คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่4 นางงามใต้แสงจันทร์
เสียงขว้างปาข้าวของที่ดังอยู่ในห้องของพระสนมเอกดาเน่ ทำให้นางสนมคนอื่นๆ ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปใกล้นัก ข่าวที่ได้ยินมาก็คือนับตั้งแต่องค์ฟาโรห์แต่งตั้งเด็กหญิงแปลกหน้าให้ขึ้นเป็นองค์หญิงเมื่อหลายวันก่อน ตั้งแต่นั้นมาเหล่านางสนมหรือแม้แต่ตัวสนมเอกดาเน่เองก็ไม่ได้ถูกเรียกเพื่อรับใช้ในห้องบรรทมอีกเลย
“กรี๊ดดดดดด......บ้า! บ้าที่สุด ฝ่าบาททำแบบนี้กับหม่อมฉันได้ยังไงกัน!”
เสียงที่ไม่เบานักทำให้นางข้าหลวงคนสนิทถึงกับตกใจ เพราะนางไม่คิดว่าพระสนมเอกจะกล้าต่อว่าองค์ฟาโรห์อย่างไม่มีความเกรงกลัวเช่นนี้
“พระสนมเอกเพคะ หม่อมฉันว่าทรงตรัสเบาๆ หน่อยจะดีกว่านะเพคะ เกิดใครมาได้ยินเข้าละก็”
ผัวะ!....
เสียงฝ่ามือดังกระทบเนื้อดังลั่น ทำให้นางข้าหลวงที่อยู่ในห้องอีกสองคนพลอยรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้านไปหมด
“บังอาจนัก ข้าเป็นถึงสนมเอกเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้กล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้ ทหาร! ลากตัวมันออกไปโบยให้หลาบจำ”
เพียงแค่ขาดคำ เสียงกรีดร้องของนางข้าหลวงที่โดนพายุแห่งอารมณ์ของพระสนมเอกก็ดังขึ้น เมื่อทหารพานางออกไปด้านนอกเพื่อรับโทษ ทำให้นางข้าหลวงอีกสองนางถึงกับปิดปากเงียบ เมื่อทุกอย่างสงบลง ทั้งคู่จึงทำหน้าที่เพื่อเก็บกวาดและจัดการให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมเท่านั้น
“ข้าจะไม่มีวัน ปล่อยให้ตำแหน่งราชินีหลุดมือไปเป็นอันขาด”
ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงบนเตียงกว้างที่ไร้เงาของชายหนุ่มผู้กุมชีวิตของชาวอียิปต์ทั้งหลายดั่งกาลก่อน ฟาโรห์ราเมส
ค่ำคืนดึกสงัดภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง แพมกระพริบตาปริบๆ อยู่ท่ามกลางความมืดมิด คืนนี้คืนนี้ภายในห้องบรรทมขององค์ราชินีมีเพียงเธอเท่านั้นที่นอนอยู่เพียงลำพัง ถ้าไมรวมฟาเรทที่มานอนอยู่หน้าแท่นบรรทม สาเหตุเป็นเพราะร่างสูงที่เคยนอนอยู่เคียงข้างเธอตลอดหลายวันที่ผ่านมา คืนนี้ จู่ๆ ชายหนุ่มก็แยกตัวออกไป ถ้าแพมยังเป็นเด็กอย่างที่ร่างของเธอในตอนนี้เป็นจริงๆ ก็คงไม่สามารถเดาได้ แต่ตอนนี้ภายในใจของหญิงสาวกลับรู้สึกเจ็บและเหงาแปลกๆ ที่พอจะเดาได้ว่า ร่างสูงคงไปหาหญิงสาวคนใดสักคน ดั่งที่เคยทำมาก่อนที่เธอจะมาที่นี่กระมัง
“คิดมากน่ะเรา เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเราซะหน่อย”
แพมควักแหวนวงงามที่อยู่ในคอออกมาหมุนเล่น ตั้งแต่วันแรกที่เธอเดินทางมาที่นี่ หญิงสาวเก็บรักษาแหวนวงนี้เป็นอย่างดี และกำลังชั่งใจอยู่ว่าคืนนี้เธอจะลองทำในสิ่งที่ท่านเทพผู้นั้นบอกเอาไว้ดีหรือเปล่าน่ะ
ลองกลับไปอยู่ในร่างเดิมอีกครั้ง เผื่อว่าความมั่นใจทั้งหลายจะกลับคืนมา หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอจะได้ไม่ต้องหวั่นไหวอย่างนี้อีก
หลังจากที่ตัดสินใจได้ ร่างเล็กๆ ของเด็กสาวก็ค่อยกระโดดลงมาจากแท่นบรรทม ก่อนจะจรดปลายเท้าอย่างแผ่วเบาผ่านเหล่านางข้าหลวงที่มานอนเป็นเพื่อนและนางฟาเรทที่นอนอยู่ไม่ไกลนัก
“อืมมมมม.....”
