คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 ความกังวลใจ vs เพื่อนใหม่
สีหน้าลำบากใจของนางยิ่งทำให้แพมยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก
ใจจริงนางฟาเรทเองไม่อยากจะกราบทูลเรื่องนี้ให้องค์หญิงไม่สบายพระทัย นางรู้ดีว่าพระองค์อ่อนไหวกับเรื่องเช่นนี้มากเพียงใด หากแต่ในเมื่อพระองค์ทรงทราบแล้ว ยากนักที่จะทำให้ความอยากรู้ของพระองค์มลายหายไปได้ ดังนั้นภาระทั้งหมดจึงตกอยู่กับนางที่จะต้องกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ
“หม่อมฉันเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากแม่ทัพคาอูลบุตรชายของหม่อมฉันเช่นกันเพคะ หลังจากที่.....”
เรื่องราวต่างๆ ก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้แพมฟัง แม้แต่เรื่องที่ราเมสจับนางได้เพราะเพียงแค่เศษใบไม้และรอยดินที่ติดอยู่กับชายกระโปรงของนาง เป็นเพราะสระน้ำนั้นบริเวณรอบๆ ของมันเปียกไปด้วยน้ำที่นางข้าหลวงทำเอาไว้หลังจากที่ลงไปเก็บดอกบัวให้เธอ
“งั้นหรือคะ!...ที่แท้แพมก็เข้าใจเขาผิดไป..” แพมพูดกับตัวเอง หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
เธอกล่าวหาคนที่ช่วยเธอ....จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เห็นทีต้องไปขอโทษเขาแล้วจะไปหาเขาที่ไหนล่ะเนี่ย?
“ป้าฟาเรทคะ ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่ใดกันคะตอนนี้?”
หลังจากที่ได้รู้ที่อยู่ของชายหนุ่ม แพมก็ไม่รอช้า หญิงสาวยังจำได้ดีว่ารับปากชายหนุ่มไว้อย่างไรบ้าง เธอถอดแหวนออก ทำให้ร่างอรชรของเธอกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากห้องบรรทม โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากนางฟาเรทแม้แต่น้อย
ตายแน่คราวนี้!...ฝ่าบาทคงจะต้องลงพระอาญานางเป็นแน่ โทษฐานที่ปล่อยให้องค์หญิงคนสำคัญของพระองค์ออกไปจากห้องทั้งที่ยังไม่หายดีเช่นนี้........นางฟาเรทได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ
ฝีเท้าเล็กๆ วิ่งนำหน้าเหล่านางข้าหลวงทั้งหลาย แต่พอมาถึงห้องประชุมที่หญิงสาวรู้มาว่าคนที่เธอต้องการพบอยู่ที่นั่น
“พวกท่านเลิกประชุมกันแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเข้าไปถึงแพมกับพบเพียงแค่เหล่าแม่ทัพเท่านั้น หากแต่ไร้ซึ่งเงาของชายผู้นั้นฟาโรห์ราเมส ชายที่เธอตามหาอยู่แต่น้อยไม่
“หามิได้กระหม่อม ฝ่าบาททรงเลิกประชุมเร็วกว่าปรกติพะย่ะค่ะ”
หนึ่งในแม่ทัพที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่เป็นผู้ก้าวออกมาตอบคำถามของเธอ
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าพระองค์ตอนนี้อยู่ที่ใดกัน?”
คำถามนี้กลับไม่มีผู้ใดที่สามารถตอบได้ แพมจึงเดินออกจากห้องไป
“ทำไมท่านไม่บอกองค์หญิงน้อยไปล่ะ ว่าฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่ใด?”
หนึ่งในผู้ที่ยืนอยู่ด้วยกันถามขึ้น ก่อนจะได้คำตอบที่ทำให้ผู้ถามต้องเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดนั้น
“เจ้าจะให้ข้าบอกกับเจ้าหญิงน้อยว่า ฝ่าบาททรงเสด็จไปยังวังหลังเช่นนั้นหรือ? เจ้าอย่าลืมสิ ว่าพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้น อีกอย่างถ้าให้พระองค์เข้าไปที่นั่นอีกข้าเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับอดีตพระสนมเอกมิเนร่าน่ะสิ”
ผู้ที่อยู่ในห้องพลางพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันไปปรึกษาเรื่องงานกันต่อเฉกเช่นเมื่อครู่ไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้น
ริมฝีปากร้อนรุ่มซุกไซ้ไปทั่วร่างงาม เฟรเซียหลับตาพริ้มกับรสสัมผัสที่ห่างเหินมาเนิ่นนานของฟาโรห์หนุ่มเสียงครวญครางที่ออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มยิ่งทำให้ไฟราคาโหมกระหน่ำสำหรับคนทั้งคู่ ฝ่ามือแข็งแรงบีบเคล้นอกอวบ สีหน้าของเฟรเซียกลับแสดงให้เห็นว่านางกำลังเคลิบเคลิ้มเพียงใด เมื่อริมฝีปากร้อนรุ่มไล่ตามมือแข็งแรงที่จับต้องไปทั่วจนร่างอวบอิ่มของนางอ่อนระทวย พร้อมที่จะไปกับชายหนุ่มไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม
ผ้าผืนบางที่ห่อหุ้มกายอวบอิ่มเอาไว้ พลิ้วปลิวลงจากแท่นบรรทมที่ตอนนี้กลายเป็นสรวงสวรรค์สำหรับคนทั้งคู่ซึ่งกำลังมัวเมาอยู่ในรสของไฟพิศวาสจนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดออก
ร่างสองร่างที่กระหวัดกอดรัดกันอยู่บนแท่นบรรทม เป็นดั่งดาบเล่มโตที่กรีดแทงไปยังหัวใจอันบอบบางของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงประตูบานใหญ่ยิ่งนัก ถึงแม้ว่าร่างสูงของชายหนุ่มที่ทำให้เธอติดตามมาถึงที่นี่ยังไม่ได้เปลือยเปล่าดั่งเช่นหญิงสาวที่นอนระทวยอยู่ใต้ร่างของเขา แต่เพียงแค่นี้....ก็ทำให้น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนไหลออกจากดวงตาหวานซึ้งของเธอได้แล้ว
“กรี๊ดดดดด”
เสียงกรีดร้องของเฟรเซีย และเสียงร้องของนางข้าหลวงที่ติดตามเธอมา ไม่ได้เข้าไปยังหัวสมองของแพมแม้แต่น้อย หากแต่เป็นใบหน้าตกตะลึงของชายหนุ่มที่ตอนนี้กระชากผ้าผืนใหญ่นำมาปกปิดร่างของสนมเอกคนโปรดเอาไว้ก่อนจะตวาดออกมาเสียงดัง
“ใครกัน!!.....บังอาจพาองค์หญิงมาที่นี่!?”
พระสุรเสียงดังก้องทำให้ร่างของเหล่านางข้าหลวงถึงกับทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เริ่มดังขึ้น หากแต่ร่างเล็กที่มองดูชายหนุ่มด้วยแววตาเจ็บปวดกลับไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
แพมเดินจากมาจากห้องสนมเอกเฟรเซียอย่างเงียบสงบ ร่างเล็กๆ ของเธอ เดินผ่านห้องต่างๆ ภายในพระราชวังอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายฝีเท้าเล็กๆ ก็กลับกลายเป็นวิ่งโดยไม่สนใจเสียงเรียกของชายหนุ่มที่ดังไล่หลังมาหลังจากที่ตกตะลึงอยู่เป็นนานก่อนจะขยับกายลงจากแท่นบรรทมของสนมคนโปรด
“แพม!....ข้าสั่งให้เจ้าหยุดอย่างไรเล่า! แพม.....หยุดเดี๋ยวนี้นะนี่เป็นคำสั่ง!”
ถึงแม้ว่าแพมจะอยู่ในร่างเด็ก แต่ด้วยความปราดเปรียวก็สามารถมาถึงห้องบรรทมของราชินีได้ก่อนที่ฟาโรห์ราเมสจะวิ่งตามมาได้ทัน
หญิงสาวสั่งให้ทหารปิดประตูก่อนจะสวมแหวน แล้วจัดการล็อกห้องบรรทมของราชินีเอาไว้อย่างแน่นหนาโดยที่ระหว่างนั้น ไม่มีนางข้าหลวงผู้ใดอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว นั่นจึงเป็นสิ่งที่เธอต้องการที่สุดในเวลานี้และเป็นโอกาสอันงามที่หาได้ยากยิ่ง
“ปังๆๆๆ!”
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้แพม! ไม่งั้นข้าจะพังเข้าไป!”
