คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่7 ค่ำคืนแสนหวาน
เหล่าทหารต่างมองตามร่างสูงสง่าของฟาโรห์หนุ่มที่ทรงดำเนินผ่านไปกับองค์หญิงแสนงาม ตอนนี้ภายในพระราชวังหลวง ต่างกล่าวถึงพระสนมองค์ใหม่ที่องค์ฟาโรห์ทรงโปรดนัก หากแต่ยังไม่มีใครที่ได้เห็นพระสิริโฉมของพระสนมองค์นี้เสียที ได้แต่กล่าวกันว่า องค์ฟาโรห์ทรงรัก และทนุถนอมพระสนมองค์นี้มาก จนไม่ยอมให้ผู้ใดได้เห็นพระพักตร์ของพระสนม หากแต่ความลับเรื่องการเปลี่ยนร่างขององค์หญิงตัวน้อย ก็ยังคงเป็นความลับอยู่เพียงภายในตำหนักนี้เท่านั้น ไม่มีใครกล้าเปิดเผยออกไปเพราะเกรงว่าต่อให้มีกี่ชีวิตก็คงไม่พอที่จะรับโทษอันใหญ่หลวงขององค์ฟาโรห์ได้
“ท่านพาข้าเข้ามาที่ห้องนี้ทำไมกัน?”
หลังจากที่เข้ามาแล้วฟาโรห์หนุ่มก็วางเธอลงทำให้ร่างบางถูกต้อนให้จนมุมอีกครั้งแต่คราวนี้เห็นทีว่าเธอคงต้องเสีย มากกว่าผ้าคลุมอย่างตอนแรกเสียแล้ว
“คืนนี้เจ้ากับข้านอนที่ห้องนี้เถอะนะ ส่วนสหายของเจ้าน่ะให้นอนที่ห้องบรรทมนั้นไปก่อนคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เจ้าค่อยไปสนทนากับนางต่อก็แล้วกัน”
ราเมสปลดผ้าคลุมผืนหนาหนักออก ก่อนจะคว้าร่างบางของแพมติดมือไปยังแท่นบรรทมอีกครั้ง
“ไม่เอาๆ ข้าจะไปนอนกับเพื่อนข้า ท่านก็นอนที่นี่คนเดียวซิ”
ราเมสจ้องมองกลับมาด้วยดวงตาวาววามก่อนจะกล่าวออกมาให้เธอต้องหน้าแดงอีกครั้ง
“ไม่.....เจ้าต้องนอนกับข้าเท่านั้น เมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็นเจ้าปฏิเสธเลยมิใช่หรือ?”
“แต่ว่า....”
“ไม่มีแต่หรอก เจ้าเป็นดั่งดวงใจข้า หรือว่าเจ้าเองจะบอกว่าไม่ต้องการข้าเช่นกัน”
ลมหายใจอบอุ่นที่เป่ารดต้นคอทำให้แพมถึงกับคิดอะไรไม่ออก ถ้าคืนนี้ยัยนิดไม่ได้มาที่นี่ป่านนี้เธอคงไปยืนอยู่ที่หน้ากระจกในห้องนอนของเธอที่บ้านของเพื่อนสาวแล้ว และชายที่อยู่ข้างๆ เธอตอนนี้จะทำอย่างไรต่อไป.....
“คืนนี้เจ้าคิดจะจากไปใช่หรือไม่”
จู่ๆ คำถามนี้ก็ออกมาจากริมฝีปากเครียด ทำให้แพมไม่รู้ว่าจะตอบชายหนุ่มว่าอย่างไรดี
“ข้า....ข้าเพียงแค่อยากจะกลับไปทบทวนทุกอย่างดูอีกสักครั้ง ที่อีกฝากฝั่งข้ามีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และก็พวกพี่ๆ ที่ต้องกลับไป หากแต่ ข้าไม่อาจทิ้งท่านเอาไว้เพียงผู้เดียวได้ ข้าทำเรื่องที่ทำร้ายท่านสินะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาก้มลงจุมพิตไปยังหัวไหล่มน ก่อนจะกล่าวออกมา
“อย่างน้อย เจ้าก็ยังมีข้าในหัวใจ ถึงแม้ว่าข้าจะปรารถนาให้เจ้าอยู่ที่นี่ หากแต่ถ้าเจ้าไม่มีความสุข ข้าก็ยินดีที่จะทำตามที่เจ้าต้องการ”
“จริงหรือ? แล้วท่านล่ะ...จะยังไง?”
ราเมสส่งยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดให้กับเธอก่อนจะกล่าวประโยคที่เธอเคยได้ยิน
“เมื่อใดที่ข้าจัดการเรื่องทางนี้ได้อย่างวางใจ วิญญาณของข้าจะโลดแล่นตามเจ้าไปไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ตาม”
นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มได้ตัดสินใจไปแล้ว หากแต่เธอจะยอมให้เขาทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?
“ไม่.....ราเมสท่านต้องอยู่ต่อไปเพื่อข้า เพื่อคนที่รักท่านเช่นกัน”
“เมื่อไม่มีเจ้า ข้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นไรในเมื่อหัวใจของข้าไม่ได้อยู่ที่ข้าอีกต่อไป”
เสียงกระซิบลมหายใจที่เจือกลิ่นเครื่องหอมชั้นสูง ทำให้เธอรู้สึกว่า คืนนี้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา อาจเป็นไปได้ว่า คนเราเมื่อหัวใจสื่อถึงกันจากที่เคยรู้สึกว่ามีกำแพงบางๆ มากั้นเอาไว้ หากแต่ตอนนี้กำแพงนั้นได้พังทลายลง ก่อให้เกิด สิ่งที่เข้มแข็งยิ่งกว่า กำแพงแห่งหัวใจสองดวง
เมื่อใดหัวใจ กระวนกระวายสับสน
หวั่นไหวเพราะใครบางคน โดยไม่มีสาเหตุ
ปล่อยมันเป็นไป และเพียงเราลองเปิดใจ
จะพบว่ามีบางคนพิเศษ เกิดขึ้นในใจเปลี่ยนโลกทันใด
* มหัศจรรย์แห่งรัก สร้างสรรค์พลังอันยิ่งใหญ่
ต่างคนอยู่ไกลแสนไกล กลับมาอยู่เคียงชิดใกล้
ก่อฝันในใจ ด้วยรักและความผูกพัน
เมื่อเธอสบตากับฉัน ต่างพบว่าใจเราไหวหวั่น
เป็นนาทีที่สำคัญ จดจำต่อไปแสนนาน
ตราบวันผ่านฝันภาพยังไม่จางไม่เลือนจากหัวใจ
ดั่งเหมือนถูกแรงดึงดูด ใจเธอกับฉันไว้เคียงคู่กัน
หากเมื่อใดที่กายต้องห่าง
จะอ้างว้างเพียงใดเงียบเหงาในใจเท่าไร
(*)
อบอุ่นดั่งดวงตะวัน อ่อนหวานละมุนดังแสงจันทร์
เมื่อเราเอื้อมมือถึงกัน โลกคล้ายหยุดหมุนชั่วกาล
จะมีเพียงฉันและเธอข้ามผ่านขอบเขตคืนวันอันสวยงาม
มหัศจรรย์แห่งรัก - ต้น ชาญนัฐ พัฒน์กุล
เคยไหม...ที่ครั้งนึ่งเคยมองหาจากคนนับล้านว่าคนที่ใช่ของเรา....อยู่ที่ไหน
เคยไหม....ที่เมื่อมองไปยังด้านข้างแล้วรู้สึกเหงา
เคยไหม....ที่เมื่อพบใครสักคนแล้วอยากอยู่กับคนๆ นั้นไปชั่วชีวิต
เคยไหม....ที่รู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่ไม่มีเขาชีวิตเราช่างขาดสีสัน
เคยไหม....เมื่อมองคนๆ นั้นแล้วอยากจะเห็นตัวเราอยู่ในดวงตาของเขาตลอดไป
เมื่อไหร่ที่เราเพียงแค่มีความรู้สึกอยากอยู่ใกล้เพื่อเคียงข้างและคอยดูแลเขาไปตลอดชีวิต
ความรู้สึกนั้นแหละเรียกว่าความรัก.....อาจต้องใช้เวลา....อาจต้องตามหาชั่วชีวิต
เมื่อไหร่ที่คิดว่าเจอแล้ว จงรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุด
เพราะรักแท้อาจเกิดขึ้นกับใครสักคน แต่ไม่อาจเกิดขึ้นกับใครอีกหลายๆ คนที่ต้องการ....
