ตะวันวรรคดีสมัยรัตนโกสินทร์
วรรคดี
ผู้เข้าชมรวม
4,502
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ เป็นบทละครที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ครบถ้วนประกอบด้วยเรื่องน่ารู้ และเรื่องแทรกที่สนุกสนานทั้งยังนำมาปรับปรุงเป็นบทสำหรับการเล่นละครได้อย่างดี ละครไทยแท้ๆ แต่เดิมมักจะเป็นละครรำที่มีท่ารำบอกถึงเรื่องราวตามบทร้อง ดังนั้น ท่า รำและบทร้องจึงมีความหมายสอดคล้องต้องกันทั้งยังเข้ากับทำนองเพลงต่างๆที่ให้ไว้ด้วย เช่น เพลงช้า กราวนอก เสมอ โอด เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นเพื่อใช้ในพิธีสมโภชพระนครใหม่ คือ กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๒๙ เนื้อเรื่องประกอบด้วยเรื่องราวน่ารู้ต่างๆ เริ่มด้วยหิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน และกำเนิดตัวละครสำคัญๆทั้งฝ่ายยักษ์ ลิง และมนุษย์ แล้วจึงดำเนินเรื่องการสู้รบระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ซึ่งต้องสู้รบกันหลายครั้งกว่าจะได้ชัยชนะเด็ดขาด ประกอบด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและเรื่องแทรกที่สนุกสนานบันเทิง เสริมด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องราวมีสีสันเหมาะสมกับการแสดงละคร ทั้งยังให้คติธรรมที่ว่า ธรรมย่อมชนะอธรรม และยกย่องความซื่อสัตย์ ความกตัญญู บทละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่าง จากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนกุมภกรรณลับหอกโมกขศักดิ์ บอกชื่อเพลงโอด ดังนี้ ฯ๒คำฯ โอด เมื่อนั้น ทศเศียรสุริยวงศ์รังสรรค์ เห็นน้องท้าวเจ็บปวดจาบัลย์ กุมภัณฑ์ตระหนกตกใจ จึ่งมีพระราชบัญชา เจ้าผู้ฤทธาแผ่นดินไหว ออกไปรณรงค์ด้วยพวกภัย เหตุใดจึ่งเป็นดั่งนี้ฯ |
บทละคร ใช้เป็นบทประกอบการแสดงละคร ประกอบด้วยบทสนทนาที่ดำเนินไปตามท้องเรื่องและรูปแบบของการแสดงไทยมีละครหลายชนิดทั้งละครร้อง ละครรำ ละครใน ละครนอก โขน หนังตะลุง ลิเก ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีละครพูด ดังนั้น จึงยังไม่แบ่งเนื้อเรื่องเป็นฉากไม่มีการกล่าวถึงฉากและการจัดฉากให้เห็นจริงเดิมละครไทยจะแสดงเฉพาะบางตอนเท่านั้น ไม่ได้แสดงตลอดทั้งเรื่อง เช่น เรื่องรามเกียรติ์ตอนสีดาหาย ตอนหนุมานจองถนน เรื่องอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง ตอนอิเหนาเผาเมือง ตอนอิเหนาตามบุษบา เป็นต้น จนกระทั่งไทยได้แบบอย่างจากตะวันตก จึงมีการปรับปรุงละครไทยขึ้นใหม่หลายรูปแบบ และเรียกชื่อต่างๆกัน เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์ ละครร้องล้วนๆ ละครสังคีต ละครพูด นอกจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ แล้ว ยังมีบทละครที่เป็นวรรณคดีมรดกที่มีคุณค่าอีกมาก เช่น บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ เป็นบทละครที่มีคุณค่าสมควรรักษาไว้เป็นมรดกไทย ประกอบด้วยศิลปะในการแต่งที่ประณีต บทละครมีขนาดกะทัดรัด รักษาขนบในการชมเมืองที่ได้แบบอย่างจากเรื่องรามเกียรติ์และเน้น องค์ห้าของละครดี จนกลายเป็นแบบ แผนของการแต่งบทละครในสมัยหลัง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงยกย่องว่าบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ เป็นบทละครที่ครบองค์ห้าของละครดี คือ ๑. ตัวละครงาม (หมายถึง เครื่องแต่งตัวหรือรูปร่าง) ๒. รำงาม ๓. ร้องเพราะ ๔. พิณพาทย์เพราะ ๕. กลอนเพราะ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ครองราชย์ปี พ.ศ ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณความดีทั้งในด้านการปกครอง การสาธารณสุขและศิลปวัฒนธรรมหลายด้าน เช่น ด้านสถาปัตยกรรม ดนตรี วรรณคดี และการละคร เนื้อเรื่องของบทละครเรื่องอิเหนามาจากพงศาวดารชวา กล่าวถึงกษัตริย์วงศ์เทวัญสื่อองค์ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และครองนคร ๔ นคร คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี อิเหนาแห่งเมืองกุเปันได้หมั้นหมายกับบุษบาราชธิดาเมืองดาหา ต่อมาได้พบกับจินตะหราก็หลงรักเมื่อถูกบังคับให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับบุษบา จึงลอบหนีออกจากเมืองไปหาจินตะหรา จนกระทั่งเมื่ออิเหนาไปช่วยท้าวดาหารบกับท้าวกะหมังกุหนิงและได้พบบุษบาก็หลงรัก จึงทำอุบายเผาเมืองดาหา แล้วลักพาบุษบาไป ท้าวอสัญแดหวาโกธรแค้นในการกระทำอันมิชอบของอิเหนา จึงบันดาลให้ลมหอบบุษบาไปตกที่แคว้นปะมอตันอิเหนาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายระหว่างตามหาบุษบา