ตะวันวรรคดีสมัยรัตนโกสินทร์ - ตะวันวรรคดีสมัยรัตนโกสินทร์ นิยาย ตะวันวรรคดีสมัยรัตนโกสินทร์ : Dek-D.com - Writer

    ตะวันวรรคดีสมัยรัตนโกสินทร์

    วรรคดี

    ผู้เข้าชมรวม

    4,502

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    4.5K

    ความคิดเห็น


    19

    คนติดตาม


    3
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 ก.พ. 53 / 12:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    วรรคดีสมัยรัตนโกสินทร์
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑
                เป็นบทละครที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ครบถ้วนประกอบด้วยเรื่องน่ารู้ และเรื่องแทรกที่สนุกสนานทั้งยังนำมาปรับปรุงเป็นบทสำหรับการเล่นละครได้อย่างดี ละครไทยแท้ๆ แต่เดิมมักจะเป็นละครรำที่มีท่ารำบอกถึงเรื่องราวตามบทร้อง ดังนั้น ท่า รำและบทร้องจึงมีความหมายสอดคล้องต้องกันทั้งยังเข้ากับทำนองเพลงต่างๆที่ให้ไว้ด้วย เช่น เพลงช้า กราวนอก เสมอ โอด เป็นต้น

                พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นเพื่อใช้ในพิธีสมโภชพระนครใหม่  คือ กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๒๙ เนื้อเรื่องประกอบด้วยเรื่องราวน่ารู้ต่างๆ เริ่มด้วยหิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน และกำเนิดตัวละครสำคัญๆทั้งฝ่ายยักษ์ ลิง และมนุษย์ แล้วจึงดำเนินเรื่องการสู้รบระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ซึ่งต้องสู้รบกันหลายครั้งกว่าจะได้ชัยชนะเด็ดขาด   ประกอบด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและเรื่องแทรกที่สนุกสนานบันเทิง เสริมด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องราวมีสีสันเหมาะสมกับการแสดงละคร ทั้งยังให้คติธรรมที่ว่า ธรรมย่อมชนะอธรรม และยกย่องความซื่อสัตย์ ความกตัญญู บทละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยทุกยุคทุกสมัย

                ตัวอย่าง จากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนกุมภกรรณลับหอกโมกขศักดิ์ บอกชื่อเพลงโอด ดังนี้

                           ฯ๒คำฯ โอด
               เมื่อนั้น                       ทศเศียรสุริยวงศ์รังสรรค์
        เห็นน้องท้าวเจ็บปวดจาบัลย์   กุมภัณฑ์ตระหนกตกใจ
          จึ่งมีพระราชบัญชา            เจ้าผู้ฤทธาแผ่นดินไหว
       ออกไปรณรงค์ด้วยพวกภัย       เหตุใดจึ่งเป็นดั่งนี้ฯ


       
       
       
       
      บทละคร
                ใช้เป็นบทประกอบการแสดงละคร ประกอบด้วยบทสนทนาที่ดำเนินไปตามท้องเรื่องและรูปแบบของการแสดงไทยมีละครหลายชนิดทั้งละครร้อง ละครรำ ละครใน ละครนอก โขน  หนังตะลุง ลิเก ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีละครพูด ดังนั้น จึงยังไม่แบ่งเนื้อเรื่องเป็นฉากไม่มีการกล่าวถึงฉากและการจัดฉากให้เห็นจริงเดิมละครไทยจะแสดงเฉพาะบางตอนเท่านั้น ไม่ได้แสดงตลอดทั้งเรื่อง เช่น เรื่องรามเกียรติ์ตอนสีดาหาย ตอนหนุมานจองถนน เรื่องอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง ตอนอิเหนาเผาเมือง ตอนอิเหนาตามบุษบา เป็นต้น จนกระทั่งไทยได้แบบอย่างจากตะวันตก จึงมีการปรับปรุงละครไทยขึ้นใหม่หลายรูปแบบ และเรียกชื่อต่างๆกัน เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์   ละครร้องล้วนๆ ละครสังคีต ละครพูด

                 นอกจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ แล้ว ยังมีบทละครที่เป็นวรรณคดีมรดกที่มีคุณค่าอีกมาก เช่น  บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


       
       
      บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒
                เป็นบทละครที่มีคุณค่าสมควรรักษาไว้เป็นมรดกไทย ประกอบด้วยศิลปะในการแต่งที่ประณีต บทละครมีขนาดกะทัดรัด รักษาขนบในการชมเมืองที่ได้แบบอย่างจากเรื่องรามเกียรติ์และเน้น องค์ห้าของละครดี จนกลายเป็นแบบ แผนของการแต่งบทละครในสมัยหลัง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงยกย่องว่าบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ เป็นบทละครที่ครบองค์ห้าของละครดี คือ
                ๑. ตัวละครงาม (หมายถึง เครื่องแต่งตัวหรือรูปร่าง)
                ๒. รำงาม
                ๓. ร้องเพราะ
                ๔. พิณพาทย์เพราะ
                ๕. กลอนเพราะ

      พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  (ครองราชย์ปี พ.ศ ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณความดีทั้งในด้านการปกครอง การสาธารณสุขและศิลปวัฒนธรรมหลายด้าน เช่น ด้านสถาปัตยกรรม ดนตรี วรรณคดี และการละคร

                เนื้อเรื่องของบทละครเรื่องอิเหนามาจากพงศาวดารชวา กล่าวถึงกษัตริย์วงศ์เทวัญสื่อองค์ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และครองนคร ๔ นคร คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี อิเหนาแห่งเมืองกุเปันได้หมั้นหมายกับบุษบาราชธิดาเมืองดาหา ต่อมาได้พบกับจินตะหราก็หลงรักเมื่อถูกบังคับให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับบุษบา จึงลอบหนีออกจากเมืองไปหาจินตะหรา จนกระทั่งเมื่ออิเหนาไปช่วยท้าวดาหารบกับท้าวกะหมังกุหนิงและได้พบบุษบาก็หลงรัก จึงทำอุบายเผาเมืองดาหา แล้วลักพาบุษบาไป ท้าวอสัญแดหวาโกธรแค้นในการกระทำอันมิชอบของอิเหนา จึงบันดาลให้ลมหอบบุษบาไปตกที่แคว้นปะมอตันอิเหนาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายระหว่างตามหาบุษบา จนกระทั่งได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส เรื่องจึงจบลงด้วยความสุข

                คุณค่าพิเศษของบทละครเรื่องอิเหนาซึ่งเป็นวรรณคดีมรดกนี้คือ ความบันเทิงอย่างสมบูรณ์ที่ได้จากบทละครร้อยกรองประเภทละครรำ ทุกองค์ประกอบของบทละคร เช่น ท่ารำและทำนองเพลงมีความสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน บทชม โฉมก็สัมพันธ์กับการทรงเครื่อง ทุกอย่างสามารถกำหนดได้บนเวทีละครอย่างสมเหตุสมผล ก่อให้เกิดประเพณีการละคร โดยเฉพาะละครใน การดำเนินเรื่อง การแต่งบทร้อง ความยาวของบทเข้ากับลีลาท่ารำ นับเป็นศิลปะการแสดงที่ประณีต งดงามยิ่งของละครไทย