ความรัก.....ที่ไม่อาจจากกันได้แม้แต่วินาทีเดียว
ริมฝีปากร้อนรุ่มค่อยๆ ประทับลงไปอย่างแผ่วเบา ราวกับจะให้ความร้อนที่ส่งผ่านมานั้นแทรกซึมลงไปในหัวใจของเธอ ร่างสองร่างกอดกระหวัดกันอย่างแนบแน่นราวกับว่ากลัวการพรากจาก ที่จะมาถึงอีกไม่นานนี้ ความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดผ่านสัมผัสอันอ่อนโยนทำให้ร่างบางรู้สึกดีเสียจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
“ข้ารักท่านราเมส ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ใดก็ตามข้าจะรักท่านเสมอ”
แพมค่อยๆ ประคองใบหน้าของราเมสเอาไว้ ก่อนจะมองชายหนุ่มอย่างแสนรัก หากค่ำคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน แพมก็ยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะเก็บวันเวลานี้เอาไว้ในความทรงจำ
ความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิต
“กอดข้าสักครั้งเถอะนะ ให้ข้าได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีท่านอยู่ในตัวของข้า ข้าอยากเป็นของท่าน”
ร่างเปลือยสองร่างที่ทอดกายอยู่บนแท่นบรรทม ร่างหนึ่งขาวนวลเนียนน่าสัมผัส อีกร่างหนึ่งผิวสีคร้ามเต็มได้ด้วยมัดกล้ามวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มกอดกระหวัดรัดร่างบางจนแทบจะจมหายเข้าไปในอก เสียงครวญครางดังแผ่วออกจากริมฝีปากสีชมพูดดุจกลีบกุหลาบ ความร้อนรุ่มที่ถูกโหมกระพือด้วยไฟแห่งราคะ กำลังเผาไหม้คนทั้งคู่
ทุกตารางนิ้วของร่างงามไม่มีส่วนใดที่ชายหนุ่มจะไม่ได้สัมผัส หากแต่ยังใช้โอกาสนี้เอ็นดูทุกซอกทุกมุมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะรู้ดีว่าร่างงามที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดนั้นไม่เคยมือชายมาก่อน
“เจ้าแน่ใจแล้วนะว่าต้องการเช่นนี้ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าผืนใจ ขอให้เจ้าบอกกับข้าอย่าได้ทำในสิ่งที่เจ้าเองไม่ต้องการมัน”
ราเมสกระซิบเสียงพร่า เพราะไฟในอารมณ์ของเขากำลังแผดเผาตัวเขาจนแทบจะหลอมละลายไปเสียตอนนี้
แพมที่ตอนนี้ถูกโลมเล้าด้วยมือและปากจากชายหนุ่ม ริมฝีปากอวบอิ่ม ถูกจุมพิตเสียจนบวมเป่งกลายเป็นสีชมพูระเรื่อยิ่งยั่วยวนใจให้ราเมสประทับจูบลงไปอีกครั้ง
ทรวงอกขาวผ่องที่ล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้าก็ได้รับการเอ็นดูไม่น้อย ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือทั้งคู่กอบกุมเอาไว้ทั้งสองข้างอย่างทนุถนอม และเริ่มเคล้าคลึงอย่างรัญจวนใจ ก่อนจะได้ยินเสียง
“อืม....อา”
ฟาโรห์หนุ่มรู้ดีว่าหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างของเขาในตอนนี้ต้องผ่านความเจ็บปวดในครั้งแรกสักเพียงใด เขาได้แต่พยายามที่จะเบามือกับนางให้มากที่สุด แต่ทว่าร่างงามก็หาได้เป็นใจกับเขาไม่ เมื่อนางเริ่มบิดกายราวกับเชือกที่บิดเป็นเกลียวจนแทบจะขาดออกจากกัน ก็ยิ่งทำให้เขาอยากทำตัวเหมือนดังสัตว์ป่า ใช้ความรักทั้งหมดที่เขามีต่อนางทำให้นางรู้ว่า นางทรมานเขาเพียงใดในแต่ละคืนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน
“ครั้งแรกของสาวพรหมจรรย์เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่ามันจะต้องเจ็บ”
ราเมสค่อยๆ กระซิบที่ริมหูบอบบางที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงเพราะแรงของไฟราคะที่ชายหนุ่มเป็นผู้ปลุกขึ้นในตัวของแพม
“เจ็บมากไหมราเมส”
น้ำเสียงออดอ้อนกลับยิ่งทำให้ราเมสแทบจะอดทนต่อไปไม่ไหว แต่เขารักนาง เขาจะไม่มีวันทำให้นางต้องเจ็บปวดเพราะเขาเป็นอันขาด
“ก็อาจเจ็บ....มากหน่อย”
หลังจากที่นึกถึงเหล่านางสนมที่เคยถวายตัวเป็นครั้งแรก ที่ต้องนอนเป็นไข้อยู่หลายวัน คำว่าเจ็บนิดหน่อยของเขาก็อาจดูเป็นการพูดไม่ตรงไปบ้าง หากแต่ตอนนี้เขากำลังจะต้องตายด้วยไฟปรารถนาในตัวนางเสียเดี๋ยวนี้แล้ว
แพมมองหน้าที่กำลังอดทนของราเมสที่อยู่ตรงหน้า ร่างแข็งแรงของเขากำลังทาบทับเธออยู่ไม่มากนัก เพราะตัวของเขาใหญ่โตเสียจน เธอคิดว่าเธอคงต้องแบนหรือถูกทับตายเป็นแน่ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้
“ท่านกำลังอดทนเพื่อข้าหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกัดฟัน เมื่อความอดทนของเขาใกล้จะถึงขีดสุดเต็มทีแล้ว
“ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถอะนะ ข้ายินดีที่จะเป็นของท่าน”
เสียงเล็กๆ กระซิบเบาๆ อย่างเอียงอาย ก่อนจะซุกหน้าลงไปกับอกแกร่ง เรียกแววตาอ่อนโยนจากดวงตาคมเข้มที่กำลังจ้องมองอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ
“ข้าจะทำให้เบามือที่สุดข้ารับรอง”
ราเมสกระซิบก่อนจะมอบจูบที่ทำให้แพมถึงกับร้องครางเมื่อมันดูดดื่มเสียจนแทบจะนำพาเอาความคิดทุกอย่างของเธอไปเสียหมด ชายหนุ่มค่อยๆ และเล็มซอกคอขาวผ่องทิ้งร่องรอยตีตราเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยฟันคมที่เน้นย้ำเอาไว้
ทรวงอกอวบอิ่มถูกมือแข็งแรงเคล้าคลึงอย่างทนุถนอม ก่อนจะละไปยังสะโพกงอนงาม ร่างกายของหญิงสาวบิดเร้า ก่อนจะร้องออกมาด้วยความรัญจวนใจ เมื่อนิ้วของราเมสเข้าไปอยู่ในตัวเธออย่างอ่อนโยน
เมื่อร่างบางถูกนิ้วของชายหนุ่มรุกราน ร่างบอบบางก็เริ่มดิ้นรนเล็กน้อย เพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเริ่มเข้าครอบงำ
“อะ....ราเมสท่านทำอะไรน่ะ”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเจ็บ ดวงใจข้าเจ้าจงปล่อยตัวตามสบายให้ข้าจัดการเองเถอะนะ”
ฮือๆๆ......ข้าก็อยากจะเชื่อท่านหรอกนะ แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกแปลกๆ ขนาดนี้ อา....