เสียงตะโกนก้องของราเมสดังลั่นอยู่ที่หน้าประตู ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านนอกล้วนแล้วแต่สงสัยว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น องค์หญิงน้อยถึงได้แสดงอารมณ์พิโรธได้ถึงขนาดนี้ เพราะเดิมทีองค์หญิงพระองค์น้อยร่าเริงแจ่มใสประดุจนกน้อย
“ข้าเป็นถึงฟาโรห์เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนั้นหรือ?”
หลังจากที่ตะโกนอยู่นาน ประตูที่ปิดสนิทก็ยังไม่มีวี่แววที่จะเปิดออก ทำให้ฟาโรห์หนุ่มถึงกับร้อนรุ่มจนต้องเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าประตูห้องนั่นเอง
แพมค่อยๆ ถอยออกมาจากประตู หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว หญิงสาวก็ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่นั่นก็คือการร้องไห้ เธอร้องไห้เสียจนตอนนี้ดวงตาหวานซึ้งของเธอแดงก่ำดุจดังกระต่ายน้อย
เงียบไปแล้ว.....ป่านนี้คงเดินวนไปเวียนมาเป็นเสือติดจั่นอยู่ข้างนอกเป็นแน่
จะทำอย่างไรดี? หรือว่าเธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่กันแน่นะ?
หลังจากที่คอยนับวันเวลาที่ผ่านมาหลังจากพระจันทร์เต็มดวงคราวที่แล้ว ถ้าแพมคิดจะกลับบ้าน เธอคงต้องรออีกอย่างน้อยสองสามวัน หากแต่หญิงสาวก็ยังคิดถึงเรื่องที่ชายหนุ่มขู่เธอเอาไว้ แต่ใจของเธอกลับค้านว่าฟาเรทนั้นเป็นถึงมารดาของแม่ทัพใหญ่อย่างคาอูล ฟาโรห์ราเมสคงไม่กล้าทำอะไรนาง หากแต่นางข้าหลวงเล็กๆ พวกนั้นเล่า จะต้องถูกประหารเพราะความเห็นแก่ตัวของเธอหรือเปล่านะ?
หากแพมสามารถมองผ่านทะลุประตูบานนี้ไปได้ เธอจะได้เห็นว่าชายหนุ่มที่เธอกำลังคิดถึงอยู่นั้นกำลังทำในสิ่งที่เรียกว่าคาดไม่ถึง
ฟาโรห์หนุ่มใช้แขนแข็งแรงข้างหนึ่งวางนาบไปบนบานประตู ก่อนจะค่อยๆ พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างตรงไปตรงมา แต่มันกลับทำให้เหล่านางข้าหลวงและทหารทั้งหมดที่ยืนยามอยู่ตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกมาจากพระโอษฐ์ของฟาโรห์ราเมสผู้ยิ่งใหญ่ ทหารเชี่ยวชาญศึกและเป็นผู้ที่ได้รับคำกล่าวถึงหัวใจที่เย็นชา
“ข้าขอโทษ......ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ด้านหลังประตูบานนี้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าได้ยิน ข้าจะไม่ปฏิเสธในสิ่งที่ข้าได้ทำลงไป หากแต่ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนรู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่นั้น ตอนที่ข้ากอดนาง.....ข้าคิดเสมอว่านางคือเจ้า”
ราเมสและแพมกำลังทำในสิ่งเดียวกันหลังจากที่ชายหนุ่มกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา นั่นก็คือต่างคนต่างจ้องบานประตูเช่นเดียวกัน หากแต่สิ่งที่กั้นทั้งสองคนเอาไว้ไม่ใช่เพียงแค่ประตูเท่านั้น
เวลา สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ถึงแม้ว่าแพมจะก้าวผ่านมันมาได้แล้วครั้งหนึ่ง หากแต่โอกาสของเธอก็ไม่ได้มีมากมายดั่งเช่นที่เธอคิด
“พระองค์จะให้หม่อมฉันเชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัสออกมาหรือเพคะ ทั้งที่หม่อมฉันเองก็ได้เห็นความจริงอยู่เต็มสองตา ว่าพระองค์เป็นชายที่ไม่รู้จักพอ และไร้หัวใจขนาดไหน”
“หากสิ่งที่ข้าทำมันเป็นสิ่งที่เจ้าเห็นว่าผิด ข้าก็ยินดีที่จะให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินข้า ยอดรัก....เปิดประตูให้ข้าเถิดนะ อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะตัดสินข้าต่อหน้าอย่าให้ข้าต้องทรมานกับความนิ่งเฉยของเจ้าอีกเลย”
ฟาโรห์หนุ่มกล่าวออกมา ก่อนจะยืนนิ่งเพื่อรอการตัดสินใจของหญิงสาวที่นิ่งเงียบอยู่ภายในห้องอย่างใจจดใจจ่อ
จะเปิดดีหรือไม่เปิดดีนะ?
เขาจะหลอกเราหรือเปล่า? หรือว่าเขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ?
ความคิดวุ่นวายภายในใจกำลังตีกันอย่างรุนแรง ถ้าเกิดว่าเขาคิดจริงๆ อย่างที่เขาพูดล่ะ? เธอจะไม่ทำเรื่องที่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือ? แต่ว่าสิ่งที่เห็นก็ทำร้ายจิตใจของเธอนัก เขายังจะมาหลอกเธออีกอย่างนั้นหรือ?
แต่การปิดประตูอยู่เพียงแต่ในนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น......
หลังจากที่ตัดสินใจดีแล้ว แพมก็ค่อยๆ แง้มประตูให้เปิดออก ก่อนจะพบกับชายที่ทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตาเป็นคนแรกในชีวิตยืนอยู่ตรงหน้า
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาเสียที”
ทั้งสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มทำให้แพมรู้ตัวทันทีว่าเธอ....หลงกลเสียแล้ว
อ๊ากกกกก.....ทุเรศที่สุด กล้าหลอกฉันเหรอตาบ้า!!!
ราเมสมองหญิงสาวร่างงามด้วยแววตาระยับ ก่อนจะอาศัยความว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อแทรกตัวเข้ามาในห้องบรรทมอย่างรวดเร็ว
“ปัง!”
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับความงงงวยของเหล่านางข้าหลวงและทหารทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อครู่
“เอ่อ.....พวกเจ้าไม่มีอะไรจะทำหรือยังไงกัน? แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
ฟาเรทเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว หลังจากที่กล่าวออกไปเหล่าอียิปต์มุงเมื่อครู่ก็สลายตัวหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฟาเรท ยืนอยู่กับบุตรชายแม่ทัพใหญ่คาอูลเพียงลำพัง
“หวังว่าทั้งสองพระองค์คงจะไม่ใช้พระอารมณ์ใส่กันหรอกนะ”
นางฟาเรทกล่าวอย่างเป็นห่วง ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรชายที่ดังอยู่ใกล้ๆ
“หึๆ ท่านแม่ ข้าว่าจะเป็นอารมณ์อื่นเสียมากกว่า”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเป็นนัยๆ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้มารดายืนนิ่งขึงด้วยความตกใจอยู่ที่เดิม
“กรี๊ดดดด......ออกไปนะตาบ้า ใครอนุญาตให้เข้ามากัน”
เมื่ออารมณ์ไม่ดีความสุภาพที่เคยมีก็หายไปหมด แพมกำลังระดมปาหมอนเข้าใส่ร่างสูงที่เดินกดดันเข้ามาเรื่อยๆ
“ออกไปนะ! บอกให้ออกไปยังไงล่ะ”
“ตุ๊บๆๆ”
ราเมสไม่ได้ฟังคำพูดที่แพมกล่าวแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามาใกล้จนแทบจะถึงตัว หญิงสาวก็กระโดดลงจากแท่นบรรทม ก่อนจะพุ่งตัวหนีไปอีกทางหนึ่งแต่มีหรือชายหนุ่มที่รอจังหวะอยู่แล้วจะยอมพลาดโอกาสนี้ไป
“จะหนีไปที่ใดกัน”
พริบตาเดียวร่างบางของแพมก็ตกไปอยู่ในอ้อมแขนของราเมสเสียแล้ว
“อะไรกัน เมื่อก่อนเจ้าหรือออกจะเรียกข้าด้วยความย่ำเกรงแท้ๆ แต่ตอนนี้พอข้าทำอะไรให้ไม่ถูกใจเข้าหน่อย เจ้าถึงกับใช้อำนาจกับข้าเชียวหรือ?”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าฟาโรห์บ้ากาม!”
