     

                เวลาเป็นของต้องห้ามที่มนุษย์หรือปีศาจไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง เวทย์หยุดเวลาเป็นเวทย์อันตราย ใช่แต่จะอาศัยเพียงพลังเวทย์แต่ยังอาศัยพลังชีวิตเข้าต้านทานกระแสเวลา เวทย์นี้จึงคงอยู่ได้ไม่นาน แต่จะนานเท่าใดขึ้นอยู่กับระดับพลังเวทย์และพลังชีวิตที่ใช้ไป

     

    นึกไม่ถึงแฮะ ว่าเด็กเร่ร่อนจะรู้จักเวทย์นี้ด้วย

     

    ประโยคนี้ของเรย์ทำให้ทรงฉิวนิดๆ จึงอดย้อนกลับไม่ได้

     

    นึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าคนเร่ร่อนจะใช้เวทย์นี้เป็น

     

    หายไม่ทันเท่าไหร่ เริ่มเถียงคล่องแล้วนะ เอาล่ะ หิวมั้ย

     

    ตื่นทีไรก็ถามแต่เรื่องหิว

     

    คงเพราะใกล้จะหายจริงๆนั่นแหละ จึงได้ทรงอยากจะทะเลาะด้วยอย่างนี้

     

    ก็เพราะเราน่ะหลับไปนาน ถึงได้ซูบซีดอย่างนี้ บอกมาซิ ตอนนี้จะกินอะไรล่ะ

     

    มีที่ให้ซื้อเรอะ? ตรัสถามแล้วก็ทรงพระสรวลกว้างอย่างแช่มชื่น เพราะทรงทราบดีว่าเมื่อเวทย์หยุดเวลาถูกใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดหมด เหลือเพียงแต่ผู้ใช้เวทย์เท่านั้นที่สัมผัสได้ ส่วนพระองค์ที่ไม่ถูกหยุดไปด้วยน่ะ ก็เพราะพระพรของท่านตาปีศาจนั่นเอง

     

    ทำไมต้องซื้อ

     

    เสกเอา? งานนี้ล่ะที่ทรงอุทานลั่นอย่างลืมไปว่าทรงเป็นเพียงคนป่วย

     

    เสกของกินน่ะได้ แต่รับรู้ไม่ได้ถึงความอิ่มอร่อย เพราะมันก็แค่ภาพลวงตา

     

    แล้วเอาไง? คำถามบอกความหลากพระทัยยิ่ง

     

    เตรียมไว้แล้วล่ะน่า ทั้งหมูย่างทั้งตัว ทั้งไก่อบน้ำผึ้ง ทั้งเนื้อรมควัน จะเอาอะไร

     

    พระองค์ใหญ่แห่งคาโนวาลไม่ทรงแปลกพระทัยนักกับรายการอาหารดังกล่าว ทว่าก็ยังอุตส่าห์หาทางแกล้งคนชอบเอาใจซะหน่อย

     

    เอาหมูกำลังย่าง ไก่กำลังอบ เนื้อกำลังรมควัน

     

    อะไรนะ?

     

    เสียงทวนลั่นๆไม่แพ้กัน

     

    ไง? หาได้มั้ยพี่ชาย คาเรนทรงสะพระทัยส่วนพระองค์ ที่ได้เห็นอีกฝ่ายเหวอไปเหมือนกัน

     

    ได้

     

    เมื่อคำตอบง่ายดาย คนเหวอแทนก็คือพระองค์เอง ก่อนจะถูกประคองให้ลุกจากพระที่รวดเร็ว ทว่านุ่มนวลอ่อนโยน แล้วคนเตรียมอาหารไว้ให้ก็บอกใหม่

     

    ไป ไปกินกัน

     

     

    คาเรนทรงทราบแล้วว่าเมื่อครู่พระองค์บรรทมอยู่ที่ใด

     

