คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : The Magic Night Chapter 3 100%
The Magic NighT Chapter 3
สภาทมิฬแห่งโลกคู่ขนาน
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านบางเบาสีขาวสะอาดทำให้ห้องที่แต่งด้วยโทนสีขรึมดูสว่างขึ้นเล็กน้อย เจ้าของห้องที่นอนทอดกายยันตัวขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาตื่นจากนิทรา ร่างสูงมองไปรอบ ๆ ห้องที่เขาใช้ชีวิตอยู่มากว่าสิบปีก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่ชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้าง ๆ
อา...ถ้าแทคยอนนอนอยู่กับเขาแสดงว่าเรื่องเมื่อวานไม่ใช่ความฝันสินะ
อูยองลุกขึ้นจากเตียงเบา ๆ เกรงร่างสูงของน้องชายจะถูกรบกวนจนตื่น แผลของแทคยอนยังไม่หายสนิทแต่ก็ทุเลาลงมากและที่น้องชายของเขาต้องมาอาศัยห้องของเขาเมื่อคืนก็เพราะแขกผู้มาใหม่ทั้งสอง
ชีวิตที่พลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นช่างน่าขันเสียจริง การที่เขาเติบโตมาโดยไร้พ่อแม่หรือแม้ญาติใกล้ชิดทำให้พี่คนโตที่ต้องดูแลน้องทั้งสองจำต้องเข้มแข็ง ไม่สามารถแสดงด้านอ่อนแอให้เห็นเด็ดขาด หากแต่ยามที่เขาได้ใช้เวลาคิดเงียบ ๆ คนเดียวเขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากปกปิดความหวั่นเกรงของตัวเองเช่นกัน
ชายหนุ่มจัดการกับตัวเองก่อนจะเดินมาชงกาแฟ กลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องดื่มรสขมทำให้เขาสดชื่นขึ้นมาบ้าง ร่างสูงกลับมาที่ระเบียงห้องตัวเองจิบกาแฟยามเช้ามองดูทัศนียภาพในกรุงโซลแห่งนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งรอบข้างมากเกิน กว่าจะกวาดสายตามาพบกับร่างบางที่ยืนอยู่ตรงระเบียงของห้องนอนแขกที่ติดกับห้องนอนของเขา เขาก็เผลอถอนหายใจให้ร่างบางเห็นไปหลายรอบแล้ว
“ตื่นเช้าจังนะครับ”
ไร้เสียงตอบรับจากร่างบาง อูยองมองหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มในชุดนอนสีขาวสะอาด ชุดของยุนอา...คนตรงหน้าช่างเข้ากับสีขาวเสียจริง ดูราวกับนางฟ้า ชายหนุ่มสะบัดหน้าไล่ความคิดเมื่อแววตาคมของหญิงสาวหันมาสบเพราะตัวเขามองเธออยู่นาน
“ขอบคุณสำหรับที่พัก”
“ฝ่ายเราอาจจะต้องขอบคุณ คุณมากกว่า”
แทยอนไม่ได้รับหรือปฏิเสธคำขอบคุณจากเขา หญิงสาวทำเพียงผินหน้ามามองเขาเท่านั้น ร่างบางหันหลังกลับก่อนจะเปรยเสียงแผ่วว่า
“เมื่อใดที่เจ้าประสบเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไป เจ้าจะไม่ขอบคุณพวกข้าที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”
“แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ”
แทคยอนในสภาพไม่สวมเสื้อมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบลำตัวเอ่ยเมื่อทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จ บาดแผลของเขาตอนนี้ทุเลาลงมากแล้วแต่ก็ยังไม่หายเสียทีเดียว น่าแปลกที่ใจไม่นึกแค้นร่างเล็กที่เป็นคนแทงเขากับมือ หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องราวที่ถาโถมเข้ามามากมายทำให้ไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้
“เดี๋ยวน้องของข้าจะเปิดประตูสู่โลกคู่ขนาน จำไว้ว่าพวกเจ้าต้องตามเข้าประตูให้ทัน เพราะพวกข้าไม่มีพลังจิตมากพอที่จะเปิดประตูได้หลายรอบ”
แทยอนอธิบายคร่าว ๆ ตอนนี้ตัวเธอเองก็ใช้พลังจิตไปเสียหมดสิ้น มีเพียงนิชชาคนเดียวที่สามรถเปิดประตูกลับโลกคู่ขนานได้ แม้สายเลือดผสมที่มีพลังจิตไหวเวียนในกายแต่ถ้าไม่สามารถควบคุมได้อย่างเชี่ยวชาญพลังจิตที่มีก็แทบสูญเปล่า