“เฮือก!”
แพมสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้น ก่อนจะหันกลับไปมอง
ฟู่ววว.....ที่แท้ก็ละเมอนี่เอง เกือบไปแล้วไหมล่ะ
ร่างของเด็กน้อยย่องไปจนถึงหน้าประตู ก่อนจะค่อยๆ แย้มประตูที่หนักอึ้งออกอย่างแผ่วเบา เมื่อมองออกไปก็ต้องพบกับทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเป็นกลุ่มใหญ่
ดูท่าการย่องออกไปเงียบๆ ท่าจะไม่ได้เสียแล้ว แพมคิด ก่อนจะกระชับผ้าผืนใหญ่ที่คว้าได้เมื่อครู่จากข้างแท่นบรรทมให้แน่นขึ้น ดูเหมือนว่าตอนนี้สมองของเธอคงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะออกไปจากที่นี่เสียที
จริงซิ! ปลอมตัวเป็นนางข้าหลวงก็ได้นี่นา
แพมหยิบแหวนขึ้นมาสวมอย่างว่องไว เมื่อแหวนวงเล็กถูกสวมใส่เข้าไป รอบๆ ตัวของเธอก็ปรากฏแสงสีขาวห่อหุ้มตัวของเธอเอาไว้ ก่อนที่ร่างกายจะขยายขึ้น ระดับสายตาที่เคยมองทุกสิ่งทุกอย่างใหญ่โตกว่ามากนักก็เปลี่ยนไป กลับไปเป็นระดับที่คุ้นชินเช่นเดิม
อะฮ้า.....ตัวโตเหมือนเดิมแล้ว ดีใจจัง ว่าแต่ถ้าไปทำแบบนี้ที่โลกโน้นคงดังระเบิดเหมือนกันนะเนี่ยเรา ท่าทางจะรวยเละ (ยังจะงกอีก)
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น เมื่อร่างกายเปลี่ยนไป ชุดที่ใส่อยู่กลับตึงแน่น จนชายกระโปรงที่เคยยาวกรอมเท้ากลับหดสั้นขึ้นเหนือเข่าของหญิงสาวขึ้นไปอีก ยิ่งตัวเสื้อด้านบนไม่ต้องพูดถึง ทรวงอกอวบใหญ่ทะลักล้นออกมาจนดูเหมือนว่าชุดนอนที่แสนจะเรียบง่าย กลายเป็นชุดเดรสสั้นขึ้นมาทันที
เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้ละ? แล้วจะเอาอะไรใส่ล่ะเนี่ยทีนี้?
ปากของแพมพะงาบๆ ขึ้นลงด้วยความตกใจ (นางเอกจริงเหรอเนี่ย?) ก่อนจะได้ยินเสียงดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ให้หม่อมฉันช่วยไหมเพคะ”
จึ๋ย....งานเข้าแล้วเรา
แพมค่อยๆ หันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู ที่แท้ด้านหลังของเธอเหล่านางข้าหลวงทั้งหลายก็ตื่นกันหมดแล้ว ดูท่าการย่องของเธอคงไม่สำเร็จเสียแล้ว เพราะตอนนี้อย่างน้อยก็มีคนรู้ความลับของเธอเพิ่มขึ้นมาอีก4คนแน่ะ (เศร้า...กระซิกๆ)
“ตายจริง! ตื่นกันไวจัง ข้าว่าข้าไม่ได้เดินเสียงดังแล้วนะ”
แพมยังทำหน้ายิ้มระรื่น เมื่อเหล่านางข้าหลวงทั้งหลายแยกย้ายกันไปจุดไฟในห้องให้สว่างขึ้นตามจุดต่างๆ ภายในห้อง
“หม่อมฉันตื่นตั้งแต่พระองค์เสด็จลงจากแท่นบรรทมแล้วเพคะ ดึกขนาดนี้แล้วองค์หญิงจะเสด็จไปที่ใดกันเพคะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลของอดีตพระพี่เลี้ยงทำให้แพมต้องยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง ทำให้ฟาเรทที่มองร่างงามตรงหน้าอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความงดงามของหญิงสาวอย่างหมดใจ เรือนร่างอวบอิ่มเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผิวขาวเนียนละเอียดที่กระทบกับแสงไฟกลับดูเรืองรองดั่งทองคำ พอมองขึ้นไปยังลำคอระหงและริมฝีปากแดงระเรื่อที่ตอนนี้ปกปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิด ดวงตากลมโตเปล่งประกายของผู้มีอำนาจ และผมสีดำสนิทที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมาดูแล้วนุ่มสลวยน่าจับยิ่งนัก
“ข้าก็แค่จะออกไปเดินเล่นก็เท่านั้น ฟาเรท เจ้าไม่ตกใจเหรอที่เห็นข้าเป็นแบบนี้น่ะ?”