ในที่สุดหลังจากที่อดทนทำตัวสงบเสงี่ยมมานาน แพมก็พูดในสิ่งที่คิดออกมาจนได้
“เจ้าว่าข้าอย่างนั้นหรือ? บ้ากาม? เจ้าหมายถึงเรื่องที่ข้ามีนางสนมเยอะแยะสินะ”
ร่างเล็กบางของเธอแทบจะจมไปกับอ้อมกอดที่รัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก ตอนนี้เธอเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้ก็คือการทำใจให้สงบก่อนที่จะหลอกล่อให้ชายหนุ่มตายใจแล้วค่อยแก้แค้นที่หลังก็ยังไม่สาย...แพมคิด ก่อนจะหันไปยิ้มใส่ตาร่างสูงที่ก้มตัวลงมองเธออยู่อย่างไม่วางตา
“เอ่อ....หม่อมฉันคิดว่าเราควรจะคุยกันด้วยสันติวิธีจะเป็นการดีไหมเพคะ”
“ไม่!” ราเมสปฏิเสธออกมาอย่างทันควัน ทำให้หัวใจของแพมดิ่งวูบลงไปที่ปลายเท้า
“ทำไมล่ะเพคะ?”
“คำว่าไม่ของข้าก็คือ ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดห่างเหินจากเจ้าอีก เมื่อครู่เจ้าดูเป็นตัวเจ้าเอง ข้าว่าถ้าเจ้าต้องฝืนใจล่ะก็ เจ้ากลับไปเป็นตัวของเจ้าแบบเมื่อครู่จะดีกว่า”
ตายล่ะ....ความลับแตกซะแล้วเรา....เฮ้อออ แล้วจะรอดไหมเนี่ย?
“งั้นท่านก็ปล่อยข้าก่อน แล้วพวกเราค่อยมาคุยกัน”
แพมพยายามทำน้ำเสียงให้ดูจริงจังเป็นงานเป็นการอย่างที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยทำได้ดีมาก่อนเลยก็ตามที
“นี่สิ ถึงจะเป็นตัวเจ้าจริงๆ เวลาที่เจ้ากล่าวกับข้าดั่งเช่นที่ทุกคนกล่าวกับข้านั้น ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่จริงใจที่จะกล่าวออกมาจริงๆ นะ”
เอ่อ....ตกลงจะชมหรือด่าเนี่ย....ตาลามกเอ๊ย!
“งั้นข้าก็ทำตามที่ท่านพูดแล้ว เพราะฉะนั้นปล่อยข้าได้แล้ว”
ราเมสทำหน้าคิดหนักอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้เธอถึงกับโมโหขึ้นมาตะหงิดๆ
“ข้าลองคิดดูแล้วนะ” ชายหนุ่มเว้นระยะไปก่อนจะตอบอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ข้าว่าเราอยู่แบบนี้จะดีกว่า เพราะอย่างน้อยข้าจะได้มั่นใจว่า เจ้าจะไม่หนีไปที่ใดอย่างไรเล่า”
โห...ช่างกล้าพูด!
“ข้าว่ามันจะไม่ใช่เช่นนั้นกระมัง แต่ตอนนี้ข้าอึดอัดจริงๆ นะท่านรัดข้าเสียแน่นเลย ข้าชักเริ่มหายใจไม่ออกแล้วล่ะ”
ในเมื่อพูดแล้วไม่ได้ผลก็ใช้แผนออดอ้อนก็แล้วกัน
ราเมสยิ้มให้กับน้ำเสียงที่อ่อนลงของนาง ก่อนจะยอมคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อยอย่างแสนเสียดาย หากแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนแม้แต่น้อย
ในเมื่อฟาโรห์หนุ่มไม่ยอมปล่อยมือ แพมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่เดินตามแรงดึงของชายหนุ่มไปยังเตียงกว้าง ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับเขา
“ข้าไม่อยากให้พวกนางสงสัยว่า ทำไมตั้งแต่เจ้าเข้ามาอยู่ในวัง ข้าก็ไม่เคยไปหาพวกนางอีกเลย ถึงแม้ว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กหญิง แต่ถ้าหากแต่ข้านั้นให้ความสำคัญกับเจ้ามากเกินไปล่ะก็ เจ้าเองก็จะไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าหมายมากขึ้น การเป็นรัชทายาทของอียิปต์นั้น เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการลอบสังหารอยู่แล้ว หากแต่เมื่อตอนที่ข้าดำรงตำแหน่งเดียวกับเจ้านั้น ข้าเองก็ตกเป็นเป้าหมายในการลอบสังหารหลายครั้งเช่นกัน ยิ่งเมื่อผู้คนทั้งหลายรู้ว่าเจ้าเป็นคนสำคัญยิ่งสำหรับข้าด้วยล่ะก็ อันตรายทั้งหลายก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้น เมื่อครู่ข้าจึงต้องทำเพื่อให้ทุกคนคิดว่า ข้ายังเป็นคนเดิม เทพเจ้าแห่งสงครามที่แสนจะเย็นชา มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะตบตาผู้คนพวกนั้นเอาไว้ได้”
“หา....มันอันตรายขนาดนั้นเลยหรือ แล้วจะมีคนมาลอบฆ่าข้าอีกอย่างนั้นหรือคะ”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวในอ้อมกอดด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะให้ความเชื่อมั่นต่อนางว่า
“ข้าจะคอยคุ้มครองเจ้าเอง ไม่มีใครจะทำอันตรายเจ้าได้อีกอย่างแน่นอน เจ้าเป็นดั่งดวงใจของข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ต้องปกป้องเจ้าให้ได้”
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตัวโตๆ ท่าทางแข็งกร้าวอย่างเขาจะพูดจาแบบนี้ก็เป็นด้วย อีกทั้งในโลกที่ตัวเธอจากมา สิ่งอ่อนหวานเช่นนี้ในตัวของบุรุษ อย่าว่าแต่ความอ่อนหวานที่มีอยู่ในตัว แม้แต่ความเข้มแข็งที่จะปกป้องหญิงอันเป็นที่รักก็ยังหาได้ยากยิ่ง
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย สักวัน ข้าเองก็อาจต้องจากไปเช่นกัน ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้”
“ข้ารู้ดีว่าที่นี่คงไม่อาจรั้งเจ้าเอาไว้ได้ตลอดไป หากแต่เมื่อใดที่เจ้าจากไป ข้าอยากให้เจ้าเอาของสิ่งหนึ่งกลับไปด้วย”
แพมทำหน้าคิดตามไปด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าสีหน้าครุ่นคิดของเธอทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้นไปอีก
“ของอะไร? ท่านจะให้ข้าเอาอะไรกลับไปกัน?”
ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะกล่าวว่า
“วิญญาณและหัวใจของข้าอย่างไรเล่า ได้โปรดเอามันกลับไปด้วย เพราะข้าไม่อาจไม่มีเจ้าไม่ได้”
ความรักอย่างหมดจิตหมดใจที่พร้อมจะแลกได้ด้วยวิญญาณ บางทีทุกอย่างก็เริ่มจากความเข้าใจผิด ดื้อรั้น หรือสิ่งที่ทุกคนเรียกว่า....พรหมลิขิต
บางทีความรักที่ทุกคนใฝ่หาก็มาเคาะประตูหัวใจอย่างคาดไม่ถึง แต่เมื่อมาแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นก็มักจะถาโถมราวกับคลื่นยักษ์ที่อยู่ในทะเล จนเราไม่สามารถทรงตัวเอาไว้ได้ เมื่อไหร่ที่รักเป็นสุขทะเลก็สงบสุขและราบเรียบ เมื่อไหร่ที่พบกับอุปสรรคก็เปรียบได้กับทะเลยามโดนมรสุมที่พัดกระหน่ำ
หากหัวใจนั้น.....ไม่อาจมีเพียงหนึ่งเดียวได้
“ข้า.....”
“เมื่อถึงเวลานั้น เหล่าทวยเทพจะนำทางข้าไปเพื่อพบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ข้าจะติดตามเจ้าไปเสมอ”
แพมมองดวงหน้าคร้ามคมเข้ม คำพูดของสมมุติเทพไม่จำเป็นต้องโกหก เพียงเพื่อหลอกหญิงสาวสักคน แต่เธอเล่าจะสามารถทนดูเขาจากไปเพราะไม่อาจนำร่างเนื้อผ่านกาลเวลาไปได้อย่างนั้นหรือ?
ทำไมล่ะ? ในเมื่อเธอยังมาได้ แล้วเขาจะผ่านไปไม่ได้เช่นนั้นหรือ!
หาเขารักเธอจริงอย่างที่พูด เขาก็น่าจะยินดีที่จะติดตามเธอไป.....
อียิปต์ยุคปัจจุบัน.......
