เรื่องสั้น ลูกคนเดียว
เป็นเรื่องที่เขียนมาได้นานแล้วครับ แต่อยู่ใน บล็อกที่ exteen กับ ที่ letcomic เลยอยากเอามาลงที่นี่ดูบ้างครับ หวังว่า คงจะชอบกันนะ
ผู้เข้าชมรวม
741
ผู้เข้าชมเดือนนี้
9
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในระหว่างการทำงานที่ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย เสียงผู้คนในสำนักงานแข่งกันพูดจนฟังแล้วน่ารำคาญ เสียงโทรศัพท์ที่ดังอย่างไม่ขาดสาย โดยที่ไม่มีใครสนใจ
ผม เองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่อยู่ในการทำงานแบบนี้ และผมยังคงทนทำงานที่นั่นต่อไป
เพราะสภาพเศรษฐกิจส่วนตัว ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยต่อการย้ายที่ทำงานใหม่ สักเท่าไหร่นัก
ใน ขณะที่ผมกำลังง่วนกับงานที่มากมายอยู่ตรงหน้าและไม่รู้ว่ามันจะมีทางที่จะ เสร็จง่ายหรือไม่ สายตาแว่บหนึ่งของผมก็หันไปมองกับปฏิทินที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะ ขนาดเกือบหนึ่งเท่าครึ่งของฝ่ามือ พื้นสีขาวแต่มีรูปการ์ตูนประดับอยู่ที่มุมด้านขวา พร้อมกับบอกวันที่ตามปฏิทินสากล
“ฮึ จะวันแม่แล้วเหรอ” ผมถามตัวเองเบาๆ
“นี่เราไม่ได้กลับไปหาแม่นานเท่าไหร่แล้วนะ” ผมพูดในขณะที่เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมา
ผมรีบกดรับ พร้อมกับเอามือป้องปากขณะพูด เพื่อไม่อยากให้มีเสียงดังเพิ่มขึ้นไปอีก และ ไม่อยากให้เสียงภายนอกเล็ดลอดเข้ามา
“สวัสดีครับ” ผมกล่าวต้อนรับ
“ห้าวเหรอ” เสียงนุ่ม ๆ นั้น ขานรับออกมา
“ครับ ๆ ใครเหรอครับ” ผมตอบอย่างสงสัย
“นี่ อะไรกัน จำไม่ได้เหรอ” เสียงนุ่ม ๆ นั้น ตอบออกมา พร้อมกับชวนให้ผมคิดว่าเสียงนุ่ม ๆ นี้เสียงใคร แล้วผมก็ต้องร้องด้วยความตกใจบวกกับดีใจ
“แม่ !!”
“ไอ้ลูกหมาเอ้ย” แม่ของผม พูดออกมาปนเสียงหัวเราะ
“ไม่มาหาแม่เลยนะ นี่มันก็ผ่านไปตั้ง 5 ปีแล้วนะ ตั้งแต่เรียนจบ”
“เอ่อ มันยุ่งหน่ะแม่” ผมตอบกลับไป
“ยุ่ง ไม่ยุ่งก็ไม่เห็นโทรมาหาแม่บ้างเลยนะ” แม่พูดออกมาเหมือนต่อว่านิดๆ
“เอ่อ” ผมนึกอะไรไม่ออก
แม่ของผมรีบตอบกลับมา “ไม่ต้องมาเอ่อ วันแม่ จะมาไหม”
“เอ่อ” ผมกำลังนึกอีกครั้ง
“ถ้าว่างก็มาแล้วกัน แต่ว่างไม่ว่างยังไงก็โทรมาบอกก่อนนะ แม่จะได้ผัดผักกระเฉดไว้ให้”
“ครับ ๆ” ผมตอบกลับไป
“งั้นแค่นี้แหละ แม่โทรมาเฉย ๆ ว่าง ๆ ก็โทรมาบ้าง นึกว่าตายไปแล้ว”
“ครับ ๆ ๆ”
“ทำงานไปเถอะ แม่ไม่กวนแล้ว แค่นี้นะลูก”
“ครับ ๆ สวัสดีครับ”
จากนั้น แม่ผมก็วางโทรศัพท์
พร้อมกับในใจผมก็นึกตำนิตัวเอง ที่ไม่เคยไปหาแม่มานานแล้ว
พอหันมองดูปฏิทิน วันหยุดวันแม่ ก็ตรงกับช่วงหยุด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ พอดี เป็นเวลาอันเหมาะที่จะกลับบ้าน
กลับไปหาแม่อย่างที่แม่อยากให้ไป
พอถึงวันแม่ ผมไม่ได้โทรไปบอกแม่ว่าจะมา เพื่อให้แม่ประหลาดใจ
วันนั้น ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า รีบอาบน้ำ และเตรียมเสื้อผ้าไปพอแค่ 2 ถึง 3 วัน