แพมเดินลากขาอย่างอ่อนแรงเมื่อถูกจับได้ในเรื่องที่คิดว่าจะปกปิดทุกคนเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเสียแล้ว เมื่อนั่งลงตรงขอบแท่นบรรทม ฟาเรทก็ก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและเฉลยความคับข้องใจให้เธอได้ฟัง
“หม่อมฉันติดตามองค์ราชินีมาตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ที่บ้านเกิดของหม่อมฉันและองค์ราชินีนั้น เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เพคะ เพราะพวกเราบวงสรวงเหล่าทวยเทพทั้งหลายเพื่อมอบมนตราให้กับดินแดนของพวกเราปราศจากโรคภัยและสงคราม และเมื่อตอนที่หม่อมฉันอาบน้ำให้กับพระองค์เมื่อวันแรกที่พระองค์ทรงเสด็จมาถึงที่นี่ หม่อมฉันก็สังเกตเห็นแหวนวงนี้ ฝ่าบาทอาจไม่ทรงทราบ แหวนวงนี้องค์ราชินีทรงมอบให้กับฟาโรห์ราเมสเพื่อคุ้มครองพระองค์จากอันตรายต่างๆ แหวนวงนี้มีพรแห่งทวยเทพที่ทรงประทานเอาไว้ เมื่อนานมาแล้ว พร้อมกับคำทำนายที่ว่า บุตรแห่งฟาโรห์ซิมเซซุส ที่เกิดกับราชินีองค์ที่สอง จะได้พบกับผู้ที่จะทำให้อียิปต์รุ่งเรืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และทั้งคู่จะร่วมกันครองอียิปต์สืบไป”
สีหน้าแพมเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเสมองไปที่อื่น
“งั้นเหรอคะ!...เอ่อ งั้นคงเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าแพมคงไม่ใช่คนในคำทำนาย”
เมื่อรู้สึกเสียศูนย์ นิสัยเดิมก็ออกมาพร้อมกับคำพูด แพมก้มหน้าก้มตาพร้อมกับไม่ยอมมองหน้านางฟาเรทตรงๆ
“อีกอย่าง แพมเองก็ไม่ใช่คนของที่นี่ คงไม่สามารถอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรอกค่ะ”
ฟาเรทมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเข้าใจ หญิงสาวเดินทางมาที่นี่ด้วยวิธีใดไม่มีใครทราบได้ หากแต่ชะตากรรมและเหล่าทวยเทพได้เลือกนางเสียแล้ว ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม นางก็ต้องทำสิ่งที่ชะตาได้ลิขิตไว้ให้สำเร็จตามคำทำนาย
ที่สำคัญ เมื่อฟาโรห์ราเมสได้พบกับนางสักเพียงครั้งล่ะก็ นางคงไม่มีโอกาสที่จะกลับบ้านอีกเลยจากนี้และตลอดกาล
“ป้าอย่าบอกใครเรื่องนี้เลยนะคะ แพมขอร้อง”
หญิงสาวหน้าเสียเมื่อนึกว่าหากผู้ชายคนนั้นรู้เรื่องนี้เข้า ไม่แน่ว่าตัวเธอเองจะไม่ปลอดภัยก็เป็นได้
“หม่อมฉันจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาดเพคะ พวกนางก็ด้วยเช่นกัน”
ฟาเรทมองไปยังนางข้าหลวงที่อยู่ไม่ไกลนัก และทุกคนต่างก็รับคำเช่นเดียวกัน นั่นทำให้แพมรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกจนต้องถอนหายใจออกมา
“หม่อมฉันว่าองค์หญิงเปลี่ยนเครื่องทรงก่อนดีไหมเพคะ”
เมื่อมองไปยังชุดที่ใส่อยู่แพมก็ต้องรีบพยักหน้าโดยเร็ว เพราะตอนนี้หญิงสาวชักเริ่มรู้สึกหนาวๆ เสียแล้ว ก็ในเมื่อชุดมันหดสั้นเสียจนแม้กระทั้งลมที่พัดมาเล็กน้อยก็ทำให้เธอหนาวได้ไม่ยาก
ฟาเรทมองร่างบางที่เปลี่ยนชุดทรงเรียบร้อยแล้วด้วยสายตาแห่งความชื่นชม นางช่างเป็นหญิงงามที่ยากจะถอนสายตาจริงๆ
ร่างบางหมุนตัวอยู่หน้ากระจกบานสูงที่หญิงสาวใช้เดินทางมาเมื่อครั้งแรก ก่อนจะรู้สึกแปลกไปกับการแต่งตัวที่เปลี่ยนไป
นี่เธอก็ดูดีในชุดโบราณเหมือนกันนะเนี่ย!