หลังจากที่เตรียมพร้อมให้แพมอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ราเมสก็ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะส่งผ่านความร้อนรุ่มที่กำลังต้องการ การปลดปล่อยให้เข้าสู่ตัวของหญิงสาวที่กำลังนอนระทดระทวยอยู่อย่างรวดเร็ว เพื่อให้นางเจ็บเพียงครั้งเดียว
“โอ๊ย!......”
แพมร้องออกมาเสียงดัง เมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมอันใหญ่โตที่เข้ามาในตัวเธออย่างรุนแรง
“ไม่เป็นไรดวงใจข้า ข้าสัญญาว่าจะเจ็บแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้ปลอบใจหากแต่ความร้อนรุ่มที่กระชับตัวเขาอยู่รอบด้านก็ทำให้ชายหนุ่มต้องปวดร้าวไม่แพ้กันหากแต่ เขาคงต้องอดทนรอเพื่อที่จะให้นางเคยชินกับการที่มีเขาอยู่ในตัวของนาง
“ข้าไม่เจ็บแล้ว”
ราเมสยิ้มอย่างยินดีก่อนจะเริ่มขยับตัว พร้อมกับเสียงที่ดังลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพู
“อืมม..”
ร่างสูงกัดกรามกรอด ก่อนจะส่งตัวเข้าไปในกายของหญิงสาวอย่างรวดเร็วและรุนแรง หญิงสาวถูกแรงกระแทกเสียจนสั่นไหวไปหมดทั้งตัว เพียงครู่เดียวความรู่สึกทั้งมวลก็แตกกระจายออกมาพร้อมกับ เสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยริมฝีปากของชายหนุ่มได้ทันท่วงที
“แฮกๆ จากนี้ไปเจ้าห้ามห่างจากกายข้าไปไหนแม้แต่ก้าวเดียวเข้าใจหรือไม่”
ราเมสกำลังหอบหายใจอยุ่บนเนินอกอวบอิ่มพร้อมกับกล่าวออกมาหลังจากที่ทุกอย่างเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่
“ทำไมล่ะ? ท่านเป็นอะไรไปอีกแล้ว”
“ก็เจ้าหวานไปทั้งตัวเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจให้ผู้อื่นได้เข้าใกล้เจ้าเป็นแน่ หากมีคนมาหลงใหลเจ้าเช่นข้าแล้วจะทำเช่นไรกัน”
ราเมสไม่พูดเปล่าเขากลับแสดงด้วยการกระทำ เสียงหอบหายใจและเสียงครวญครางที่พระจันทร์ยังอายจึงดังขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งตลอดจนเกือบรุ่งเช้า ชายหนุ่มจึงยอมรามือให้แพมได้พักผ่อนหลังจากที่ต้องรับศึกหนักมาทั้งคืน
“เฮ้ออออ......”
เสียงถอนหายใจของนิดเรียกสายตาของเหล่านางข้าหลวงทั้งหลายที่กำลังทำงานอยู่ใกล้ๆ ให้หันมามองโดยเฉพาะฟาเรท
“เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะท่านหญิง”
ในเมื่อนางเป็นพระสหายขององค์หญิง เหล่านางข้าหลวงทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันเรียกขานหญิงที่มาใหม่ว่าท่านหญิง ถึงแม้ว่านางจะทำท่าทางแปลกๆ กับคำเรียกขานเช่นนี้ก็ตาม
“หนู...เอ้ย! ข้า คือว่าข้าจะต้องทำยังไงต่อดีล่ะคะ คือข้าอยากพบยัยแพม....เอ่อองค์หญิงน่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทำไมนิดถึงได้รู้สึกเกรงใจหัวหน้านางข้าหลวงป้าฟาเรทคนนี้นัก เมื่อเช้าหลังจากที่นางเข้ามาแนะนำตัว นิดก็ถูกจับแต่งตัวเหมือนกับเพื่อนสาวไม่มีผิด จะไม่มีก็แต่รัดเกล้าที่แสดงถึงตำแหน่งขององค์หญิงรัชทายาทของอียิปต์ก็เท่านั้น
“ข้าว่าคงจะไม่ได้กระมังเจ้าคะ องค์หญิงทรงกำลังบรรทมอยู่กับองค์ฟาโรห์ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรับกวนทั้งสองพระองค์หรอกเพคะ” นางฟาเรทกล่าว
นิดทำหน้าเบื่อหน่ายขึ้นทันที
นี่เธอต้องมาติดอยู่ที่นี่โดยทำอะไรไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ?
นางฟาเรทเห็นสีหน้าก็พอจะเดาออกจึงได้เสนอให้นิดออกไปเดินเล่นรอบๆ พระราชวังชั้นใน โดยหารู้ไม่ว่าการเดินเล่นครั้งนี้จะพาไปสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของทั้งสองสาวที่หลุดมาอยู่ที่นี่ด้วยความตั้งใจของเหล่าทวยเทพอย่างแท้จริง
โอ้พระเจ้าจอร์ซ .....นั่นสมาคมคนเล่นกล้ามหรือยังไงน่ะ
นิดมองไปยังเหล่าทหารที่กำลังฝึกอาวุธอยู่อย่างขะมักเขม้นอย่างตั้งใจ แต่ละคนยืนเปลือยอกท้าแดดที่กำลังเริ่มร้อนขึ้นของรุ่งเช้าอย่างไม่กลัวผิวเสีย(หืม?)
“เขากำลังทำอะไรกันอยู่เหรอยาเรฟ”
นางข้าหลวงตกงานเพราะเจ้านายกลับถูกฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่โฉบไปตั้งแต่เมื่อคืนกำลังทำหน้าที่ไกด์จำเป็น พานิดทัวร์รอบๆ พระราชวังชั้นในอย่างสนุกสนาน เพราะนางข้าหลวงอย่างพวกนาง ถึงแม้ว่าจะอยู่ภายในวังหากแต่เวลาว่างที่จะทำเช่นนี้ได้นั้นช่างน้อยนัก
“พวกเขากำลังฝึกทหารกันอยู่เจ้าค่ะท่านหญิง ข้าว่าเราอย่าไปทางด้านโน้นกันเลย เพราะว่าที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามของท่านแม่ทัพคาอูลน่ะเจ้าค่ะ ถ้าใครก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องหลุดเข้าไปล่ะก็ จะต้องโดนลงโทษอย่างหนักแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”
“โห! โหดขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ฉันอยากเข้าไปดูข้างในนี่นา(อันที่จริงอยากไปดูหนุ่มหล่อๆ ต่างหากอิอิ เผื่อว่าจะหาได้แบบยัยแพมบ้าง)”
“ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงรอให้องค์หญิงพาเข้าไปดีไหมเจ้าคะ ที่นั่นมีแต่องค์หญิงเท่านั้นที่ฟาโรห์ทรงอนุญาตให้เข้าไปได้”
“ห๊า...ต้องรอขนาดนั้นเลยเหรอ? ว่าแต่เธอเคยเข้าไปหรือเปล่ายาเรฟ”
ยาเรฟทำหน้าแดงก่ำแบบมีพิรุธ ก่อนจะตอบอย่างอายๆ ว่า
“เคยเจ้าค่ะ ข้าเคยนำของใช้ของสามีข้าเข้าไปให้เขาข้างใน แต่ข้าก็ต้องไปแจ้งต่อท่านแม่ทัพก่อนนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นถ้าปรกติเขาห้ามหญิงทุกนางไม่ให้เข้าไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ด้วยข้าเป็นนางข้าหลวงที่อยู่ในวังอยู่แล้ว จึงได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษบางครั้งน่ะเจ้าค่ะ”
หืมมมม......แสดงว่าห้ามผู้หญิงเข้าไปสินะ อิอิ ได้เรื่องแล้วเรา
นิด....ลูกสาวคนเดียวของศาสตราจารย์เอดิสัน เป็นหญิงสาวที่ชอบออกกำลังกายเป็นที่สุด เมื่อก่อนเธอกับแพมเป็นนักกีฬาประจำมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ดาบ สองสาวจะชอบมากเป็นพิเศษ จึงได้พยายามเสาะแสวงหาอาจารย์ที่จะมาช่วยสอนอยู่เสมอ เมื่อมาถึงตอนนี้ เธอกำลังอยู่ในยุคของผู้คนที่ใช้ดาบเป็นอาวุธ แล้วทำไมจึงไม่คว้าโอกาสอันนี้เอาไว้เล่า
“งั้นเธอไปหาของมาให้ฉันหน่อยนะ ชั้นอยากได้......”