จนกระทั่งได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส เรื่องจึงจบลงด้วยความสุข คุณค่าพิเศษของบทละครเรื่องอิเหนาซึ่งเป็นวรรณคดีมรดกนี้คือ ความบันเทิงอย่างสมบูรณ์ที่ได้จากบทละครร้อยกรองประเภทละครรำ ทุกองค์ประกอบของบทละคร เช่น ท่ารำและทำนองเพลงมีความสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน บทชม โฉมก็สัมพันธ์กับการทรงเครื่อง ทุกอย่างสามารถกำหนดได้บนเวทีละครอย่างสมเหตุสมผล ก่อให้เกิดประเพณีการละคร โดยเฉพาะละครใน การดำเนินเรื่อง การแต่งบทร้อง ความยาวของบทเข้ากับลีลาท่ารำ นับเป็นศิลปะการแสดงที่ประณีต งดงามยิ่งของละครไทย ตัวอย่าง คำประพันธ์ที่แสดงให้เห็นลักษณะอาการของตัวละครเมื่อเสียใจ หรือผิดหวัง ฯ๑๐คำฯ (ร่าย)เมื่อนั้น โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา ค้อนให้ไม่แลดูสารา กัลยาคั่งแค้นแน่นใจ แล้วว่าอนิจจาความรัก พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์ โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต จะออกชื่อฦาชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร เสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่ |
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เสภาเป็นบทกลอนชนิดหนึ่งใช้ขับเพื่อความบันเทิง ได้รับความนิยมในหมู่นักเลงกลอนตั้งแต่สมัยอยุธยา และกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งใน สมัยรัชกาลที่ ๒ และ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ผู้แต่งเสภามักจะเลือกหานิทานนิยายเรื่องเล่าที่ตน เคยรู้จัก มาแต่งเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงมีผู้แต่งหลายคน ใครพอใจจะขับเสภาตอนในก็แต่งขึ้นเองเฉพาะตอนที่ตนขับ ดังนั้น บางตอนจึงมีผู้แต่งหลายคน แต่ละคนจะมีสำนวนเฉพาะตน และมีรายละเอียดแตกต่างกัน เมื่อมีการรวบรวมบทเสภาเป็นเรื่องเดียว จึงต้องมีการตรวจสอบชำระ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นประธานชำระเรื่องขุนช้างขุนแผน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ และได้ทรงวินิจฉัยเกี่ยวกับผู้แต่งด้วย ปรากฏว่า มีผู้แต่ง หลายคน เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่ ครูแจ้ง และยังไม่ทราบนามผู้แต่งบทเก่าอีกหลายตอน บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวมาก แต่งเป็นบทกลอนซึ่งมีแบบแผนฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ แต่เมื่อขึ้นต้นตอนใหม่ หรือกล่าวถึงบุคคลใหม่ จะใช้คำขึ้นต้นว่า "ครานั้น" เช่น ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว เย็นแล้วจะไปเทศน์ก็ผลัดผ้า ห่มดองครองแนบกับกายา แล้วไปวันทาท่านขรัวมี บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน บางตอนกล่าวถึงพระมหากษัตริย์บ้าง แต่มิได้ต้องการแสดงเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ นับได้ว่าเป็นเรื่องราวของคนไทยแท้ ๆ โดยมิได้ดัดแปลงจากวรรณกรรมของชาติอื่น ตัวละครในเรื่องมีชีวิตจิตใจราวกับคนจริงๆ ที่มีชีวิตอย่างคนธรรมดาซึ่งมีทั้งทุกข์และสุข ความสมหวัง และความผิดหวัง แก่นสำคัญของเรื่องกล่าวถึงรักสามเส้าของขุนแผน ขุนช้าง และนางพิมหรือนางวันทองการดำเนินเรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของตัวละครเอกทั้งสาม ความสมหวังในรักของขุนแผนหรือพลายแก้วกับนางพิม แล้วกลายเป็นการพลัดพรากจากกัน ไปสู่ความสมหวังในรักของขุนช้างที่มีต่อนางพิม เกิดการแย่งชิงความรักกันระหว่างขุนช้างกับขุนแผน การดำเนินเรื่องจะมีการแทรกเรื่องย่อยที่สนุกสนานตื่นเต้นสลับกับความเศร้ารันทด ขณะเดียวกัน ผู้อ่านผู้ฟังเสภาเรื่องนี้จะได้รับสารประโยชน์เกี่ยวกับค่านิยมของคนไทยในด้านไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ประเพณีต่างๆ ลักษณะของชีวิตความเป็นอยู่สำนวนภาษา คำคมที่จับใจ และสุภาษิต การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวอย่างที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ ตัวอย่างโวหารแสดงความรัก จากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเดินทางไปกับวันทองในป่า ขุนแผนกล่าวย้ำความรักที่มีต่อวันทอง ดังนี้ "...โอ้แสนสุดสวาทของพี่เอ๋ย อย่าคิดเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ อันตัวเจ้าท่าเทียมกับดวงใจ สิ้นสงสัยแล้วเจ้าอย่าเสียดแทง พี่รักเจ้าเท่ากับเมื่อแรกรัก ด้วยประจักษ์เห็นใจไม่กินแหนง..." |
