คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : เจ้าชายผู้ทรงฤทธิ์
10
เจ้าชายผู้ทรงฤทธิ์
นานราวครึ่งชั่วโมง กว่ารถม้าจะชะลอความเร็วลง แต่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิทดีนัก วรองค์บอบบางปราดเปรียวก็กระโดดออกมาเสียก่อน
เบื้องพระพักตร์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในขณะนี้ คือคอหอยสูงชะลูด ที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้กับหมู่ไม้รอบด้าน มองดูอึมครึมไม่สบายตาราวกับไม่ได้สร้างเพื่อให้น่าชื่นชม แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะที่นี่มีไว้สำหรับนักโทษของคาโนวาล ที่ถูกคุมขังแบบลืมเดือนลืมปีด้วยความผิดอุกฉกรรจ์
ในรัชกาลกษัตริย์คาโล แทบไม่มีใครทำความผิดถึงขนาดต้องเข้าคุก เพราะความผิดเล็กๆน้อยๆถูกให้อภัยไม่ถือสาหาความ หนักขึ้นมาหน่อยก็คุมขังให้สำนึกสักเดือนสองเดือน แล้วก็ถือว่าน้ำพระทัยของคิงองค์ปัจจุบันแห่งคาโนวาลทรงพระราชทานอภัยโทษให้
คุกเล็กๆน้อยๆยังไม่มีนักโทษ
แล้วหอคอยนี่มีคนเพิ่งเข้าไปได้อย่างไร
“ท่านต้องการให้เรามาพบใครที่นี่”
ทรงหันไปรับสั่งถามท่านเสนาฯที่เดินมาหยุดยืนเบื้องพระขนอง แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทูลอะไร เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ก่อนเดินเข้าไปหาผู้คุมตรงประตูทางเข้า โดยแสดงตนเป็นเสนาบดีผู้มีตำแหน่งสำคัญ ซึ่งต้องการเข้าไปหานักโทษที่ต้องพระอาญาเพื่อสอบสวนอะไรบางอย่าง และอีกคนที่ลงมาจากรถม้าเดียวกันนั่นก็คือบุตรบุญธรรมของท่านเอง
เคเรส ฟาเรล.....หนุ่มน้อยในมาดเจ้าชายคนนั้น
------------------------------------------------------------------
เงียบ....เงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่นี่
ทางเดินที่ทำจากหินทั้งซ้ายขวาบนล่างทอดยาวออกไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ด้านหน้ามืดสนิทราวกับเมื่อเดินจนสุดทางจะพบกับขุมนรกอันมีแต่คนทุกข์ทรมานอยู่อาศัย ความกดดันบางอย่างหนักหน่วงอยู่ในพระทัย และพลอยรั้งไม่ให้เดินต่อไปได้โดยง่ายดาย แม้แต่ท่านเสนาเมนิสที่คงเดินทางมาที่นี่บ่อยเพื่อทำงานตามกระแสรับสั่งยังตัวสั่นด้วยความกลัว เสียงฟันกระทบกันดังอยู่ตลอดเวลา และเบียดเข้าหาวรองค์บางที่แม้จะทรงนิ่งงันไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับแสดงอาการกลัวออกมา
เจ้าหญิงพระองค์นี้พระทัยแกร่งกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปจริงๆ
ความจริงท่านเสนาก็อยากเอ่ยแนะนำสถานที่เสียหน่อยด้วยความรู้มาก ทว่าพอเอ่ยคำใดออกมา คำนั้นก็จะสะท้อนไปทั่วทั้งทางเดินด้วยอำนาจของสถานที่ และทำให้ขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัวเพราะยิ่งนานเสียงนั้นยิ่งแปร่งเพี้ยนไป จนคนพูดเองเชื่อไม่ลงว่าเป็นเสียงของตน แต่คล้ายเสียงผีสางคร่ำครวญโหยหวนเสียมากกว่า เอาแค่เสียงฝีเท้าของคนสองคนก็แทบจะสะท้อนออกมาเป็นเสียงฝีเท้าของคนนับพันแล้ว
เจ้าชายคาเรนทรงสูดพระอัสสาสะลึก ยาวนาน อากาศในนี้ไม่บริสุทธิ์เท่าที่ต้องการก็จริง แต่ก็นับว่าพอจะทำให้เรียกสติคืนมาได้บ้าง
แล้วก็ทรงจูงมือท่านเสนาอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นบิดาบุญธรรมจริงๆ ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงดุจเสด็จยามปกติ ทำให้ใจที่แกว่งไปแกว่งๆมาของคนแก่ชักสงบลงได้
