ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอสตอนทายาท 3 แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #39 : ดาวเหนือ ดาวนำ ดาวเนตร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.15K
      1
      21 ต.ค. 49

    34

    ดาวเหนือ ดาวนำ ดาวเนตร

     

                    เดินทางมาครึ่งวัน เจ้านี่บ่นสิบสองครั้ง

                ชั่วโมงละครั้งพอดี

                เรย์มองอย่างรำคาญคนที่เดินตามมา แต่กลับช้าให้ต้องรอมันหลายต่อหลายรอบ เพราะขณะนี้คนทำอวดเก่งอยากเดินทางเร่ร่อน ดันเดินลากขาตามมาอย่างทุลักทุเล

                แล้วแบบนี้จะไปได้ถึงไหน

                แต่เอ๊ะ.....หน้ามันยุ่ง ทว่าตามันใสดีนี่

     

                เมื่อย

     

                ทรงดำรัสสั้นอย่างเอาแต่พระทัย แล้วทรุดลงบนหญ้าข้างทางแทนที่ประทับซะอย่างนั้น

     

                ทำเอาคนมองกุมขมับปวดหัวจี๊ด และชี้ขึ้นไปบนฟ้า เห็นไหม ไอ้หนู ดึกแล้ว ไม่รีบเดินแล้วเมื่อไหร่มันจะถึงที่พักข้างหน้านี่สักที

     

                ก็พักมันตรงนี้

     

                คำรับสั่งยังสั้นตามพระนิสัย แล้วก็เอนองค์ลงข้างทางเฉย

                ตอนเป็นเคเรสกระทั่งเป็นหัวหน้าป้อมอัศวินทรงทำอย่างนี้บ่อยไป ที่ไหนสบายก็นอนที่นั้นได้ แต่ไอ้ที่ต้อง เดินทางเป็นวันๆโดยไม่พักนี่ ไม่ไหวเอาเสียเลย เมื่อยชะมัด

                ทรงอยากได้ม้า โดยเฉพาะม้าทรงตัวโปรด

                เออ หรือเกวียนอืดอาดของท่านเสนาฯตอนไปเมืองชายแดนก็ได้

     

                บ่นมาก เรื่องมาก แล้วก็เอาแต่ใจ....มาก

     

                คำสุดท้ายเรย์เติมลงไปอย่างหงุดหงิด แต่ก็เดินเข้าไปหาเจ้าตัวนอนเหยียดยาวในพงหญ้าจนได้ แล้วบัดนี้เขาก็มาก้มตัวอยู่เหนือมัน

     

                ไฮ้ อย่าบัง กำลังดูดาว

     

                ทรงปัดป่ายพระหัตถ์ออกไปผลักคนบังทิวทิศน์บนฟ้า แต่ก็ห่างเกินกว่าจะสัมผัสถึง จนเมื่อเรย์ทรุดลงข้างๆนั่นแหละ ฟ้าแจ่มใสไร้โคมรัตติกาล แต่กลับพร่างพรายด้วยดวงดาราก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

     

                ดูดาวอะไร?

     

                ดาวเหนือ

     

                เท่าที่รู้จัก ก็มีดาวดวงนั้นดวงเดียว แต่หายังไงก็หาไม่เจอ รู้งี้น่าตั้งใจเรียนดาราศาสตร์ให้มากกว่าเดิมก็ดีหรอก ไม่น่าเชื่อว่าวิชาที่เปิดสอนในโรงเรียนพระราชาวิชานี้ จะมามีประโยชน์ก็ตอนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเป็นพระราชาได้นี่เอง

     

                วันนี้ดาวเหนืองามดี

     

                ไหนล่ะ

     

            ไหนบอกดูอยู่

     

                ยังหาไม่เจอเลย

     

                โน่น ที่เจิดจรัสที่สุดนั่นแหละ

     

            เนตรงามซึ้งเหลียวตามมือที่ชี้ จนเมื่อทรงหาเจอก็หยุดนิ่งเพื่อทอดพระเนตรอยู่นาน นานจนความเงียบเข้ามาแทรกกลาง แต่ยังมีเสียงลมยามค่ำคืนพัดผ่านยอดหญ้าไปเป็นระลอก จึงได้ยินเสียงหญ้าเสียดสีกันดังห่างออกไป แล้วกลับใกล้เข้ามาเหมือนคลื่นที่ซอยเข้ากระทบฝั่ง

                เรย์เองก็ยังไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เขานอนลงข้างองค์บาง ทำเป็นหลับคอพับคออ่อนไป แต่ก็ยังแอบหรี่ตามองพักตร์ที่ซ่อนอยู่ในความมืด ทว่าดวงตาคู่งามยังคงเป็นประกายสดใสแจ่มจ้า