จากนั้นเมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จจึงออกเดินทางไปยังสถานีขนส่ง เมื่อไปถึง ผมเห็นผู้คนมากมายที่เตรียมกลับบ้าน
บางคนสีหน้าดูมีความสุขที่จะได้กลับบ้าน
บางคนสีหน้าดูเหมือนรีบร้อนรนอะไรบางอย่าง เหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขา
แม้ทุกคนจะดูวุ่นวาย และ กระตือรือร้น แต่ทุกคนนั้นล้วนแต่มีจุดประสงค์อย่างเดียวกันคือ
กลับบ้าน
พอถึงเวลาที่รถจะออก ผมนำกระเป๋าสัมภาระฝากไว้ที่ข้างรถโดยสารแต่ก็ไม่ลืมนำเอากระเป๋าเงินติดตัวไปด้วย
จากนั้นจึงยื่นตัวให้กับพนักงานต้อนรับ ผมได้ตัวเลขที่ 8 ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างพอดี
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน ผมคิดในใจว่า
น้องชายผมอีกคนจะเป็นอย่างไร เพราะว่าไม่ได้เจอกันมานาน
บ้านที่เคยอยู่จะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า
ต้นไม้ที่เคยทำชิงช้าไว้ มันจะสูงใหญ่เพียงใด
และแม่
ยังสุขภาพแข็งแรงเหมือนที่เคยเป็นหรือไม่
ผมใช้เวลานั่งรถจากสถานีขนส่งถึงบ้านประมาณ 5 ชั่วโมง
ผมรับกระเป๋ามาจากเด็กรถ ที่อยู่ข้างรถบัส จากนั้น
ผมก็ขึ้นรถสองแถวประจำทาง คันสีแดงที่เคยนั่งอยู่ตอนสมัยเด็ก ๆ กลับบ้าน
สภาพของรถ ดูเก่ากว่าเมื่อก่อนมาก
อาจจะเพราะว่ามันถูกใช้งานมานาน หรือ คนขับไม่มีเวลาดูแลมากนัก
เมื่อรถออก สองข้างทางที่ผ่านตา ดูแตกต่างไปไม่เหมือนก่อน
ถนนที่เคยเป็นดินลูกรัง เดี๋ยวนี้กลายเป็นถนนลาดยางอย่างดี
ไม่ต้องทนหัวแดงเหมือนตอนเด็ก ๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือ จำนวนคนนั่งรถสองแถวประจำทาง
ยังคงแน่นเหมือนเดิม แต่ดูจากผู้โดยสารแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวมากกว่า
เมื่อรถสองแถวจะถึงหน้าบ้าน ผมกดกริ่งลงก่อนที่จะถึงบ้าน
โดยคิดว่าจะเดินไปหน้าบ้านเพื่อให้แม่ประหลาดใจ
หลังจากที่ลงจากรถและจ่ายเงินค่าโดยสาร ผมจึงเดินไปบ้านที่อยู่ห่างตรงหน้าประมาณ 100 เมตร
ระหว่างที่ผมเดินไป
ผมคิดว่า ผมจะทำอย่างไรดีเมื่อเจอหน้าแม่
จะพูดอะไรกับน้อง หรือจะเข้าไปไหว้รูปพ่อก่อนดี
และจะทำอะไรต่อมิอะไรที่ในกรุงเทพไม่มีให้ทำ
ทั้งตกปลา ทำสวน ผมคิดตลอดทาง 100 เมตรนั้น
“เฮ้ย ใครวะ” มีเสียงตะโกนดังออกมาจากป่าข้างทาง
“แล้วเอ็งเป็นใครวะ” ผมตะโกนตอบกลับ
เสียงลึกลับที่ไม่ปรากฏสัญชาติ ก็ตะโกนตอบกลับมาอย่างเสียงแข็ง ๆ และดูจะหาเรื่อง
“เฮ้ย ถิ่นกูนะเว้ย ไหน ๆ ขอกูดูหน้ามันหน่อยสิ”
“เออ กูก็อยากเห็นเหมือนกันหว่ะว่าใคร” ผมตอบกลับไปอยากไม่กลัว เพราะถึงยังไง บ้านเราก็อยู่ตรงหน้า
เสียงเดินฉุบฉับ ๆ ออกมาจากข้างทาง
ที่เป็นพุ่มไม้สูงเกือบ 2 เมตร ก็มีร่างของชายอายุน่าจะสักประมาณ 18 – 20 ปี ตัวสูงกว่าผมเดินออกมา
เมื่อเขาเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้น ก็มองผมด้วยความประหลาดใจ