เจ้าชายทรงย่างพระบาทเร็ว เสียงสะท้อนประหลาดจึงดูช้าลงไปถนัดใจ ต่อให้ยังเหมือนมีคนหมื่นพันเดินอยู่รอบด้านเหมือนเดิม ก็เป็นการเดินตามมาข้างหลัง เปรียบได้ว่าต่อให้เป็นเสียงของภูติปีศาจตนใด ก็ทำได้เพียงตามเสด็จ ‘พระองค์ใหญ่’ผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งลวงใจใดๆเท่านั้น
คาเรน วาเนบลี....เจ้าชายที่แม้แต่ความกลัวยังศิโรราบ
------------------------------------------------------------------
พอพ้นจากทางเดินอันเงียบเชียบแสนน่ากลัว ทั้งสองก็ต้องเจอกับฝันร้ายมากกว่าอีกหลายพันเท่า
ปกติหากท่านเมนิสมาที่นี่เพื่อต้องการพบนักโทษคดีอุกฉกรรจ์สักคน ทางผู้คุมจะจัดหาห้องที่มีแสงสว่างมากพอให้เห็นหน้ากันได้แบบไม่หลอกหลอนขนาดนี้ โดยอาจมีเหล็กกั้นเพื่อความปลอดภัยหากนักโทษเกิดอาการคลุ้มคลั่งอยากจะทำร้ายขึ้นมา แต่พระองค์ใหญ่คนดีนั่นเองที่มีพระประสงค์อยากจะเสด็จลงทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของคนที่มีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มี
ไม่ใช่เพราะคะนองอยากเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น
แต่เพราะดำริได้ว่าต่อให้เป็นนักโทษที่แม้แต่จะตายก็ยังไม่ได้รับการอนุญาต....ยังไงก็ยังเป็นประชาชนชาวคาโนวาลของพระองค์อยู่ดี
ห้องขังที่เรียงกันไปตลอดสองข้างทาง ทำด้วยเหล็กกล้ายากแก่การทำลาย เสียงหวีดร้องโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทาง บ้างแผ่วบ้างดัง บ้างแหลมบ้างทุ้มต่ำ บางทีก็เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างทุกข์แสนสาหัส และเมื่อทอดพระเนตรมองลอดซี่เหล็กเข้าไป นักโทษคดีอุกฉกรรจ์มากมายหลายลักษณะก็ปรากฏให้เห็นเบื้องพระพักตร์
บางคนท่าทางจะเสียสติไปแล้ว เพราะมัวแต่โขกหัวลงกับพื้นดังสนั่นพลางนับให้ถึงร้อยครั้ง บางคนยังยิ้มแย้มกับตัวเองได้อยู่ แต่มีแววตาว่างเปล่าราวกับมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น บางคนหันหน้าไปทางผนังเย็นชืดเบื้องหลังและคุยกับหินพวกนั้นด้วยภาษาอะไรสักอย่างที่ไม่เคยมีการบัญญัติไว้ บางคนก็ถลาเข้ามาอย่างดุร้าย และยื่นมือลอดซี่กรงออกมาไขว่คว้า ทำเอาท่านเสนาบดีโวยวายด้วยความตกใจจนแทบอยากเผ่นออกไปข้างนอก แต่เจ้าชายคาเรนทรงมองนิ่ง ด้วยพระเนตรสงบยากแก่การเดาพระทัย แล้วท้ายสุดก็ทรงเสด็จผ่านไป
บางคนที่สติดีหน่อยก็นั่งนิ่งไม่ทำอะไร แต่สอดส่ายสายตาลอดผมยาวสกปรกรุงรังมองมาอย่างระแวง บางคนก็มีรอยยิ้มเย้ยหยันส่งมาให้ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นราวกับเห็นว่าการมีคนเดินเข้ามาในฐานะอื่นที่ไม่ใช่นักโทษเป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลก
จนภายหลัง เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว ท่านเสนาฯก็เชื่อทันทีว่าไม่ว่านักโทษเหล่านี้ทำความผิดอะไรมา แต่หากได้มาอยู่ที่นี่สักปี ย่อมถือว่าชดเชยความผิดด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปจนหมดแล้ว
พระองค์ใหญ่ก็ทรงดำริเช่นเดียวกัน หากแต่รับสั่งแถมท้ายว่า
“ทว่ามีความผิดอยู่อย่างหนึ่ง ท่านเสนา ที่ไม่อาจให้อภัยได้อย่างเด็ดขาด”
“อะไรหรือกระหม่อม”
ตอนนั้น ท่านเมนิสเพียงแต่หลุดปากทูลถามด้วยความอยากรู้ แต่หากเมื่อพิจารณารอยยิ้มน้อยๆของเจ้าชายตรงหน้าแล้ว คำตอบก็แทบวางอยู่ตรงหน้าโดยไม่ต้องค้นหาจากที่ไหนอีก
เจ้าชายคาเรนเองก็เคยมีกระแสรับสั่งให้เอานักโทษมาคุมขังไว้ที่นี่เหมือนกัน
ด้วยข้อหาเดียว แต่สาหัสนัก
“คิดทรยศ”
กับอีกข้อหา ที่ไม่ได้ทรงสั่งให้ส่งตัวมาที่นี่ แต่ทรงจัดการเอง ตรงนั้น เดี๋ยวนั้น
ลอบปลงพระชนม์........