“นี่มันผ่านไปหลายวันแล้วนะคะ ยัยแพมหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
นิดเดินกลับไปกลับมาในบ้านของเธอเพราะตอนนี้หญิงสาวไม่รู้ว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เพราะตั้งแต่เพื่อนสาวของเธอหายออกไปจากบ้านของเธออย่างไร้ร่องรอย นิดก็ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งตำรวจ จ้างนักสืบให้ตามหา หรือให้ทางบิดาก็คือศาสตร์ตราจารย์เอดิสันให้ช่วยอีกแรง แต่ทุกอย่างก็คว้าน้ำเหลว จนตอนนี้เธออับจนปัญญาที่จะทำอะไรต่อไปได้อีก จึงได้แต่นำมันมาระบายให้มารดาและบิดาฟัง ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้าน
“แล้วลูกโทรไปแจ้งเรื่องนี้ให้กับครอบครัวหนูแพมแล้วหรือยังลูก”
มารดาถามขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวทำหน้าเคร่งเครียดอย่างหนัก เหมือนกำลังคิดเรื่องไม่ตกบางอย่างอยู่
“โทรไปแล้วค่ะ เพิ่งโทรไปเมื่อวานนี้เอง หนูไม่อยากจะบอกเลยว่า พ่อกับแม่ของยัยแพมแล้วก็พวกพี่ๆ กำลังจะมาที่นี่ทั้งครอบครัวเลยค่ะ”
สองสามีภรรยาต่างมองหน้ากัน ก่อนจะคิดเหมือนกันว่าหากเป็นตนเองก็คงทำเช่นเดียวกัน หากแต่......
ครอบครัวที่ไม่ธรรมดาของเพื่อนลูกสาวนั้น จากที่เคยฟังมาก่อน ก็ให้น่าเป็นห่วงนัก ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันต่อไป
“เอาล่ะลูก นี่ก็ดึกมากแล้ว พ่อว่าลูกไปนอนก่อนก็แล้วกันนะ เอาไว้ถ้าพ่อกับแม่ของหนูแพมมาถึง แล้วเราค่อยปรึกษากันอีกที เพราะพวกเราเองก็ทำทุกวิถีทางแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ค่ะพ่อ....หนูเองก็หวังว่าเราจะยังมีความหวังอีก หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อครอบครัวของยัยแพมมาถึง”
นิดพูดก่อนจะขอตัวไปนอนด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
แพมมองเงาที่งอกออกมาจากตัวเธออีกเงา หลังจากที่ราเมสบอกความในใจกับเธอเมื่อหลายวันก่อน ตั้งแต่นั้นมา ฟาโรห์หนุ่มก็ทำตัวราวกับเป็นเงาที่สอง ที่เพิ่งงอกออกมาใหม่ หลังจากที่ออกคำสั่งไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในอุทยานอย่างเด็ดขาด แพมก็ถูกบังคับให้สวมแหวนเอาไว้ แล้วถูกพาตัวมาทั้งที่ยังอยู่ในร่างเดิมของเธอ พร้อมกับฟาโรห์หนุ่มที่ทำหน้าที่ป้อนอาหารให้เธออยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในตอนนี้
“โอ๊ย!.....ไม่ไหวแล้ว พอแล้วล่ะ ข้าไม่กินแล้วท่านกินเถอะ”
ตาบ้า บังคับให้กินอยู่ได้ กินจนท้องจะแตกอยู่แล้วนะ!
แพมมองมือแข็งแรงที่กำลังถือเนื้อท่อนโต เรียกได้ว่าสามารถสังหารคนได้โดยใช้ท่อนเนื้อนั่นฟาดลงไปในครั้งเดียวเท่านั้น(คิดดูเอาเองว่าใหญ่แค่ไหน)
“ทำไมล่ะ เจ้ากินอาหารราวกับแมว ต่อไปเมื่อถึงคราวหน้าน้ำลมแรง เจ้ามิปลิวไปตามลมหรือนี่”
ฟาโรห์หนุ่มไม่ละความพยายาม หลังจากที่ส่งเนื้อไก่ชิ้นสุดท้ายเข้าไปในริมฝีปากบอบบางของนาง
“ข้าไม่ได้กระเพราะโตนะ กินแค่นี้ก็พอแล้ว เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าข้าจะปลิวไปล่ะก็ ข้าจะเกาะท่านเอาไว้ให้มั่นดีไหม”
ดูเหมือนว่าแพมจะกล่าวได้ถูกใจราเมสยิ่งนัก เขาถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น
“ก็ได้ งั้นเจ้าจะทานผลไม้อีกหน่อยไหม ข้าได้ผลองุ่นสวยๆ มาฝากเจ้า”
เหล่านางข้าหลวงทั้งหลาย ต่างก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน ราเมสได้ยินเสียหัวเราะคิกคัก ก็ปรายตากลับไปมอง ส่งผลให้นางข้าหลวงและเหล่าทหารทั้งหลายต้องรีบหยุดหัวเราะทันที ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีศีรษะเอาไว้ให้หัวเราะได้อีก
แพมมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว ก่อนจะนึกไปถึงค่ำคืนนี้
วันนี้แล้วสินะ!
คิดแล้วให้ใจหายยิ่งนัก คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญตามที่แพมได้คำนวณเอาไว้ แสดงว่าวันนี้เธอจะสามารถเดินทางกลับไปยังบ้านโดยผ่านกระจกบานนั้น เข้าไปอีกครั้ง หากแต่......เธอคงไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว
“คิดอะไรอยู่หรือ?”
เสียงทุ้มนุ่มหูได้ยินอยู่ใกล้ๆ ทำให้แพมถึงกับสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันไปมอง ก็พบว่าราเมสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ นั่นเองเธอถึงได้กลิ่นกำยานจากตัวเขาชัดเจนนัก
“ปะ....เปล่าสักหน่อย เอ๊ะ! แล้วท่านขยับเข้ามาทำไม ข้าอึดอัดนะ”
แพมกล่าว พร้อมกับมองไปรอบข้างที่เมื่อครู่มีนางข้าหลวงและเหล่าทหารยืนอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งนัก
“อ้าว!ไปไหนกันหมดแล้วล่ะเนี่ย เมื่อกี้ยังอยู่กันเลยนี่นา?”
“เวลาที่ข้าอยู่กับเจ้า ใครกันจะกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยง”
เสียงพูดของเขาอยู่แค่ข้างๆ แก้มของเธอนี่เอง
อ๊ายยย! จะเข้ามาใกล้ทำไมกันยะ นิยายเรื่องนี้ชักนะวาบหวามเกินไปแล้ว!!
เพียงพริบตาเดียว แพมก็ถูกราเมสขโมยหอมแก้มไปเสียเต็มรัก จนหญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อเพราะไม่เคยต้องเจอสถานการณ์นี้มาก่อน
“ทำอะไรน่ะ?”
มือบอบบางกุมแก้มเอาไว้พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่
“หอมแก้มเจ้าไง ไม่น่าถาม”
น่านนนน กวนซะแล้ว......
“ข้าหมายถึงว่าท่านมาหอมแก้มข้าทำไมกัน ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ที่บ้านข้าถือ”
“ข้าหอมแก้มเจ้าเพราะข้าอยากทำ และจะทำต่อไปอีก เพราะข้าไม่ถือ”
หมด....หมดกันเลย คิดได้ยังไงเนี่ยช่างกล้าพูด
แพมโมโหจนพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เร็วกว่าชายที่ถูกฝึกมาให้ระวังอยู่เสมอ
“อุ๊ย!”
ร่างเล็กๆ ของแพมถูกดึงเบาๆ เพียงครั้งเดียว หญิงสาวก็ล้มลงไปบนตักของราเมสพอดิบพอดี
“ว๊าย!....ท่านจะทำอะไรน่ะ?”
“ช่วยอยู่เฉยๆ ให้ข้าได้กอดเจ้าได้ไหม ถือว่าข้าขอร้องเถอะนะ”
อาจเป็นเพราะลางสังหรณ์ที่มีติดตัวตั้งแต่เกิน วันนี้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่านางกำลังจะจากไปไกลนะ? ชายหนุ่มโอบกอดร่างบางเอาไว้แน่นขึ้น เมื่อไม่รู้สึกถึงแรงต่อต้านเหมือนตอนแรก
“ทำไมวันนี้ข้าถึงได้รู้สึกว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีนะ? ฮึๆ สงสัยข้าจะคิดมากไปกระมัง”
เป็นเพราะวันนี้ข้าจะต้องไปแล้วน่ะสิ ข้าอยากให้ท่านไปกับข้าด้วยจะได้ไหมนะ? หัวใจของแพมร่ำร้องอยู่ภายใน
แพมมองหน้าชายที่อยู่ตรงหน้านานผิดปรกติ จนราเมสต้องถามขึ้นมา
“มีอะไรหรือ?”