“ป้าฟาเรทคะ คือ...แพมมีอีกเรื่องอยากจะขอร้องน่ะค่ะ”
เหล่านางข้าหลวงที่มัวแต่มองความงดงามของร่างบางตรงหน้าจนเพลินถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว การที่ราชวงศ์จะกล่าวคำพูดที่อ่อนหวานเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก
ด้วยความเอ็นดูฟาเรทจึงพยักหน้าก่อนจะตอบรับอย่างยินดีที่จะทำให้ความประสงค์ขององค์หญิงแสนงามตรงหน้าเป็นจริง หากนางสามารถช่วยได้อย่างเต็มที่
“องค์หญิงทรงประสงค์สิ่งใดกันหรือเพคะ?”
แพมทำสีหน้าอย่างที่เรียกว่าถ้าคนที่รู้จักแพมดีคงรู้ว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าไว้วางใจว่าหญิงสาวตรงหน้าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
“คือ....แพมอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกน่ะค่ะ”
แพมยิ้มท่ามกลางสีหน้ากังวลของทุกคนที่อยู่ในห้อง
“จะไปไหนกัน?”
ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ถามนางข้าหลวงสามนางที่คลุมตัวเอาไว้อย่างมิดชิดหลังจากที่ทั้งสามคนก้าวออกมาจากห้องบรรทมขององค์หญิง
“ท่านฟาเรทสั่งให้พวกข้าไปเตรียมของสำหรับองค์หญิงในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“ดึกป่านนี้ พวกเจ้าจะไปเตรียมอะไรกัน?”
ทหารยามไม่ยอมเชื่อ เขากลับทำหน้าตาขึงขัง แต่แล้วประตูที่ถูกงับเอาไว้ ก็เปิดออก พร้อมกับนางฟาเรทที่ก้าวออกมา
“ข้าเป็นคนให้ไปเอง พวกเจ้าก็อย่าได้ขวางพวกนางเลย”
เมื่อเหล่าทหารเห็นนางฟาเรทเข้าก็ทำความเคารพ จะไม่ใครเล่ากล้าต่อกรกับอดีตพระพี่เลี้ยงขององค์ฟาโรห์ ที่แม้แต่พระองค์เองยังให้ความไว้วางพระราชหฤทัย ไม่นับเรื่องที่นางฟาเรท คือคนสนิทของอดีตองค์ราชินีที่ติดตามมาตั้งแต่พระองค์ทรงพระเยาว์
“พวกหม่อมฉันจะคอยดูต้นทางให้ตรงนี้นะเพคะองค์หญิง”
นางข้าหลวงสองคนที่ติดตามมากล่าวขึ้น เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงอุทยานหลวง อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่พวกเธอคิดออก เพราะคงไม่มีใครกล้าเข้ามาในอุทยานหลวงขององค์ฟาโรห์โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตเป็นแน่
“ขอบใจมากนะ ข้าขอเดินเล่นสักครู่”
เมื่อทั้งสองคนคล้อยหลังไป แพมก็เดินลงบันไดไปพร้อมกับชื่นชมกับบรรยากาศที่เย็นสบายภายใต้ดวงจันทร์กลมโตสว่างไสวภายใต้ท้องฟ้าสีดำ
ถ้ายัยนิดมาด้วยก็คงจะดีนะ! ป่านนี้แล้วโลกโน้นจะเป็นยังไงบ้างน้า?
