คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : ณ จัตุรัสกลางเมือง
20
ณ จัตุรัสกลางเมือง
“เอาล่ะนะครับ ทุกคนคงจะเห็นแล้วว่าสุภาพสตรีผู้นี้เข้าไปในกล่องนี่แล้ว”
เสียงของชายหนุ่มเจ้าของมายากลสุดประหลาดดังร้องเรียกความสนใจจากบรรดาผู้คนที่มามุงดูได้มาก ทุกคนจับตามองไปยังหญิงวัยกลางคนที่เคยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ชม แต่บัดนี้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงอย่างช่วยไม่ได้ด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ตอนนั้นเองที่มีเด็กหนุ่มร่างผอม ทว่าตาคมจนเรียกได้ว่าหล่อเหลาแทรกเข้ามา แต่ไม่มีใครสนใจมากไปกว่ายอมขยับให้ยืนดูด้วยคน
“แล้วต่อไป....ผมก็อยากได้ผู้ร่วมแสดงมายากลอีกสักคนหนึ่ง”
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่กลางวงทำทีเป็นกวาดมองไปทั่วอย่างลังเลใจ ขณะที่คาเรนทรงลอบมองอย่างพิจารณา
ชายคนนั้นมีลักษณะภายนอกที่ไม่ต่างจากพวกขอทานหรือนักมายากล ที่ชอบเปิดการแสดงตามถนนทั้งหลายเท่าไหร่ ใบหน้าอ่อนเยาว์บ่งบอกถึงอายุที่ไม่มากไปกว่าพระองค์นัก แต่คงกร้านโลกจากการที่ต้องเอาชีวิตรอดโดยลำพังมาพอสมควร ทั้งยังเจนจัดต่อการเรียกร้องความสงสารและความสนใจสมกับที่เป็นนักมายากลทีเดียว
แล้วในไม่ช้าเขาก็ได้เด็กสาวที่ยืนดูมายากลอย่างสนใจมาร่วมการแสดงอีกคน โดยจัดให้ยืนข้างกล่องขนาดใหญ่ที่มีหญิงวัยกลางคนเข้าไปก่อนแล้วคนหนึ่ง
แล้วหันมาบอกทุกคนว่า
“ตอนนี้เรามีผู้ร่วมแสดงเป็นสุภาพสตรีสองท่านแล้วนะครับ ท่านหนึ่งเข้าไปรอในกล่องทึบนี่ ส่วนอีกท่านก็ยืนข้างผมตรงนี้ แต่ท่านผู้ชมครับ อีกเดี๋ยวผมจะเนรมิตให้สุภาพสตรีทั้งสองท่านนี้สลับที่กัน”
จึงมีเสียงฮือฮาตอบสนองมาแทบจะในทันที
“ครับ ท่านผู้ชมเข้าใจถูกแล้ว ผมจะให้สาวสวยผู้นี้เข้าไปอยู่ในกล่อง และให้สุภาพสตรีอีกท่านหนึ่งออกมายืนตรงนี้แทน”
แล้วชายหนุ่มผู้มีลีลาหลอกล่อน่าชมเชย ก็ตวัดมือไปในอากาศอันว่างเปล่า แต่พอดูอีกทีปรากฏว่ามีคทาสีทองตืดมือมาด้วยอันหนึ่ง และคทาอันนั้นเองที่ทำให้คาเรนซึ่งเกือบหมุนองค์กลับ ต้องหันมาทรงมองอีกครั้งอย่างสนพระทัย
พระองค์แม้จะไม่ใช่ผู้ถนัดการใช้เวทมนตร์เหมือนพระบิดาและพระขนิษฐา แต่ก็พอดูออกว่าคทานั่นเป็น ‘ของดี’ ซึ่งไม่น่าจะมาอยู่ในมือนักมายากลเร่ร่อนคนนี้ได้อย่างเด็ดขาด
หรือจะขโมยมา
ไม่น่าใช่อีก....เพราะถึงจะขโมยมา แต่ถ้าไม่เคยฝึกใช้เวทย์มาก่อน จะทำประโยชน์อะไรได้นอกจากเอาไปขายต่อ
หรือจะเป็นสมบัติตกทอดที่ต่อให้อยู่ในฐานะลำบากยากแค้นแค่ไหนก็ขายไม่ได้
และทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นโบกคทาอันงาม ละอองเวทย์สีทองก็ลอยเป็นสายไปล้อมรอบตัวเด็กสาวซึ่งมีท่าทางตกใจอย่างชัดเจน แล้วในพริบตานั้นเอง!....ร่างระหงก็หายไปกับตา ปรากฏอีกทีก็กลายเป็นหญิงวัยกลางคนร่างท้วมซึ่งมีสีหน้าบ่งบอกความประหลาดใจสุดขีด
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวในความสามารถเหนือมายากล แต่สมควรเรียกว่าเวทมนตร์ถึงจะถูกต้อง