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีไทยที่แต่งด้วยถ้อยคำไพเราะและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะกวีได้ตอบสนองรสนิยมของคนไทย ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ชอบวรรณศิลป์ ชอบใช้ถ้อยคำที่คล้องจอง คมคาย และชวนคิด ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นหนังสือที่มีศิลปะการใช้ภาษา ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้ชาติความดีเด่นของลิลิตตะเลงพ่ายคือ การเล่นคำและการใช้โวหารอุปมาอุปไมย เพื่อให้เกิดภาพพจน์ จินตนาการ และสะเทือนอารมณ์ กวีได้สอดแทรกความรู้ต่างๆมากมาย เช่น การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยอยุธยา และยุทธศาสตร์แต่ไม่เคร่งครัดในด้านภูมิศาสตร์ นอกจากนี้กวียังได้นำชื่อนกและชื่อต้นไม้มาใช้ในบทครวญถึงนางตามแบบอย่างลิลิตยวนพ่าย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. ๒๓๓๓ - ๒๓๙๖) ผู้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๔ และทรงครองเพศสมณะจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง แม้จะทรงมีพระภารกิจด้านศาสนาอยู่มาก แต่ก็ทรงศึกษาหนังสือทั้งด้านศาสนา นิติศาสตร์ โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือได้มากมาย ทางด้านวรรณคดี ทรงมีฝีมือเป็นเลิศในการแต่ง โคลง ฉันท์ และลิลิต เนื้อเรื่องของลิลิตตะเลงพ่าย ได้เค้าเรื่องมาจากพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กล่าวถึงการเสด็จเสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา และมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จไปตีเขมร เพื่อเป็นการแก้แค้นเขมรที่ยกทัพมาตีชายแดนไทย ต่อจากนั้น เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระเจ้าหงสาวดีโปรดให้พระมหาอุปราชากรีฑาทัพมาตีไทย เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ยกทัพเสด็จออกไปทำศึกนอกพระนครระหว่างที่ทัพพม่าปะทะกับทัพหน้าของไทย ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร และของสมเด็จพระเอกาทศรถตกมันวิ่งเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง สมเด็จพระนเรศวรทรงระงับความตกพระทัย และตรัสท้าพระมหาอุปราชากระทำสงครามยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงได้รับชัยชนะ เมื่อเลิกทัพกลับพระนคร สมเด็จพระนเรศวรทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารผู้มีความชอบ และลงโทษประหารทหารที่ติดตามพระองค์ไม่ทัน ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แต่สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วได้กราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ทหารเหล่านั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงยินยอมและโปรดให้ไปทำสงครามแก้ตัว หลังจากนั้นทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่อ ด้วยการทำนุบำรุงหัวเมืองเหนือ และรับทูตจากเมืองเชียงใหม่ที่มาขอเป็นเมืองขึ้น ตัวอย่าง โวหารแสดงความโกรธจากลิลิต ตะเลงพ่าย ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปรารภเรื่องที่จะไปปราบเขมร เนื่องจากเขมรมักจะยกทัพมาตีไทยระหว่างที่ไทยมีศึกกับพม่าทรงรู้สึกโกรธและเจ็บช้ำพระทัย ทำให้คิดอะไรก็ หมดความรื่นรมย์ จึงต้องยกทัพไปปราบให้หายแค้น ดังนี้ "...คลุ้มกมลแค้นคั่ง ดังหนามเหน็บเจ็บช้ำ ย้ำ ยอกทรวงดวงแด แลบชื่นอื่นชม..." "...ครานี้กูสองตน ผ่านสกลแผ่นหล้า ควรไป ร้ารอนเข็น เห็นมือไทยที่แกล้ว แผ้วภพให้เป็น เผื่อน เกลื่อนภพให้เป็นพง..." |
สามก๊ก หนังสือเรื่องสามก๊กได้รับยกย่องให้เป็นยอดแห่งวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วของไทย กล่าวกันว่า เรื่องสามก๊กแต่เดิมเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในประเทศจีน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๔๙) พวกงิ้วได้นำเรื่องสามก๊กมาแสดง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๙๐๐ ตรงกับสมัยสุโขทัย) และสมัยราชวงศ์ไต้เหม็ง (พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๒๑๘๖) ได้มีการแต่งหนังสือโดยใช้เรื่องพงศาวดารเป็นหลัก นักเขียนผู้หนึ่งชื่อล่อกวนตง ชาวเมืองฮั่งจิ๋ว ได้นำเรื่องสามก๊กมาเขียนใหม่ เรียกว่า "สามก๊กจี่" มีความยาว ๑๒๐ ตอน ต่อมานักปราชญ์อีก ๒ ท่าน คือ เม่าจงกังกับกิมเสี่ยถ่าง ได้ช่วยกันแต่งคำอธิบายเพิ่มเติมและพิมพ์เรื่องสามก๊กขึ้น