สีหน้าของยาเรฟเปลี่ยนไปมาประเดี๋ยวหน้าซีด ประเดี๋ยวก็กลายเป็นสีม่วง และไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่นิดร้องขอนั้นช่างเป็นเรื่องที่อาจก่อเรื่องไม่คาดฝันและเป็นอันตรายต่อชีวิตของยาเรฟยิ่งนัก หากแต่เมื่อมองสีหน้าที่มุ่งมั่นของเธอเข้า ยาเรฟก็ต้องยอมทำตามอย่างฝืนใจเป็นที่สุด พร้อมทั้งอ้อนวอนต่อเหล่าทวยเทพเพื่อให้องค์หญิงตื่นบรรทมโดยไวเพื่อที่จะมาช่วยนางให้พ้นจากความเสี่ยง ที่อาจทำให้นางต้องรับโทษอย่างหนักก็เป็นได้
ผมดำเงางามที่แผ่สยายอยู่บนแผ่นอกสีคร้าม เป็นสิ่งแรกที่ราเมสเห็นเมื่อลืมตาตื่นขึ้น ใบหน้าหวานที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าขยับเขยื้อนโดยแรง เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนหญิงสาวที่กำลังนอนหลับเพราะความอ่อนเพลีย ที่เมื่อคืน เขาเป็นผู้กระทำ.....
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นสิ่งที่น่ายินดีเสียจนชายหนุ่มไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ หากเขาสามารถรั้งนางเอาไว้ที่นี่ด้วยด้วยพันธะที่เรียกว่าสายเลือด จะเป็นการดีสักเพียงใดกัน
ถึงแม้ว่าจะผิดต่อนาง แต่เขาก็ยินดีที่จะกระทำเพราะมันจะเป็นหนทางเดียวที่เขาจะได้อยู่กับนางชั่วชีวิต!
“ข้าไม่มีวันจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”
ราเมสกล่าวกับร่างที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ก่อนจะก้มหน้าลงไปยังเนินอกอวบอิ่มล่อตาล่อใจเพื่อที่จะตอกย้ำให้แน่ใจว่า พันธะแห่งสายเลือดจะต้องได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่แน่ใจนัก แต่เขายินดีที่จะทำให้แน่ใจยิ่งขึ้น
ร่างบางที่ถูกรบกวนเวลานอนเริ่มลืมตาตื่นขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงการรุกรานที่แสนหวานจากร่างสูงที่ทอดกายอยู่เคียงข้าง หากแต่เสียงยังไม่ทันได้ห้ามปราม เสียงทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนไปกับจุมพิตร้อนรุ่มที่แนบเข้ามาอย่างรวดเร็วเสียจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ติด ก่อนจะต้องคล้อยตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่มที่บรรจงมอบให้อย่างร้อนแรงมากกว่าเมื่อคืนหลายเท่านั้น อาจเป็นเพราะว่าร่างงามที่อยู่ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง ทำให้เลือดทะเลทรายที่ร้อนระอุถูกกระตุ้นขึ้นจนร้อนกว่าปรกติก็เป็นได้
เด็กหนุ่มสองคนที่เดินเลียบกำแพงไปยังลานประลองดาบไม่ได้เป็นที่สนใจของเหล่าทหารเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าคงไม่มีใครคิดว่า จะมีนางข้าหลวงและสหายสนิทขององค์หญิงทำในสิ่งที่ทุกคนไม่กล้าทำ นั่นก็คือการปลอมตัวเป็นชาย เดินเอ้อละเหยเข้ามาโดยที่ไม่เกรงกลัวต่อคำประกาศิตของท่านแม่ทัพใหญ่คาอูลแม้แต่น้อย
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าถ้าเป็นผู้ชายนะ เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก”
นิดกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องกับยาเรฟที่ทำหน้าราวกับจะเป็นลมเสียให้ได้
“ฮือๆๆ ท่านหญิงไม่ได้เป็นข้านี่เจ้าคะ ถ้าใครจับได้ ยาเรฟคนนี้คงโดนโบยหลังลายเป็นแน่”
นางข้าหลวงคนสนิทเริ่มทำตาแดงๆ เตรียมพร้อมที่จะร้องไห้อยู่ตลอดเวลาทำให้นิดถึงกับต้องมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะกล่าวห้ามปรามด้วยสีหน้าขึงขัง
“โอ๊ย!....ยาเรฟ อย่าร้องไห้สิ เดี๋ยวคนเขาก็รู้หรอกว่าพวกเราไม่ใช่ผู้ชายน่ะ ถ้าถูกจับได้ล่ะก็ ฉันจะไม่ช่วยนะ!”
อาศัยที่ว่าหญิงสาวมีมารดาเป็นชาวอียิปต์ ถึงแม้ว่าสีผิวจะไม่คล้ำเข้มเท่า หากก็นวลเนียนราวกับผิวสีน้ำผึ้ง ทั้งที่ตอนนี้ผมเงางาม และรูปร่างยวนตา จะถูกปกปิดด้วยชุดบุรุษหลวมโคร่งของเด็กหนุ่มที่อยู่ตามทะเลทราย แต่หน้าตาที่ราวกับตุ๊กตา โดยเฉพาะดวงตากลมโต กลับทำให้เธอดูเหมือนกับหนุ่มน้อยน่ารักที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
“ท่านหญิงเจ้าคะ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะเจ้าคะ ถ้าเข้าไปหลังประตูบานนั้นแล้วจะออกมายากยิ่งกว่ามากนักนะเจ้าคะ”
ประตูที่นางข้าหลวงยาเรฟหมายถึงคือประตูที่ถูกทหารไม่ต่ำกว่าสิบคนเฝ้าอยู่ มันเป็นประตูที่ทะลุเข้าไปยังลานฝึกอาวุธของเหล่าทหารคนสนิทขององค์ฟาโรห์ ถึงแม้ว่าที่ทั้งคู่ยืนอยู่จะเป็นลานฝึกอาวุธเช่นกัน แต่ก็มีแต่พวกทหารชั้นปลายแถวเท่านั้น หากแต่ด้านหลังของประตูบานนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามที่แม้แต่ตัวยาเรฟเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปลึกถึงขนาดนั้น และยิ่งเวลาออกจากที่นั่นหากไม่มีใบผ่านทาง หรือคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ ก็ยากแสนยากที่จะหาข้ออ้างก้าวออกจากที่นั่นได้
ว่ากันว่าผู้คนที่อยู่ด้านหลังประตูบานนั้นเป็นทหารชาญศึกที่โหดเหี้ยม องค์ฟาโรห์ทรงมีกระแสรับสั่งให้จัดตั้งกองกำลังนี้ขึ้นเพื่อโจมตีแบบประชิดและลอบสังหารผู้ไม่ภักดี หากแต่ยังไม่มีใครที่จะสามารถคาดเดาได้ว่า พระองค์ทรงมีกองกำลังที่หาญกล้าเช่นนี้กี่นายกันแน่
“เรื่องอะไรที่ฉันจะเปลี่ยนใจ ยาเรฟก็อย่ากลัวไปหน่อยเลยน่า ตอนนี้พวกเราถอยหลังไม่ทันแล้วนะ ที่สำคัญถ้าคิดจะออกจากที่นั่นพวกเราก็ให้ยัยแพมมาจัดการให้ก็หมดเรื่อง เอาล่ะตอนนี้อย่ามายืนกันอยู่ตรงนี้เลย เดี๋ยวพวกเราจะถูกจับได้กันเสียก่อน”
ว่าพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะลากตัวยาเรฟในคราบหนุ่มน้อยผิวเข้มเดินอาดๆ ไปยังประตูที่คนทั้งคู่กล่าวถึงก่อนจะหายลับไปเมื่อทั้งสองคนก้าวผ่านไปพร้อมกับประตูที่ปิดตามหลัง
“ปัง!”