------------------------------------------------------------------
“ท่านเคเรส อยู่นี่เองหรือเจ้าคะ”
เสียงเรียกปนหอบของสาวน้อยที่วิ่งมาแต่ไกล ทำให้คาเรนหันไปมองทันที แล้วด้านหลังของซินเดียก็มีร่างอ้วนอุดมสมบูรณ์ของท่านเสนาฯทีแม้จะถึงช้ากว่า แต่แสดงความเป็นห่วงกว่าอย่างชัดเจน
“ฝ่า...เอ้อ...เคเรส มาทำไมไม่บอกพ่อสักคำ”
เจ้าชายคาเรนมิได้ทรงตอบ เพียงแต่ทรงหันไปยังนักมายากลผู้มีเรื่องให้ทรงสงสัย ซึ่งกำลังเริ่มต้นกลใหม่ที่เตรียมมา ด้วยการเอาผ้าสีแดงผืนหนึ่งขึ้นมาโบก แต่ยากแก่การเดาว่าเขาคิดจะทำอะไรต่อไป
“ทำไมหรือกระหม่อม”
ท่านเสนาฯกระซิบถามด้วยรู้ดีถึงพระอาการของคนที่เห็นมาแต่ทรงเยาว์นัก โดยมั่นใจแล้วว่าซินเดีย สาวใช้ในคฤหาสน์ของตนไม่มีทางได้ยิน เพราะมัวสนใจมายากลที่นานๆทีถึงได้มีโอกาสออกมาเที่ยวชมอย่างนี้ และค่อนข้างห่างเกินกว่าที่คนผ่านไปผ่านมาจะได้ยินมากนัก
“มายากรคนนั้นน่ะสิ ท่านว่ามันน่าแปลกมั้ย”
ท่านเมนิสจึงทั้งเขย่งทั้งชะเง้อคอมองผ่านบรรดาผู้ชมของมายากรที่ถูกกล่าวถึงไปอย่างสุดความสามารถ แล้วจึงได้เห็นคนร่างสูงที่กำลังโบกคทาในมือขวาไปที่ผ้าผืนหนึ่งซึ่งอยู่ในมือซ้าย แต่มองไม่เห็นความผิดปกติที่เจ้าชายคนดีตรัสเลยสักนิด
“ทำไมหรือกระหม่อม” หันมามองคนศักดิ์สูงกว่าอย่างยังงงไม่หาย “หม่อมฉันก็เห็นเพียงว่าเป็นวนิพกที่ใช้การแสดงเป็นเครื่องทำมาหากินเท่านั้นเองกระหม่อม”
“มองให้ดีสิท่านเมนิส เราว่าคทาที่หมอนั่นใช้อยู่ มันไม่ได้เข้ากับอาชีพวณิพกที่ใช้การแสดงเป็นเครื่องหากินอย่างที่ท่านว่าสักนิดเลย อีกอย่าง....”
แล้วเจ้าชายรัชทายาทแห่งคาโนวาลก็ถึงกับหยุดรับสั่งไปเสียเฉยๆ เมื่ออยู่ดีๆท่านเสนาฯคนสนิทก็ตะโกนโหวกเหวกแทรกขึ้นมาเสียงดังลั่น
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ทอดพระเนตรสิกระหม่อม ข้างบนนั่น”
คาเรนจึงถึงกับถลึงเนตรมองเสนาบดีกระทรวงการคลังอย่างทรงเตือนให้เลิกใช้คำบ่งบอกฐานะเสียที แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้ตัวสักนิด ได้แต่ชี้โบ๊เบ๊ขึ้นไปด้านบนอย่างตื่นเต้นจนควบคุมไม่อยู่ ซึ่งไม่เกิดผลอะไรทั้งนั้น เพราะคนที่อยู่รอบด้านก็ไม่มีใครได้ยินที่ท่านเสนาฯตะโกนออกมาเหมือนกัน
ทุกคนต่างมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนที่ไม่เห็นมีอะไรนอกจากยอดปราสาทโลหะที่เห็นเทียมเมฆอยู่ลิบๆ ทว่าแต่ละคนกลับทำท่าตื่นเต้นยินดีราวกับได้เห็นสิ่งที่วิเศษลึกล้ำที่สุดในชีวิต และอาจยกเว้นคาเรนพระองค์เดียวที่ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์อันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทั้งยังไม่ทรงทราบด้วยว่าเหตุใดทุกคนจึงมีท่าทีเช่นนั้น และทุกคนเห็นอะไรถึงได้รู้สึกดีปานนั้น
พระองค์ทรงมองไปรอบด้าน และเห็นอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้มองขึ้นไปด้านบนเหมือนคนอื่นๆด้วย
มายากรเจ้าเล่ห์คนนั้นน่ะเอง......