เรื่องสามก๊กจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็วภายในประเทศจีน ต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย ซึ่งเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เป็นผู้อำนวยการการแปล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕ การแปลหนังสือสามก๊กใช้วิธีแปลสองชั้น ชั้นแรก ผู้รู้ภาษาจีนอย่างดีแต่รู้ภาษาไทยเพียงปานกลางได้อย่างต้นฉบับภาษาจีนแล้วถ่ายทอดเป็นภาษาไทย ชั้นที่สองผู้รู้ภาษาไทยอย่างดีได้นำฉบับที่ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้วมาเขียนเป็น ความเรียง ใช้ภาษาไทยแบบที่คนไทยใช้กันจริงๆ ยกเว้นเฉพาะชื่อที่เป็นภาษาจีน ดังนั้น ภาษาแปลที่ใช้ในหนังสือสามก๊กจึงเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์จนเป็นแบบอย่างของการบรรยายและพรรณนาที่ให้ภาพที่เด่นชัดแก่ผู้อ่าน และให้ความประทับใจจนมีผู้นำไปใช้ตาม เช่น สำนวนที่ว่า "ว่าแล้วก็ให้จัดโต๊ะสุราอาหารออกมาเลี้ยงกัน" เป็นต้น เนื้อเรื่องของสามก๊ก กล่าวถึงการทำสงครามชิงชัยกันระหว่างโจโฉ เล่าปี่ และซุ่นกวนเริ่มเรื่องตั้งแต่กษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอ อำนาจจึงตกอยู่กับขุนนางกังฉิน ทำให้เกิดความระส่ำระสายแตกแยก ต่างรบพุ่งเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน จนเหลือ ๓ ก๊กใหญ่ คือ วุยก๊ก จ๊กก๊ก และง่อก๊ก ต่างมีอาณาเขตเป็นอิสระ ภายหลังก๊กทั้งสามเสื่อมอำนาจลง มีผู้ตั้งราชวงศ์ใหม่ แผ่นดินจีนจึงกลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียว อันที่จริงการแบ่งแยกอาณาเขตและการแย่งชิงอำนาจกันในจีนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดน่าพิศวงเหมือนครั้งสามก๊ก เพราะแต่ละก๊กใช้อุบายต่างๆ เพื่อเอาชนะกัน ทั้งอุบายทางการเมืองการปกครอง และกลยุทธ์ ขณะเดียวกันก็ให้ บทเรียนคติธรรมในการดำเนินชีวิต และการทำงานตัวละครสำคัญในเรื่องมีบทบาทและพฤติกรรมที่เหมือนจริง ซึ่งมีทั้งดีและเลวปะปนกัน การแปลเรื่องสามก๊กเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลเรื่องจีนอื่นๆในสมัยต่อมา เช่น เรื่องไซ่ฮั่น ซ้องกั๋ง เป็นต้น ตัวอย่าง การบรรยายลักษณะของเล่าปี่ "...แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือ แต่มีน้ำใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฏออกมาภายนอก ใจนั้นอารีย์นักมีเพื่อนฝูงมากใจกว้างขวาง หมายจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงกอปด้วยลักษณะรูปใหญ่สมบูรณ์ สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้มจักษุชำเลืองไปเห็นหู..." |
พระราชพิธีสิบสองเดือน หนังสือเรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากวรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ว่าเป็นยอดของความเรียงอธิบาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ลงพิมพ์ในนิตยสารวชิรญาณรายสัปดาห์ก่อน แล้วจึงรวมพิมพ์เป็นเล่มภายหลัง เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชพิธีต่างๆที่กระทำในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี ทรงอธิบายตำราเดิมของพระราชพิธี การแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเลิกพิธี เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ยกเว้น พิธี เดือน ๑๑ ที่มิได้รวมไว้ ทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลทั้งจากตำราและจากคำบอกเล่าของบุคคล เช่น พระมหาราชครู พราหมณ์ผู้ทำพิธี และจากการสังเกตเหตุการณ์ที่ทรงคุ้นเคย นับได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทางด้านสังคมศาสตร์ ทรงใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเขียนอธิบายตามลำดับจากง่ายไปสู่ยาก จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เหมาะสมกับการเป็นคำอธิบายชี้แจงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ตัวอย่าง พระราชพิธีลอยพระประทีป "การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เป็น นักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่ เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธี อย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์ อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า ตรงกับคำว่าลอยโคมลงน้ำ เช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นราชประเพณี ซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ..."