                ตัวอย่าง คำประพันธ์ที่แสดงให้เห็นลักษณะอาการของตัวละครเมื่อเสียใจ หรือผิดหวัง

                                        ฯ๑๐คำฯ

          (ร่าย)เมื่อนั้น                     โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
          ค้อนให้ไม่แลดูสารา             กัลยาคั่งแค้นแน่นใจ
          แล้วว่าอนิจจาความรัก          พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
          ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป   ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา
          สตรีใดในพิภพจบแดน           ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า
          ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา         จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์
          โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก           เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต
          จะออกชื่อฦาชั่วไปทั่วทิศ      เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร
          เสียแรงหวังฝังฝากชีวี          พระจะมีเมตตาก็หาไม่

        

       
      บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน
                เสภาเป็นบทกลอนชนิดหนึ่งใช้ขับเพื่อความบันเทิง ได้รับความนิยมในหมู่นักเลงกลอนตั้งแต่สมัยอยุธยา และกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งใน สมัยรัชกาลที่ ๒ และ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ผู้แต่งเสภามักจะเลือกหานิทานนิยายเรื่องเล่าที่ตน เคยรู้จัก มาแต่งเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงมีผู้แต่งหลายคน ใครพอใจจะขับเสภาตอนในก็แต่งขึ้นเองเฉพาะตอนที่ตนขับ   ดังนั้น บางตอนจึงมีผู้แต่งหลายคน แต่ละคนจะมีสำนวนเฉพาะตน และมีรายละเอียดแตกต่างกัน เมื่อมีการรวบรวมบทเสภาเป็นเรื่องเดียว จึงต้องมีการตรวจสอบชำระ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นประธานชำระเรื่องขุนช้างขุนแผน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ และได้ทรงวินิจฉัยเกี่ยวกับผู้แต่งด้วย ปรากฏว่า มีผู้แต่ง    หลายคน เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว   สุนทรภู่ ครูแจ้ง และยังไม่ทราบนามผู้แต่งบทเก่าอีกหลายตอน

                บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวมาก แต่งเป็นบทกลอนซึ่งมีแบบแผนฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ แต่เมื่อขึ้นต้นตอนใหม่ หรือกล่าวถึงบุคคลใหม่ จะใช้คำขึ้นต้นว่า "ครานั้น" เช่น
          ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว
          เย็นแล้วจะไปเทศน์ก็ผลัดผ้า
          ห่มดองครองแนบกับกายา
          แล้วไปวันทาท่านขรัวมี
                บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน บางตอนกล่าวถึงพระมหากษัตริย์บ้าง แต่มิได้ต้องการแสดงเรื่องราวของพระมหากษัตริย์  นับได้ว่าเป็นเรื่องราวของคนไทยแท้ ๆ โดยมิได้ดัดแปลงจากวรรณกรรมของชาติอื่น ตัวละครในเรื่องมีชีวิตจิตใจราวกับคนจริงๆ ที่มีชีวิตอย่างคนธรรมดาซึ่งมีทั้งทุกข์และสุข ความสมหวัง และความผิดหวัง แก่นสำคัญของเรื่องกล่าวถึงรักสามเส้าของขุนแผน ขุนช้าง และนางพิมหรือนางวันทองการดำเนินเรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของตัวละครเอกทั้งสาม ความสมหวังในรักของขุนแผนหรือพลายแก้วกับนางพิม แล้วกลายเป็นการพลัดพรากจากกัน ไปสู่ความสมหวังในรักของขุนช้างที่มีต่อนางพิม เกิดการแย่งชิงความรักกันระหว่างขุนช้างกับขุนแผน การดำเนินเรื่องจะมีการแทรกเรื่องย่อยที่สนุกสนานตื่นเต้นสลับกับความเศร้ารันทด ขณะเดียวกัน ผู้อ่านผู้ฟังเสภาเรื่องนี้จะได้รับสารประโยชน์เกี่ยวกับค่านิยมของคนไทยในด้านไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ประเพณีต่างๆ ลักษณะของชีวิตความเป็นอยู่สำนวนภาษา คำคมที่จับใจ และสุภาษิต การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวอย่างที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ

                ตัวอย่างโวหารแสดงความรัก จากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเดินทางไปกับวันทองในป่า ขุนแผนกล่าวย้ำความรักที่มีต่อวันทอง ดังนี้
          
          "...โอ้แสนสุดสวาทของพี่เอ๋ย
          อย่าคิดเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่
          อันตัวเจ้าท่าเทียมกับดวงใจ
          สิ้นสงสัยแล้วเจ้าอย่าเสียดแทง
          พี่รักเจ้าเท่ากับเมื่อแรกรัก
          ด้วยประจักษ์เห็นใจไม่กินแหนง..."


       
       
       
       
       
       
      ลิลิตตะเลงพ่าย
                เป็นวรรณคดีไทยที่แต่งด้วยถ้อยคำไพเราะและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะกวีได้ตอบสนองรสนิยมของคนไทย ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ชอบวรรณศิลป์ ชอบใช้ถ้อยคำที่คล้องจอง คมคาย และชวนคิด ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นหนังสือที่มีศิลปะการใช้ภาษา ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้ชาติความดีเด่นของลิลิตตะเลงพ่ายคือ การเล่นคำและการใช้โวหารอุปมาอุปไมย เพื่อให้เกิดภาพพจน์ จินตนาการ และสะเทือนอารมณ์ กวีได้สอดแทรกความรู้ต่างๆมากมาย เช่น การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยอยุธยา และยุทธศาสตร์แต่ไม่เคร่งครัดในด้านภูมิศาสตร์ นอกจากนี้กวียังได้นำชื่อนกและชื่อต้นไม้มาใช้ในบทครวญถึงนางตามแบบอย่างลิลิตยวนพ่าย

                สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. ๒๓๓๓ - ๒๓๙๖) ผู้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๔ และทรงครองเพศสมณะจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง  แม้จะทรงมีพระภารกิจด้านศาสนาอยู่มาก แต่ก็ทรงศึกษาหนังสือทั้งด้านศาสนา นิติศาสตร์  โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือได้มากมาย ทางด้านวรรณคดี ทรงมีฝีมือเป็นเลิศในการแต่ง โคลง ฉันท์ และลิลิต