ดวงตาสีเขียวมรกตชวนมองเพราะดูลึกล้ำเกินกว่าจะเป็นของคนเร่ร่อนธรรมดามองมาทางพระองค์ด้วยแววประหลาดใจ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นชื่นชม จนถึงกับยิ้มกว้างอวดไรฟันขาวสะอาด เป็นระเบียบทุกระเบียดนิ้ว แล้วยกมือที่ยังกำคทาสีทองอันงามขึ้นเสยผมยุ่งๆที่บังหน้าให้พ้นไป คาเรนจึงได้ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นอย่างชัดเจน
หมอนี่....หน้าตาดีไม่เบา
ทรงดำริด้วยพระอาการสงบ หากต่อมาจึงขมวดขนงยุ่งเพราะทรงรู้สึกขึ้นมาอีกว่า
คุ้นหน้าคุ้นตาหมอนี่....อย่างบอกไม่ถูก
คุ้นทั้งที่ไม่น่าจะคุ้น....จะทรงรู้จักคนตรงหน้านี้มาก่อนได้อย่างไร
เจ้าชายกับมายากรเจ้าเล่ห์น่ะนะ...ไม่ได้เข้ากันเลย
“พ่อ” ทรงตรัสถามท่านเสนาฯที่ยังไม่หายจากอาการประหลาด โดยยังไม่ละจากการสบตาอีกฝ่ายตอบเช่นกัน “บอกหน่อย ท่านเห็นอะไร”
“เห็น.....ผ้าสีทอง ผ้าสีทองระยิบระยับ งดงามเหมือนเอาดวงดาวนับแสนล้านมาตกแต่ง กำลังหมุนรอบยอดปราสาทโลหะองค์คาเรน งามมาก งามจริงๆ”
คำตอบประหลาดทำให้เจ้าชายคนสำคัญสบถอย่างไม่เข้าใจ แล้วจึงทรงหันไปทางซินเดียอีก
“ซินเดีย เธอเห็นอะไรบ้าง”
“เห็นนางฟ้าเจ้าค่ะ นางฟ้าในชุดสีขาวสะอาด กระโปรงยาวปลิวไปตามลม โปรยดวงดาวไปเต็มท้องฟ้าแล้วร้องเพลงอวยพรแด่องค์คาเรน บางนางก็ถือพิณมาดีดถวายเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟัง เนตรสีน้ำตาลก็ฉายรอยกรุ่นอย่างหงุดหงิดนัก และนึกขึ้นมาได้ว่าที่พระองค์ไม่เห็นสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นด้วย ก็เพราะปกติพระองค์ใกล้ชิดกับพระขนิษฐาซึ่งเป็นนักเวทย์ชั้นสูงมาตลอด เวทย์บางชนิดจึงมิอาจเข้าถึงพระองค์ได้ ตามคำอวยพรของท่านตาเอวิเดสที่เคยประทานให้ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเจ้าชายองค์น้อย
หมอนี่...ไม่ใช่นักมายากลธรรมดาจริงๆด้วย
ไม่สิ.....เป็นนักเวทย์ชั้นสูงคนหนึ่งเลยทีเดียว
แต่แล้ว เวทย์ภาพลวงที่สะกดได้พร้อมกันทีเดียวเป็นร้อยๆคน ก็เป็นอันสลายไปอย่างรวดเร็ว เพราะจู่ๆก็มีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรมาจากอีกด้านของจัตุรัสกลางใจเมือง พร้อมๆกับการปรากฏตัวของชายฉกรรจ์จำนวนสิบกว่าคนที่ถือดาบเล่มหนา วิ่งเข้ามาอย่างอุกอาจ แล้วสร้างความแตกตื่นไปทั่ว
คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าแหงนคอมองท้องฟ้าซึ่งไม่มีอะไรเลยอยู่เนิ่นนาน หันมามองทางด้านต้นเสียงอย่างงงๆ แล้วก็เป็นอันได้ตื่นเต็มตาเมื่อประกายดาบหลายเล่มวูบเข้ามา จนต่างสะดุ้งสุดตัวกันทุกคนด้วยความกลัวว่าจะเกิดการประอาวุธกันขึ้น แล้วอาจมีลูกหลงลอยมาเป็นรางวัลแห่งความบังเอิญเอาก็ได้