ฝ่ามือบอบบางช้อนดอกไม้ดอกใหญ่ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งก่อนจะหันไปเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“แกร็ป!!”
“ใครน่ะ!?”
ร่างดำใหญ่ที่ปรากฏขึ้นแทบจะทำให้หัวใจของแพมหยุดเต้น
ฟาโรห์ราเมส!
เขาเป็นอะไรไปนะ? ทำไมถึงได้รู้สึกกระวนกระวายใจเช่นนี้?
ฟาโรห์ราเมสสาวพระบาทก้าวยาวๆ เพื่อที่จะดำเนินกลับไปยังตำหนักของราชินี ที่ๆ มีเด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงองค์ใหม่แห่งจักรวรรษอียิปต์บรรทมอยู่ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ คืนนี้เขาสมควรจะได้รับการปรนนิบัติจากเหล่าสนมของเขา ภาพของเด็กหญิงใบหน้าสวยหวานกลับรบกวนจิตใจของเขาจนไม่อาจนอนค้างที่ตำหนักของสนมเอกได้ อะไรทำให้เขาเป็นเช่นนี้ หรือเป็นเพราะเด็กคนนั้นคล้ายกับนาง....หญิงสาวที่เป็นดั่งนางในฝันของเขา เมื่อฟาโรห์ราเมสเสด็จมาถึงทางลงอุทยานหลวง ชายผ้าสีขาวก็เข้ามาในสายตาพอดี ทำให้เท้าที่จะก้าวเดินไปยังห้องบรรทมต้องหยุดชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง
“ใครกันช่างบังอาจนัก”
ที่ๆ เขาสั่งห้ามเอาไว้กลับมีคนกล้าขัดคำสั่ง เห็นทีคงไม่รักชีวิตแล้วกระมัง ชายหนุ่มจึงเร่งก้าวตามชายผ้าสีขาวเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยมีสีหน้าตกใจสุดขีดของนางข้าหลวงสองคนที่ยืนอยู่หลังเสาต้นใหญ่มองตามอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี
“ใครน่ะ?”
หลังจากตะโกนออกไปแล้ว ร่างที่อยู่ในเงามืดของต้นไม้ก็ก้าวออกมาให้เห็น แต่นั่นทำให้แพมถึงกับเข่าอ่อน แต่ยังรักษาสีหน้าเอาไว้ได้ เพราะผู้ที่ก้าวออกมานั้นก็คือราเมส ฟาโรห์แห่งอียิปต์ที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้
“เจ้ามาจากไหนกัน? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน”
โชคยังดีที่ว่า เมื่อครู่ แพมรู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหัน จึงได้เอาผ้าคลุมพันเอาไว้รอบตัว ทำให้เห็นแต่ดวงตากลมโตแววหวานเพียงเท่านั้น
สีหน้าของชายหนุ่มยามนี้ ช่างตกต่างจากตอนที่เขาอยู่กับแพมที่ยังเป็นเด็กหญิงยิ่งนัก แววตากระด้างไร้ความอ่อนโยน ร่างกายใหญ่โตของเขาแผ่อำนาจคุกคามออกมาเต็มที่ ร่างบางกระชับผ้าคลุมแน่นขึ้น ก่อนจะมองหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
“หม่อมฉันดูแลองค์หญิงแพมอยู่เพคะ พระองค์ทรงตรัสว่าบรรทมไม่ค่อยหลับหม่อมฉันก็เลยอาสาออกมาเก็บดอกไม้ให้พระองค์เพคะ”
ฟาโรห์ราเมสขมวดพระขนงแน่น ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้แพมอีกก้าว ทำเอาเธอถึงกับต้องถอยเล็กน้อยเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะผิดสังเกต
“ดึกป่านนี้แล้วทำไมนางยังไม่นอนอีก แล้วเจ้าลงมาเก็บดอกไม้แต่ทำไมข้ายังไม่เห็นดอกไม้ในมือเจ้าแม้สักดอก”
เอาล่ะสิ!...จะรอดไหมเนี่ยเรา?
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ยอมเชื่อง่ายๆ เขาก้าวเท้าเข้ามาหาเธอเรื่อยๆ และตอนนี้แพมถูกต้อนไปจนมุมที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเสียแล้ว
อ๊ากกกกก! หายไปไหนกันหมด ไหนบอกว่าจะเฝ้าต้นทางให้ยังไงล่ะ โกหกกันนี่นา โฮกกก.......