                เนื้อเรื่องของลิลิตตะเลงพ่าย ได้เค้าเรื่องมาจากพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  กล่าวถึงการเสด็จเสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา และมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จไปตีเขมร เพื่อเป็นการแก้แค้นเขมรที่ยกทัพมาตีชายแดนไทย ต่อจากนั้น เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระเจ้าหงสาวดีโปรดให้พระมหาอุปราชากรีฑาทัพมาตีไทย เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ยกทัพเสด็จออกไปทำศึกนอกพระนครระหว่างที่ทัพพม่าปะทะกับทัพหน้าของไทย ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร และของสมเด็จพระเอกาทศรถตกมันวิ่งเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง สมเด็จพระนเรศวรทรงระงับความตกพระทัย และตรัสท้าพระมหาอุปราชากระทำสงครามยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงได้รับชัยชนะ เมื่อเลิกทัพกลับพระนคร สมเด็จพระนเรศวรทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารผู้มีความชอบ และลงโทษประหารทหารที่ติดตามพระองค์ไม่ทัน ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แต่สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วได้กราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ทหารเหล่านั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงยินยอมและโปรดให้ไปทำสงครามแก้ตัว หลังจากนั้นทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่อ ด้วยการทำนุบำรุงหัวเมืองเหนือ และรับทูตจากเมืองเชียงใหม่ที่มาขอเป็นเมืองขึ้น

                ตัวอย่าง โวหารแสดงความโกรธจากลิลิต ตะเลงพ่าย ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปรารภเรื่องที่จะไปปราบเขมร เนื่องจากเขมรมักจะยกทัพมาตีไทยระหว่างที่ไทยมีศึกกับพม่าทรงรู้สึกโกรธและเจ็บช้ำพระทัย ทำให้คิดอะไรก็
      หมดความรื่นรมย์ จึงต้องยกทัพไปปราบให้หายแค้น ดังนี้

           "...คลุ้มกมลแค้นคั่ง ดังหนามเหน็บเจ็บช้ำ ย้ำ
            ยอกทรวงดวงแด แลบชื่นอื่นชม..."
            "...ครานี้กูสองตน ผ่านสกลแผ่นหล้า ควรไป
            ร้ารอนเข็น เห็นมือไทยที่แกล้ว แผ้วภพให้เป็น
            เผื่อน เกลื่อนภพให้เป็นพง..."


       
      สามก๊ก
                หนังสือเรื่องสามก๊กได้รับยกย่องให้เป็นยอดแห่งวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วของไทย

                กล่าวกันว่า เรื่องสามก๊กแต่เดิมเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในประเทศจีน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๔๙) พวกงิ้วได้นำเรื่องสามก๊กมาแสดง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๙๐๐    ตรงกับสมัยสุโขทัย) และสมัยราชวงศ์ไต้เหม็ง  (พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๒๑๘๖) ได้มีการแต่งหนังสือโดยใช้เรื่องพงศาวดารเป็นหลัก นักเขียนผู้หนึ่งชื่อล่อกวนตง ชาวเมืองฮั่งจิ๋ว ได้นำเรื่องสามก๊กมาเขียนใหม่ เรียกว่า "สามก๊กจี่" มีความยาว  ๑๒๐ ตอน ต่อมานักปราชญ์อีก ๒ ท่าน คือ เม่าจงกังกับกิมเสี่ยถ่าง ได้ช่วยกันแต่งคำอธิบายเพิ่มเติมและพิมพ์เรื่องสามก๊กขึ้น เรื่องสามก๊กจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็วภายในประเทศจีน ต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย ซึ่งเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เป็นผู้อำนวยการการแปล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕

                การแปลหนังสือสามก๊กใช้วิธีแปลสองชั้น ชั้นแรก ผู้รู้ภาษาจีนอย่างดีแต่รู้ภาษาไทยเพียงปานกลางได้อย่างต้นฉบับภาษาจีนแล้วถ่ายทอดเป็นภาษาไทย ชั้นที่สองผู้รู้ภาษาไทยอย่างดีได้นำฉบับที่ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้วมาเขียนเป็น  ความเรียง ใช้ภาษาไทยแบบที่คนไทยใช้กันจริงๆ  ยกเว้นเฉพาะชื่อที่เป็นภาษาจีน ดังนั้น ภาษาแปลที่ใช้ในหนังสือสามก๊กจึงเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์จนเป็นแบบอย่างของการบรรยายและพรรณนาที่ให้ภาพที่เด่นชัดแก่ผู้อ่าน และให้ความประทับใจจนมีผู้นำไปใช้ตาม เช่น สำนวนที่ว่า "ว่าแล้วก็ให้จัดโต๊ะสุราอาหารออกมาเลี้ยงกัน" เป็นต้น

                เนื้อเรื่องของสามก๊ก กล่าวถึงการทำสงครามชิงชัยกันระหว่างโจโฉ เล่าปี่ และซุ่นกวนเริ่มเรื่องตั้งแต่กษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอ อำนาจจึงตกอยู่กับขุนนางกังฉิน ทำให้เกิดความระส่ำระสายแตกแยก ต่างรบพุ่งเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน   จนเหลือ ๓ ก๊กใหญ่ คือ วุยก๊ก จ๊กก๊ก และง่อก๊ก ต่างมีอาณาเขตเป็นอิสระ ภายหลังก๊กทั้งสามเสื่อมอำนาจลง มีผู้ตั้งราชวงศ์ใหม่ แผ่นดินจีนจึงกลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียว

                อันที่จริงการแบ่งแยกอาณาเขตและการแย่งชิงอำนาจกันในจีนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดน่าพิศวงเหมือนครั้งสามก๊ก เพราะแต่ละก๊กใช้อุบายต่างๆ เพื่อเอาชนะกัน ทั้งอุบายทางการเมืองการปกครอง และกลยุทธ์ ขณะเดียวกันก็ให้ บทเรียนคติธรรมในการดำเนินชีวิต และการทำงานตัวละครสำคัญในเรื่องมีบทบาทและพฤติกรรมที่เหมือนจริง ซึ่งมีทั้งดีและเลวปะปนกัน

                การแปลเรื่องสามก๊กเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลเรื่องจีนอื่นๆในสมัยต่อมา เช่น เรื่องไซ่ฮั่น ซ้องกั๋ง เป็นต้น

      ตัวอย่าง การบรรยายลักษณะของเล่าปี่
                "...แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือ แต่มีน้ำใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฏออกมาภายนอก ใจนั้นอารีย์นักมีเพื่อนฝูงมากใจกว้างขวาง หมายจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงกอปด้วยลักษณะรูปใหญ่สมบูรณ์ สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้มจักษุชำเลืองไปเห็นหู..."