“แล้วพวกเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง”
ยุนอาถามร่างเล็ก เวลาหนึ่งคืนทำให้เธอทำใจยอมรับเรื่องทั้งหมดได้ อาการต่อต้านคนสองคนจึงหายไป เพราะตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น
“ของที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น นอกนั้นไม่ต้อง”
ทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่นานในการเก็บสิ่งจำเป็นติดตัวไป แทยอนมองทั้งสามที่มีเพียงเป้ใบเล็ก ๆ คนละใบเท่านั้น ใบหน้างามแม้ไร้รอยยิ้มแต่แววตาก็แสดงถึงความพึงพอใจ
“นิชชาเตรียมตัวได้แล้ว ส่วนเจ้ายูริ รู้ใช่ไหมว่ากลับไปจะโดนอะไรบ้าง”
“ค่ะ ท่านพี่”
นิชชาไม่อยากให้น้องของตนรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้จึงรีบเปิดประตูเชื่อมโลก บริบทที่จดจำในสมองถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ประตูลมขนาดใหญ่ปรากฏต่อหน้าคนทั้งหก สายเลือดผสมมองตาค้างกับเรื่องมหัศจรรย์ตรงหน้าก่อนที่แทยอนจะเป็นคนเดินเข้าไปในประตูลมนั้นก่อน ตามด้วยยูริ นิชชาส่งสัญญาณให้สายเลือดผสมทั้งสามเข้าประตูไปก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปเป็นคนสุดท้าย สติสัมปชัญญะที่มีเริ่มหลุดลอยรู้สึกเพียงร่างของตนกำลังดิ่งลงจากที่สูงก่อนจะดับวูบไป
ห้องที่เคยใช้อยู่มากว่าสิบปีบัดนี้ไร้ร่างคนทั้งหก มีเพียงสิ่งของกระจัดกระจายระเนาระนาดเท่านั้น หน้าต่างทุกบานถูกปิดไว้สนิทไร้สิ่งใด ๆ ย่างกรายก่อนจะระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยน้ำมือของเจ้าของเสียง
“คิดว่าจะหนีข้าพ้นเหรอสายเลือดผสม รอก่อนเถอะ วันที่ข้าจะได้แก้แค้นพวกเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าพวกสภาทมิฬ โลกคู่ขนานต้องตกอยู่ในมือข้า!!”
สิ้นเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น มีเพียงร่างในชุดดำเท่านั้นที่เห็นเพียงไกลๆ ผ่านบานหน้าต่างที่ย่อยยับไม่มีชิ้นดี
“เจ้าโง่ ตื่นได้แล้ว!!!!!!!”
แรงเขย่าที่ไม่เบาเลยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่บาดแผล ร่างสูงขยับเปลือกตาก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้เพิ่งตื่นหายมึนเป็นปลิดทิ้ง ภาพเขียวขจีของต้นไม้น้อยใหญ่สบายตา หากด้านหลังกลับเป็นต้นไม้หนาทึบที่ดูราวกับป่าแต่ที่ ๆ พวกเขาอยู่กลับเป็นเพียงที่ราบมีหญ้าสีเขียวรองรับ แต่ที่เด่นชัดที่สุดกลับเป็นปราสาทสูงสุดตานั่นต่างหาก รูปร่างปราสาทที่เป็นทรงสูงมีหน้าต่างน้อยบานเหมือนปราสาทที่เยอรมันไม่มีผิด สถาปัตยกรรมแบบบารอคทำให้ทั้งหมดตื่นตะลึง
“สะ..สุดยอด”
“เก็บลิ้นของเจ้าเข้าปากแล้วไปกันได้แล้ว”
“ฉันไม่ได้แลบลิ้นออกมาซักหน่อยยัยบ้า!!”
“แทคยอน ยูริ รีบมาได้แล้ว”
ยุนอาตะโกนเรียกทั้งคู่ที่มัวแต่ทะเลาะกันโดยไม่สนใจว่าพวกเธอเดินออกมากันไกลแล้ว หญิงสาวที่ถูกปลุกเป็นคนแรก ๆ ก็อยากจะแสดงอาการแบบน้องชายเหมือนกันถ้าไม่ติดสายตาเหมือนจะเยาะเย้ยของชายหนุ่มหนึ่งเดียวในตระกูลคิมิเรสที่มองเธออยู่
“ที่นี่ที่ไหนกันเหรอครับ”
“สวนของตระกูลคิมิเรส”
อูยองถามคนที่เดินนำหน้าและได้รับคำตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างนิด ๆ เมื่อคนที่เดินนำหน้าเขาอยู่ก็ใช้นามสกุลคิมิเรสไม่ใช่เหรอไง