“เอ่อ....ฝ่าบาทเพคะ”
เสียงของนางข้าหลวงที่ดังขึ้นไม่ไกลนัก เรียกให้ชายหนุ่มต้องหันกลับไปมอง นางข้าหลวงสองคนที่ในมือมีตะกร้าใส่ดอกไม้อยู่เต็มกำลังทำความเคารพฟาโรห์แห่งอียิปต์อยู่อย่างนอบน้อม
“พวกเจ้ามากับนางอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มจำนางทั้งสองคนได้ ทั้งคู่คือนางข้าหลวงคนสนิทของฟาเรทอดีตพี่เลี้ยงของเขา แสดงว่าสิ่งที่หญิงคนนี้พูดเป็นความจริง ราเมสจึงยอมเปิดทางให้เมื่อแพมก้าวออกมาจากร่มไม้ที่เขากักตัวเธอเอาไว้
“เพคะ”
นางข้าหลวงอีกคนหัวไวจึงกล่าวออกมาอีกประโยค
“ตอนนี้ท่านฟาเรทคงรอแล้ว หม่อมฉันขอประทานอนุญาตเพคะ”
ทั้งสองคนดึงให้แพมทำความเคารพ ก่อนจะรีบลากหญิงสาวให้ออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“ฟู่วววว.....เกือบไปแล้วเรา เมื่อกี้ขอบคุณมากนะคะ”
แพมหันไปขอบคุณทั้งสองคนที่ตอนนี้เดินตามหญิงสาวมาติดๆ
“หม่อมฉันตกใจแทบแย่เลยเพคะ ตอนที่เห็นองค์ฟาโรห์ทรงดำเนินมา หม่อมฉันใจหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้าเลยเพคะ”
นางข้าหลวงอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งสามคนจะผ่านทหารยามเข้าไปอย่างง่ายดาย ก่อนที่จะเจอกับฟาเรท ที่รออยู่อย่างกระวนกระวาย
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมพวกเจ้าพาองค์หญิงกลับมาช้าเช่นนี้ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เสียงของฟาเรทร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แพมไม่ตอบคำถาม หญิงสาวรีบถอดแหวนออกจากนิ้ว ซึ่งตอนที่ถอดออกร่างของเธอก็เรืองแสงอีกครั้งก่อนจะกลับไปตัวเล็กเหมือนเดิม
“เมื่อกี้เราเจออีตาราเมสเข้าน่ะสิ! อีกเดี๋ยวเขาคงมาที่นี่ล่ะมั้ง!”
แพมพูดออกมาโดยที่ไม่ได้มองสีหน้าของฟาเรทแม้แต่น้อย แต่พอหันกลับไปก็ต้องตกใจ เพราะดูเหมือนว่าฟาเรทจะเป็นลมไปซะแล้ว กรรม......
“ว๊าย!...ป้าคะ! ป้าฟาเรท!”
เหล่านางข้าหลวงทั้งหลายต่างวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ พร้อมๆ กับเสียงดังหน้าห้องเมื่อฟาโรห์ราเมสเสด็จมาถึงหน้าห้องบรรทมแล้ว
“เปิดประตู!....พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่น่ะ?”
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นหน้าห้องบรรทม ทำให้ฟาเรทที่เป็นลมเมื่อครู่ถึงกับได้สติ นางเดินอย่างรวดเร็วไปเพื่อเปิดประตูให้องค์ฟาโรห์เสด็จเข้ามาด้านใน
แพมมองร่างกายของตัวเองที่ยังสวมชุดผู้ใหญ่อยู่ ก็รีบกระโดดขึ้นเตียงอย่างว่องไวก่อนจะห่มผ้าผืนโตเอาไว้ แล้วโผล่ออกมาแค่หัวเท่านั้น
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?”
เมื่อเข้ามาในห้องได้ราเมสก็ทวีความสงสัยขึ้นมาทันที เมื่อเห็นสีหน้าของฟาเรทที่ดูมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด
“หม่อมฉัน เอ่อ...คือว่าหม่อมฉัน”
“เข้ามาในห้องผู้หญิงได้ยังไงกัน ดึกดื่นป่านนี้แล้ว”
แพมตะโกนออกมาจากแท่นบรรทมช่วยฟาเรทไว้ได้อย่างหวุดหวิด เพราะราเมส เปลี่ยนความสนใจในตัวของอดีตพี่เลี้ยงทันที ก่อนจะหันมาสนใจเด็กสาวที่กำลังนอนมองเขาด้วยดวงตากลมโต
“ทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีก”
“แล้วท่านล่ะ ทำไมมาดึกขนาดนี้ ไปไหนมา?”