“ฮะ ๆ ๆ ๆ เฮ้ย นะ ๆ ๆ นั่น” ชายลึกลับเดินออกมา พร้อมกับชี้มาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“แม่ !!!” ชายคนนั้นตะโกนสุดเสียง
ผมตกใจแต่ก็พยายามเพ็งพินิจชายคนนั้น
“อ้าว เฮ้ย ไอ้หอย นี่หว่า” ผมตอบด้วยความดีใจ เพราะชายลึกลับที่อยู่ตรงหน้าผมนั้น คือน้องผมนั่นเอง
แม้ว่ารูปร่างหน้าตามันจะเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งทรงผมที่ไว้ทรงลากไทร ปะบ่า
ส่วนสูงที่สูงกว่าผมประมาณสัก 10 เซนติเมตรได้
ผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน มันยังเป็นเด็ก ม.1 ที่ตัวกะเปียกนิดเดียว แต่อย่างว่า
เด็กสมัยนี้โตเร็วมาก เพราะว่าโรงเรียนมีนโยบายแจกนมฟรี เด็ก ๆ จึงตัวสูงใหญ่ กว่าสมัยของผมมาก ที่มีแค่ น้ำอมฟูออไรค์ เท่านั้นเอง
จากนั้น น้องชายผม ก็วิ่งออกมารับกระเป๋าจากมือ พร้อมกับรีบฉุดมือผมให้เดินไว ๆ
เพื่อจะรีบพาไปให้ถึงบ้านเร็ว ๆ
“ทำไมพี่ไม่โทรมาบอกก่อนหล่ะ ว่าจะมา จะได้ออกไปรับที่สถานี” น้องผมพูดด้วยความดีใจ
“พี่อยากจะ Surprise แม่หน่ะ” ผมตอบกลับ
“แหม ก็ปล่อยให้แม่รออ่ะนะ ว่าจะมาไม่มา ก็ไม่โทร รู้เปล่า แม่เขารอโทรศัพท์นะเนี่ย” น้องผมแอบว่านิด ๆ
เมื่อไปถึงหน้าบ้าน น้องผมก็รีบนำกระเป๋าเอาไปเก็บ
ส่วนผมนั้นยืนอยู่หน้าบ้าน แล้วมองมาที่บ้าน
บ้านของผมเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น แต่ตอนนี้ ชั้นล่างได้ถูกก่อปูนฉาบไว้จัดเป็นห้อง
รอบๆ บ้านปลูกด้วยต้นมะม่วงเต็มไปหมด
ผมจึงเดินไปที่ต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ผมเคยทำชิงช้าไว้ตอนเด็ก ๆ และมันยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป
แตกต่างไปตรงที่มันโตขึ้นมาก และกำลังออกลูกดกทีเดียว
ผมนั่งตรงชิงช้าที่ผมเคยทำไว้ แม้ว่ามันจะเก่าไปมาก แต่มันยังคงใช้งานได้ดีเหมือนเดิม
ผมโยกชิงช้านั้นช้า ๆ พร้อมกับเงยหน้ามองดูรอบ ๆ บ้าน
ลมพัดแผ่ว ๆ ชวนให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ
เรื่องที่เคยแอบหนีแม่ไปนอนบนต้นมะม่วง ทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้
สักพักหนึ่ง แม่ของผมก็เดินออกมา ผมจึงรีบลุกขึ้นจากชิงช้า
“สวัสดีครับ” ผมกล่าว
“ไหว้พระ ๆ” แม่ตอบกลับมา
“ไม่ได้ไหว้พระ ผมไหว้แม่นะ” ผมพูดเพื่อหวังให้แม่หัวเราะ
“ไอ้ลูกหมา” แม่ตอบกลับมาพร้อมหัวเราะ
“ลูกหมาก็ลูกแม่นะ” ผมตอบยียวนกลับมา
“เดี๋ยวจะโดน” แม่ผมง้างมือ แต่ก็หัวเราะพร้อมยิ้มเล็กน้อย
“มานานหรือยัง” แม่ผมถาม
“มาตั้งแต่ตีห้าแล้วแม่” ผมตอบกลับ
“ทำไมไม่รู้จักโทรมาบอกก่อน ปล่อยให้รอ นึกว่าจะไม่มาซะแล้วนะเนี่ย ข้าวปลาอะไรก็ยังไม่ได้เตรียม” แม่ของผมทำคิ้วขมวด ผมรีบตอบกลับว่า
“ก็อยากให้แม่ประหลาดใจหน่ะ”
“เออ ๆ มาก็ดีแล้วหล่ะ เดี๋ยวให้ไอ้หอยออกไปซื้อกับข้าวมาให้กินกันหิวแล้วกัน” แม่ผมหันหน้าเข้าบ้านพร้อมกับตะโกนว่า
“ไอ้หอย ไปซื้อกับข้าวให้แม่หน่อยซิ”
“เออ ๆ” เสียงน้องชายผมตะโกนออกมาจากบ้าน