ร่างบางพาลัดเลาะสวนที่ทึบราวกับป่า รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้สูงดูน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน ยุนอามองรอบข้างด้วยสายตาหวาด ๆ เล็กน้อยก่อนจะละความกลัวที่มีทิ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่เดินตามหลังเธอไม่ไกล
“แค่นี้ก็กลัวแล้วเหรอไง”
“นายพูดถึงใครไม่ทราบ”
“ข้าไม่ได้เจาะจงใคร หรือเจ้ายอมรับ”
“งั้นก็ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันไม่ได้กลัว”
เสียงของยุนอาราบเรียบแล้วรีบเดินหนีไปให้ทันพี่ชายตนที่เดินตามแทยอนอยู่ นิชชามองร่างบางที่เดินนำหน้าไปอย่างหงุดหงิด เขาไม่ได้ว่ากระไรเสียหน่อยหากเธอจะกลัวสวนของตระกูลเขา เพราะจริง ๆ แล้วมันก็คือป่าทึบดี ๆ นี่เอง
“แล้วเราจักเอาเยี่ยงไรต่อ ท่านพี่แทยอน”
นิชชาละความสนใจจากร่างโปร่งบาง ร่างสูงเดินให้เร็วขึ้นจนทันฝีเท้าของพี่สาว แม้ใบหน้างามจะไร้อารมณ์เช่นเคยแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสเคร่งเครียดที่แผ่ออกมาจากพี่สาวของเขา
“พี่จะไปเข้ากรม เรื่องนี้ต้องปิดเงียบไว้ก่อน”
“จะดีหรือท่านพี่”
“ไม่ดีแต่ก็ไม่มีทางที่ดีกว่านี้ จนกว่าพี่จะต่อรองได้แน่ชัดว่าเราสามคนไม่ต้องโทษประหาร จักให้ผู้ใดรู้เรื่องนี้ไม่ได้”
“ต่อรอง เราสามารถต่อรองด้วยอะไรได้”
“ตระกูลคิมิเรส”
นิชชาเงียบไปเมื่อฟังคำต่อรองของพี่สาว ใช่ อาจจะมีทางรอดโทษเมื่อคนในตระกูลคิมิเรสเหลือเพียงสาม สภาทมิฬคงเสียผลประโยชน์มากมายเกินกว่ารับได้แน่หากขาดคิมิเรสไป ตระกูลที่เปรียบดั่งสุนัขรับใช้ของสภาทมิฬที่ต้องซื่อสัตย์ไปจนวันตาย..เพียงเพราะตราบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยก่อน ตราบาปที่พวกเขาไม่ได้ร่วมรับรู้สักเพียงนิด
“นี่ยัยบ้า ปราสาทตรงนั้นมันอะไรเหรอ”
“ปราสาทตรงนั้นเป็นที่ตั้งของสภาที่บริหารโลกนี้อยู่ ถือว่ามีอำนาจสูงสุดเลยก็ว่าได้ พวกเขาเป็นผู้คุมกฎของโลกนี้ เรียกว่า สภาทมิฬ”
แทคยอนมองเสี้ยวหน้าคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เขาแม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะปกติดีแต่เขาก็รู้สึกว่าร่างบางไม่ปกตินักเมื่อเอ่ยถึงสภาทมิฬ
“อธิบายโลกของเธอให้ฉันฟังมั่งสิ”
“ก็ไม่มีอะไร สภาพก็เป็นแบบที่เจ้าเห็นส่วนใหญ่เราจะอยู่กับธรรมชาติ ส่วนเรื่องการปกครองก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าสภาทมิฬเป็นผู้ปกครอง มีอะไรจะถามอีกไหม เจ้าโง่!!!”
“มี แล้วทำไมยัยชุดดำผมฟูนั่นถึงเรียกเธอว่าตระกูลสูงส่งหรืออะไรเนี่ยแหละ”
ยูริเงียบไปก่อนจะเอ่ยเล่ามาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่หากไม่ตั้งใจฟังก็คงไม่ได้ยิน
“ตระกูลสูงส่งหมายถึงผู้ที่อยู่เหนือชนชั้นธรรมดาทั่วไป เป็นเพราะคนในตระกูลนั้นมีสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นชั้นเชิงการรบหรือปริมาณพลังจิต รวมถึงความมั่งคั่งด้วย”
“แล้วพวกเธอล่ะ”
“รู้ไว้แค่นี้ก็พอแล้วเจ้าโง่ รู้ไปมากกว่านี้ก็ไม่ฉลาดขึ้นหรอก”
ยูริตัดบทด้วยคำพูดยียวนแล้วเดินหนีเสียงด่าทอของชายหนุ่มออกมา สายตามองมือตัวเองที่ยกขึ้นมาช้า ๆ มือที่คอยรับใช้สภาทมิฬไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องถูกหรือผิดก็ตาม
“พวกข้าเหนือกว่าคนอื่นตรงที่สภาบ้านั่นสามารถใช้พวกข้าทำอะไรก็ได้ แม้แต่ฆ่าคนไงล่ะ”