หากไม่ได้เห็นด้วยตาก็ยากที่จะเชื่อ เมื่อภาพตรงหน้าคือทหารนับร้อยที่กำลังจับคู่ฝึกอาวุธ บางคนกำลังใช้ฆ้อนใหญ่โตกำลังตีดาบ กลิ่นเหงื่อพร้อมทั้งกลิ่นสาปต่างๆ ลอยมาปะทะจมูกจนต้องรีบเดินหนี ราวกับว่าเมื่อครู่ทั้งสองสาวก้าวหลุดเข้ามาในอีกโลกนึ่งเหมือนในนิยายแฟนตาซี ที่มีแต่คนพลุกพล่านผิดกับด้านนอกที่มองเข้ามายังไงก็ไม่อาจรู้ได้ว่าด้านในนี้ช่างแตกต่าง ราวกับไม่ได้อยู่ในพระราชวังเดียวกัน
“โอ้โห! ยังกับหลุดเข้ามาอยู่ในโลกแฟนตาซีเลย”
นิดอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า ชายสามคนที่เดินผ่านพวกเธอไปมองดูแล้วเหมือนพวกยักษ์ในตำนานไม่มีผิด แค่เวลาเดินเฉียดก็ทำให้รู้ว่าพวกเธอสูงแค่หน้าอกของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
อยากรู้จริงๆ ว่าที่นี่เขาให้ทหารกินอะไรเข้าไปกันนะ?
“เฮ้ย!......พวกแกน่ะเข้ามาทำอะไรที่นี่”
ระหว่างที่กำลังยืนมองภาพตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ จู่ๆ ก็มีเสียงตะคอกดังขึ้นทางเบื้องหลังทำให้ทั้งสองสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“ข้าถามไม่ได้ยินหรือ? ถ้ายังไม่ตอบข้าอีก ข้าจะนำพวกเจ้าไปให้ท่านแม่ทัพลงโทษเดี๋ยวนี้!”
เมื่อหันไปพบกับชายหน้าตาเหี้ยมดุดัน ยาเรฟที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทำท่าจะเป็นลมไปเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ในใจได้แต่คิดภาวนาให้ตนเองได้ตายสบายเสียภายในดาบแรก หากท่านแม่ทัพใหญ่มีจิตใจเมตตา
นิดเมื่อหันไปเห็นชายหน้าเหี้ยมกลุ่มใหญ่ที่กำลังรอคอยคำตอบจากปากของเธออยู่ สมองอันชาญฉลาดก็ทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางเอาตัวรอด เมื่อมองไปยังยาเรฟที่กำลังยืนหน้าซีดตัวสั่นก็ให้รู้สึกสงสารยิ่งนัก เธอไม่น่าพาเพื่อนใหม่มาลำบากที่นี่เลย ตัวยาเรฟเองเป็นถึงนางข้าหลวงที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายองค์ฟาโรห์อยู่แต่ในตำหนักใน ไหนเลยจะเคยพบเจอกับความกักขฬะของเหล่าบุรุษอย่างแท้จริง
หืม.....นางข้าหลวงอย่างนั้นหรือ?
นิดนึกขึ้นได้ถึงความคิดซุกซนอย่างหนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกไปพูดกับทหารหน้าเหี้ยมคนนั้นว่า
“ข้าเป็นทหารรับใช้ที่องค์ฟาโรห์ส่งมา ไม่ทราบว่าท่านพี่ท่านนี้น่ะพอจะทราบหรือไม่ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว”
ราวกับองค์ฟาโรห์ทรงเสด็จมายังที่แห่งนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งสีหน้าและแววตาเหี้ยมโหดเมื่อครู่กลับกลายเป็นความตื่นกลัวปนกับความตกใจ ที่ตนเองบังอาจไปล่วงเกินผู้ที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าชีวิตแห่งอียิปต์เช่นนั้น หากพระองค์ทรงกริ้วขึ้นมา พวกเขาเองก็ยากที่จะมีชีวิตรอด
“เอ่อ....เจ้าได้รับพระกระแสรับสั่งจากองค์ฟาโรห์จริงหรือ? เหตุใดพระองค์จึงทรงส่งพวกอ้อนแอ้นอย่างพวกเจ้ามาที่นี่กัน? หากข้าจับได้ว่าเจ้าโกหก ข้าอูตัสผู้นี้จะสังหารเจ้าเองด้วยมือของข้า”
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกตระหนกไปบ้าง หากแต่ความระแวงในสายเลือดของทหารยังคงมีอยู่ พวกตนเป็นทหารที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี ยิ่งพวกที่อยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ ซึ่งแน่นอนว่าเก่งกว่าเขาเป็นแน่ ยังเรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากสำหรับเขา แล้วนี่เจ้าหนูคนนี้คิดอาศัยอะไรถึงได้จะมายืนเคียงข้างท่านแม่ทัพในตำแหน่งเดียวกัน
“ท่านพี่อูตัส ข้าได้รับพระกระแสรับสั่งโดยตรงจากองค์ฟาโรห์มาจริง เรื่องนี้หากท่านคิดว่าข้าโกหก รบกวนท่านไปกราบทูลต่อองค์ฟาโรห์ก็ยังได้”
ด้วยสีหน้าและท่าทางที่มั่นใจ ทำให้อูตัสไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าโกหกจริงหรือไม่ เขาจึงมีทีท่าที่อ่อนลงเล็กน้อยและนั่นก็อยู่ในสายตาของนิดตลอดเวลา เธอจึงตัดสินใจที่จะทำให้ทหารผู้นี้ไว้ใจเธออย่างถึงที่สุด โดยการ.....