แพมไม่ตอบ แต่จู่ๆ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น แพมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ กับชายหนุ่ม ก่อนจะใช้ริมฝีปากอวบอิ่มที่แดงราวกับผลเชอรี่ค่อยๆ ประทับลงบนริมฝีปากบางเฉียบแลดูเจ้าอารมณ์ของชายหนุ่มเบาๆ อย่างกับว่ากำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่กระนั้น
เมื่อโอกาสมาถึง มีหรือราเมสจะไม่ฉวยเอาไว้ ชายหนุ่มรัดร่างบางให้แน่นขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายควบคุมการเคลื่อนไหวของริมฝีปากทั้งคู่เอาไว้เอง เมื่อได้สัมผัสกับความหวานในโพรงปากของหญิงสาว เลือดร้อนระอุในกายของราเมสก็ร้อนฉ่าขึ้น เขาใช้มือเพียงข้างเดียวพยุงท้ายทอยเล็กๆ เอาไว้ ให้สามารถรับกับจุมพิตร้อนแรงของเขา จนความรู้สึกของแพมในตอนนี้ราวกับกำลังตกลงไปในกระแสนน้ำเชี่ยวกราด ทั้งอบอุ่นอ่อนโยน ทั้งเอาแต่ใจและเรียกร้อง ลิ้นร้อนชอนไชไปทั่ว ฝ่ามือของราเมสอีกข้างก็ไม่น้อยหน้า ตอนนี้มันไม่ได้ทำหน้าที่รัดร่างบอบบางเอาไว้อีกแล้ว แต่มันกลับกำลังลูบไล้ไปมาอยู่บนร่างงาม ที่สวมเพียงเสื้อผ้าบางเบาของสตรีชั้นสูงในราชสำนักอียิปต์เท่านั้น
จูบนี้แทบจะทำให้หัวใจของสาวน้อยละลายไปกับความร้อนรุ่ม ที่ถูกส่งผ่านมาจากริมฝีปากร้อน เสียงกระซิบหวานหู ถ้อยคำที่พร่ำพรรณนาถึงความหวานของเธอทำให้แพมถึงกับหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่ได้ลิ้มรสสักครั้งก็ยากที่จะถอนตัวออกมาได้อีก ตอนนี้ทั้งคู่กำลังวนเวียนแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านรสสัมผัส ความหอมหวาน ทุกครั้งที่ลิ้นร้อนของราเมสสัมผัสดูดดึง และซอกซอนไปทั่ว นั่นยิ่งทำให้แพมแน่ใจถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อตัวเขามากขึ้นทุกทีๆ
“แฮกๆ เดี๋ยว!”
ยังไม่ทันที่แพมจะได้กล่าวอะไรต่อ ริมฝีปากร้อนรุ่มก็กดแนบลงมาอีกครั้ง พร้อมกับจูบที่แพมคิดว่าสามารถลงบันทึกเอาไว้ได้เลยว่า มันอาจทำให้เธอขาดอากาศหายใจตายไปเลยก็ได้ถ้าเขายังไม่หยุดจูบเธอแบบนี้อีกล่ะก็
“พะ...พอก่อน แฮกๆ จะไม่ไหวแล้วนะ”
เสียงอ่อนแรงของแพมทำให้สติของราเมสกลับคืนมา ชายหนุ่มมองริมฝีปากที่บวมเป่งจากฝีมือของเขาอยู่เพียงแวบเดียว เพราะกลัวว่าหากยังขืนมองนางนานกว่านี้ เขาจะไม่สามารถอดใจเอาไว้ได้
หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบกันไปชั่วครู่ เมื่อราเมสสงบสติอารมณ์เอาไว้ได้แล้ว ก็ต้องหันมาหาตัวต้นเหตุที่ทำให้เขากำลังวิตกอยู่ขณะนี้
“เจ้าทำเช่นนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า?”
“จุดประสงค์? ทำไมต้องมีด้วย?”
“เพราะถ้าเป็นเจ้าเมื่อก่อน แค่ข้าสัมผัสเจ้าเพียงเล็กน้อย เจ้าก็ร้องเสียงดังแล้ว แต่ครานี้เจ้าถึงกับเป็นฝ่ายจูบข้าก่อน ถ้าไม่คิดว่าเจ้าต้องการสิ่งใด แล้วจะให้ข้าคิดเช่นไรกัน?”
เมื่อชายหนุ่มพูดจาพาดพิงไปถึงเรื่องเมื่อครู่ ก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวถึงกับร้อนจนต้องยกสองมือขึ้นมาแนบเอาไว้ จนเป็นที่น่าเอ็นดูยิ่งนัก
“บ้าไปแล้ว ข้าจะไปทำเรื่องแบบนั้นทำไมกัน”
ว่าแล้วก็ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรออกมา แม่ทัพคาอูลก็เดินเข้ามาพร้อมกับเหล่าทหารกลุ่มใหญ่เสียก่อน ทำให้เรื่องน่าอายเมื่อครู่ถูกกลืนลงคอไปพร้อมกับประโยคที่จะถามว่า
ถ้าหากข้าจะกลับบ้าน ท่านจะไปกับข้าหรือไม่?
วันนั้นตลอดทั้งวัน แพมคอยติดตามราเมสไม่ยอมห่างหลังจากที่แม่ทัพคาอูลมาแจ้งข่าวเรื่องการสร้างสุสานหลวง สำหรับโลกหน้าของฟาโรห์หนุ่ม ราเมสก็พาเธอติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งที่ยังสวมแหวนอยู่ โดยใช้ผ้าคลุมผืนใหญ่ห่อเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ผู้ใดเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอ
“ข้าจะพาเจ้าไปดูสุสานของข้า ที่ๆ ข้าจะใช้เวลาเพื่อคืนชีพในกาลต่อไป”
ความเชื่อในการคืนชีพของชาวอียิปต์นั้นหยั่งรากฝังลึก และทำกันเป็นธรรมเนียมต่อๆ กันมาหลายพันปี และยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในกาลต่อมาซึ่งก็คือการทำมัมมี่นั่นเอง
“นี่!.....ข้าอยากเห็นการทำมัมมี่น่ะค่ะ พอจะพาไปดูได้หรือเปล่าค่ะ?”
แพมที่กำลังอยู่บนหลังม้า ทั้งโดนกระแทกไปมา โดนกอดรัดเสียจนเจ็บเอวไปหมด แถมแดดที่ด้านนอกกำแพงวังยังร้อนเสียจนเธอแทบจะเป็นลม แต่แพมก็จะไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้เห็นการทำมัมมี่ที่ถูกกล่าวขวัญถึงมานานหลายพันปี จากต้นตำหรับของแท้อย่างแน่นอน
“เจ้าอยากดูเช่นนั้นหรือ? ปรกติที่นั่นห้ามหญิงสาวเข้าไปรบกวนพิธีอย่างเด็ดขาด เพราะอยู่ในเขตหวงห้าม แต่ถ้าเจ้าอยากไปก็ตามใจ ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นด้วยตัวเองหลังจากที่ไปดูการสร้างสุสานแล้ว”
กองทหารกลุ่มใหญ่ไล่ตามหลังม้าของทั้งคู่มา จนกระทั่งถึงที่หมาย ผู้คนหลายหมื่นชีวิตกำลังทำงานกันอยู่กลางแจ้ง แสงแดดที่ผ่านผ้าผืนหนาของเธอเข้ามายังทำให้หญิงสาวแทบจะหน้ามืด แล้วผู้คนที่กำลังทำงานอยู่นี่เล่า พวกเขาไม่มีสิ่งใดป้องกันแสงแดดพวกนี้ด้วยซ้ำ บุรุษแทบทุกคนไม่ได้สวมเสื้อ ทำให้แผนอกแข็งแรงสีทองแดงมีให้เห็นมากโดยทั่วไป ส่วนผ้าที่พันท่อนล่างเอาไว้อย่างหนาแน่นนั้นก็เป็นผ้าเนื้อหยาบที่ชนชั้นทาสของอียิปต์ต้องสวมใส่เอาไว้ และเพื่อให้การเคลื่อนไหวในการทำงานสะดวกขึ้น ชายพวกนั้นส่วนใหญ่จึงโกนผมเพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำงาน และไม่เป็นที่สะสมของเชื้อโรคอีกด้วย
“โอ้โห!......คนงานพวกนี้ทำงานกันแบบนี้ไม่ร้อนแย่หรือคะ?”