ภาพคฤหาสน์ขนาดใหญ่กินอาณาบริเวณกว้างปรากฏสู่สายตาคนทั้งหก สายเลือดผสมทั้งสามมองสถาปัตยกรรมเบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง คฤหาสน์ทั้งหลังก่อสร้างด้วยหินสีตุ่นประกอบไปด้วยหน้าต่างน้อยบาน หากแต่เมื่อเหยียบย่างเข้ามา ภายในกลับหรูหราโอ่อ่าไปด้วยเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ทำจากไม้อย่างดีมันวาว เครื่องประดับที่แต่ละชิ้นล้วนเลอค่า สีวอลเปเปอร์โทนครีมทองทำให้ดูสว่างและอบอุ่น
“สะ..สุดยอดไปเลย”
แทคยอนพึมพำออกมาก่อนจะมองเจ้าบ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก สายเลือดคิมิเรสทั้งสาม ที่ยูริได้บอกเขาถึงรายละเอียดของตระกูลสูงส่ง ตระกูลคิมิเรสอาจจะเป็นความมั่งคั่งร่ำรวยก็เป็นได้
“พวกเจ้าพักผ่อนตายสบาย ยูริ นิชชา พี่ฝากดูแลแขกด้วย พี่จะไปเข้ากรม”
“ค่ะ/ครับ ท่านพี่แทยอน”
ร่างแบบบางเดินหายไปที่ห้องของตนเอง ทิ้งให้น้องทั้งสองรับหน้าที่ดูแลแขกไป ยูริและนิชชาเดินนำแขกทั้งสองมาที่ห้องพักฝ่ายตะวันตก ซึ่งอยู่คนตรงข้ามกับห้องพักฝ่ายตะวันออกของพวกเธอ ภายในห้องหรูหราจนคนทั้งสามตราพร่ากับสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง
“ห้องของพวกเจ้าอยู่ติดกัน พอใจไหม”
“คือจริง ๆ ขอแค่สองห้องก็ได้นะครับ ผมกับแทคยอนอยู่ด้วยกันได้”
อูยองเอ่ยบอกกับนิชชาแต่คนคัดค้านกับเป็นหญิงสาวที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม ยูริยิ้มกว้างอวดฟันให้ทั้งสาม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่นี่ห้องพักมีเยอะแยะไม่เคยได้ใช้ พวกท่านพักตามสบายเถิด ห้องของพวกข้าอยู่อีกฝั่งตรงทางแยกบันไดที่เราผ่านมา มีอะไรเรียกได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ ยูริ”
อูยองเอ่ยขอบคุณสาวน้อยมนุษยสัมพันธ์ดีซึ่งหญิงสาวก็ยิ้มตอบก่อนจะหันไปทางอีกฝั่งทำให้ทั้งหมดมองตาม ร่างบางในชุดสูทสีน้ำเงินกรมเกือบดำติดตรามากมายกระโปรงทรงสอบยาวเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อยมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ท่านพี่แทยอน ให้ข้าเรียกรถม้าให้ไหมครับ”
“ขอบใจนิชชา แต่พี่จัดการแล้ว พี่จะมาเตือนแค่ว่าระวังอย่าให้คนอื่นรู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ หากจะใช้พลังจิตก็ใช้มนต์อำพรางด้วย”
“ครับ”
แทยอนมองคนทั้งสามก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร ยูริจึงหันมาหาคนทั้งสามพลางยิ้มอย่างสบาย ๆ ไม่ได้อึดอัดกับความเย็นชาของพี่สาวตนเลยสักนิด
“งั้นพวกข้าไปก่อนละนะ อยากจะทำอะไรก็ได้ในอาณาเขตของบ้านนี้”
ยูริและนิชชาทำท่าจะเดินออกไปแต่เสียงของอูยองกลับหยุดทั้งคู่ไว้ก่อน
“เดี๋ยวครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป...”
“......................”
“ช่วยสอนผมต่อสู้หน่อยได้ไหมครับ”
แทคยอนและยุนอามองพี่ชายของตนอย่างไม่เข้าใจ ส่วนยูริและนิชชามองผู้พูดก่อนจะหันมาสบตากันเอง
ภาพความทรงจำโดยเฉพาะภาพที่แผ่นหลังเล็ก ๆ ของร่างบางยืนปกป้องพวกเขาในการต่อสู้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงไปมากกว่านี้อีกแล้ว
..............เสียงในใจของชายหนุ่มร่ำร้อง............
-----------------------------------
ร่างเล็กบางก้าวลงจากรถม้าพลางเอ่ยขอบคุณพลขับเบา ๆ ขาเรียวก้าวเข้าสู่ปราสาทขนาดใหญ่สีหม่นสมชื่อ ใบหน้าหมดจดยังคงไร้ความรู้สึกใด ๆ แม้จะล่วงล้ำเข้าสู่ที่อยู่ของสภาการปกครองสูงสุดในโลกคู่ขนาน บรรยากาศเงียบสงัดไร้สรรพเสียงใด ๆ ทำให้ห้องโถงดูน่าสะพรึงกลัวไปโดยปริยาย หากแต่ร่างบางที่มาจนคุ้นชินหาได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ไม่ หญิงสาวเดินอย่างรวดเร็วไปทางด้านทิศเหนือของห้องโถงเพื่อเข้าสู่สถานที่ทำงานของกรมที่เธอสังกัดอยู่