“ที่จริงแล้วสิ่งที่ท่านกังวลก็มีส่วนถูกอยู่ไม่น้อย องค์ฟาโรห์เองก็ทรงไม่ไว้พระทัยผู้ใดง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงให้นางข้าหลวงคนสนิทของท่านฟาเรทติดตามข้ามาด้วย เพราะตัวข้านั้นเพิ่งเคยเข้าวังเป็นครั้งแรกเช่นกัน”
“ห๋า......แล้วนางข้าหลวงที่ว่านั่นอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นนาง”
อูตัสมองไปรอบๆ ให้อย่างไรเขาก็เห็นแต่ชายฉกรรจ์ใบหน้าเหี้ยมรูปร่างใหญ่โต ไม่เห็นมีนางข้าหลวงรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นอย่างที่ได้ยินแม้แต่น้อย
“ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้านี่อย่างไรเล่า หลังจากที่ข้าได้รับพระดำรัสขององค์ฟาโรห์ พระองค์จึงสั่งให้นางปลอมตัวเป็นชายมาส่งข้าอย่างไรเล่า”
ยาเรฟตกใจสุดขีด นางไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองเช่นนี้ หากต้องการเข้ามาด้านในอย่างไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ ท่านหญิงก็ไม่น่าจะยอมเปิดเผยตัวง่ายๆ เช่นนี้นี่นา อีกอย่างหลังจากที่ทุกคนล่วงรู้ความลับนี้แล้ว นางก็คงไม่อาจอยู่ข้างกายท่านหญิงนานได้ ว่าเหตุใดผู้ที่ทำหน้าที่นำทางไม่ยินยอมกลับไปยังตำหนักในเสียที
หรือว่าท่านหญิงคิดจะทำอะไรกันแน่นะ?
“เจ้านี่น่ะหรือ?”
อูตัสทำน้ำเสียงตกใจ แม้แต่เหล่าทหารพี่น้องที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พร้อมใจกันจ้องมองเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้รับพระดำรัสขององค์ฟาโรห์มาทำงานข้างกายของท่านแม่ทัพใหญ่อย่างไม่เชื่อสายตา
“แน่ใจหรือเจ้าเปี๊ยก ว่าเจ้าไม่ได้โกหกน่ะ?”
ทหารที่ยืนอยู่ทางด้านหลังกล่าวขึ้นก่อนจะพร้อมใจกันล้อมทั้งคู่เอาไว้เป็นวงกลม
“เอาล่ะ งั้นข้าจะแสดงให้ดูนะ”
ว่าแล้วก็กระตุกผ้าโพกหัวของยาเรฟออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผมสีดำปลิวสยายลงมาเคลียร์ไหล่บอบบางของนาง เสียงอื้ออึงของเหล่าทหารชาญศึกที่ไม่ค่อยได้เห็นนางข้าหลวงในตำหนักก็ดังขึ้น ทำให้ยาเรฟถึงกับหน้าแดงเมื่อตนเองกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว
จากนี้ไปข้าจะไปมีหน้าพบกับใครได้อีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ
“ไม่เอาน่ายาเรฟ ตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงเนื้อหอมของค่ายทหารนี้ไปแล้วนะ ทำท่าภูมิใจหน่อยสิจ้า”
สีหน้าของคนพูดยิ้มระรื่นหากแต่สีหน้าของยาเรฟกลับอยากจะร้องไห้มากว่า
ฮือๆๆๆ....ท่านหญิงให้ใครก็ได้ช่วยสังหารข้าที! .....
เสียงหัวเราะดังลั่นออกมาจากห้องของทหารในค่ายพัก หากแต่เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว แต่มันกลับมีเสียงของผู้คนไม่ต่ำกว่าสิบคนผสานเสียงกัน หนึ่งในนั้นกลับมีเสียงเล็กๆ ของนิดรวมอยู่ด้วย โดยที่ยาเรฟนั้นนั่งตัวลีบอยู่ข้างกายของเธอ ตอนนี้ตรงหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยอาหารและเหล้าอย่างดีมากมาย ถึงแม้ว่าที่นี่จะห้ามเรื่องดื่มกินอย่างเด็ดขาด หากแต่บริเวณที่พวกเขาอยู่นั้นเป็นบริเวณที่พักของทหาร ดังนั้นจึงเป็นข้อยกเว้น
“ฮะๆๆๆ เจ้านี่ช่างเป็นคนที่ตลกจริงๆ ว่าแต่น้องชาย จนป่านนี้เจ้ายังไม่ได้ไปรายงานตัวต่อท่านแม่ทัพจะไม่เป็นอะไรแน่หรือ?”
หลังจากที่ได้รับความเชื่อใจจากอูตัสและพี่น้อง พวกเขาทั้งร่วมดื่มกิน อีกทั้งยังได้ดูการฝึกซ้อมของทุกคนอย่างใกล้ชิด หากแต่ดูเหมือนว่านิดได้ลืมบางสิ่งบางอย่างไปเสียแล้ว และทันทีที่อูตัสกล่าวถึงเรื่องนี้เข้า ก็ทำให้ทั้งสองสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว
ตายล่ะ! ลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันนะ!
นิดร้องเอะอะในใจ ก่อนจะลอบมองหน้ายาเรฟที่นั่งทำหน้าวิตกอยู่ข้างๆ โดยที่หญิงสาวอ่านจากสายตาของนางข้าหลวงได้ว่า
เห็นไหมล่ะท่านหญิง! ข้าเตือนท่านแล้ว.....
แหะๆ ข้าขอโตดดด....
ยังไม่ทันคิดหาคำตอบได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าอูตัสจะหวังดีมากเกินไปเล็กน้อย เขาตบหน้าอกของตัวเองเสียงดัง ก่อนจะหัวเราะร่วน
“เอาอย่างนี้ ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านแม่ทัพเอง เพราะข้าน่ะถูกใจนิสัยใจคอของเจ้านะเจ้าน้องชาย ฮะๆๆๆ”
หา.....ไม่ต้องใจดีกับฉันขนาดนั้นก็ได้มั้ง
หลังจากที่กล่าวจบ อูตัสก็ไม่ฟังเสียงค้านของนิดเลยแม้แต่น้อย เขาคว้าแขนของหญิงสาวแล้วก็พากันออกจากห้องพักของทหารไปอย่างที่เรียกว่าถูกลากไปมากกว่า เพราะดูเหมือนว่าร่างเล็กบางที่ถูกพาไปด้วยนั้น เท้าแทบไม่ได้สัมผัสถูกพื้นเลยแม้แต่น้อย
“ดะ....เดี๋ยว เดี๋ยวสิ จะพาเขาไปไหนน่ะ?”
เสียงของยาเรฟดังไล่หลังมา หากแต่ด้วยความตกใจยาเรฟกลับไม่มีแรงที่จะไล่ตามคนทั้งคู่ไป นางจึงตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารที่เหลืออยู่แต่เพียงผู้เดียว
“ท่านยาเรฟไม่ต้องกังวลไป พี่อูตัสแค่จะพาเจ้าน้องชายหน้าใหม่ผู้นั้นไปพบกับท่านแม่ทัพใหญ่เท่านั้นเอง เอ....จริงด้วยสิ พวกเรายังไม่ทันรู้ชือของเจ้าเด็กคนนั้นเลยนี่นา”
เฮือก!....
แย่แล้ว! เราจะทำยังไงดีละทีนี้ ไม่ได้ถามท่านหญิงเอาไว้เสียด้วย
“เอ่อ...ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน หลังจากที่ได้รับพระบัญชา ข้าก็รีบมาที่นี่โดยยังไม่ได้ไต่ถามอะไรทั้งสิ้นแม้แต่น้อย”
เหล่าทหารที่ชินต่อการทำตามคำสั่งโดยไม่ไต่ถาม จึงไม่ได้ติดใจสงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ดังนั้นหลังจากได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงให้การช่วยเหลือโดยการส่งยาเรฟกลับไปยังตำหนักหลัง
ไม่น้า.......ท่านหญิง!
กว่าจะรู้สึกตัว ยาเรฟก็มายืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าตำหนักหลวงเสียแล้ว
“ตายล่ะ! คราวนี้จะทำยังไงดีละทีนี้ ท่านฟาเรทต้องลงโทษข้าแน่ๆ เลย”
ทั้งที่กำลังรู้สึกแย่อย่างที่สุดนั่นเอง เสียงที่ยาเรฟไม่อยากได้ยินกลับดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้นางแทบจะเป็นลมพับลงไปตรงนั้น
ใครก็ได้บอกข้าทีว่ามันไม่จริง
..