เพราะฉะนั้นที่มีสติดีก็แค่ถอยหลบเข้ามาอย่างนกรู้ แต่ที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็มีคนช่วยอนุเคราะห์ดึงแขนลากตัวเข้ามาหลบด้วย และในกรณีของซินเดียนั้นต้องเรียกว่าตกใจจนไม่รู้ตัว ว่ามีกำลังช้างสารมาลากท่านเสนาบดีเจ้านายผู้ชราวิ่งหนีไปได้อย่างอัศจรรย์
จะมีก็แต่เจ้าชายคาเรนเท่านั้นที่ไม่ทรงมีปฏิกิริยาอะไร นอกจากคอยหลบคนที่อาจวิ่งสะเปะสะปะมาชนเท่านั้น
เพราะตั้งแต่มีพระประสูติกาลมาจนเจริญพระชันษาขนาดนี้ ไม่เคยเลยที่จะทรงหันหลังวิ่งหนีให้ใคร จะมียกเว้นเสียก็แต่พระมารดาองค์เดียวที่พระองค์ทรงเกรงพระอาญา ในคราวที่เอาดาบผ่าปฐพีมาเล่นจนปราสาททิศเหนือย่อยยับไปเป็นแถบตั้งแต่ครั้งยังทรงเยาว์นัก
แต่นั้นมาก็ไม่เคยอีก และคงไม่มีวันหนีใครด้วย
ชายฉกรรจ์ที่ถือดาบอย่างไม่เกรงกลัวใครเหล่านั้น ต่างโวยวายส่งสัญญาณให้พรรคพวกบุกเข้าจับนักมายากลจอมเจ้าเล่ห์ที่เพิ่งคลายมนต์ซึ่งยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน และยังไม่วิ่งไปไหนราวกับจะท้าทายคมดาบนับสิบเล่มด้วยความคะนองตามประสาวัยหนุ่ม
แต่กว่าจะวิ่งไปถึงมายากรผู้นั้น ต้องผ่านพระองค์ก่อน
หากพระองค์ไม่ทรงยอมหลีกให้ คงได้ถูกผลักให้ออกนอกเส้นทางเหมือนชาวบ้านที่วิ่งไม่ทันพวกนั้นแน่
แต่เรื่องอะไรจะทรงยอมหลีกให้ ไอ้เจ้าพวกนี้มันบังอาจก่อความวุ่นวายในเมืองของพระองค์ ในคืนวันเฉลิมฉลองซึ่งพระขนิษฐานางจะทรงเสด็จมาประทานหิมะแรกแห่งปีด้วยองค์เองอย่างนี้
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพชัดๆ
เพราะฉะนั้นจึงทรงดำริไว้ตั้งแต่แรกว่าถ้าหากใครบังอาจกว่านั้น คือยื่นมือโสโครกมาแตะต้องพระองค์เพื่อผลักให้พ้นทาง มันผู้นั้นก็คงต้องลิ้มรสฤทธิ์ดาบแห่งองค์คาเรนดูหน่อย
เนตรสีน้ำตาลฉายแสงกล้า หัตถ์ที่ไขว้เบื้องปฤษฎางค์ค่อยๆกำแน่นด้วยหมายตาคนบังอาจกลุ่มนั้นไว้เรียบร้อย
แต่แล้ว....
“เฮ้ย”
ทรงอุทานอย่างที่ไม่เคยมาก่อน เมื่ออยู่ดีๆหัตถ์เรียวที่กำลังเรียกดาบประจำพระองค์กลับถูกใครก็ไม่รู้ถือวิสาสะคว้าไปจับ
“น้องชาย วิ่งเร็วเข้า”
มายากรประหลาดที่เมื่อกี้ยังยืนท้าทายคมดาบอยู่ดีๆ บัดนี้มาดึงหัตถ์คาเรนเหย็งๆ แล้วบอกให้ทรงวิ่ง
อะไรกันนักกันหนา.....ไอ้หมอนี่
“ไม่วิ่ง”
โอษฐ์ได้แต่ตรัสเฉียบขาด ทว่าคนมีมานะแรงกล้ากลับไม่ฟัง ลากพระองค์ถูลู่ถูกังวิ่งแทรกฝูงชนไปอย่างทุลักทุเลยิ่งนัก
“ไม่ลากให้วิ่ง ตัวเองจะวิ่งหรือ ยืนบื้อมันตรงนั้น เดี๋ยวก็ได้ถูกฟันหัวแบะหรอก”
แล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายทรงตรัสอะไรยืดยาว แต่ไม่มีคนฟัง
แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้หันหลังวิ่งหนีใคร
แต่เป็นหันหน้าให้คนที่ควรหนี โดยมีคนอยู่ข้างหลังซึ่งหวังดีเกินเหตุคอยฉุดคอยลากโดยไม่ฟังเสียง
ความคิดเห็น