ราเมสมองตามแพมที่กำลังมองคนงานคนหนึ่งซึ่งร่างกายผ่ายผอมเพราะต้องทนทำงานกลางแจ้งและยังขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน ซ้ำยังป่วยด้วยโรค
“ใช่.....คนพวกนี้เป็นทาสของสงคราม ชีวิตของพวกมันอยู่ในมือของข้า ไม่ว่าข้าจะสั่งให้มันทำอะไรมันก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นแม้แต่ชีวิตของพวกมันทั้งหมดก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้”
แพมมองเหล่าทาสที่ทำงานหนักอย่างเห็นใจ หากแต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นใดถึงจะช่วยพวกเขาได้ อย่างน้อยก็อยากช่วยเหลือเพียงประทังชีวิตพวกเขาเอาไว้ไม่ให้มีสภาพที่น่าอนาถขนาดนี้ก็เพียงพอ เห็นทีว่าก่อนจะเดินทางกลับ เธอคงต้องคุยเรื่องนี้กับราเมสสักครั้ง เผื่อว่าเขาอาจฟังคำขอร้องครั้งสุดท้าย จากเธอบ้าง
“ที่นั่นใช่ไหมสุสานของท่าน?”
หลังจากที่เดินผ่านเหล่าทาสและผู้คุมมาพักใหญ่ๆ แพมและราเมสก็มาถึงปากทางเข้า ที่ครั้งหนึ่งแพมเองก็เคยเข้าไปมาก่อน เป็นเป็นเวลาหลังจากนี้อีกหลายพันปีนัก นับว่าวันนี้ช่างเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเจอนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
ทหารที่ติดตามมาทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้วย พวกเขาจึงเฝ้าปากทางเข้าเอาไว้อย่างแน่นหนาแทน แม้แต่แม่ทัพคาอูลที่ติดตามมาด้วยก็ยังต้องอยู่ด้านนอก เพื่อให้ฟาโรห์ของพวกเขาได้ใช้เวลาอยู่กับหญิงที่เป็นที่รักมากที่สุด โดยไม่มีผู้ใดที่คิดเข้าไปขัดขวาง
“โอ้โห ในนี้ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้เลย”
หลังจากที่แพมเดินตามร่างสูงที่กุมมือของเธอเอาไว้ ดวงตาของหญิงสาวก็มองไปยังผนังถ้ำที่มีสีสันสดใสสวยงาม ไม่ได้ซีดเซียวดั่งที่เคยพบเมื่อตอนที่เธอเดินทางมาที่อียิปต์ในอนาคตเป็นครั้งแรก ภาพพวกนี้หลังจากผ่านกาลเวลายาวนานนัก ก็ยังคงความงดงามไม่แปลเปลี่ยนตามกาลเวลา อีกทั้งยังยืนหยัดท้าทายทั้งลมและฝนมานานนับศตวรรษวรรษ ช่างเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจและยินดียิ่งที่เธอได้มามีส่วนร่วมที่ได้เห็นการก่อสร้างของสิ่งที่จะเป็นที่ร่ำลือถึงความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของ ประวัติอันยาวนานของอียิปต์อย่างใกล้ชิดขนาดนี้
“ครั้งนึ่ง....ข้าเคยพบเจ้ามาก่อน”
จู่ๆ ราเมสก็กล่าวขึ้น ตอนนี้ทั้งคู่เดินไปจนถึงห้องเก็บพระศพที่ถูกตระเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อทำหน้าที่เก็บรักษาร่างมัมมี่ของกษัตริย์เอาไว้ และรอการพิพากษาเพื่อชั่งหัวใจต่อหน้าเทพแห่งความตาย และเพื่อการจุติใหม่ของพระองค์
“ท่านหมายถึงที่ไหนกัน?”
แพมยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก ด้วยใบหน้าคมคายรูปร่างใหญ่โต มีหรือที่เธอจะเจอเขาแล้วจะจำไม่ได้
“ตอนนั้นเจ้าไม่เห็นข้า แต่ข้าเห็นเจ้า ข้าจำได้ติดตาว่า เจ้าเดินมาที่ข้างโลงศพของข้าและหลั่งน้ำตาให้กับข้าด้วยนะ”
“ห๋า.....ตอนนั้นท่านอยู่ที่ไหนกัน?”
ตายแล้ว!....นี่เขาเห็นตอนที่เธอแอบร้องไห้ตอนฟังเรื่องที่เขาต้องสูญเสียครอบครัวไปด้วยหรือเนี่ย.....ตายจริง!น่าอายจังเลย
“บอกตามตรงนะ ตอนนั้นข้าเองก็เศร้าเรื่องที่พวกเสด็จพ่อและเสด็จแม่จากไปเช่นกัน หากแต่พอเห็นเจ้าทำท่าจะร้องไห้ให้กับข้า กว่าจะรู้ตัวอีกที ข้าก็อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเจ้าไปเสียแล้ว”
ถ้าสีหน้าของผู้พูดไม่ได้พราวระยับไปถึงนัยน์ตา แพมก็คงคิดว่าเป็นคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจ แต่พอสบพระเนตรสีดำสนิท ที่ตอนนี้เปล่งประกายหลากหลาย ความคิดอันนั้นก็หายวับไปทันใด
“ที่บ้านของหม่อมฉันเรียกพวกนั้นว่า.....พวกฉวยโอกาสเพคะ”
ฟาโรห์หนุ่มไม่เพียงไม่พิโรธ ยังจูงมือนุ่มนิ่มของเธอเดินชมรอบๆ สุสาน ราวกับกำลังอยู่ในสวนดอกไม้กระนั้น
“เจ้ารู้หรือไม่ สำหรับข้าแล้วการอะไรคือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”
“อะไรหรือเพคะ?”
ระหว่างที่ชายหนุ่มตั้งคำถาม ทั้งคู่เดินมาถึงห้องเก็บสมบัติพอดี เมื่อถึงตอนนี้ เบื้องหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยสีทอง ของทองคำอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นคทา แหวน สร้อย เครื่องเพชร หรือแม้แต่จานก็ยังเป็นทองคำ นับว่าตั้งแต่เกิดมา หญิงสาวไม่เคยเห็นทองคำที่กองสุมกันมากมายขนาดนี้มาก่อน
แพมนึกว่าชายหนุ่มเดินนำเธอมาที่นี่เพื่อที่จะอวดสิ่งของที่เขากล่าวถึง หากแต่ชายหนุ่มกลับหันมากุมมือเธอเอาไว้มั่น ก่อนจะกล่าวประโยคที่ในกาลต่อมาเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะไม่มีวันลืมชั่วชีวิต
“สิ่งที่ข้าค้นพบก็คือเจ้า ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเจ้าที่นี่ ข้าก็รู้ทันทีว่า เจ้าคือสิ่งล้ำค่าที่สุด ทันทีที่ข้าได้สัมผัสเจ้า หัวใจข้าก็ปลิดปลิวตามเจ้าไปเสียแล้ว เช่นนี้ เจ้าจะทิ้งข้าได้ลงคอกระนั้นหรือ?”
น้ำเสียงอ่อนหวานของชายหนุ่มผู้เข้มแข็งที่สุด ช่างอบอุ่นและอ่อนโยน
หากแต่เธอเล่า จะสามารถทำตามที่เขาต้องการได้หรือ
การจากไปครั้งนี้ ไม่เพียงทำร้ายเขา ยังทำร้ายตัวเธอเองอีกด้วย
“ถ้า....” แพมเว้นช่วงไป ก่อนจะตัดสินใจ กล่าวในสิ่งที่เธอคิดเอาไว้ “ถ้าข้าขอร้องให้ท่านไปกับข้า ท่าน....จะไปกับข้าหรือไม่?”