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะยาเรฟ ข้าให้เจ้าพาท่านหญิงไปเดินชมตำหนักไม่ใช่หรือ?”
หลังจากที่พิจารณาอยู่นานฟาเรทก็จำได้ว่าเป็นยาเรฟคนสนิทของนาง ที่ตัวนางเองได้ออกคำสั่งให้พาพระสหายขององค์หญิงไปเดินชมตำหนักในพระราชวัง หากแต่เวลานี้กลับเหลือเพียงนางเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ จากลางสังหรณ์ของนางหลังจากที่ได้พบกับท่านหญิงพระสหายที่ได้เจอเมื่อคืน
หวังว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ.....
คิดไปแล้วก็ช่างน่าหวั่นใจนัก....
“ระ...เรื่องนั้น”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด สีหน้าของฟาเรทก็ซีดลงๆ เรื่อยๆ จนแทบจะเป็นลมลงไปถ้ายาเรฟไม่คว้าตัวเอาไว้ได้ทันซะก่อน
“ใครก็ได้! มาช่วยกันหน่อยเร็วเข้าท่านฟาเรทจะเป็นลมแล้ว”
ทั้งเหล่าทหารและนางข้าหลวงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต่างวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว หากแต่เพียงครู่เดียวนางฟาเรทก็ลุกพรวดขึ้นมา
“แย่ๆ ต้องแย่แน่ๆ คราวนี้ หากเจ้าคาอูลเกิดไปทำอะไรพระสหายขององค์หญิงเข้า คราวนี้ล่ะ ตระกูลของข้าคงต้องถูกประหารหมดเป็นแน่ โถ่ๆๆๆ” ว่าแล้วก็เป็นลมไปอีกครั้ง (อ้าว)
“ท่านฟาเรทเจ้าคะ ท่านฟาเรท”
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ทุกคนกำลังช่วยกันทำให้นางฟาเรทที่เป็นลมให้ฟื้นขึ้น และชั่วขณะนั้นเองยาเรฟก็ลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิทใจ
โฮกกกกกกกก....ทำไมถึงได้ลืมฉานนนนน
นิ้วมือแข็งแรงที่กำลังจับกระดาษปาปิรุสต้องหยุดชะงัก เมื่อทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเข้ามารายงาน
“ท่านแม่ทัพ นายทหารอูตัสขอเข้าพบขอรับ”
“อูตัสน่ะเหรอ? ปรกติเจ้านั่นไม่ค่อยชอบเข้าใกล้ข้านี่นาวันนี้ทำไมถึงได้.....”
อูตัสเป็นทหารที่จัดได้ว่ามีฝีมือยิ่งของกองทัพ หากแต่ตัวอูตัสกลับเป็นคนตรงโผงผาง อีกทั้งติดจะทึ่ม(พูดง่ายๆ ว่าซื่อบื้อนั่นเอง) ดังนั้นจนป่านนี้นายทหารผู้นี้จึงไม่กล้าที่จะรับตำแหน่งที่เขามอบให้
หากแต่วันนี้เหตุใดกันจึงได้เกิดเรื่องตรงกันข้ามเช่นนี้ขึ้นมาได้นะ?
ด้านหลังของทหารที่เพิ่งเข้ามา ปรากฏร่างใหญ่โตของชายที่มีนามว่าอูตัส หากแต่เมื่อมองไปอีกครั้ง คาอูลก็มองเห็นร่างเล็กๆ ที่เดินตามหลังของอูตัสมาติดๆ ท่าทางของทั้งคู่ดูสนิทสนมกันอยู่มิใช่น้อย
“ท่านแม่ทัพขอรับ...ข้าอูตัสขอรับ”
ดูๆ ไปแล้วช่างเป็นภาพที่น่าตลกไม่ใช่น้อย ร่างใหญ่โตผิดมนุษย์ของอูตัส ดูเล็กลีบเมื่ออยู่ต่อหน้าชายอีกคนที่รูปร่างเล็กกว่านิดหน่อย แต่แผ่ความรู้สึกกดดันออกมาไม่น้อย พอๆ กับผู้ชายเมื่อคืนที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์ฟาโรห์ของที่นี่
“อืม....มีอะไรงั้นหรืออูตัส? ข้าไม่ได้เรียกเจ้าให้มาพบไม่ใช่หรือวันนี้”
“ปะ...เปล่าขอรับท่านแม่ทัพ เพียงแต่ข้าพาคนผู้นึ่งมาพบท่านขอรับ เห็นว่าเขาได้รับพระบัญชาจากองค์ฟาโรห์ให้มารับใช้ท่านแม่ทัพน่ะขอรับ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอูตัส ผู้ที่ยืนทำหน้าภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเจ้าน้องชายคนใหม่ให้ได้พบกับท่านแม่ทัพใหญ่อย่างที่ตั้งใจเอาไว้
แม่ทัพใหญ่คาอูลถึงกับวางแผนที่ลง เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากของอูตัส
ผู้ที่มาตามพระบัญชาขององค์ฟาโรห์อย่างนั้นหรือ?
ร่างบางๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกดันออกไปข้างหน้าถึงกับตกใจทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“เจ้าเป็นใครกัน?”
วงหน้าคมเข้ม ริมฝีปากบางเฉียบบ่งบอกถึงความหนักแน่นและเด็ดขาด รูปร่างใหญ่โตที่กำลังนั่งอยู่ทำให้หัวใจเต้นระรัวไปด้วยความหวั่นไหว
โอ้โห! ผู้ชายคนนี้เป็นแม่ทัพในสมัยก่อนจริงๆ ด้วยสินะ
นิดมองไปยังดาบที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวของคาอูล ก่อนจะนึกไปถึงว่าดาบเล่มนี้คงสังหารผู้คนมากมายในสงครามมานับไม่ถ้วน เห็นแล้วชักไม่อยากเข้าไปใกล้ๆ เสียแล้ว เกิดเขาไม่พอใจเธอขึ้นมาแล้วชักดาบขึ้นมาฟันเธอเละก็ มีหวังคงจะไม่ได้กลับไปยังอนาคตเป็นแน่
“ข้าคือผู้ที่ได้รับคำสั่งมาให้อยู่ข้างกายท่าน ตามพระบัญชาขององค์ฟาโรห์ขอรับ”
ให้ตายสิ แววตาคมกริบนั่น ยังกับจะจับได้ว่าเราโกหกอย่างนั้นแหละ สาธุ ขอให้อย่าจับได้เลยน้า
“เจ้าน่ะเหรอ? ทำไมพระองค์ไม่ทรงรับสั่งกับข้าโดยตรงเล่า ข้าเป็นถึงแม่ทัพคนสนิทช่างน่าแปลกนัก อีกอย่างทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าเลย”
จะไปเคยเห็นได้ยังไงกันเล่า! ก็ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อคืนนี้นี่นา....
เอ๊ะ! จะว่าไปแล้วเมื่อคืนทำไมเราไม่เจอหมอนี่นะ?
“เช้านี้ท่านยังไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทใช่หรือไม่....เพราะฉะนั้นท่านจึงยังไม่ทราบว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในพระราชวัง ดังนั้นเรื่องที่ข้ามาที่นี่โดยพระบัญชาขององค์ฟาโรห์ท่านจึงยังไม่รู้”
เรื่องที่เช้านี้เขายังไม่ได้เข้าเฝ้านั้นเป็นเรื่องที่มีแต่คนสนิทเท่านั้นที่รู้ แสดงว่าหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นคนมาจากในพระราชวังชั้นในอย่างแน่นอน
“แล้วฝ่าบาททรงให้เจ้ามาทำอะไรที่นี่เล่า?”