|
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ เป็นบทละครที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ครบถ้วนประกอบด้วยเรื่องน่ารู้ และเรื่องแทรกที่สนุกสนานทั้งยังนำมาปรับปรุงเป็นบทสำหรับการเล่นละครได้อย่างดี ละครไทยแท้ๆ แต่เดิมมักจะเป็นละครรำที่มีท่ารำบอกถึงเรื่องราวตามบทร้อง ดังนั้น ท่า รำและบทร้องจึงมีความหมายสอดคล้องต้องกันทั้งยังเข้ากับทำนองเพลงต่างๆที่ให้ไว้ด้วย เช่น เพลงช้า กราวนอก เสมอ โอด เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นเพื่อใช้ในพิธีสมโภชพระนครใหม่ คือ กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๒๙ เนื้อเรื่องประกอบด้วยเรื่องราวน่ารู้ต่างๆ เริ่มด้วยหิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน และกำเนิดตัวละครสำคัญๆทั้งฝ่ายยักษ์ ลิง และมนุษย์ แล้วจึงดำเนินเรื่องการสู้รบระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ซึ่งต้องสู้รบกันหลายครั้งกว่าจะได้ชัยชนะเด็ดขาด ประกอบด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและเรื่องแทรกที่สนุกสนานบันเทิง เสริมด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องราวมีสีสันเหมาะสมกับการแสดงละคร ทั้งยังให้คติธรรมที่ว่า ธรรมย่อมชนะอธรรม และยกย่องความซื่อสัตย์ ความกตัญญู บทละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่าง จากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนกุมภกรรณลับหอกโมกขศักดิ์ บอกชื่อเพลงโอด ดังนี้ ฯ๒คำฯ โอด เมื่อนั้น ทศเศียรสุริยวงศ์รังสรรค์ เห็นน้องท้าวเจ็บปวดจาบัลย์ กุมภัณฑ์ตระหนกตกใจ จึ่งมีพระราชบัญชา เจ้าผู้ฤทธาแผ่นดินไหว ออกไปรณรงค์ด้วยพวกภัย เหตุใดจึ่งเป็นดั่งนี้ฯ |
บทละคร ใช้เป็นบทประกอบการแสดงละคร ประกอบด้วยบทสนทนาที่ดำเนินไปตามท้องเรื่องและรูปแบบของการแสดงไทยมีละครหลายชนิดทั้งละครร้อง ละครรำ ละครใน ละครนอก โขน หนังตะลุง ลิเก ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีละครพูด ดังนั้น จึงยังไม่แบ่งเนื้อเรื่องเป็นฉากไม่มีการกล่าวถึงฉากและการจัดฉากให้เห็นจริงเดิมละครไทยจะแสดงเฉพาะบางตอนเท่านั้น ไม่ได้แสดงตลอดทั้งเรื่อง เช่น เรื่องรามเกียรติ์ตอนสีดาหาย ตอนหนุมานจองถนน เรื่องอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง ตอนอิเหนาเผาเมือง ตอนอิเหนาตามบุษบา เป็นต้น จนกระทั่งไทยได้แบบอย่างจากตะวันตก จึงมีการปรับปรุงละครไทยขึ้นใหม่หลายรูปแบบ และเรียกชื่อต่างๆกัน เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์ ละครร้องล้วนๆ ละครสังคีต ละครพูด นอกจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ แล้ว ยังมีบทละครที่เป็นวรรณคดีมรดกที่มีคุณค่าอีกมาก เช่น บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ เป็นบทละครที่มีคุณค่าสมควรรักษาไว้เป็นมรดกไทย ประกอบด้วยศิลปะในการแต่งที่ประณีต บทละครมีขนาดกะทัดรัด รักษาขนบในการชมเมืองที่ได้แบบอย่างจากเรื่องรามเกียรติ์และเน้น องค์ห้าของละครดี จนกลายเป็นแบบ แผนของการแต่งบทละครในสมัยหลัง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงยกย่องว่าบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ เป็นบทละครที่ครบองค์ห้าของละครดี คือ ๑. ตัวละครงาม (หมายถึง เครื่องแต่งตัวหรือรูปร่าง) ๒. รำงาม ๓. ร้องเพราะ ๔. พิณพาทย์เพราะ ๕. กลอนเพราะ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ครองราชย์ปี พ.ศ ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณความดีทั้งในด้านการปกครอง การสาธารณสุขและศิลปวัฒนธรรมหลายด้าน เช่น ด้านสถาปัตยกรรม ดนตรี วรรณคดี และการละคร เนื้อเรื่องของบทละครเรื่องอิเหนามาจากพงศาวดารชวา กล่าวถึงกษัตริย์วงศ์เทวัญสื่อองค์ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และครองนคร ๔ นคร คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี อิเหนาแห่งเมืองกุเปันได้หมั้นหมายกับบุษบาราชธิดาเมืองดาหา ต่อมาได้พบกับจินตะหราก็หลงรักเมื่อถูกบังคับให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับบุษบา จึงลอบหนีออกจากเมืองไปหาจินตะหรา จนกระทั่งเมื่ออิเหนาไปช่วยท้าวดาหารบกับท้าวกะหมังกุหนิงและได้พบบุษบาก็หลงรัก จึงทำอุบายเผาเมืองดาหา แล้วลักพาบุษบาไป ท้าวอสัญแดหวาโกธรแค้นในการกระทำอันมิชอบของอิเหนา จึงบันดาลให้ลมหอบบุษบาไปตกที่แคว้นปะมอตันอิเหนาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายระหว่างตามหาบุษบา จนกระทั่งได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส เรื่องจึงจบลงด้วยความสุข