คำถามนี้ช่างเสียดแทงใจยิ่งนัก แพมกลัวคำตอบของมันเหลือเกิน ไม่ว่าชายหนุ่มจะเลือกทางใด เขาก็ต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องสูญเสียทุกอย่าง
แล้วเธอล่ะ.....ทำไมเธอถึงไม่ทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
ดวงจันทร์กลมโตที่ส่องประกายอยู่ตรงหน้า ทำให้หญิงสาวที่กำลังแหงนมองดูงดงามราวกับภาพวาด เมื่อแสงนวลตาของพระจันทร์ดวงโต ขับผิวขาวออกเหลืองของเธอให้ดูเปล่งประกายยิ่งขึ้น หากแต่สีหน้าของหญิงสาวกลับดูเศร้าเสียจนบรรยากาศรอบตัวกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งแม้แต่ฟาเรทที่ต้องเข้ามารับใช้ในยามที่ฟาโรห์หนุ่มไม่อยู่ ยังต้องถอยห่างเพื่อไม่ให้รบกวนการตัดสินใจที่แสนจะสำคัญยิ่งของเธอ
ไม่สิ....ต้องเรียกว่าสำคัญต่อฟาโรห์หนุ่มผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ไม่แพ้กัน
ร่างบางขยับจากมองพระจันทร์ดวงโตจากระเบียงตำหนัก คืนนี้หญิงแพมบอกกับราเมสว่าจะขอนอนคนเดียว และห้ามไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่แพมได้ถามคำถามนั้นออกไป เธอเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบเช่นกัน อาจเป็นเพราะสีหน้ากังวลใจของเขา ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตำหนิตัวเอง ในเมื่อเขาเป็นถึงกษัตริย์ ทำไมเธอถึงได้ขอให้เขาทำเรื่องเห็นแก่ตัว ทิ้งผู้คนที่หวังการปกป้องจากเขาแล้วไปอยู่กับเธอได้นะ
เมื่อแพมมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจก ภาพในกระจกสะท้อนกลับมาเป็นหญิงสาวผู้งดงามและอ่อนโยน
หรือว่าเราจะกลับไปก่อน แล้วคิดทบทวนเรื่องนี้อีกสักครั้ง ถ้าเรารักเขาจริง แล้วค่อยใช้โอกาสครั้งที่ 3 ในการเดินทางกลับ
แต่ถ้าเราไม่กลับมาล่ะ? ชายคนนั้นจะทำอย่างที่เขากล่าวเอาไว้หรือเปล่านะ
“วิญญาณและหัวใจของข้าอย่างไรเล่า ได้โปรดเอามันกลับไปด้วย เพราะข้าไม่อาจไม่มีเจ้าไม่ได้”
หัวใจไม่อาจมีเพียงหนึ่งเดียวได้......
นิ้วมือสั่นระริกค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้กับกระจก
หากรักครั้งนี้คือพรหมลิขิต การเดินทางครั้งสุดท้ายจะเป็นสิ่งที่จะตัดสินทุกอย่าง ว่าเธอจะทำเช่นไร
“เอาล่ะ! กลับบ้านก่อนก็แล้วกัน อย่างน้อยได้คุยกับทุกคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว แพมก็เตรียมก้าวเท้าเข้าไปในกระจก แต่ก่อนที่จะได้ทันที่ปลายนิ้วสัมผัส แขนบอบบางของใครคนหนึ่งก็ทะลุออกมา
“ผี!......กรี๊ดดดดดดดด ช่วยด้วย!ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี จากที่เห็นแค่แขนข้างเดียวเท่านั้น คราวนี้ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งก็หลุดออกมาทั้งตัวจนร่วงลงไปกองกับพื้นห้อง โดยมีสายตาตกตะลึงของเธอมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่วางตา
“องค์หญิง! เกิดอะไรขึ้นพะย่ะค่ะ....องค์หญิง!”
เสียงพังประตูกลบเสียงเรียกที่อยู่หน้าห้องจนหมด ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไรต่อไป เสียงไม้ปริแตกก็ดังขึ้น พร้อมกับเหล่าทหารบึกบึนแข็งแรงนับสิบคนก็กรูกันเข้ามาในห้องบรรทม
แพมมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั้นก็มาจากกระจก แล้วคน(น่าจะใช่) ที่ออกมาจากกระจกเมื่อครู่ก็น่าจะมีชะตากรรมเดียวกันกับเธอ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องตกใจทำไมกันหนอ?(เพิ่งรู้เหรอยะ)
“อืมมม....”
เสียงของหญิงสาวที่มาใหม่เรียกสายตาของคนทั้งห้องเอาไว้ได้โดยเฉพาะสายตาของแพมที่พยายามจ้องมองหญิงสาวคนนั้นอย่างไม่วางตา
“ยัยนิด!”
เสียงตะโกนของแพมทำให้นิดหันขวับไปที่ทิศทางที่ได้ยินเสียงคุ้นหูอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? นี่แกจริงๆ หรือเนี่ย? ยัยแพม”
สองสาวร้องกรี๊ดออกมาพร้อมกัน ก่อนจะสวมกอดกันด้วยความคิดถึง เพียงแต่ว่าเสียงกรีดร้องของพวกเธอนั้นทำให้ทหารที่เข้ามาเมื่อครู่ถึงขนาดต้องปิดหูเอาไว้เลยทีเดียว(เสียงปรอทแตก)
“แกหายไปไหนมาฮะ? รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแกแทบแย่แน่ะ”
นิดถามเพื่อนสาวเสียงสั่นก่อนจะดันตัวเพื่อนออกเพื่อสำรวจร่างบางที่ตอนนี้สวมชุดราชวงศ์ของอียิปต์อยู่
“เฮ้ย!....นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับแกเนี่ย? ทำไมแกถึงได้ใส่ชุดนี้ล่ะ แล้วพวกนั้นเป็นใครกัน?”
นิดพูดถึงชายหน้าตาถมึงทึงที่จ้องมองเธออย่างไม่ลดละ พร้อมกับจับดาบไว้ในท่าเตรียมพร้อม อีกทั้งด้วยท่าทีของพวกเขาเห็นทีว่างานนี้ถ้ายัยแพมเพื่อนเลิฟถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่พวกเธอคงหนีไม่รอด เพราะหน้าตาแต่ละคนคงสามารถฆ่าคนได้โดนไม่เสียเวลาคิดซะด้วยซ้ำ (ปรือออ)
“อ้อ.....เอ่อ...คือ เอาเป็นว่า พวกเขาเป็นทหารเฝ้าประตูที่เพิ่งพังเมื่อกี้ก็แล้วกัน แฮะๆๆ”
นิดมองหน้าเพื่อนสาวที่ทำหน้าแปลกๆ
“ไม่ต้องทำหัวเราะกลบเกลื่อน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย?”
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันเฟ้ยยยยยยย......ฉันเองก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกันนะ! (ที่สำคัญเสียจูบแรกไปแล้วด้วยฮือๆ)
ร่างของหญิงแต่งชุดแปลกประหลาดที่ปรากฏตัวขึ้นทำให้เหล่าทหารไม่ไว้วางใจนัก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะดูจากท่าทางขององค์หญิงรัชทายาทแล้วแสดงให้เห็นว่าทรงเคยรู้จักกันมาก่อน
“เอ่อ...องค์หญิงพะย่ะค่ะ พระองค์จะให้พวกกระหม่อมทำเช่นไรต่อไปดี?”
แพมมองบานประตูที่แตกหักพร้อมกับเหล่าทหารที่ยืนอยู่ในห้อง หญิงสาวจึงตัดสินใจย้ายห้องไปยังห้องข้างๆ ที่ตัวเจ้าของห้องนั้นกำลังประชุมเครียดกับเหล่าแม่ทัพอยู่ในขณะนี้
“งั้นเดี๋ยวข้ากับเพื่อน....เอ่อพระสหายจะไปที่ห้องฟาโรห์ก็แล้วกัน”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาวจูงมือแม่เพื่อนซี้ที่ยืนทำหน้าตางงงันกับสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น ก่อนจะเดินตามแรงจูงของเพื่อนสาวไปติดๆ
และทันทีที่ประตูห้องบรรทมของฟาโรห์ปิดลง แพมก็ได้ยินเสียงข้อนิ้วที่ถูกหักอยู่ด้านหลัง
“กร๊อบ....กร๊อบ”
“เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็อย่าคิดเลยว่าคืนนี้จะได้นอน”
นิดเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับทำหน้ากระเหี้ยนกระหือรือ เอ๊ย!....หน้าตาอยากรู้อยากเห็นขนาดหนัก(เฮ้อออไปว่าแบบนั้นเดี๋ยวยัยนิดเอาตาย) และในตอนนั้นเองแพมก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสาวฟังอย่างหมดเปลือก ยกเว้น....เรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานหลวงเมื่อตอนบ่าย
ถ้าปล่อยให้ยัยนี่รู้เข้าล่ะก็ คิดว่าคืนนี้ ไม่สิ....ชาตินี้คงโดนแม่นี้ล้อเลียนตลอดชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดึ๋งๆ”
ผมเส้นที่จับอาการโกหกกำลังกระดกเล็กน้อย นิดมองไปยังเพื่อนสาวที่ทำหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง ก่อนจะถามออกมาอีกประโยค
“ดูเหมือนว่าเรื่องยังไม่หมดมั้ง เพราะท่าทางของแกเหมือนยังปิดบังอะไรอยู่ บอกมาซะดีๆ จะได้ตายอย่างไม่ทรมาน หึๆ”
ฮือๆๆๆ เพื่อนเลิฟไว้ชีวิตน้อยๆ ของเพื่อนคนนี้ด้วยเถอะน้า
“ไม่มีอะไรๆ บ้าแกนี่คิดมากไปได้”
ทั้งที่พูดไปแต่เท้าก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าตอนนี้ด้านหลังของเธอติดขอบแท่นบรรทมเสียแล้ว
“จะบอกดีๆ หรือว่าจะต้องให้ใช้กำลัง....”