“เฮ้ย ๆ มึงเออ กับใครวะ” ผมตะโกนดุเข้าไปในบ้าน แต่ดูแม่ผมไม่ได้คิดถือสาอะไรเลยแม้แต่น้อย
ผิดจากเมื่อหลายปีก่อน ที่แม่ของผมจะไม่มีทางให้ลูกไม่มีสัมมาคารวะเด็ดขาด
แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เหมือนกับว่า
แม่จะวางมือไปแล้ว ผมดูแววตาของแม่อ่อนโยนลง ผิดกับเมื่อก่อนที่จะมีไม้แขวนเสื้อเป็นอาวุธประจำกายเสมอ
เมื่อน้องผมเดินออกมาพร้อมกับเข็นจักรยานคันเก่าที่ผมเคยขี่
สภาพของมันยังใช้งานได้ดีเหมือนเดิม
“ตัง” น้องผมเข็นจักรยานพร้อมกับแบมือมาทางแม่
แม่ผมหยิบกระเป๋าตังใบเล็ก ๆ จากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย พร้อมกับหยิบแบงค์ร้อยที่ทับกันหลาย ๆ ใบอยู่ในนั้นมาหนึ่งใบ
“เอาสอง” น้องผมยิ้ม พร้อมกับชูนิ้วสองนิ้ว
แม่ผมก็หยิบให้อีก 1 ใบ
ผมรีบตอบไปว่า “แม่ไม่ต้อง เอาไอ้หอย เอานี่ไป”
ผมควักกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
จากนั้นจึงหยิบเงินให้น้องไป 200 บาท
“ไม่ต้องทอน” ผมบอก
“กินอะไร” น้องผมถาม
“อะไรก็เอามา ตอนเย็น ๆ ค่อยว่ากันอีกที” แม่ผมตอบ
“ครับ ๆ คุณกิ่ง” น้องผมย้อน
“พูดดี ๆ ซิ” ผมบอกพร้อมกับตบไปที่หัวเบา ๆ หนึ่งที
น้องผมตะโกนเบา ๆ “ตบทำไมวะ เดี๋ยวฉี่แตก”
“รีบ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวพี่เขาหิว” แม่ผมรีบตัดบท เพื่อให้น้องไปซื้อกำข้าวเร็ว ๆ
แล้วน้องผมก็ขึ้นค่อมรถ พร้อมกับปั่นออกไป
“ไปแล้วนะ คุณกิ่ง” น้องผมบอก
“เออ ๆ ไปเร็ว ๆ” ผมตอบกลับไป
แต่พฤติกรรมที่น้องผมแสดงออกไป
แม่ผมกับไม่มีความรู้สึกอะไร
นอกจากยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
แต่ในใจผม กับโมโหอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ทำไมแม่ให้มันทำแบบนั่นหล่ะ” ผมพูดแบบไม่พอใจ
“ช่างมันเถอะ” แม่ผมตอบเบา ๆ แบบนุ่ม ๆ
“ช่างได้ไงแม่ มันเป็นลูกนะ” ผมตอบ
“แม่มีมันคนเดียว” แม่ผมตอบพร้อมกับหันหน้ามาทางผม
ผมอึ้งไปอึดใจหนึ่ง
“ตอน นี้ ก็มีมันนี้แหละที่ยังอยู่ ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวถ้าแม่พูดอะไรมากไป มันก็ไม่อยู่กับแม่หน่ะสิ แต่ห้าวไม่ต้องกลัวนะ มันเป็นเด็กดี” แม่พูดแบบยิ้ม ๆ
“แต่” ผมตอบ
“ช่างมัน ๆ แม่ไม่ถือสามันหรอก” แม่ตอบ
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยไหมเนี่ย” แม่ผมพูด แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเลย ได้แต่นิ่งเงียบ
อยู่ดี ๆ น้ำที่ตาก็ไหล ผมทรุดลงกับพื้น
“แม่” ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
พร้อมกับพนมมือ กราบลงไปที่เท้าของแม่
“ผมขอโทษ”
“ผมปล่อยให้แม่ มีลูกคนเดียวมานาน”
“ ผม ผม ผม”
แม่ของผมไม่พูดอะไร แต่สายตาของท่านเคลือบไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ที่ได้เห็นลูกชายกลับมาหา
แม่จับที่หัวของผม แล้วลูกผมเบาๆ
“แค่ห้าวกลับมาหาแม่ แม่ก็ดีใจแล้ว”
ผลงานอื่นๆ ของ kalamell ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ kalamell
ความคิดเห็น