การปกครองของโลกนี้มีสภาทมิฬเป็นผู้สั่งการสูงสุดโดยจะมีกรมต่าง ๆ ที่รับคำสั่งไปปฏิบัติอีกที เว้นเพียงสิ่งเดียวคือ อำนาจทางการทหารที่สภาทมิฬกุมอำนาจไว้เองเพื่อป้องกันการกบฏโค่นล้มอำนาจสภา แต่กรมที่เธอสังกัดอยู่นั้นก็เป็นกรมที่พิเศษเช่นเดียวกัน คนในตระกูลคิมิเรสทุกคนจะสังกัดกรมนี้ เพราะเป็นกรมที่รับคำสั่งลับเฉพาะจากสภาทมิฬโดยห้ามให้ใครรู้ตัวตนยามปฏิบัติงานโดยเด็ดขาด สถานที่อยู่ของกรมจึงเป็นที่ปราสาทแห่งนี้ไม่เหมือนกรมอื่น ๆ ที่จะมีสถานที่ทำงานเป็นของตนเองและอยู่ห่างไกลปราสาทของสภาทมิฬออกไป ฉากเบื้องหน้าของตระกูลคิมิเรสถือเป็นตระกูลที่มีสายการค้ายิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อบังหน้าตัวตนของคนในตระกูลที่สังกัดกรมนี้ต่างหาก
นอกเหนือไปจากนั้นคนที่จะสังกัดกรมนี้ได้ต้องเป็นคนที่สภาทมิฬเลือกเท่านั้น แม้แต่คนจากตระกูลคิมิเรสก็ต้องล้วนถูกทดสอบมาแล้วทั้งสิ้น
เท้าก้าวพาร่างบางเข้าสู่ห้องโถงอีกโถงหนึ่งก่อนจะก้าวขึ้นบันไดวนที่สูงเสียดยอดปราสาท ห้องขนาดไม่กว้างไม่เล็กปรากฏสู่สายตายามที่เดินขึ้นมาจนสุดบันได สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำงานของกรมพิเศษที่เธอสังกัดอยู่ สายลมตีใบหน้างามเมื่อเปิดประตูห้องที่อยู่สูง ในห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงละตามีโต๊ะทำงานหลายตัววางอยู่อย่างเป็นระเบียบ เสียงเปิดประตูแม้จะเบาสักเพียงใดแต่ก็ทำให้คนที่อยู่ในห้องเงยขึ้นมามองผู้มาใหม่
“รุ่นพี่แทยอน”
เสียงหวานใสร้องเรียกอย่างดีใจเมื่อเห็นคนที่เข้ามาใหม่ ร่างสูงบางในชุดเฉกเช่นเดียวกับแทยอนเดินเข้ามาหาร่างเล็กที่ทำเพียงพยักหน้าให้หญิงสาวเท่านั้น ใบหน้าหมดจดของร่างสูงมีรอยยิ้มพรายเต็มดวงหน้า ลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็ก ๆ ทำให้ผมยาวสลวยปลิวไปตามลม
“ไม่เข้ากรมตั้งหลายวัน มีเรื่องอันใดเกิดหรือคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ซอฮยอน ข้าแค่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย”
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าแทยอน”
ยังไม่ทันที่สาวรุ่นน้องจะได้พูดอะไร ร่างสูงของอีกหนึ่งชีวิตในห้องก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือหนาจับที่ต้นแขนของหญิงสาวร่างเล็กพลางกวาดมองหาสิ่งผิดปกติบนร่างบาง การกระทำแสนห่วงหาของชายหนุ่มผู้ใบหน้าหล่อเหลาทำให้ลมหายใจของหญิงสาวอีกคนติดขัด ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างบางแต่ก็กลบเกลื่อนมันอย่างง่ายดายราวกับทำอยู่เป็นนิจหากไม่สามารถรอดสายตาของแทยอนไปได้ มือเล็กจึงผลักชายหนุ่มออกเบา ๆ อย่างสุภาพซึ่งก็พอทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวปล่อยร่างบางแต่โดยดี แต่ดวงตายังเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร โยเรฟ”
คำเรียกขานที่ทำให้ชายหนุ่มมองร่างบางด้วยแววตาเจ็บปวดเพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นห่วงตามเดิม เขาเรียกเธอด้วยชื่อกลางเสมอและเธอก็ไม่เคยว่าอะไร การจะเรียกชื่อกลางกันได้นั้นแสดงว่าต้องสนิทสนมพอสมควร แต่หญิงสาวกลับยังคงเรียกเขาด้วยชื่อต้นเหมือนเคย ผิดกับสาวรุ่นน้องที่เธอมักจะเรียกด้วยชื่อที่สนิทสนมเสมอ
.......เมื่อไหร่ที่เธอจะยอมให้เขาเข้าใกล้ได้มากกว่านี้นะ......