                คาเรนทรงมองดารา เหม่อลอย และรำลึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่มิอาจตรัสออกมาให้สหายร่วมเดินทางเข้าใจได้

                ฉะนั้นยามนี้เนตรทั้งคู่จึงเป็นสีน้ำผึ้งดูดดื่ม งดงามยิ่ง

                คาเรนทรงมองดาวเหนือ

                ดาวนำสำหรับทุกชีวิต

                แต่เรย์กลับมองดาว ที่อยู่ในดวงเนตรประหลาด หยาดน้ำผึ้งในนั้นช่างทรงอำนาจ ทว่ามีซอกมุมลึกลับอันไม่อาจบอกได้ บางทีอาจเป็นความเหงาอย่างที่มันเคยบอก หรือบางทีอาจมีเรื่องเศร้าที่พยายามลืม แต่มันก็ยังติดค้างอยู่ในหัวใจ หรือบางทีคงมีเรื่องต้องตัดสินใจแต่ไม่อาจเด็ดขาดได้

                เขาชอบตาของมันที่ไร้เดียงสา เป็นสีน้ำตาลแจ๋วแหวว

                แต่ก็ชอบตาของมันตอนที่เจ้าเล่ห์เหลือร้าย ส่องประกายวิบวับยากอ่านใจ

                ตาที่เหมือนมีก้อนถ่านคุโชนอยู่ภายในยามโกรธเคือง ก็สวยไปอีกแบบ

                แล้วก็ชอบตาที่ทรงอำนาจ มาดหมายสิ่งใดแล้วต้องได้ อย่างตอนที่ส่งสัญญาณให้เขาเงียบในร้านอาหาร

                แล้วยังประกายมุ่งมั่น อาจหาญ อย่างตอนที่จะสู้กับพวกทหารที่เมืองชายแดน

                หรือตอนที่มันเหม่อลอย จนตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำผึ้งหวานซึ้งแบบนี้อีก

                สรุปแล้ว....เขาชอบตาของมันทุกแบบ ทุกอารมณ์ที่เจ้าตัวแสดง

                ไอ้หนูนี่ เหมือนไม่ใช่เด็กธรรมดา มันมีอะไรบางอย่างน่าดึงดูดใจ

                อะไรหว่า.....

     

     

                แม้จะรู้สึกองค์เพียงครึ่งๆ ทว่าสุรเสียงพระมารดาดังแจ่มชัดอยู่ในความรำลึก กับที่ทรงสรุปว่ากำลังบรรทมหลับอยู่ในอ้อมพระพาหาแข็งแรง ที่ท่านจะเป็นของท่านพ่อ นั่นก็เพราะทรงคุ้นเคยกับไออุ่นเช่นนี้ไม่มีวันลืม

                ไออุ่นเช่นนี้ ทรงได้รับเฉพาะตอนยังเยาว์วัยเท่านั้น

                เพราะไออุ่นแห่งความเมตตานี้ ต้องเผื่อแผ่ไปยังประชาชนทั้งคาโนวาล

                พาหาแข็งแรง ต้องโอบอุ้มแผ่นดินทั้งผืน

                แม้แต่พระธิดาองค์โต ยังได้รับเท่าที่ควรจะได้

                และพระธิดาองค์นั้น ก็อยู่ในชุดทรงยุวราชน้อย แต่หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ภายหลังจากการฝึกดาบกับท่านปู่ทั้งวัน

                จะเป็นพระสุบินหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ขณะนี้พระองค์ต้องการเป็นเพียงเจ้าชายน้อย ที่เอนหลับบน

    วรองค์สง่าของพระบิดา และพระมารดาทรงดึงหัตถ์น้อยอันบาดเจ็บจนต้องพันผ้าไว้ขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม...เท่านั้นเอง

     

                มือแตกยับเยิน เลือดยังไหลอยู่เลย

     

                ควีนเฟรินทรงตรัสสุรเสียงอ่อน ก่อนยกหัตถ์ธิดาน้อยมาแตะแทบพระปรางค์

     

                จับดาบเป็นครั้งแรก ก็ยังงี้ ไม่นานก็หาย

     

                พอหายก็ต้องจับดาบใหม่อีก แล้วก็แตกอีก

     

                นานไปมือจะด้าน แล้วก็จะไม่แตก

     

            ลูกคงเจ็บ

     

