ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the knights of kasindull

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 48


              ดวงตาสีเขียวคู่งามมองผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้าไปยังลานกว้าง ซึ่งเมื่อวันวานยังถูกใช้เป็นสมรภูมิรบมาหมาดๆ  ภาพอันไม่น่า



    รื่นรมย์และพิสมัยปรากฏอยู่ เหล่าทหารที่เกณฑ์มารบทั้งยังมีลมหายใจอยู่ หรือทั้งที่เหลือแต่เพียงแต่ร่างอันขาดวิ่น ล้วนมีสภาพไม่แตกต่าง



    จากกันไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์ มนุษย์ หรือว่าปีศาจ   บัดนี้มหาสงครามได้ขยายมาถึงแถบออลบลู ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก



    หญิงสาวงามเบือนหน้าหนีออกมาจากกระจก แค่เพียงแววตาก็บอกได้เลยว่าไม่พอใจเป็นที่สุด



          “ท่านพ่อไม่เห็นสภาพของเหล่าทหารที่ไปรบหรือเพคะ” เธอหันไปพูดกับชายผู้เป็นพ่อ “ลูกไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว ถ้าเสาหลักของ



    ครอบครัวต้องหายไป คนที่เหลือคงไม่มีความสุขแน่ ได้โปรดหยุดสงครามเถอะเพคะ” น้ำเสียงของเธอเกือบจะสั่นพร่า



         “แล้วลูกจะให้พ่อทำอย่างไร ไฟสงครามมันได้ลามมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ ไม่ได้มีแค่ทหารเท่านั้นที่จะล้มหายตายจาก แต่อาจ



    จะรวมถึงประชาชนทั้งหมด” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความว้าวุ่นใจไม่แพ้กัน

        

         “ท่านพ่อจำเป็นต้องถอนตัวออกจากสงคราม แล้วลูกจะหยุดสงครามที่เหลือเอง” แววตาและน้ำเสียงแน่วแน่เกินกว่าที่จะเป็นหญิง แต่มันก็



    เป็นไปแล้ว

          

          “ถึงแม้เจ้าจะเป็นบุตรสาว แต่ความสามารถของเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชายใดบนแผ่นดินนี้ ข้าเชื่อในตัวเจ้า  ลูกข้า” ผู้เป็นบิดากล่าวก่อนที่



    จะออกไปสั่งให้ทหารเตรียมม้าเร็วเพื่อส่งข่าวการประกาศถอนตัวออกจากสงครามไปยังทัพอื่น

                                                                  ----------------------------------------------

           ยามตะวันบ่ายคล้อย ช่วงเวลานี้คงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การจิบน้ำชายามเป็นที่สุด แต่ก็ยังมีอีกสามที่ยังจมปลักอยู่กับกองหนังสือ



    เก่าขนาดมหึมา และจานชามกองย่อมๆ คนแรกกำลังหัวเราะร่ากับนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง  ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองอ่านออกทั้งหมด คนที่



    สองก็กำลังหัวเราะร่าอยู่เช่นกัน แต่เป็นกับนิยายบู๊ล้างผลาญ เลือดสาดกระจายที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อครู่  ทั้งสองก็ยังคงหัวเราะด้วยกันต่อไป



    จนบุคคลที่สามอ่านหนังสือจบไปหนึ่งบท.......สองบท.....สามบท.......และอีกหลายๆบทตามมา  ทั้งสองก็ยังคงหัวเราะอยู่ จนอีกคนอ่าน



    หนังสือจบไปเล่มหนึ่ง



                 “พวกเจ้าจะขำอะไรกันนักฮะ” ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงโปร่งพูด พลางเดิไนปหยิบหนังสือที่สองคนนั้นอ่านมาดู



                “นี่มันนิทานอีสปภาษาเอลฟ์กับนิยายบู๊ล้างผลาญ ตลกจนน้ำลายไหลเลยแหล่ะ” ว่าแล้วก็ทิ้งหนังสือลงกองอย่างไร้เยื่อใย  



                “ท่านพี่ไม่คิดจะลองอ่านดูก่อนเรอะ  แบบทั้งสองเรื่องพร้อมกันน่ะ ข้าคนนี้กับฟินซ์คนนั้นลองอ่านดูแล้ว มันส์เป็นบ้า สุดยอดเลย



       แต่....น่าแปลกที่ทั้งสองเรื่องเข้ากันได้ดี ยังกะคนแต่งคนเดียวกัน” คนพูดสามารถเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าสูดลมหายใจเสียอีก



                “หนังสือน่ะไม่แปลกหรอก เจ้าต่างหากสิที่แปลก เรียกได้ว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน  ไม่คนไหนในแผ่นดินนี้ที่อ่านหนังสือ



    พร้อมกันสองเรื่องได้อย่างพวกเจ้าสองคนหรอก ข้าขอตัวก่อน อยู่กับพวกเจ้ามาก เดี๋ยวจะพาลบ้าไปซะก่อน ฟินซ์ฝากดูน้องข้าด้วย อย่าให้รี



    เมียกินหนังสือนะ มันน่าเสียดาย” แล้วร่างสูงก็เดินจากไป ทิ้งให้ทั้งคนเส้นตื้นทั้งสองใช้ความคิดจากสมองน้อยๆว่าเมื่อครู่ชมหรือว่ากันแน่ แต่



    ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะคิดคำตอบได้ก่อน



               “พี่เจ้านี่พูดถูกใจข้าจริงๆเลย”ชายหนุ่มนามว่าฟินซ์ หันมาพูดกับคนข้างๆ แล้วก็หัวเราะคิกคัก จนไม่รู้ว่าคนข้างหันมาทำสายตาอาฆาตใส่

              “เจ้าเพื่อนพี่จอมทรยศ ท่านพี่บอกว่าพวกเจ้า ไม่ใช่เจ้า ถึงข้าจะแปลกจริง แต่ก็คงสู้เจ้าไม่ได้หรอกมั้ง พ่อหนุ่มถ้ำมอง” สาวเจ้าก็เอา



    คืนเช่นกัน แม้ว่าฟินซ์จะเป็นถึงเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชาย ซึ่งอายุมากกว่าหลายปีนัก แต่ก็ยังไม่วายที่จะหันมาต่อปากต่อคำกับคนรุ่น



    น้อง

              “มันคือหนึ่งในวิธีการทดลองของข้าต่างหาก ข้าจำเป็นที่จะต้องเฝ้าดูแล้วก็คอยจดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป”

            

              “แต่วิธีอย่างนี้ไม่มีคนดีๆที่ไหนเค้าทำกันหรอก”



              “ก็ข้านี่ไง คนแรก”



              “เชอะ ถ้าอย่างเจ้าเรียกว่าคนดี แล้วใครหน้าไหนเล่าที่จะไม่ดี”

          

             “นี่ ! ข้าเป็นถึงเพื่อนของพี่เจ้าเชียวนะ”

          

             “ช่วยไม่ได้ เจ้าอยากเถียงกับข้าทำไมล่ะ”



            “ฮึ้ย!! เดี๋ยว...เดี๋ยว....\" ฟินซ์นึกคำพูดต่ไปไม่ออก \"เดี๋ยวข้าจะไปฟ้องท่านแม่ของเจ้า”



            “แหม...แค่นี้ก็ต้องฟ้องท่านแม่ด้วย สมแล้วที่ท่านพี่คบเจ้าเป็นเพื่อน เพื่อกลบเกลื่อนความผิดปกติของตัวเอง”



            “อ้ากกกกก!!!! เจ้า...เจ้า”

      

            “เจ้าอะไรฮึ”



             แล้วการต่อปากต่อคำ ต่อล้อต่อเถียงก็ยังคงดำเนินต่อไปดังเช่นทุกวันที่เคยเป็นมา จนตะวันหายลับไปในขอบฟ้า และเวลาตัดสินชะตา



    ชีวิตก็กำลังคลืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ

                                                                 ------------------------------------------

             ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสนุกสนานของงานเลี้ยงประจำคฤหาสน์แวนลัส บุตรสาวของเจ้าของงานกลับไม่รู้สึกสนุกด้วยสักนิด ถึง



    แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มต้อนรับคนที่เข้ามาในงาน แต่จริงๆแล้วเธอกำลังอยู่ในอาการเครียดสุดๆ เพราะวันนี้คือวันประกาศผลว่าตนและลูกเหล่า



    ขุนนางคนอื่นๆที่อายุไล่เลี่ยกันจะได้เข้าเรียนอย่างจริงจังๆในโรงเรียนสอนกุลสตรีและขุนนางหรือว่าปราสาทฝึกอัศวิน ทั้งที่เมื่อบ่ายยังหัวเราะ



    น้ำตาเล็ดกับฟินซ์อยู่เลย จนเธอเองก็ยังสับสนชีวิตเหมือนกัน โดยคนที่เป็นคนคัดก็ไม่ใช่ใครอื่น ท่านตาของเธอเองซึ่งเป็นนักเวทย์ที่เก่งที่สุด



    และอาวุโสที่สุด ในบรรดาผู้ที่เป็นสมาชิกของสภานักเวทย์ประจำแผ่นดินคาสซินเอิร์ธ



           เจ้าของชุดคุ้นตากำลังเดินมาพร้อมกับจานใบเล็ก2ใบในมือ ใบหน้ายิ้มออกมาจากใจจริง



           “ในที่สุดวันแห่งความสุขของข้าก็มาถึง”ผู้มาใหม่พูดขึ้นก่อน



           “วันนี้ข้าก็สุขใจไม่แพ้กัน ”ผู้อยู่ก่อนพูดบ้าง ถึงแม้จะกัดฟันพูดก็ตาม “ที่จะได้ไปจากจอมโฉดประจำบ้าน”



           “ฮะ ฮะ ถ้าข้าเป็นจอมโฉดประจำบ้าน เจ้าก็คงจะโฉดไม่แพ้ข้าหรอก”พูดพลางยื่นจานอีกใบมาให้ คนรับก็รับมาโดยไม่ว่าอะไร แต่ก็ยัง



          ไม่วายที่จะส่งสายตาแปลกๆไปให้ ซึ่งคนให้ก็รู้ตัวเสียด้วย

      

           “อาไรกาน ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษในจานของเจ้าหรอกน่า กินๆเข้าไปซะ เจ้าคงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของพี่คนนี้หรอกนะ”คนพูดยิ้มอย่างมีเลศ



    นัย ภายใต้เงามือของเส้นผม



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×