“ซอฮยอน ตอนที่ข้าไม่อยู่มีคำสั่งอะไรไหม”
“มีแค่เล็กน้อยค่ะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ข้ากับรุ่นพี่โยเรฟจัดการหมดแล้ว”
“ขอบใจมาก ถ้าเช่นนั้นหากมีคำสั่งให้ติดต่อข้าได้ทันที แต่วันนี้ข้ามีธุระต้องไปจัดการต่อ เจ้าคงไม่ว่ากระไร”
“ไม่หรอกค่ะ ยามปกติท่านต่างหากที่แทบจะไม่เหลืองานให้พวกข้าทำเลย”
บทสนทนาของทั้งคู่มิอาจรอดพ้นหูของชายหนุ่มหนึ่งเดียวไปได้ ดวงตาคมทอดมองหญิงสาวที่เอ่ยอ้างว่าติดธุระและกำลังจะไป ความรู้สึกแสดงออกให้เธอรู้ทั้งหมดว่าเขานั้นยังไม่อยากให้เธอไป ห้วงคำนึงที่ถูกครอบครองด้วยร่างเล็กนี้ทำให้เวลาที่ได้เห็นหน้างามเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอสำหรับเขา หากเขาก็ไม่สามารถรั้งเธอไว้ได้เมื่อหญิงสาวที่รู้ความรู้สึกเขามาตลอดแสร้งทำเป็นไม่รู้
“งั้นเดี๋ยวข้าจะมาวันหลัง ขอโทษด้วยจริงๆ”
เขาทำได้เพียงมองตามร่างเล็กที่เดินจากไปเท่านั้น ความเจ็บปวดบดบังตาบังคับให้มีเพียงร่างที่จากไปในสายตาเท่านั้น หากเพียงเขามองมารอบข้างสักนิด เขาจะสามารถสังเกตเห็นสายตาแบบเดียวกันได้อย่างชัดเจน สายตาที่ทอประกายเศร้าจากสาวรุ่นน้องร่างโปร่งบางนั้นมองมาที่เขาเช่นกัน
........ความรักแสนเจ็บปวดยังคงดำเนินต่อไป หากอีกฝ่ายไม่คิดรักตอบ.....
“ที่นี่มัน....”
“ลานฝึกของตระกูลคิมิเรสค่ะ”
ยูริเอ่ยตอบยุนอาที่ครางออมาเมื่อเห็นสถานที่ที่เจ้าบ้านทั้งคู่พามาอย่างชัดเจน ลานฝึกกว้างใหญ่ที่มีพื้นหญ้าเตียนโล่งพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือมันอยู่เกือบใจกลางป่าลึกนี่ต่างหาก
“พวกเจ้าอยากจะฝึกอะไรล่ะ ข้าถนัดอาวุธส่วนพลังจิตก็ต้องยูริ”
นิชชาที่แม้จะมีท่าทีไม่ชอบใจสายเลือดผสมอยู่บ้างแต่ที่ยอมเพราะแววตาของชายหนุ่มที่ลงทุนขอร้องเขา แววตามุ่งมั่นหากก็แฝงไปด้วยกระแสความรู้สึกบางอย่างที่มากไปกว่านั้น
“อาวุธสิ มาลุยกันเลย”
แทคยอนพูดออกมาเสียงดังฟังชัดแต่ถูกสายตาของคนทั้งหมดที่นั่นมองห้ามปราม เพราะแผลของเจ้าตัวยังไม่หายสนิทนัก มีหรือที่ชายหนุ่มจะสนใจกลับเดินไปเลือกหยิบดาบที่มีอยู่แถวนั้นก่อนจะตวัดไปมาเมื่อเจอดาบที่ถนัดมือ
“เจ้าช่วยสำเหนียกร่างกายตัวเองก่อนเสียเถอะ แม้แต่ตอนนี้ยูริที่ไม่ถนัดดาบเจ้ายังไม่อาจเอาชนะได้เลย”
“จะดูถูกกันไปแล้ว!!!”
นิชชาและยูริมองคนเลือดร้อนที่ดึงดันต้องการจะฝึกดาบทั้ง ๆ ที่บาดแผนฉกรรจ์ยังคงไม่หายดี คำพูดดูถูกจากนิชชาทำให้คนใจร้อนอย่างแทคยอนต้องการจะลบคำสบประมาทนั้นแม้แต่พี่ชายและพี่สาวห้ามเขาก็ไม่คิดจะฟัง
“คนบ้าดีเดือดแบบเจ้ามีแต่จะตายเสียเปล่า ๆ”
“ยัยบ้า พูดแบบนี้หมายความว่าไงห๊ะ!!”