                แม้ควีนเฟรินจะทรงเป็นนักดาบที่เคยจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของเอเดน ทว่าความเป็นพระมารดา และทรงเป็นสตรีโดยสมบูรณ์ ทำให้อดห่วงหาอาทร และรู้สึกทรงเจ็บแทนไม่ได้

     

                เจ็บในตอนนี้เพราะฝึกดาบ ดีกว่าเจ็บในวันหน้าเพราะโดนดาบผู้อื่นทำร้าย

     

                ลูก....ของเรา ทรงละเอาไว้ในทันในคำว่า ลูกหญิงแต่ถึงอย่างนั้นก็ติดพระศอจนไม่อาจตรัสได้ในทันที แต่จำต้องเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ต้องอยู่ในนามเจ้าชายรัชทายาทอย่างนี้ต่อไปหรือ

     

                เพราะตอนเจ้าหญิงมีพระประสูติกาล ราชพิธีถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ราวกับเป็นเจ้าชายรัชทายาท  แถมพระนามที่ถูกประกาศออกไปในยามทำพิธี ก็คือพระนาม คาเรนอันเป็นพระนามแห่งเจ้าชายที่คิงคาโลทรงหมายมั่น แล้วจะให้คนทั่วไปเข้าใจเป็นอื่นได้อย่างไร

                แม้แต่ขุนนางชั้นสูงที่รู้เรื่องดีเพราะเฝ้าอยู่หน้าห้องส่วนพระองค์ ก็ไม่กล้าพูดมาก

                วิจารณ์พระราชวงศ์ โทษน้อยที่สุดคือตัดสิ้น

                เดี๋ยวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เจ้าชายคาเรนทรงไม่โปรดให้ใครเอ่ยเรื่องนี้ต่อพระพักตร์ และยามทรงกริ้ว ฉุนเฉียว จะเหมือนหิมะตก

                นุ่มนวล อ่อนเบา แต่หนาวเยือก และทำให้ถึงตายได้

                ภัยร้าย มักจะมาถึงโดยไม่รู้ตัวเสมอ

     

                คาเรนเป็นเจ้าชาย เฟริน เป็นเจ้าชายแห่งราชวงศ์วาเนบลี

     

                ถ้อยดำรัสนั้น คิงคาโลจะทรงทราบหรือไม่ว่า หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา มันก็ฝังแน่นอยู่ในพระหทัยดวงน้อย จนกระทั่งทุกวันนี้

               

     

                ไออุ่นที่เคยอวลรอบองค์หายไป แสงแดดอุ่นๆทำให้พระเนตรที่กำลังจะลืม กลับปิดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกะพริบถี่เพื่อรับแสง แล้วยันองค์ลุกขึ้นประทับนั่ง พอเหลียวมองไปรอบด้าน ก็ยังปรากฏว่าองค์เองอยู่ที่ทุ่งหญ้าในเขตชายแดนโคมานอยู่นั่นเอง

                เมื่อคืนเพียงสุบินไปเท่านั้นเองหรือ

     

                ตื่นแล้วนี่

     

                เรย์เดินลุยพงหญ้าเข้ามาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ก่อนยื่นน้ำสะอาดในใบไม้ที่ม้วนเป็นภาชนะส่งให้ คาเรนรับไปเสวย แม้ไม่สะดวกนัก แต่น้ำนั้นสะอาดใสและให้รสชาติชื่นพระทัยจริงๆ

     

                อีกนานไหมกว่าจะถึงเอดินเบิร์ก

     

                ทรงถาม หลังจากวางใบไม้ลงบนพื้นหญ้า แน่ล่ะ ถึงจะเสด็จเดินทางจากเอดินเบิร์กกลับบ้านที่คาโนวาลบ่อยจนแม้หลับเนตรก็บอกทิศทางได้ แต่ก็ยังไม่ทรงทราบอยู่ดีว่าถ้าหากเดินเท้า จะถึงเอดินเบิร์กเมื่อไหร่

                เคยดำเนินไป - กลับเองเสียเมื่อไหร่

                อย่างน้อยที่สุด ต้องมีม้าสักตัว

                ต่อให้ไม่ฝีเท้าจัดอย่างม้าทรงตัวโปรดก็ตาม

                แต่เดินก็สนุกดี ได้คุยอะไรไปเรื่อย

                เป็นเจ้าชายหาคนคุยด้วยได้แทบไม่มี แต่พอเป็นแค่ไอ้หนูตัวมอมแมม กลับมีเพื่อนรู้ใจเดินทาง

                เพื่อนที่เจอกันอย่างแปลกประหลาด กลับได้กินได้นอนด้วยกันหลายทิวา

                โชคชะตา....มักเป็นเช่นนี้เอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×