คุณค่าพิเศษของบทละครเรื่องอิเหนาซึ่งเป็นวรรณคดีมรดกนี้คือ ความบันเทิงอย่างสมบูรณ์ที่ได้จากบทละครร้อยกรองประเภทละครรำ ทุกองค์ประกอบของบทละคร เช่น ท่ารำและทำนองเพลงมีความสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน บทชม โฉมก็สัมพันธ์กับการทรงเครื่อง ทุกอย่างสามารถกำหนดได้บนเวทีละครอย่างสมเหตุสมผล ก่อให้เกิดประเพณีการละคร โดยเฉพาะละครใน การดำเนินเรื่อง การแต่งบทร้อง ความยาวของบทเข้ากับลีลาท่ารำ นับเป็นศิลปะการแสดงที่ประณีต งดงามยิ่งของละครไทย ตัวอย่าง คำประพันธ์ที่แสดงให้เห็นลักษณะอาการของตัวละครเมื่อเสียใจ หรือผิดหวัง ฯ๑๐คำฯ (ร่าย)เมื่อนั้น โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา ค้อนให้ไม่แลดูสารา กัลยาคั่งแค้นแน่นใจ แล้วว่าอนิจจาความรัก พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์ โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต จะออกชื่อฦาชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร เสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่ |
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เสภาเป็นบทกลอนชนิดหนึ่งใช้ขับเพื่อความบันเทิง ได้รับความนิยมในหมู่นักเลงกลอนตั้งแต่สมัยอยุธยา และกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งใน สมัยรัชกาลที่ ๒ และ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ผู้แต่งเสภามักจะเลือกหานิทานนิยายเรื่องเล่าที่ตน เคยรู้จัก มาแต่งเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงมีผู้แต่งหลายคน ใครพอใจจะขับเสภาตอนในก็แต่งขึ้นเองเฉพาะตอนที่ตนขับ ดังนั้น บางตอนจึงมีผู้แต่งหลายคน แต่ละคนจะมีสำนวนเฉพาะตน และมีรายละเอียดแตกต่างกัน เมื่อมีการรวบรวมบทเสภาเป็นเรื่องเดียว จึงต้องมีการตรวจสอบชำระ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นประธานชำระเรื่องขุนช้างขุนแผน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ และได้ทรงวินิจฉัยเกี่ยวกับผู้แต่งด้วย ปรากฏว่า มีผู้แต่ง หลายคน เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่ ครูแจ้ง และยังไม่ทราบนามผู้แต่งบทเก่าอีกหลายตอน บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวมาก แต่งเป็นบทกลอนซึ่งมีแบบแผนฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ แต่เมื่อขึ้นต้นตอนใหม่ หรือกล่าวถึงบุคคลใหม่ จะใช้คำขึ้นต้นว่า "ครานั้น" เช่น ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว เย็นแล้วจะไปเทศน์ก็ผลัดผ้า ห่มดองครองแนบกับกายา แล้วไปวันทาท่านขรัวมี บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน บางตอนกล่าวถึงพระมหากษัตริย์บ้าง แต่มิได้ต้องการแสดงเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ นับได้ว่าเป็นเรื่องราวของคนไทยแท้ ๆ โดยมิได้ดัดแปลงจากวรรณกรรมของชาติอื่น ตัวละครในเรื่องมีชีวิตจิตใจราวกับคนจริงๆ ที่มีชีวิตอย่างคนธรรมดาซึ่งมีทั้งทุกข์และสุข ความสมหวัง และความผิดหวัง แก่นสำคัญของเรื่องกล่าวถึงรักสามเส้าของขุนแผน ขุนช้าง และนางพิมหรือนางวันทองการดำเนินเรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของตัวละครเอกทั้งสาม ความสมหวังในรักของขุนแผนหรือพลายแก้วกับนางพิม แล้วกลายเป็นการพลัดพรากจากกัน ไปสู่ความสมหวังในรักของขุนช้างที่มีต่อนางพิม เกิดการแย่งชิงความรักกันระหว่างขุนช้างกับขุนแผน การดำเนินเรื่องจะมีการแทรกเรื่องย่อยที่สนุกสนานตื่นเต้นสลับกับความเศร้ารันทด ขณะเดียวกัน ผู้อ่านผู้ฟังเสภาเรื่องนี้จะได้รับสารประโยชน์เกี่ยวกับค่านิยมของคนไทยในด้านไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ประเพณีต่างๆ ลักษณะของชีวิตความเป็นอยู่สำนวนภาษา คำคมที่จับใจ และสุภาษิต การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวอย่างที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ ตัวอย่างโวหารแสดงความรัก จากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเดินทางไปกับวันทองในป่า ขุนแผนกล่าวย้ำความรักที่มีต่อวันทอง ดังนี้ "...โอ้แสนสุดสวาทของพี่เอ๋ย อย่าคิดเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ อันตัวเจ้าท่าเทียมกับดวงใจ สิ้นสงสัยแล้วเจ้าอย่าเสียดแทง พี่รักเจ้าเท่ากับเมื่อแรกรัก ด้วยประจักษ์เห็นใจไม่กินแหนง..." |