------------------------------------------------------------------
ผู้คุมเองซึ่งก็คงเป็นบุคคลที่มีใจแกร่งกร้าวราวกับมิใช่มนุษย์มองมาจากโต๊ะทำงานที่วางเต็มไปด้วยเครื่องทรมาน แน่นอน เขาย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่กำลังก้าวเร็วๆมาทางนี้นั้นเป็นเจ้าชายคาเรนที่ใครๆต่างก็กลัวนักกลัวหนา แต่คนที่เดินตามหลังนั้นเป็นเสนาบดีกระทรวงการคลังผู้ร่ำรวยแน่นอน
“อ้าว ท่านเสนาฯ มาอีกแล้วเรอะ”
ประโยคที่ทักนั้นไร้ซึ่งสัมมาคารวะโดยสิ้นเชิง
“ให้คนผู้นั้นไปพบฉันที่ห้องสอบสวนหน่อย”
ท่านเมนิส ฟาเรล ได้พยายามแล้วที่จะรักษาความภูมิฐานของท่านไว้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังดูออกว่าคงเกรงกลัวผู้คุมที่มีสภาพไม่ต่างจากนักโทษเท่าไหร่ โดยเฉพาะยามแสยะยิ้มส่งมานั้น ราวกับต้องการกระโดดขย้ำท่านเสนาฯมากกว่าทำตามคำสั่งงั้นแหละ
“คนๆนั้น ใครน้า”
คนยียวนทำเป็นจำไม่ได้เพราะหวังผลมองท่านเสนาฯอย่างมีความหมาย และไม่ทันมองว่าดวงตาของไอ้หนุ่มข้างๆเริ่มหยีลงช้าอย่างไม่พอใจ ขณะดวงหน้าสวยราวกับผู้หญิงเริ่มเรียบตึงขึ้นทุกขณะ
“ต้องการเท่าไหร่อีกล่ะ”
ท่านเมนิสเตรียมตัวควักจ่ายอย่างรู้แกวดี เพราะนี่เป็นครั้งที่สามแล้วสำหรับค่าธรรมเนียมที่ไม่ให้ก็ไม่ได้ ในเมื่อคนๆนี้เปรียบไปก็เหมือนพระเจ้าสำหรับสถานที่ที่คล้ายนรกอย่างนี้
แต่หัตถ์เรียวแตะมือที่กำถุงเงินของท่านเอาไว้ ท่านจึงชะงักก่อนหันไปมองเจ้าชายคนดีของท่านอย่างงงงวย เช่นเดียวกับผู้คุมที่หยุดสายตาหิวกระหายจากถุงเงินอย่างหงุดหงิดนัก
แล้วท่านเสนาฯก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นพักตร์ในความมืดสลัว เป็นพระพักตร์ของคาเรนที่ไม่ค่อยมีใครเห็นบ่อยนัก แต่สำหรับท่านที่เป็นคนรับรายงานความเสียหายที่เจ้าชายทรงก่อขึ้นในฐานะเสนาบดีกระทรวงการคลัง ย่อมเห็นบ่อยกว่าคนอื่น และไม่ปรารถนาจะเห็นนักไม่ว่าที่ใดก็ตาม อย่าว่าแต่ในหอคอยคุมขังแบบนี้
“ทำแบบนี้ ผิดจรรยาบรรณข้าราชการนี่พี่”
ทรงเรียกพี่ด้วยพระอาการปกติ หรือออกจะสุภาพไปสักหน่อยด้วยซ้ำ แต่พระเนตรวาววามในความมืดนั่นไง ที่บอกว่าอะไรกำลังจะตามมา
“อย่ายุ่ง ไอ้หนู ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
“เจ้าชายคาเรนทรงไม่โปรดการฉ้อฉลอย่างยิ่ง”
ท่านเสนาฯรีบเอ่ยขึ้นมา เชิงเตือนให้รู้ว่าพระนามที่เพิ่งออกจากปากน่ะ คนเป็นเจ้าของเขายืนอยู่ตรงนั้นนี้แล้ว
แต่......