“งั้นเจ้ามาสู้กับข้า ในตระกูลข้าเป็นคนที่ใช้ดาบได้อ่อนที่สุด หากเจ้ายังเอาชนะข้าไม่ได้ กับท่านพี่ของข้า เจ้าอย่าได้หวังเลย”
ยูริออกมาเสียเหยียดยาวพลางเดินมาหยิบดาบเล่มโปรดที่เธอใช้ฝึกซ้อมเป็นประจำแล้วจึงเดินมาหยุดรอที่ลานวงกลมที่ใช้ฝึกซ้อมดาบ ท่าทางของหญิงสาวเป็นคนที่ชำนาญการใช้อาวุธแต่ยุนอาและอูยองกลับมองอย่างเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าเรื่องพลังจิตแม้พวกเขาอาจจะสู้ไม่ได้แต่เรื่องกำลังหรือการวิวาทโดยใช้อาวุธ แทคยอนเองก็ชำนาญไม่แพ้ใคร
“แบบนี้จะดีเหรอคะ พี่อูยอง”
“นั่นสิครับ คุณนิชชา ยังไงแทคยอนก็เป็นผู้ชาย”
“เรื่องนั้นอย่าได้ดูถูกผู้หญิงตระกูลคิมิเรสนัก เพราะตัวข้าเองยังเอาชนะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้เลย”
อูยองและยุนอาหันมาสบตากันมองอย่างสงสัยว่าใครกันที่ชายหนุ่มไม่สามารถเอาชนะได้ แต่คำเฉลยก็ตามมาไม่นานนักด้วยน้ำเสียงชื่นชมไม่ปิดบัง
“ท่านพี่แทยอนไงล่ะ ข้าเอาชนะท่านพี่ได้แค่ดาบ แต่เรื่องอื่น ๆ ข้าไม่สามารถสู้ได้เลย”
ไม่มีน้ำเสียงประชดประชัน มีเพียงน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานว่าสักวันเขาต้องเอาชนะพี่ของตนให้ได้ อูยองมองขึ้นไปบนท้องฟ้า หญิงสาวช่างเป็นคนที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ
“ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิงหรอก ยัยบ้า”
“งั้นเหรอ เจ้ากลัวแพ้ข้ามากกว่าล่ะมั้ง”
“ปากดี ฉันไม่หลงกลเธอหรอก”
ยูริเบะริมฝีปากน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างบางเดินเข้ามาหาชายหนุ่มก่อนจะใช้ดาบแตะบนลำคอของเขาแผ่วเบาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาแสกหน้าคนที่บอกว่าไม่ทำร้ายเพศตรงข้าม
“คนที่เกือบฆ่าพวกเจ้าตายก็ผู้หญิงไม่ใช่หรือไง อย่ามาพูดสวยหรูหรือโง่หน่อยเลย ไม่ว่าเพศใดหากเป็นศัตรูเจ้าก็ต้องลงดาบได้ทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นคนที่ตายจะเป็นเจ้าเองหรือไม่ก็....พี่ของเจ้า..สายเลือดผสม”
ดาบที่แตะคอชายหนุ่มเบนไปยังพี่ทั้งสองของแทคยอน ชายหนุ่มมองอย่างโมโหก่อนจะใช้ดาบที่อยู่ในมือปัดดาบของหญิงสาวให้กระเด็นหลุดออกไป แต่ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อร่างบางสามารถรับดาบเขาไว้ได้โดยไม่ขยับเขยื้อนสักเพียงนิด
“แรงมีแค่นี้หรือไง ข้าเป็นเพียงแค่ผู้หญิงนะ”
“มันจะมากไปแล้วนะ ยัยบ้า!!!”
แทคยอนตวัดดาบวาดใส่ร่างบางที่กระโดดหลบออกมาพร้อมรอยยิ้ม ยูริตั้งท่ารับกันจะยักคิ้วเชื้อเชิญชายหนุ่มให้พุ่งเข้ามาฟันร่างเธอเล่น แทคยอนแม้ไม่เคยใช้ดายมาก่อนแต่เขาเองก็ลองอาวุธมาสารพัดเช่นกัน
ยุนอาและอูยองมองร่างทั้งสองที่ผลัดกันรุกผลักกันรับอย่างตกตะลึง ร่างบางของสาวน้อยสายเลือดคิมิเรสที่หลบคมดาบอย่างสวยงามเฉียดฉิวทุกครั้งทำให้พวกเขาลุ้นจนแทบยืนไม่ติด
“การที่หลบแบบฉิวเฉียดเพื่อให้ศัตรูไม่คิดจะเปลี่ยนกระแสดาบ อีกทั้งยังใช้พลังงานน้อยที่สุดด้วย”
คำอธิบายของนิชชาทำให้คนทั้งคู่อึ้งไปเพราะการที่จะหลบแบบฉิวเฉียดได้นั้นต้องอาศัยความชำนาญไม่น้อยเพราะหากพลาดเพียงนิดเดียวหมายถึงชีวิต
“อย่ามัวแต่ดูเจ้าสองคนก็เริ่มฝึกได้แล้ว”
นิชชาโยนอาวุธให้คนทั้งคู่พลางสอนวิธีการใช้เบื้องต้นเท่านั้นแล้วให้ลงมือปฏิบัติจริงโดยให้เข้ามารุมเขาเพียงคนเดียว แน่นอนถึงแม้อูยองและยุนอาจะรุมเขาก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้หรอก
ท่าทางเก้กังยามจับอาวุธของหญิงสาวที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเรียกรอยยิ้มให้เผยบนดวงหน้าของนิชชา หากแต่ความพยายามที่ไม่ลดละทำให้เขานึกชื่นชมร่างบางในใจ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งคู่สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วพอ ๆ กับพวกเขายามเริ่มฝึกอาวุธ ทั้ง ๆ ที่สายเลือดคิมิเรสถือเป็นนักสู้ชั้นแนวหน้าของโลกคู่ขนาน
...........แบบนี้น่าสนใจทีเดียว เป็นเพราะสายเลือดอย่างนั้นเหรอ.......