       
      พระราชพิธีสิบสองเดือน
                หนังสือเรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากวรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ว่าเป็นยอดของความเรียงอธิบาย

                พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ลงพิมพ์ในนิตยสารวชิรญาณรายสัปดาห์ก่อน แล้วจึงรวมพิมพ์เป็นเล่มภายหลัง

                เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชพิธีต่างๆที่กระทำในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี ทรงอธิบายตำราเดิมของพระราชพิธี การแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเลิกพิธี เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ยกเว้น พิธี เดือน ๑๑ ที่มิได้รวมไว้ ทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลทั้งจากตำราและจากคำบอกเล่าของบุคคล เช่น  พระมหาราชครู พราหมณ์ผู้ทำพิธี และจากการสังเกตเหตุการณ์ที่ทรงคุ้นเคย นับได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทางด้านสังคมศาสตร์ ทรงใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเขียนอธิบายตามลำดับจากง่ายไปสู่ยาก จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เหมาะสมกับการเป็นคำอธิบายชี้แจงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
                 ตัวอย่าง พระราชพิธีลอยพระประทีป
        "การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เป็น
          นักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่
          เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธี
          อย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์
          อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น
          เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า ตรงกับคำว่าลอยโคมลงน้ำ
          เช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นราชประเพณี
          ซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ..."


       
       
      นิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี
                นิทานคำกลอนได้รับความนิยมมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยอยุธยา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเรื่องจักรๆวงศ์ๆ หรือนิทานประโลมโลก คำว่า  "จักร" และ "วงศ์" เป็นคำประกอบชื่อตัวเอกของเรื่อง เช่น จักรแก้ว ลักษณวงศ์ สุวรรณวงศ์ซึ่งมีความหมายแสดงถึงความมีค่าหรือของสูงตรงกับรสนิยมของคนไทย แต่ก่อนนิทานคำกลอนแต่งด้วยกาพย์และกลอนสวดคละกัน เริ่มนิยมแต่งเป็นคำกลอนในสมัยรัชกาลที่ ๓ มาจนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังจะเห็นได้จากนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี

                เนื้อเรื่องของนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีกล่าวถึงเรื่องราวชีวิตและการผจญภัยที่สนุกสนาน ตื่นเต้น มีทั้งสุขและทุกข์ของตัวเอก คือ พระอภัยมณี ซึ่งมีลักษณะที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากตัวเอกในเรื่องอื่นๆ ที่คนไทยเคยได้ยินได้ฟัง เช่น พระอภัยมณีเดินทางเข้าป่าเพื่อศึกษาหาความรู้เยี่ยงกษัตริย์ในสมัยนั้น แต่มิได้เรียนวิชาศิลปศาสตร์ กลับเรียนวิชาเป่าปีซึ่งสามารถสะกดคนฟังให้หลับได้ ศรีสุวรรณซึ่งเป็นพระอนุชาของพระอภัยมณีก็เลือกเรียนวิชากระบี่กระบอง การผจญภัยที่ตื่นเต้นของพระอภัยมณี เริ่มด้วยพระอภัยมณีถูกนางผีเสื้อสมุทรลักพาไปอยู่กินกับนางในถ้ำใต้น้ำ จนกระทั่งนางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อ สินสมุทร ซึ่งมีฤทธิ์และความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา สามารถพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรไปสู่อิสรภาพได้ขณะว่ายน้ำหนี ได้มีครอบครัวเงือกช่วยพาไปยังเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยมณีได้เงือกสาวเป็นชายา และมีบุตรชายชื่อ สุดสาคร การผจญภัยของพระอภัยมณีครั้งต่อไปเป็นการสู้รบกับอุศเรนคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี พอได้รับชัยชนะก็เดินทางไปยังเมืองผลึก และอภิเษกสมรสกับนางสุวรรณมาลี นางละเวงขึ้นครองเมืองลังกาและคิดทำศึกกับเมืองผลึก นางใช้ไสยศาสตร์เป็นอาวุธทำให้พระอภัยมณีคลุ้มคลั่ง และถูกนางละเวงหลอกไปจนถึงเมืองลังกา ต่อมา พระอภัยมณีเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตทางโลก จึงออกบวชเป็นฤาษี นางสุวรรณมาลีกับนางละเวงก็ออกบวชเป็นชี ส่วนสินสมุทรได้ครองเมืองผลึก และสุดสาครได้ครองเมืองลังกา เรื่องก็จบลงด้วยความสุขตามแบบฉบับของวรรณกรรมนิทาน

                ความแปลกใหม่และความสนุกสนานที่ได้รับทำให้นิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีเป็นที่ติดใจผู้อ่านผู้ฟังอย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดจินตนาการที่น่าตื่นเต้นระทึกใจ เช่น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การผูกสำเภายนต์ การสร้างตัวละครที่มีลักษณะครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ การใช้เวทมนตร์คาถา เป็นต้น ทำให้นิทานคำกลอนมีหลายรส ขณะเดียวกัน สุนทรภู่ กวีผู้แต่งนิทานคำกลอนได้แทรกคติชีวิตได้ทุกตอนอย่างเหมาะสม เช่น สอนให้มีความกตัญญูต่อบิดามารดา และสอนให้หยั่งรู้ถึงธรรมชาติจิตใจคน ปรากฏในตอนที่สุดสาครถูกผลักตกเหว เพราะหลงเชื่อชีเปลือย ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ดังนี้
          
          "...แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
          มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
          ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
          ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
          มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
          บิดามารดารักมักเป็นผล

                 คุณค่าเด่นด้านอื่นๆของนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีคือ ให้ความรู้และขยายโลกทัศน์เกี่ยวกับสงคราม ทั้งสงครามที่สู้กันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ และการใช้เสียงปี่ ซึ่งตีความว่าคือ เสียงสื่อสารมวลชน หรือการใช้ข่าวเป็นอาวุธ ทำลายฝ่ายตรงข้าม ดังที่ปรากฏในสมัยสงครามโลกและแม้จะไม่มีสงครามแล้ว ข่าวก็ยังเป็นอาวุธที่ใช้ทำลายล้างกันได้

                วรรณคดีมรดกไทยเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติ เพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งการสร้างสรรค์ภูมิปัญญา ให้ความรู้รอบตัว และความรู้ที่เป็นศาสตร์ ดังนั้น จึงมีผู้นิยมศึกษาวรรณคดีเพื่อเป็นภูมิความรู้ประดับตน

                นอกจากนี้ วรรรณคดีไทยยังเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของคนหลายกลุ่มหลายยุคสมัย ทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์วัฒนธรรม ซึ่งบ่งชี้ถึงความเจริญของชนชาติไทยทั้งทางด้านภาษาและศิลปะ ดังนั้น การรู้จักวรรณคดีไทยด้วยการอ่านและศึกษาจึงนำคุณประโยชน์มาสู่ตนเองและประเทศชาติโดยส่วนรวม





      บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑
                เป็นบทละครที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ครบถ้วนประกอบด้วยเรื่องน่ารู้ และเรื่องแทรกที่สนุกสนานทั้งยังนำมาปรับปรุงเป็นบทสำหรับการเล่นละครได้อย่างดี ละครไทยแท้ๆ แต่เดิมมักจะเป็นละครรำที่มีท่ารำบอกถึงเรื่องราวตามบทร้อง ดังนั้น ท่า รำและบทร้องจึงมีความหมายสอดคล้องต้องกันทั้งยังเข้ากับทำนองเพลงต่างๆที่ให้ไว้ด้วย เช่น เพลงช้า กราวนอก เสมอ โอด เป็นต้น

                พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นเพื่อใช้ในพิธีสมโภชพระนครใหม่  คือ กรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๒๙ เนื้อเรื่องประกอบด้วยเรื่องราวน่ารู้ต่างๆ เริ่มด้วยหิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน และกำเนิดตัวละครสำคัญๆทั้งฝ่ายยักษ์ ลิง และมนุษย์ แล้วจึงดำเนินเรื่องการสู้รบระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ซึ่งต้องสู้รบกันหลายครั้งกว่าจะได้ชัยชนะเด็ดขาด   ประกอบด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและเรื่องแทรกที่สนุกสนานบันเทิง เสริมด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องราวมีสีสันเหมาะสมกับการแสดงละคร ทั้งยังให้คติธรรมที่ว่า ธรรมย่อมชนะอธรรม และยกย่องความซื่อสัตย์ ความกตัญญู บทละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยทุกยุคทุกสมัย

                ตัวอย่าง จากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนกุมภกรรณลับหอกโมกขศักดิ์ บอกชื่อเพลงโอด ดังนี้

                           ฯ๒คำฯ โอด
               เมื่อนั้น                       ทศเศียรสุริยวงศ์รังสรรค์
        เห็นน้องท้าวเจ็บปวดจาบัลย์   กุมภัณฑ์ตระหนกตกใจ
          จึ่งมีพระราชบัญชา            เจ้าผู้ฤทธาแผ่นดินไหว
       ออกไปรณรงค์ด้วยพวกภัย       เหตุใดจึ่งเป็นดั่งนี้ฯ


       
       
       
       
      บทละคร
                ใช้เป็นบทประกอบการแสดงละคร ประกอบด้วยบทสนทนาที่ดำเนินไปตามท้องเรื่องและรูปแบบของการแสดงไทยมีละครหลายชนิดทั้งละครร้อง ละครรำ ละครใน ละครนอก โขน  หนังตะลุง ลิเก ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีละครพูด ดังนั้น จึงยังไม่แบ่งเนื้อเรื่องเป็นฉากไม่มีการกล่าวถึงฉากและการจัดฉากให้เห็นจริงเดิมละครไทยจะแสดงเฉพาะบางตอนเท่านั้น ไม่ได้แสดงตลอดทั้งเรื่อง เช่น เรื่องรามเกียรติ์ตอนสีดาหาย ตอนหนุมานจองถนน เรื่องอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง ตอนอิเหนาเผาเมือง ตอนอิเหนาตามบุษบา เป็นต้น จนกระทั่งไทยได้แบบอย่างจากตะวันตก จึงมีการปรับปรุงละครไทยขึ้นใหม่หลายรูปแบบ และเรียกชื่อต่างๆกัน เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์   ละครร้องล้วนๆ ละครสังคีต ละครพูด

                 นอกจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ แล้ว ยังมีบทละครที่เป็นวรรณคดีมรดกที่มีคุณค่าอีกมาก เช่น  บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


       
       
      บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒
                เป็นบทละครที่มีคุณค่าสมควรรักษาไว้เป็นมรดกไทย ประกอบด้วยศิลปะในการแต่งที่ประณีต บทละครมีขนาดกะทัดรัด รักษาขนบในการชมเมืองที่ได้แบบอย่างจากเรื่องรามเกียรติ์และเน้น องค์ห้าของละครดี จนกลายเป็นแบบ แผนของการแต่งบทละครในสมัยหลัง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงยกย่องว่าบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ เป็นบทละครที่ครบองค์ห้าของละครดี คือ
                ๑. ตัวละครงาม (หมายถึง เครื่องแต่งตัวหรือรูปร่าง)
                ๒. รำงาม
                ๓. ร้องเพราะ
                ๔. พิณพาทย์เพราะ
                ๕. กลอนเพราะ

      พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  (ครองราชย์ปี พ.ศ ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณความดีทั้งในด้านการปกครอง การสาธารณสุขและศิลปวัฒนธรรมหลายด้าน เช่น ด้านสถาปัตยกรรม ดนตรี วรรณคดี และการละคร

                เนื้อเรื่องของบทละครเรื่องอิเหนามาจากพงศาวดารชวา กล่าวถึงกษัตริย์วงศ์เทวัญสื่อองค์ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และครองนคร ๔ นคร คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี อิเหนาแห่งเมืองกุเปันได้หมั้นหมายกับบุษบาราชธิดาเมืองดาหา ต่อมาได้พบกับจินตะหราก็หลงรักเมื่อถูกบังคับให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับบุษบา จึงลอบหนีออกจากเมืองไปหาจินตะหรา จนกระทั่งเมื่ออิเหนาไปช่วยท้าวดาหารบกับท้าวกะหมังกุหนิงและได้พบบุษบาก็หลงรัก จึงทำอุบายเผาเมืองดาหา แล้วลักพาบุษบาไป ท้าวอสัญแดหวาโกธรแค้นในการกระทำอันมิชอบของอิเหนา จึงบันดาลให้ลมหอบบุษบาไปตกที่แคว้นปะมอตันอิเหนาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายระหว่างตามหาบุษบา จนกระทั่งได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส เรื่องจึงจบลงด้วยความสุข

                คุณค่าพิเศษของบทละครเรื่องอิเหนาซึ่งเป็นวรรณคดีมรดกนี้คือ ความบันเทิงอย่างสมบูรณ์ที่ได้จากบทละครร้อยกรองประเภทละครรำ ทุกองค์ประกอบของบทละคร เช่น ท่ารำและทำนองเพลงมีความสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน บทชม โฉมก็สัมพันธ์กับการทรงเครื่อง ทุกอย่างสามารถกำหนดได้บนเวทีละครอย่างสมเหตุสมผล ก่อให้เกิดประเพณีการละคร โดยเฉพาะละครใน การดำเนินเรื่อง การแต่งบทร้อง ความยาวของบทเข้ากับลีลาท่ารำ นับเป็นศิลปะการแสดงที่ประณีต งดงามยิ่งของละครไทย

                ตัวอย่าง คำประพันธ์ที่แสดงให้เห็นลักษณะอาการของตัวละครเมื่อเสียใจ หรือผิดหวัง

                                        ฯ๑๐คำฯ

          (ร่าย)เมื่อนั้น                     โฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
          ค้อนให้ไม่แลดูสารา             กัลยาคั่งแค้นแน่นใจ
          แล้วว่าอนิจจาความรัก          พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
          ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป   ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา
          สตรีใดในพิภพจบแดน           ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า
          ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา         จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์
          โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก           เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต
          จะออกชื่อฦาชั่วไปทั่วทิศ      เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร
          เสียแรงหวังฝังฝากชีวี          พระจะมีเมตตาก็หาไม่