หมอนั่นกลับถ่มน้ำลายรดพื้นอย่างหยาบคาย ก่อนหันมามองท่านเสนาบดีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“โถ่เอ๊ย นึกว่าใครคุ้มหัวอยู่ ที่แท้ก็เจ้าชายปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมองค์นั้นน่ะเอง จะบอกให้นะ.......”
เพี๊ยะ...
เสียงบางอย่างดังก้องขึ้นในคุกมืดทึบ ผู้คุมุถึงกับหน้าหันไปอีกด้านโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะที่เจ้าชายคาเรนทรงดึงท่านพ่อบุญธรรมไปอยู่เบื้องพระขนอง และทรงจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งด้วยเนตรระยิบระยับ
“พูดต่อสิพี่ชาย จะบอกอะไรล่ะ”
ทรงตรัสอย่างนุ่มนวลยิ่งนัก หากก็แสดงว่าทรงไม่พอพระทัยเป็นที่ยิ่งเช่นกัน
เพราะปกติเจ้าชายจะไม่ทรงออกแรงตบใครด้วยหัตถ์องค์เอง แต่ทุกครั้งที่ทรงเผลอไป ก็ไม่ใช่แรงตบเช่นสตรีอันบอบบางที่พึงป้องกันตัวตามธรรมดาทั่วไป แต่เป็นแรงหนักหน่วงจากพระหัตถ์อันฝึกฝนและใช้ดาบอยู่เสมอเยี่ยงนักรบทั่วไป
จึงไม่แปลกที่คนโดนตบถึงกับเลือดกลบปากหรือทรุดลงกับพื้นไปเลย แต่นี่แค่หน้าหันแล้วปรากฏรอยแดงเป็นที่ระลึก แสดงว่าหมอนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“ไอ้หนู เอ็ง....”
เพี๊ยะ
คราวนี้ไม่เพียงหน้าหัน แต่ถึงกับหันทั้งตัว และกว่าจะหันกลับมาได้ ก็ถึงกับต้องสะบัดหัวไล่ความมึนเสียพักหนึ่ง แสดงว่าแรงตบเพิ่มขึ้นตามลำดับ และเจ้าชายคนดีก็กำลังถึงจุดเดือดเสียแล้ว
“พูดให้จบสิ เจ้าชายองค์นี้น่ะเป็นยังไงเหรอ”
“ไอ้.....”
หากคราวนี้ผู้คุมคุกคว้าท่อนเหล็กขึ้นมาจากโต๊ะทำงานด้วย แต่ก็นั่นแหละ แค่เพียงเอื้อมไปคว้า หัตถ์เรียวทรงอำนาจก็กดหัวคนปากบังอาจลงกับโต๊ะ แล้วดาบสั้นที่ทรงพกติดตัวไว้ก็ถูกชักขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่อาจเดาได้ แต่ตอนนี้มันกดทาบอยู่ตรงต้นคอพอดิบพอดีอย่างรวดเร็ว
“โอ ฝ่าบาท ทรงพระทัยเย็นไว้กระหม่อม เรายังต้องพบคนผู้นั้น”
ท่านเสนาฯบดีรีบทูลละล่ำละลักอย่างกลัวว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โต ซึ่งพอคาเรนทรงนิ่งไปสักครู่เพื่อทรงไตร่ตรอง ก็สอดดาบสั้นลงคืนฝัก แต่ยังไม่ปล่อยหัตถ์ที่กดหัวผู้คุม
“โอ ท่านเสนาฯ ไอ้หนู เอ๊ย พระองค์นี้คือเจ้าชายคาเรนหรอกเหรอ”
เสียงของคนถูกไม่พอพระทัยชักอ่อนหวาน นอบน้อมขึ้นทันตา จนเมื่อพระองค์ใหญ่ปล่อยหัตถ์ ร่างกำยำก็ทรุดลงแทบบาท ทูลขออภัยโทษไม่เป็นภาษา
“จำไว้ เจ้าชายคาเรนทรงเกลียดการประพฤติมิชอบในหน้าที่อย่างยิ่ง รีบไป หน้าที่ของเจ้าคือนำพระองค์ไปพบคนผู้นั้น”
ท่านเสนาบดีรีบสั่งอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเรื่องราวคลี่คลายลงแล้ว ผู้คุมจึงลนลานลุกขึ้น รีบนำทางไปอย่างกลัวพระอาญา
วรองค์สูงย่างบาทตามไป หากช้าลงกว่าที่เคยมากมาย
เสียงฝีพระบาทมั่นคง หนักแน่น กระทบกับกำแพงรอบด้าน สะท้อนไปมาหลายตลบ.....ทรงมีท่าทีเปลี่ยนไปโดยไม่รู้องค์
ท่านเมนิสถอนหายใจพรืด
ไอ้ผู้คุมเวรนั่น ปลุกปีศาจขึ้นมาจนได้
ความคิดเห็น