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีไทยที่แต่งด้วยถ้อยคำไพเราะและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะกวีได้ตอบสนองรสนิยมของคนไทย ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ชอบวรรณศิลป์ ชอบใช้ถ้อยคำที่คล้องจอง คมคาย และชวนคิด ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นหนังสือที่มีศิลปะการใช้ภาษา ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้ชาติความดีเด่นของลิลิตตะเลงพ่ายคือ การเล่นคำและการใช้โวหารอุปมาอุปไมย เพื่อให้เกิดภาพพจน์ จินตนาการ และสะเทือนอารมณ์ กวีได้สอดแทรกความรู้ต่างๆมากมาย เช่น การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยอยุธยา และยุทธศาสตร์แต่ไม่เคร่งครัดในด้านภูมิศาสตร์ นอกจากนี้กวียังได้นำชื่อนกและชื่อต้นไม้มาใช้ในบทครวญถึงนางตามแบบอย่างลิลิตยวนพ่าย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. ๒๓๓๓ - ๒๓๙๖) ผู้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๔ และทรงครองเพศสมณะจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง แม้จะทรงมีพระภารกิจด้านศาสนาอยู่มาก แต่ก็ทรงศึกษาหนังสือทั้งด้านศาสนา นิติศาสตร์ โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือได้มากมาย ทางด้านวรรณคดี ทรงมีฝีมือเป็นเลิศในการแต่ง โคลง ฉันท์ และลิลิต เนื้อเรื่องของลิลิตตะเลงพ่าย ได้เค้าเรื่องมาจากพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กล่าวถึงการเสด็จเสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา และมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จไปตีเขมร เพื่อเป็นการแก้แค้นเขมรที่ยกทัพมาตีชายแดนไทย ต่อจากนั้น เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระเจ้าหงสาวดีโปรดให้พระมหาอุปราชากรีฑาทัพมาตีไทย เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ยกทัพเสด็จออกไปทำศึกนอกพระนครระหว่างที่ทัพพม่าปะทะกับทัพหน้าของไทย ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร และของสมเด็จพระเอกาทศรถตกมันวิ่งเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง สมเด็จพระนเรศวรทรงระงับความตกพระทัย และตรัสท้าพระมหาอุปราชากระทำสงครามยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงได้รับชัยชนะ เมื่อเลิกทัพกลับพระนคร สมเด็จพระนเรศวรทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารผู้มีความชอบ และลงโทษประหารทหารที่ติดตามพระองค์ไม่ทัน ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แต่สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วได้กราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ทหารเหล่านั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงยินยอมและโปรดให้ไปทำสงครามแก้ตัว หลังจากนั้นทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่อ ด้วยการทำนุบำรุงหัวเมืองเหนือ และรับทูตจากเมืองเชียงใหม่ที่มาขอเป็นเมืองขึ้น ตัวอย่าง โวหารแสดงความโกรธจากลิลิต ตะเลงพ่าย ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปรารภเรื่องที่จะไปปราบเขมร เนื่องจากเขมรมักจะยกทัพมาตีไทยระหว่างที่ไทยมีศึกกับพม่าทรงรู้สึกโกรธและเจ็บช้ำพระทัย ทำให้คิดอะไรก็ หมดความรื่นรมย์ จึงต้องยกทัพไปปราบให้หายแค้น ดังนี้ "...คลุ้มกมลแค้นคั่ง ดังหนามเหน็บเจ็บช้ำ ย้ำ ยอกทรวงดวงแด แลบชื่นอื่นชม..." "...ครานี้กูสองตน ผ่านสกลแผ่นหล้า ควรไป ร้ารอนเข็น เห็นมือไทยที่แกล้ว แผ้วภพให้เป็น เผื่อน เกลื่อนภพให้เป็นพง..." |
สามก๊ก หนังสือเรื่องสามก๊กได้รับยกย่องให้เป็นยอดแห่งวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วของไทย กล่าวกันว่า เรื่องสามก๊กแต่เดิมเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในประเทศจีน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๔๙) พวกงิ้วได้นำเรื่องสามก๊กมาแสดง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๙๐๐ ตรงกับสมัยสุโขทัย) และสมัยราชวงศ์ไต้เหม็ง (พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๒๑๘๖) ได้มีการแต่งหนังสือโดยใช้เรื่องพงศาวดารเป็นหลัก นักเขียนผู้หนึ่งชื่อล่อกวนตง ชาวเมืองฮั่งจิ๋ว ได้นำเรื่องสามก๊กมาเขียนใหม่ เรียกว่า "สามก๊กจี่" มีความยาว ๑๒๐ ตอน ต่อมานักปราชญ์อีก ๒ ท่าน คือ เม่าจงกังกับกิมเสี่ยถ่าง ได้ช่วยกันแต่งคำอธิบายเพิ่มเติมและพิมพ์เรื่องสามก๊กขึ้น เรื่องสามก๊กจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็วภายในประเทศจีน ต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย ซึ่งเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เป็นผู้อำนวยการการแปล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕ การแปลหนังสือสามก๊กใช้วิธีแปลสองชั้น ชั้นแรก ผู้รู้ภาษาจีนอย่างดีแต่รู้ภาษาไทยเพียงปานกลางได้อย่างต้นฉบับภาษาจีนแล้วถ่ายทอดเป็นภาษาไทย