        

       
      บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน
                เสภาเป็นบทกลอนชนิดหนึ่งใช้ขับเพื่อความบันเทิง ได้รับความนิยมในหมู่นักเลงกลอนตั้งแต่สมัยอยุธยา และกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งใน สมัยรัชกาลที่ ๒ และ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ผู้แต่งเสภามักจะเลือกหานิทานนิยายเรื่องเล่าที่ตน เคยรู้จัก มาแต่งเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงมีผู้แต่งหลายคน ใครพอใจจะขับเสภาตอนในก็แต่งขึ้นเองเฉพาะตอนที่ตนขับ   ดังนั้น บางตอนจึงมีผู้แต่งหลายคน แต่ละคนจะมีสำนวนเฉพาะตน และมีรายละเอียดแตกต่างกัน เมื่อมีการรวบรวมบทเสภาเป็นเรื่องเดียว จึงต้องมีการตรวจสอบชำระ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นประธานชำระเรื่องขุนช้างขุนแผน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ และได้ทรงวินิจฉัยเกี่ยวกับผู้แต่งด้วย ปรากฏว่า มีผู้แต่ง    หลายคน เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว   สุนทรภู่ ครูแจ้ง และยังไม่ทราบนามผู้แต่งบทเก่าอีกหลายตอน

                บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวมาก แต่งเป็นบทกลอนซึ่งมีแบบแผนฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ แต่เมื่อขึ้นต้นตอนใหม่ หรือกล่าวถึงบุคคลใหม่ จะใช้คำขึ้นต้นว่า "ครานั้น" เช่น
          ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว
          เย็นแล้วจะไปเทศน์ก็ผลัดผ้า
          ห่มดองครองแนบกับกายา
          แล้วไปวันทาท่านขรัวมี
                บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน บางตอนกล่าวถึงพระมหากษัตริย์บ้าง แต่มิได้ต้องการแสดงเรื่องราวของพระมหากษัตริย์  นับได้ว่าเป็นเรื่องราวของคนไทยแท้ ๆ โดยมิได้ดัดแปลงจากวรรณกรรมของชาติอื่น ตัวละครในเรื่องมีชีวิตจิตใจราวกับคนจริงๆ ที่มีชีวิตอย่างคนธรรมดาซึ่งมีทั้งทุกข์และสุข ความสมหวัง และความผิดหวัง แก่นสำคัญของเรื่องกล่าวถึงรักสามเส้าของขุนแผน ขุนช้าง และนางพิมหรือนางวันทองการดำเนินเรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของตัวละครเอกทั้งสาม ความสมหวังในรักของขุนแผนหรือพลายแก้วกับนางพิม แล้วกลายเป็นการพลัดพรากจากกัน ไปสู่ความสมหวังในรักของขุนช้างที่มีต่อนางพิม เกิดการแย่งชิงความรักกันระหว่างขุนช้างกับขุนแผน การดำเนินเรื่องจะมีการแทรกเรื่องย่อยที่สนุกสนานตื่นเต้นสลับกับความเศร้ารันทด ขณะเดียวกัน ผู้อ่านผู้ฟังเสภาเรื่องนี้จะได้รับสารประโยชน์เกี่ยวกับค่านิยมของคนไทยในด้านไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ประเพณีต่างๆ ลักษณะของชีวิตความเป็นอยู่สำนวนภาษา คำคมที่จับใจ และสุภาษิต การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวอย่างที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ

                ตัวอย่างโวหารแสดงความรัก จากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเดินทางไปกับวันทองในป่า ขุนแผนกล่าวย้ำความรักที่มีต่อวันทอง ดังนี้
          
          "...โอ้แสนสุดสวาทของพี่เอ๋ย
          อย่าคิดเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่
          อันตัวเจ้าท่าเทียมกับดวงใจ
          สิ้นสงสัยแล้วเจ้าอย่าเสียดแทง
          พี่รักเจ้าเท่ากับเมื่อแรกรัก
          ด้วยประจักษ์เห็นใจไม่กินแหนง..."


       
       
       
       
       
       
      ลิลิตตะเลงพ่าย
                เป็นวรรณคดีไทยที่แต่งด้วยถ้อยคำไพเราะและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะกวีได้ตอบสนองรสนิยมของคนไทย ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ชอบวรรณศิลป์ ชอบใช้ถ้อยคำที่คล้องจอง คมคาย และชวนคิด ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นหนังสือที่มีศิลปะการใช้ภาษา ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้ชาติความดีเด่นของลิลิตตะเลงพ่ายคือ การเล่นคำและการใช้โวหารอุปมาอุปไมย เพื่อให้เกิดภาพพจน์ จินตนาการ และสะเทือนอารมณ์ กวีได้สอดแทรกความรู้ต่างๆมากมาย เช่น การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยอยุธยา และยุทธศาสตร์แต่ไม่เคร่งครัดในด้านภูมิศาสตร์ นอกจากนี้กวียังได้นำชื่อนกและชื่อต้นไม้มาใช้ในบทครวญถึงนางตามแบบอย่างลิลิตยวนพ่าย

                สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. ๒๓๓๓ - ๒๓๙๖) ผู้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๔ และทรงครองเพศสมณะจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง  แม้จะทรงมีพระภารกิจด้านศาสนาอยู่มาก แต่ก็ทรงศึกษาหนังสือทั้งด้านศาสนา นิติศาสตร์  โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือได้มากมาย ทางด้านวรรณคดี ทรงมีฝีมือเป็นเลิศในการแต่ง โคลง ฉันท์ และลิลิต

                เนื้อเรื่องของลิลิตตะเลงพ่าย ได้เค้าเรื่องมาจากพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  กล่าวถึงการเสด็จเสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา และมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จไปตีเขมร เพื่อเป็นการแก้แค้นเขมรที่ยกทัพมาตีชายแดนไทย ต่อจากนั้น เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระเจ้าหงสาวดีโปรดให้พระมหาอุปราชากรีฑาทัพมาตีไทย เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ยกทัพเสด็จออกไปทำศึกนอกพระนครระหว่างที่ทัพพม่าปะทะกับทัพหน้าของไทย ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร และของสมเด็จพระเอกาทศรถตกมันวิ่งเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง สมเด็จพระนเรศวรทรงระงับความตกพระทัย และตรัสท้าพระมหาอุปราชากระทำสงครามยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงได้รับชัยชนะ เมื่อเลิกทัพกลับพระนคร สมเด็จพระนเรศวรทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารผู้มีความชอบ และลงโทษประหารทหารที่ติดตามพระองค์ไม่ทัน ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แต่สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วได้กราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ทหารเหล่านั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงยินยอมและโปรดให้ไปทำสงครามแก้ตัว หลังจากนั้นทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่อ ด้วยการทำนุบำรุงหัวเมืองเหนือ และรับทูตจากเมืองเชียงใหม่ที่มาขอเป็นเมืองขึ้น