    นี่บ้านพี่ชายเรอะ เมื่อทรงเสด็จออกมาถึงข้างนอก แล้วเหลียวมองกลับไป บ้านหลังน้อยทว่าน่ารักในสายตาคนมองก็ปรากฏอยู่ท่ามกลางเงาไม้เบื้องหลัง แสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องที่บรรทมช่างทอแสงนวลรางชางยิ่งนัก

     

    ก็เคยอยู่ตอนเด็กพักเดียว ก่อนที่จะเดินทางเร่ร่อนน่ะ

     

    นี่เรามาถึงทริสทอร์แล้วงั้นสิ

     

    เปล่า ที่นี่เวนอล ห่างจากจุดที่เราโดนทำร้ายไม่เท่าไหร่ แต่จะเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะนอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครสักคน

     

    ก็ชอบเร่ร่อนไปเรื่อยน่ะสิ ถึงได้ไม่มีบ้านไม่มีครอบครัวกับเขา ความจริงพี่ชายน่าจะแต่งงานนะ แล้วมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละ ถึงจะเล็กไปหน่อย แต่ฉันว่ามันดูอบอุ่นดี

     

    ถึงตอนนี้วรองค์ซีดเซียวก็ถูกประคองมาจนถึงข้างนอกอันมีซากกองไฟก่อทิ้งไว้ เรย์ค่อยๆรอให้พระองค์ทรุดนั่งลงบนแคร่เตี้ยๆ ก่อนจะเอาผ้าที่ถือติดมือลงมาค่อยห่มให้อย่างแผ่วเบา แล้วถอยออกมาจัดการกับกองไฟ

    เพียงครู่เดียว แสงสว่างก็ค่อยๆปรากฏขึ้น พร้อมกับความอบอุ่นที่ใช่จะให้ได้เพียงกาย

    แต่หมายถึง....หัวใจ

    แล้วเรย์ก็เอาเนื้อรมควันที่เตรียมไว้ มารมใหม่ ซึ่งระหว่างรอ บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นเบาๆ

     

    เคเรส

     

    หือ

     

    มาอยู่ที่นี่ด้วยกันมั้ย

     

    คำถามรวดเร็ว แต่คำตอบทอดห่าง เพราะคาเรนทรงมองกองไฟอย่างเหม่อลอย

     

    ว่าไง?

     

    อะไรล่ะ?

     

    ฉันถามว่าถ้าเป็นไปได้ มาอยู่ที่นี่ด้วยกันมั้ย

     

    คาเรนทรงสังเกตคำว่า ถ้าเป็นไปได้อย่างจับผิด แต่แล้วก็บอกปัดเพียงว่า

     

    ไม่

     

    เรย์เงียบลงทันควันที่ได้ยิน คนมองอยู่จึงเอียงคอมองใบหน้าอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นลอยๆ

     

    เรื่องอะไรพี่ชายมาชวนฉันล่ะ ไปชวนสาวสวยสักคนมาแต่งงานด้วยสิ ฉันน่ะขี้เกียจอยู่เป็นส่วนเกินเวลาพี่มีครอบครัวแล้วหรอก

     

    เลิกพูดแบบนั้นเถอะน่า

     

    เมื่อชายหนุ่มเอ่ยฉุนๆ พระองค์ใหญ่ก็ทรงพระสรวลร่า ถามเสียงขบขันว่า

     

    ทำไมล่ะ

     

    เราน่ะเป็นผู้หญิง เลิกพูดว่าตัวเองเป็นหนุ่มน้อยได้แล้ว

     

     

    ความเงียบเข้ามาแทนที่พักใหญ่ ขณะที่ต่างฝ่ายต่างตกใจกับคำเฉลยเมื่อครู่ เพราะเรย์ไม่คิดว่าตัวเองจะหลุดปาก และคาเรนก็ไม่ทรงคิดว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว ดังนั้นยามนี้จึงมีเพียงเปรี๊ยะของสะเก็ดไฟที่ดีดตัวลอยขึ้นสู่ที่สูงเท่านั้นที่กั้นกลาง ขณะดวงตาสองคู่ที่อีกฝ่ายสำนึกเสียใจอีกฝ่ายตกพระทัยตะลึงลานจะประสานกันแน่วนิ่งเนิ่นนาน