นิชชาตั้งข้อสงสัยในใจพลางรับดาบจากอูยองที่แรงไม่น้อยทีเดียว แต่ชายหนุ่มก็ใช้ชั้นเชิงที่มีมากกว่าหลอกล่อ ร่างสูงดันดาบที่ปะกันอยู่ขึ้นก่อนจะหมุนตัวกระแทกด้ามดาบใส่ท้องของอีกฝ่ายจนกระเด็นจุกไป เสียงร้องของยุนอาดังขึ้นเมื่อพี่ชายของตนลงไปนอนกองกับพื้นแต่อูยองกลับไม่ยอมที่จะนอนอย่างยอมแพ้ ชายหนุ่มดึงดันที่จะลุกขึ้นแม้จะจุกเสียดไปทั่วร่างก็ตาม แววตาของคนทั้งสองที่ไม่ยอมแพ้ทำให้นิชชายิ้มออกมา
........ที่ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเพราะใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก.....
..........ถ้าหากอยากจะเก่งขึ้นกว่านี้ เขาก็คงต้องเอาจริงหน่อยสินะ.....
แทคยอนหอบหายใจเหนื่อยแตกต่างกับฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงสบายเฉกเดิม เขาเริ่มรู้สึกปวดหนึบที่บาดแผลทำให้ขยับตัวได้ไม่สะดวกเท่าไหร่นัก อีกทั้งคนที่เอ่ยอ้างว่าไม่เก่งดาบที่สุดในตระกูลกลับเก่งกาจกว่าที่เขาคิดไว้มาก แล้วอย่างนี้นิชชากับแทยอนจะเก่งขนาดไหน เสียงร้องของพี่สาวและภาพที่พี่ชายลงไปนอนจุกกับพื้นทำให้เขาเห็นแจ้งได้เป็นอย่างดี
ชายหนุ่มที่จมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งสุดตัวเมื่อความเย็นของโลหะแตะที่ลำคอ ดวงตาหันมาจับจ้องคนที่บังอาจเอาดาบมาพาดคอเขา ใบหน้าของยูริไร้รอยยิ้มที่มีเป็นประจำก่อนเจ้าตัวจะชักดาบกลับไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หากเป็นศัตรู หัวเจ้าคงขาดไปแล้ว อย่าเอาความโง่มาแสดงในสนามรบ”
“เธอนี่ปากเสียจริง ๆ”
“มีไว้ด่าคนโง่เฉกเช่นเจ้านั่นแหละ เจ็บแผลใช่ไหมล่ะ รู้หรือยังทำไมทุกคนถึงห้ามเจ้า”
“ใครเจ็บ ไม่มี อยากจะอ้างเพราะเอาชนะฉันไม่ได้เหรอไง”
“เจ้าเก็บไว้อ้างยามที่แพ้ข้าเถอะ รับมือ”
ยูริพุ่งคมดาบเข้าใส่ร่างสูงที่ยกดาบรับแรงปะทะ แม้แรงของหญิงสาวจะไม่มากเท่าแต่ความเร็วในการหลบและลงดาบมีมากจนเขาแทบไม่สามารถตอบโต้ได้ ชายหนุ่มดันดาบของหญิงสาวออกไปก่อนจะเริ่มเป็นฝ่ายรุก ดาบหนักหน่วงกระหน่ำฟาดฟันร่างบางตรงหน้าที่หลบได้ทุกครั้ง
หญิงสาวรับดาบของชายหนุ่มที่แรงมหาศาล มือน้อยที่กำดาบสั่นระริกเพราะแรงนั้น ยูริตวัดดาบเพื่อเบนทิศทางของดาบฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหาเธอก่อนจะยกขาหมายจะส่งลูกถีบเข้ากลางลำตัวชายหนุ่ม แต่เพราะเหตุใดไม่รู้เธอจึงชะงักไปกลายเป็นช่องว่างให้แทคยอนพุ่งตัวเข้าหาหญิงสาว
ร่างบางล้มลงกระแทกพื้นพร้อม ๆ กับชายหนุ่มที่ล้มลงมาตาม ความจุกปวดตรงบาดแผลทำให้เขาทิ้งแรงลงบนตัวหญิงสาวทั้งหมดจนจุกด้วยกันทั้งคู่ ดวงตาของยูริมองชายหนุ่มอย่างเอาเรื่องพอ ๆ กับเขาที่มองหญิงสาวด้วยความโมโห แต่เมื่อสังเกตดี ๆ ความใกล้ชิดที่มีมากเกินไปนั้นทำให้ทั้งคู่รู้ตัว
.............ใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบทำเอาทั้งสองรู้สึกแปลกในอก........
ครบ 100% นะคะ
ตอนนี้เราอยู่ต่างจังหวัดเน้อ~ จะอัพช้าหน่อย T^T แต่จะพยายาม
เรื่องกำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ ปิดท้ายตอนด้วยฉากหวานแทคริ(ฉากหวานเหรอ - -“)
เอาเป็นว่าตอนหน้าปริศนาบางอันจะคลายออกมานะคะ ไว้เจอกัน
ปล.ขอบคุณ คุณรักยัยรั่ว มาก ๆ ๆ ๆ
เม้นตามตลอดเลย ดีใจมาก มีคนตามฟิคของเราด้วยค่ะ T^T
ชอบไม่ชอบบอกหน่อยก็ดีนะคะ ^____^
ความคิดเห็น