                ตัวอย่าง โวหารแสดงความโกรธจากลิลิต ตะเลงพ่าย ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปรารภเรื่องที่จะไปปราบเขมร เนื่องจากเขมรมักจะยกทัพมาตีไทยระหว่างที่ไทยมีศึกกับพม่าทรงรู้สึกโกรธและเจ็บช้ำพระทัย ทำให้คิดอะไรก็
      หมดความรื่นรมย์ จึงต้องยกทัพไปปราบให้หายแค้น ดังนี้

           "...คลุ้มกมลแค้นคั่ง ดังหนามเหน็บเจ็บช้ำ ย้ำ
            ยอกทรวงดวงแด แลบชื่นอื่นชม..."
            "...ครานี้กูสองตน ผ่านสกลแผ่นหล้า ควรไป
            ร้ารอนเข็น เห็นมือไทยที่แกล้ว แผ้วภพให้เป็น
            เผื่อน เกลื่อนภพให้เป็นพง..."


       
      สามก๊ก
                หนังสือเรื่องสามก๊กได้รับยกย่องให้เป็นยอดแห่งวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วของไทย

                กล่าวกันว่า เรื่องสามก๊กแต่เดิมเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในประเทศจีน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๔๙) พวกงิ้วได้นำเรื่องสามก๊กมาแสดง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๙๐๐    ตรงกับสมัยสุโขทัย) และสมัยราชวงศ์ไต้เหม็ง  (พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๒๑๘๖) ได้มีการแต่งหนังสือโดยใช้เรื่องพงศาวดารเป็นหลัก นักเขียนผู้หนึ่งชื่อล่อกวนตง ชาวเมืองฮั่งจิ๋ว ได้นำเรื่องสามก๊กมาเขียนใหม่ เรียกว่า "สามก๊กจี่" มีความยาว  ๑๒๐ ตอน ต่อมานักปราชญ์อีก ๒ ท่าน คือ เม่าจงกังกับกิมเสี่ยถ่าง ได้ช่วยกันแต่งคำอธิบายเพิ่มเติมและพิมพ์เรื่องสามก๊กขึ้น เรื่องสามก๊กจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็วภายในประเทศจีน ต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย ซึ่งเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เป็นผู้อำนวยการการแปล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕

                การแปลหนังสือสามก๊กใช้วิธีแปลสองชั้น ชั้นแรก ผู้รู้ภาษาจีนอย่างดีแต่รู้ภาษาไทยเพียงปานกลางได้อย่างต้นฉบับภาษาจีนแล้วถ่ายทอดเป็นภาษาไทย ชั้นที่สองผู้รู้ภาษาไทยอย่างดีได้นำฉบับที่ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้วมาเขียนเป็น  ความเรียง ใช้ภาษาไทยแบบที่คนไทยใช้กันจริงๆ  ยกเว้นเฉพาะชื่อที่เป็นภาษาจีน ดังนั้น ภาษาแปลที่ใช้ในหนังสือสามก๊กจึงเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์จนเป็นแบบอย่างของการบรรยายและพรรณนาที่ให้ภาพที่เด่นชัดแก่ผู้อ่าน และให้ความประทับใจจนมีผู้นำไปใช้ตาม เช่น สำนวนที่ว่า "ว่าแล้วก็ให้จัดโต๊ะสุราอาหารออกมาเลี้ยงกัน" เป็นต้น

                เนื้อเรื่องของสามก๊ก กล่าวถึงการทำสงครามชิงชัยกันระหว่างโจโฉ เล่าปี่ และซุ่นกวนเริ่มเรื่องตั้งแต่กษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอ อำนาจจึงตกอยู่กับขุนนางกังฉิน ทำให้เกิดความระส่ำระสายแตกแยก ต่างรบพุ่งเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน   จนเหลือ ๓ ก๊กใหญ่ คือ วุยก๊ก จ๊กก๊ก และง่อก๊ก ต่างมีอาณาเขตเป็นอิสระ ภายหลังก๊กทั้งสามเสื่อมอำนาจลง มีผู้ตั้งราชวงศ์ใหม่ แผ่นดินจีนจึงกลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียว

                อันที่จริงการแบ่งแยกอาณาเขตและการแย่งชิงอำนาจกันในจีนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดน่าพิศวงเหมือนครั้งสามก๊ก เพราะแต่ละก๊กใช้อุบายต่างๆ เพื่อเอาชนะกัน ทั้งอุบายทางการเมืองการปกครอง และกลยุทธ์ ขณะเดียวกันก็ให้ บทเรียนคติธรรมในการดำเนินชีวิต และการทำงานตัวละครสำคัญในเรื่องมีบทบาทและพฤติกรรมที่เหมือนจริง ซึ่งมีทั้งดีและเลวปะปนกัน

                การแปลเรื่องสามก๊กเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลเรื่องจีนอื่นๆในสมัยต่อมา เช่น เรื่องไซ่ฮั่น ซ้องกั๋ง เป็นต้น

      ตัวอย่าง การบรรยายลักษณะของเล่าปี่
                "...แลเมืองตุ้นก้วนมีชายคนหนึ่งชื่อเล่าปี่เมื่อน้อยชื่อเหี้ยนเต๊ก ก็ไม่สู้รักเรียนหนังสือ แต่มีน้ำใจนั้นดี ความโกรธความยินดีมิได้ปรากฏออกมาภายนอก ใจนั้นอารีย์นักมีเพื่อนฝูงมากใจกว้างขวาง หมายจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงกอปด้วยลักษณะรูปใหญ่สมบูรณ์ สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้มจักษุชำเลืองไปเห็นหู..."


       
      พระราชพิธีสิบสองเดือน
                หนังสือเรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากวรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ว่าเป็นยอดของความเรียงอธิบาย

                พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ลงพิมพ์ในนิตยสารวชิรญาณรายสัปดาห์ก่อน แล้วจึงรวมพิมพ์เป็นเล่มภายหลัง

                เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชพิธีต่างๆที่กระทำในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี ทรงอธิบายตำราเดิมของพระราชพิธี การแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเลิกพิธี เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ยกเว้น พิธี เดือน ๑๑ ที่มิได้รวมไว้ ทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลทั้งจากตำราและจากคำบอกเล่าของบุคคล เช่น  พระมหาราชครู พราหมณ์ผู้ทำพิธี และจากการสังเกตเหตุการณ์ที่ทรงคุ้นเคย นับได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทางด้านสังคมศาสตร์ ทรงใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเขียนอธิบายตามลำดับจากง่ายไปสู่ยาก จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เหมาะสมกับการเป็นคำอธิบายชี้แจงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
                 ตัวอย่าง พระราชพิธีลอยพระประทีป
        "การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เป็น
          นักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่
          เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธี
          อย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์
          อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น
          เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า ตรงกับคำว่าลอยโคมลงน้ำ
          เช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นราชประเพณี
          ซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ..."