    ลงท้าย พระองค์ใหญ่แห่งคาโนวาลนั่นเองที่หลุบพระเนตรลง

     

    โกรธมั้ย

     

    สองคน ถามสองคำพร้อมกัน แล้วก็ตอบพร้อมกันอีก

     

    มีอะไรต้องโกรธ

     

    คาเรนทรงถอนพระทัยเฮือก ก่อนเอ่ยสุรเสียงเลื่อนลอย

     

    ฉันโกหกพี่ชายเรื่อย ไม่เคยนึกโกรธกันบ้างหรือไง

     

    นี่ยังไม่รวมถึง เรื่องสำคัญที่พระองค์ยังเฉลยไม่หมด ว่าความจริงพระองค์เป็นใคร

     

    คนเราย่อมมีความลับอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เราจะปิดบังฉันบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉันเองก็....มีเรื่องปิดบังเราเหมือนกัน

     

    พักตร์งามพยักรับโดยดุษณี ก่อนจะเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีหมึกอย่างเศร้าสร้อย

     

    พี่ชายรู้ไหม ตอนเด็กๆฉันอยากได้ดาวอยู่ดวงหนึ่ง ลองทายซิว่าดวงไหน

     

    เมื่อทรงเปลี่ยนเรื่องรวดเร็ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บปวด

     

    ดาวเหนือ

     

    อืม.... หัตถ์เรียวถูกยื่นออกไปเบื้องพักตร์ ก่อนค่อยๆกำลงบังแสงดาวเหนือที่ทอประกายอยู่สุดคว้า มันไกลเหลือเกินสินะ ความหวังจากดาวดวงนั้นน่ะ

     

    ไม่ไกลหรอก เรย์ค้านนุ่มนวลก่อนยื่นมือตัวเองไปกุมหัตถ์ข้างนั้นไว้

     

    ความหวังอยู่ในทุกที่ที่ย่างผ่าน ความสุขอยู่ในทุกที่ที่มองเห็น ความรักอยู่ในทุกเวลาที่นึกถึง ทุกอย่างที่เกิดจากใจ จะไขว่คว้าได้ด้วยใจ หากใจรับรู้ไม่ได้ ต่อให้มีคนบอกว่ารักก็ไร้ความหมาย

     

    งั้นหรือ? คำถามลังเล ไม่แน่ใจ ก่อนลดสายพระเนตรลงมาจับจ้องคนพูด

     

    งั้นสิ ว่าแล้วเรย์ก็ดึงหัตถ์ที่กุมอยู่มาแนบที่หน้าอกตัวเอง พร้อมบอกเสียงเบา

     

    หลับตาดูสิ

     

    คาเรนทรงหลับพระเนตรลงอย่างว่าง่าย ไม่ดึงดันดื้อรั้นเหมือนเคย

     

    รัก

     

    กระแสพัดผ่านแผ่วเบา ความอบอุ่นซาบซึ้งกำจาย

     

    รัก

     

    ดวงดาว ณ โพยมบนส่องประกายดุจเป็นสักขีพยาน

     

    รักมาก

     

    กองไฟลุกโชนโชติช่วง ประกายไฟแลบเลียเริงร่า

     

    รักมากที่สุด

     

    แล้วสรรพสิ่งทั้งมวลก็สาบสูญ คำนั้นเท่านั้นเสนาะโสตมิรู้จาง

    เรย์พูดถูก ต่อให้เอ่ยคำว่ารักสักเท่าใด หากไม่อาจสัมผัสได้ด้วยใจก็จืดจาง แต่หากคำที่พูดมาพร้อมใจรัก จนสิ้นสมก็ไม่สูญสลาย

    เวทย์มนต์ไม่อาจใช้ได้ผลกับคาเรน ทว่าความรักใช้ได้ผลกับทุกคนไม่มียกเว้น

    สรรพสิ่งหยุดลงเพราะมนตรา

    เราสองหยุดลงเพราะคำเดียว

     

    รัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×