นั่นสิ! แล้วเราจะทำยังไงดีละทีนี้ จะบอกเขาว่ามาทำอะไรที่นี่กันดีละเนี่ย? (กรรม)
“เอ่อ....คือ” สายตาที่มองไปรอบๆ ทำให้ทุกคนคิดว่าเรื่องที่หญิงสาวจะกล่าวต่อไปเป็นความลับ ต่างพากันถอยออกไปจากห้องทิ้งให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“เอาล่ะ....เจ้ามีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
อิริยาบถของชายหนุ่มดูผ่อนคลาย แต่นิดมองดูแล้วเหมือนกับสิงโตที่กำลังซุ่มมองดูเหยื่ออย่างมุ่งมั่นเสียมากกว่า
“เฮ้ออออ.....ข้าน้อยรับพระบัญชาจากองค์ฟาโรห์ให้มาติดตามอยู่ข้างกายท่าน ฝ่าบาททรงเป็นห่วงว่าท่านจะถูกปองร้ายโดยไม่รู้ตัวน่ะขอรับ”
ป๊าดดดดดด โกหกกันซึ่งๆ หน้า (อย่าเอาอย่างนะจ๊ะ)
“ปองร้ายโดยไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ? ใครกันทำไมข้าถึงไม่ได้ข่าวเลยแม้แต่น้อย”
เหอๆๆๆ ติดกับแล้วๆ เอาล่ะ...ยังไงก็ต้องเล่นละครกันต่อไป ไม่อย่างนั้นคงต้องโดนจับเจี๊ยนแน่เรา ปรืออออ
คาอูลมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังต้องการที่จะดูทีท่าของเด็กหนุ่มผู้นี้ไปก่อน หากมีอะไรผิดไป เขาคงไม่ลังเลใจที่จะสังหารมันให้ตายภายในดาบเดียว
“ตอนนี้ฝ่าบาทเองก็ยังไม่ทรงทราบ เอาเป็นว่าวันนี้ข้าจะอยู่ข้างกายท่านจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
น่าน...มั่วจริงๆเรา
“วันเดียว....แค่วันเดียวเองหรือ? เหตุใดจึงแค่วันเดียวเล่า ถ้ามีคนปองร้ายจริงฝ่าบาทก็น่าจะส่งเจ้าให้มาอยู่ข้างๆ ข้าอย่างถาวรไม่ใช่หรือ?”
เด็กหนุ่มคนนี้กำลังโกหกเรา เจ้านี่คิดจะทำอะไรของมันกันนะ?
คิ้วที่ขมวดเข้มทำให้ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อย
ตายจริงหรือว่าเขาจะไม่เชื่อเรากันนะ?
“คือเช่นนี้ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นเพียงผู้ที่ถูกส่งมาให้สังเกตการณ์เท่านั้น หากแต่ผู้ที่จะทำหน้าที่เคียงข้างท่านนั้นเป็นอีกคนที่จะถูกส่งมาอีกครั้งขอรับ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินวนไปมารอบๆ ตัวของนิด ทำให้หญิงสาวถึงกับหวั่นใจ ท่าทางการเดินวนไปรอบๆ ตัวของเขานั้นราวกับกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง ทำให้นิดถึงกับต้องกลืนน้ำลายดัง”เอื๊อก”เลยทีเดียว
หลังจากที่เดินวนไปมารอบๆ ร่างของเด็กหนุ่ม คาอูลก็สังเกตว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีประกายตาที่เฉลียวฉลาด หากแต่รูปร่างอ้อนแอ้นราวกับสตรี แต่ท่าทางคล่องแคล่วหลังจากที่ลองพิจารณาดูแล้ว ด้วยสายตาที่ผ่านการศึกสงครามมาอย่างโชกโชน ทำให้คาอูลรู้ได้ทันทีว่าแววตาของหมอนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย
เพียงแต่ว่าเรื่องที่เด็กคนนี้เล่ามานั้นเป็นเรื่องที่กุขึ้นทั้งสิ้น หากแต่.....
เจ้าหมอนี่กล้านำพระนามขององค์ฟาโรห์มาอ้าง แสดงว่าต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เห็นทีว่าเขาคงต้องเดินทางไปเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์เสียแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ข้ากำลังเมื่อยเนื้อตัว เจ้าก็ช่วยนวดให้ข้าก็แล้วกัน”
ระหว่างนี้คงต้องเก็บมันเอาไว้ใกล้ๆ ตัว จะได้คอยจับตาดูมันเอาไว้อย่างใกล้ชิด ไม่แน่ว่าเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้อาจเป็นสายลับจากแคว้นอื่นส่งมาก็เป็นได้
“นวด! ท่านจะให้ข้านวดให้ท่านอย่างงั้นเหรอ!?”
ไอ๊หยา....แล้วแรงของเราจะสามารถทำให้กล้ามแขนเป็นมัดๆ นั้นรู้สึกได้ถึงแรงนวดของเราหรือเนี่ย? โถๆๆๆ กรรมของคนสวยจริงๆ เลย (แหวะ!)
“ทำไมล่ะ ก็องค์ฟาโรห์ส่งเจ้ามารับใช้ข้าไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ใช้เจ้าแล้วข้าจะใช้ใครกัน”
ร่างสูงแข็งแรงทิ้งตัวลงไปนั่งอีกครั้ง รอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยแผ่นพื้นที่ทางทหารทำให้ร่างสูงดูตัวใหญ่ ข่มสิ่งของที่มีอยู่ในห้องเสียจนกลายเป็นยักษ์ที่อยู่ในเมืองของเล่น
โต๊ะที่ ตู้ ที่ดูแล้วมีความใหญ่โตมากผิดปรกติ ก็ยังดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับชายตรงหน้าที่กำลังรอให้เธอไปใช้วิชามาร เอ๊ย! วิชานวด จะว่าไปแล้วอีตานี่ก็รูปหล่อดีเหมือนกันนะเนี่ย
เอาล่ะจะนวดตรงไหนก่อนดีน้า.....
“ยังไม่มาอีก ข้าไม่ได้มีเวลารอเจ้าทั้งวันนะ”
“ขอรับๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละขอรับ” แหม...ได้โอกาสก็สั่งเลยนะยะ
เมื่ออ้อมมาอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม มือบางค่อยๆ สัมผัสไปยังบ่ากว้าง เพียงแค่วางมือลงไปเท่านั้นก็รู้สึกถึงกล้ามเนื้อภายใต้ร่มผ้าที่แข็งแกร่งจนรู้สึกว่ากำลังสัมผัสไปยังสิ่งของมากกว่าเนื้อหนังของมนุษย์เสียอีก นี่ถ้าไม่ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของร่างกายเห็นทีคงต้องเอาหมอนี่ไปตั้งโชว์อยู่หน้าตำหนักเป็นปูนปั้นแน่นอน
“เมื่อไหร่เจ้าจะเริ่มนวดให้ข้าเสียที ข้ารอจนปวดเมื่อยยิ่งกว่าเก่าเสียอีกนะ”
เหอะ....คราวนี้ล่ะ ฉันจะทำให้คุณจำไปอีกนานเลยทีเดียว ที่กล้ามาใช้ฉันคนนี้ เหอๆๆๆ
สวัสดีค่ะ ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายที่การะเกดจะลงสำหรับเรื่องนี้แล้ว นะคะ โปรดติดตามต่อในเล่มได้เลยค่ะ
พิศวาสยอดรักฟาโรห์วางแผงแล้วทั่วประเทศ
ความคิดเห็น