       
       
      นิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี
                นิทานคำกลอนได้รับความนิยมมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยอยุธยา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเรื่องจักรๆวงศ์ๆ หรือนิทานประโลมโลก คำว่า  "จักร" และ "วงศ์" เป็นคำประกอบชื่อตัวเอกของเรื่อง เช่น จักรแก้ว ลักษณวงศ์ สุวรรณวงศ์ซึ่งมีความหมายแสดงถึงความมีค่าหรือของสูงตรงกับรสนิยมของคนไทย แต่ก่อนนิทานคำกลอนแต่งด้วยกาพย์และกลอนสวดคละกัน เริ่มนิยมแต่งเป็นคำกลอนในสมัยรัชกาลที่ ๓ มาจนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังจะเห็นได้จากนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี

                เนื้อเรื่องของนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีกล่าวถึงเรื่องราวชีวิตและการผจญภัยที่สนุกสนาน ตื่นเต้น มีทั้งสุขและทุกข์ของตัวเอก คือ พระอภัยมณี ซึ่งมีลักษณะที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากตัวเอกในเรื่องอื่นๆ ที่คนไทยเคยได้ยินได้ฟัง เช่น พระอภัยมณีเดินทางเข้าป่าเพื่อศึกษาหาความรู้เยี่ยงกษัตริย์ในสมัยนั้น แต่มิได้เรียนวิชาศิลปศาสตร์ กลับเรียนวิชาเป่าปีซึ่งสามารถสะกดคนฟังให้หลับได้ ศรีสุวรรณซึ่งเป็นพระอนุชาของพระอภัยมณีก็เลือกเรียนวิชากระบี่กระบอง การผจญภัยที่ตื่นเต้นของพระอภัยมณี เริ่มด้วยพระอภัยมณีถูกนางผีเสื้อสมุทรลักพาไปอยู่กินกับนางในถ้ำใต้น้ำ จนกระทั่งนางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อ สินสมุทร ซึ่งมีฤทธิ์และความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา สามารถพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรไปสู่อิสรภาพได้ขณะว่ายน้ำหนี ได้มีครอบครัวเงือกช่วยพาไปยังเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยมณีได้เงือกสาวเป็นชายา และมีบุตรชายชื่อ สุดสาคร การผจญภัยของพระอภัยมณีครั้งต่อไปเป็นการสู้รบกับอุศเรนคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี พอได้รับชัยชนะก็เดินทางไปยังเมืองผลึก และอภิเษกสมรสกับนางสุวรรณมาลี นางละเวงขึ้นครองเมืองลังกาและคิดทำศึกกับเมืองผลึก นางใช้ไสยศาสตร์เป็นอาวุธทำให้พระอภัยมณีคลุ้มคลั่ง และถูกนางละเวงหลอกไปจนถึงเมืองลังกา ต่อมา พระอภัยมณีเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตทางโลก จึงออกบวชเป็นฤาษี นางสุวรรณมาลีกับนางละเวงก็ออกบวชเป็นชี ส่วนสินสมุทรได้ครองเมืองผลึก และสุดสาครได้ครองเมืองลังกา เรื่องก็จบลงด้วยความสุขตามแบบฉบับของวรรณกรรมนิทาน

                ความแปลกใหม่และความสนุกสนานที่ได้รับทำให้นิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีเป็นที่ติดใจผู้อ่านผู้ฟังอย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดจินตนาการที่น่าตื่นเต้นระทึกใจ เช่น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การผูกสำเภายนต์ การสร้างตัวละครที่มีลักษณะครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ การใช้เวทมนตร์คาถา เป็นต้น ทำให้นิทานคำกลอนมีหลายรส ขณะเดียวกัน สุนทรภู่ กวีผู้แต่งนิทานคำกลอนได้แทรกคติชีวิตได้ทุกตอนอย่างเหมาะสม เช่น สอนให้มีความกตัญญูต่อบิดามารดา และสอนให้หยั่งรู้ถึงธรรมชาติจิตใจคน ปรากฏในตอนที่สุดสาครถูกผลักตกเหว เพราะหลงเชื่อชีเปลือย ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ดังนี้
          
          "...แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
          มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
          ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
          ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
          มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
          บิดามารดารักมักเป็นผล

                 คุณค่าเด่นด้านอื่นๆของนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีคือ ให้ความรู้และขยายโลกทัศน์เกี่ยวกับสงคราม ทั้งสงครามที่สู้กันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ และการใช้เสียงปี่ ซึ่งตีความว่าคือ เสียงสื่อสารมวลชน หรือการใช้ข่าวเป็นอาวุธ ทำลายฝ่ายตรงข้าม ดังที่ปรากฏในสมัยสงครามโลกและแม้จะไม่มีสงครามแล้ว ข่าวก็ยังเป็นอาวุธที่ใช้ทำลายล้างกันได้

                วรรณคดีมรดกไทยเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติ เพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งการสร้างสรรค์ภูมิปัญญา ให้ความรู้รอบตัว และความรู้ที่เป็นศาสตร์ ดังนั้น จึงมีผู้นิยมศึกษาวรรณคดีเพื่อเป็นภูมิความรู้ประดับตน

                นอกจากนี้ วรรรณคดีไทยยังเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของคนหลายกลุ่มหลายยุคสมัย ทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์วัฒนธรรม ซึ่งบ่งชี้ถึงความเจริญของชนชาติไทยทั้งทางด้านภาษาและศิลปะ ดังนั้น การรู้จักวรรณคดีไทยด้วยการอ่านและศึกษาจึงนำคุณประโยชน์มาสู่ตนเองและประเทศชาติโดยส่วนรวม





      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      "ชอบมาก แต่ชื่อเรื่องเขียนผิด"

      (แจ้งลบ)

      ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้ ... อ่านเพิ่มเติม

      ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้   อ่านน้อยลง

      ดรีมมี่เองจ้า | 10 มี.ค. 53

      • 2

      • 0

      คำนิยมล่าสุด

      "ชอบมาก แต่ชื่อเรื่องเขียนผิด"

      (แจ้งลบ)

      ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้ ... อ่านเพิ่มเติม

      ขอคุณที่เอามาลงนะครับแต่ว่า เขียนผิดอ่ะ ที่จริงต้องวรรณคดีไม่ใช่วรรคดี ทีหลังต้องสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาด้วยนะครับ และอีกอย่างเราเป็นคนไทยต้องรู้ว่าตัวใหนสะกดอย่างไร ต้องสะกดให้ตรงตามมาตราด้วยนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับ บทความนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ (^_^) ชอบมาก เรื่องนี้   อ่านน้อยลง

      ดรีมมี่เองจ้า | 10 มี.ค. 53

      • 2

      • 0

      ความคิดเห็น

      ×