เอื๊อกกกก.......
“เอ่อ ไม่มีอะไรจริงๆ น้าตัวเอง”
นิดไม่พูดต่อ ร่างเล็กๆ ของเธอกระโจนเพียงครั้งเดียวก็พาเอาร่างบางของแพมล้มลงไปบนแท่นบรรทม
“ฮือ...แฮ่ จะบอกดีๆ หรือเปล่า” (แกเป็นอะไรกันแน่ยะยัยนิด?)
เสียงกรี๊ดร้องดังไปทั้งห้อง แม้แต่ทหารที่ยืนเฝ้าหน้าห้องอยู่ยังได้ยินเสียงแว่วมาแต่ไกล หากแต่ไม่มีคำสั่งหรือสิ่งใดที่ผิดปรกติไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าไปโดยพละการ เพราะไม่เช่นนั้นเกรงแม้แต่ศีรษะก็คงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
“จะบอกหรือไม่บอก แฮกๆ”
การทรมานก็ยังคงดำเนินต่อไป
ผ้าคลุมชิ้นแรกปลิวติดมือไปเสียแล้ว ฟิ้ววววว......
“ไม่มีทาง ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร(ทำไมเชื่อยากเชื่อเย็นอย่างนี้ฟระ)”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังชุลมุนกันอยู่ จึงไม่ได้สังเกตว่า ผนังด้านหนึ่งที่อยู่ในห้องบรรทมถูกเปิดออกอย่างเบามือ
“ปิดบังแบบนี้แสดงว่าต้องเกี่ยวกับชายหนุ่มรูปหล่อแน่นอน ยัยเพื่อนทรยศ”
คราวนี้เป็นแพมที่สามารถพลิกตัวกลับขึ้นมาอยู่ด้านบนได้หลังจากที่ตกเป็นเบี้ยล่างมานาน (เจ้ย)
“เสร็จแน่แก”
ยังไม่ทันได้แก้แค้นคืน ร่างบางที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยก็ถูกรวบเอาไว้จากทางด้านหลังก่อนจะถูกยกด้วยแขนข้างเดียวลอยขึ้นจากแท่นบรรทมและต่อหน้าเพื่อนสาว
“เฮ้ยยย”
เสียงร้องของสองสาวประสานกัน ก่อนที่แพมจะหันหลังกลับไปมองว่าใครกันที่กล้าทำกับเธอถึงขนาดนี้
“ราเมส! ท่านมาได้ไงกันเนี่ย?”
ที่แท้หลังจากที่ออกจากห้องประชุม นางข้าหลวงที่คอยแจ้งข่าวอยู่ด้านนอกก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อมาถึงประตูห้องบรรทมชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงร้องของนางอันเป็นที่รัก ในใจนึกกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เขาจึงได้ใช้ช่องทางลับที่มีมาแต่โบราณลอบเข้ามา
หากแต่หลังจากที่มาถึง กลายเป็นว่าภาพของหญิงสาวอันเป็นที่รักที่กำลังจะเปลือยกายต่อหน้า รบกวนจิตใจของเขาจนทำให้ราเมสต้องก้าวออกมาห้ามเอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นคืนนี้เขาคงทำใจให้นอนหลับอย่างสงบสุขไม่ได้เป็นแน่ หลังจากที่ได้โอกาสตอนที่นางกำลังเป็นต่อ ลุกขึ้นมาคร่อมร่างของหญิงสาวอีกนางที่เขาไม่รู้จักเอาไว้ ชายหนุ่มก็เลยถือโอกาสรวบร่างบางเอาไว้ไม่ให้ก่อเรื่องอีก
ราเมสมองไปยังร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เห็นทีนางคงยังไม่รู้ตัวว่าผ้าแพรผืนบางที่ห่อหุ้มตัวนางเอาไว้นั้นหลุดลุ่ยจนมองเห็นเนินอกอวบอิ่มระออตา จนทำให้หัวใจที่อยู่ภายใต้อกแข็งแกร่งถึงกับเต้นระรัว หวังที่จะเชยชมให้สมรักเสียที
“โอ้โห! หล่อจัง”
เมื่อเห็นร่างของชายที่กำลังอุ้มเพื่อนสาวจนตัวลอย แขนแข็งแรงที่ทำราวกับไม่ได้ยกคนทั้งคนทำให้นิดรู้สึกทึ่งพอๆ กับใบหน้าหล่อเหลาที่เรียกได้ว่าถ้าไปเป็นแบบหน้าปกให้นิตยสารเล่มไหนก็น่าจะขายดี ชนิดว่ายอดถล่มทลายเป็นแน่
แต่ทว่า....เขาเป็นใครกัน ดูจากท่าทางแล้วสนิทสนมกับแม่เพื่อนตัวแสบของเธอน่าดู
“ว่าแต่เขาเป็นใครกันยัยแพม?”
น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นของนิดทำให้แพมรู้สึกกดดันพอๆ กับแววตาที่ตั้งคำถามของราเมสที่ตอนนี้กอดเธอเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่น้อย
“เขา...เอ่อ....เขาเป็น”
ทั้งนิดและราเมสจ้องไปยังหญิงสาวเป็นตาเดียวอย่างพร้อมเพรียงกัน คาดว่าถ้าคำตอบที่เธอตอบออกมาไม่เป็นที่พอใจของทั้งคู่ล่ะก็ เห็นทีคราวนี้เธอคงโดนเล่นงานคูณสองแน่ (โฮกกกก ทำไมถึงได้เป็นางเอกที่โชคร้ายอย่างนี้น้า....ฮือๆๆ)
เอาล่ะตายเป็นตาย!
แพมหลับตาก่อนจะตะโกนออกมา
“เขาเป็นแฟนฉันเองแหละ”
“หา!” เสียงนิด
“หืมม?” เสียงราเมส
ยัยนิดยิ้มแก้มแทบปริ ผิดกับราเมสที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหมายถึงอะไรกัน? แฟน?”
ราเมสหันไปถามหญิงสาวที่มาใหม่ ที่กำลังนั่งยิ้มอยู่บนแท่นบรรทม เพราะหลังจากที่มองร่างบางในอ้อมแขนเห็นทีว่านางคงไม่ยอมให้คำตอบเขาเป็นแน่เพราะตอนนี้นางกลับไม่ยอมสบตาเขาแม้แต่น้อย
“มันหมายถึงคนรัก ผู้ที่เป็นที่รัก คู่รัก อิอิ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ฮะๆๆๆๆ”
ว่าแล้วนิดก็หงายท้องลงไปทั้งชุดนอนที่ติดตัวมาด้วยพร้อมกับกุมท้องไปหัวเราะไป
หนอย!....ได้ทีเลยนะยะ ฝากไว้ก่อนเลยยัยนิด ชิ....
“ที่นางกล่าวมาเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ”
“เฮือก!”
เอาล่ะสิ! ทำไมต้องทำน้ำเสียงชวนสยิ๊วกิ้วแบบนั้นด้วยน้า
แพมมองใบหน้าคมเข้ม ที่ตอนนี้กำลังมองมาด้วยดวงตาพราวระยับ ก่อนจะใช้แรงเพียงเล็กน้อยรวบตัวเธอเอาไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง
เท้าแข็งแรงก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ก่อนจะเดินไปยังห้องข้างๆ ที่เคยเป็นห้องขององค์หญิงพระขนิษฐาของฟาโรห์หนุ่มโดยไม่สนใจนิดที่นั่งมองอย่างตกตะลึงแม้แต่น้อย
“ราเมส ท่านจะพาข้าไปที่ไหนน่ะ? นี่มันดึกแล้วนะ ข้าจะไปนอนแล้ว”
“ข้าก็จะพาเจ้าไปยังห้องใหม่อย่างไรเล่า หญิงที่เพิ่งมาวันนี้เป็นสหายสนิทของเจ้ามิใช่หรือ? ที่สำคัญข้าว่าเจ้ากับข้าบางทีอาจมีเรื่องต้องสนทนากันอีกมากคืนนี้” ราเมสมองร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างหมายมาด
แพมมองหน้าชายหนุ่มก่อนจะคิดในใจ
สงสัยงานจะเข้าซะแล้วละมั้งเรา โฮกกกกกกกก
ความคิดเห็น