ชั้นที่สองผู้รู้ภาษาไทยอย่างดีได้นำฉบับที่ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้วมาเขียนเป็น ความเรียง ใช้ภาษาไทยแบบที่คนไทยใช้กันจริงๆ ยกเว้นเฉพาะชื่อที่เป็นภาษาจีน ดังนั้น ภาษาแปลที่ใช้ในหนังสือสามก๊กจึงเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์จนเป็นแบบอย่างของการบรรยายและพรรณนาที่ให้ภาพที่เด่นชัดแก่ผู้อ่าน และให้ความประทับใจจนมีผู้นำไปใช้ตาม เช่น สำนวนที่ว่า "ว่าแล้วก็ให้จัดโต๊ะสุราอาหารออกมาเลี้ยงกัน" เป็นต้น เนื้อเรื่องของสามก๊ก กล่าวถึงการทำสงครามชิงชัยกันระหว่างโจโฉ เล่าปี่ และซุ่นกวนเริ่มเรื่องตั้งแต่กษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอ อำนาจจึงตกอยู่กับขุนนางกังฉิน ทำให้เกิดความระส่ำระสายแตกแยก ต่างรบพุ่งเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน จนเหลือ ๓ ก๊กใหญ่ คือ วุยก๊ก จ๊กก๊ก และง่อก๊ก ต่างมีอาณาเขตเป็นอิสระ ภายหลังก๊กทั้งสามเสื่อมอำนาจลง มีผู้ตั้งราชวงศ์ใหม่ แผ่นดินจีนจึงกลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียว อันที่จริงการแบ่งแยกอาณาเขตและการแย่งชิงอำนาจกันในจีนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดน่าพิศวงเหมือนครั้งสามก๊ก เพราะแต่ละก๊กใช้อุบายต่างๆ เพื่อเอาชนะกัน ทั้งอุบายทางการเมืองการปกครอง และกลยุทธ์ ขณะเดียวกันก็ให้ บทเรียนคติธรรมในการดำเนินชีวิต และการทำงานตัวละครสำคัญในเรื่องมีบทบาทและพฤติกรรมที่เหมือนจริง ซึ่งมีทั้งดีและเลวปะปนกัน การแปลเรื่องสามก๊กเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลเรื่องจีนอื่นๆในสมัยต่อมา เช่น เรื่องไซ่ฮั่น ซ้องกั๋ง เป็นต้น ตัวอย่าง การบรรยายลักษณะของเล่าปี่ "...แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือ แต่มีน้ำใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฏออกมาภายนอก ใจนั้นอารีย์นักมีเพื่อนฝูงมากใจกว้างขวาง หมายจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงกอปด้วยลักษณะรูปใหญ่สมบูรณ์ สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้มจักษุชำเลืองไปเห็นหู..." |
พระราชพิธีสิบสองเดือน หนังสือเรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากวรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ว่าเป็นยอดของความเรียงอธิบาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ลงพิมพ์ในนิตยสารวชิรญาณรายสัปดาห์ก่อน แล้วจึงรวมพิมพ์เป็นเล่มภายหลัง เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชพิธีต่างๆที่กระทำในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี ทรงอธิบายตำราเดิมของพระราชพิธี การแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเลิกพิธี เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ยกเว้น พิธี เดือน ๑๑ ที่มิได้รวมไว้ ทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลทั้งจากตำราและจากคำบอกเล่าของบุคคล เช่น พระมหาราชครู พราหมณ์ผู้ทำพิธี และจากการสังเกตเหตุการณ์ที่ทรงคุ้นเคย นับได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทางด้านสังคมศาสตร์ ทรงใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเขียนอธิบายตามลำดับจากง่ายไปสู่ยาก จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เหมาะสมกับการเป็นคำอธิบายชี้แจงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ตัวอย่าง พระราชพิธีลอยพระประทีป "การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เป็น นักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่ เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธี อย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์ อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า ตรงกับคำว่าลอยโคมลงน้ำ เช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นราชประเพณี ซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ..."
|
ผลงานอื่นๆ ของ ตะวันสีเงิน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ตะวันสีเงิน
"ชอบมาก แต่ชื่อเรื่องเขียนผิด"
(แจ้งลบ)ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้ ... อ่านเพิ่มเติม
ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้ อ่านน้อยลง
ดรีมมี่เองจ้า | 10 มี.ค. 53
2
0
"ชอบมาก แต่ชื่อเรื่องเขียนผิด"
(แจ้งลบ)ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้ ... อ่านเพิ่มเติม
ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้ อ่านน้อยลง
ดรีมมี่เองจ้า | 10 มี.ค. 53
2
0
ความคิดเห็น