สีหน้าและแววตาของเด็กหญิงทำให้ราเมสรู้สึกว่าตนเองไปทำผิดอะไรซักอย่างแล้วกำลังโดนสอบสวนอยู่ในขณะนี้
“ข้าเป็นถึงฟาโรห์ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตั้งคำถามข้า!”
น้ำเสียงดุดันที่เปล่งออกมาทำให้ใบหน้าของเด็กหญิงสลดลง ก่อนจะซุกตัวลงไปกับแท่นบรรทม
“เอ่อ...ข้า”
ราเมสพยายามจะกล่าวอะไรออกมา แต่พอมองไปรอบๆ ห้องที่ยังมีเหล่านางข้าหลวงอยู่ด้วย คำพูดเหล่านั้นก็ถูกลืนลงไปในลำคอทันที ฟาเรทเข้าใจดีถึงนิสัยส่วนพระองค์ได้เป็นอย่างดี นางจึงพยักหน้าก่อนจะพานางข้าหลวงทั้งหมดให้ออกไปจากห้อง ทิ้งชายหนุ่มและหญิงสาวในร่างเด็กไว้เพียงลำพัง
ชายหนุ่มเดินไปยังแท่นบรรทมก่อนจะนั่งลงข้างๆ เด็กหญิง
“เมื่อครู่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตวาดเจ้าแม้แต่น้อย”
“ท่านจะมาบอกข้าทำไมกัน ข้าไม่ได้มีสิทธิ์อะไรเสียหน่อย”
เพียงแค่ฟังก็รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมกว้างกำลังรู้สึกเช่นไร
“แต่ตอนนี้เจ้าคือครอบครัวของข้า เป็นผู้ที่ใกล้ชิดข้าที่สุด”
แพมหันมาสบตากับราเมสตรงๆ ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ข้าไม่ใช่คนผู้นั้นหรอก เพราะข้าไม่รู้จักท่านแม้แต่น้อย หากแต่.....ถ้าเป็นนางสนมพวกนั้น ก็ไม่แน่”
ถ้าผู้ที่พุดตรงหน้าเป็นหญิงสาว ราเมสก็คงคิดว่านางกำลังหวงแหนเขาอยู่ แต่นี่เป็นคำประชดของเด็กหญิงอายุ 6 ขวบดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี แต่แล้วสายตาของราเมสก็เหลือบไปเห็นสายสร้อยเส้นเล็กๆ ที่แพมสวมติดตัวอยู่
แหวนของเสด็จแม่!.....
สายตาคมตวัดมายังดวงหน้าเล็กที่กำลังมองเขาอยู่ แต่เธออาจไม่ทันสังเกตเห็นว่า เขามองเห็นสร้อยคอที่ร้อยแหวนเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นเวลานี้แพมคงไม่สามารถรักษาสีหน้าเอาไว้ได้เช่นนี้
ทำไมนางถึงได้มีมัน? แหวนวงนี้เขาให้หญิงสาวในฝันคนนั้นไปแล้ว และนางเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
.
แล้วเด็กคนนี้ได้มันมาได้อย่างไรกัน?
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย ทำไมเจ้าถึงยังไม่นอน หืมม...เด็กน้อย?”
ชายหนุ่มสอดตัวเข้ามา พร้อมกับยกร่างเล็กๆ ให้นอนทับอยู่บนอกแกร่ง จนแพมได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นอย่างถนัดถนี่
โอ้ววว! แม่เจ้า มันชักจะล่อแหลมเกินไปหรือเปล่านะ แต่แหม...อกเขาแข็งเป็นลอนดีจัง อิอิ......(นี่นางเอกแน่หรือ?)
“ข้านอนไม่หลับ”
แพมก้มหน้าก้มตาตอบ จะให้บอกได้ยังไงกันล่ะว่า เธอนอนไม่หลับเพราะว่าเขาไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ ด้วยเหมือนทุกคืน เพราะถ้าบอกไปมันคงแปลกพิลึกน่ะสิ
“นอนไม่หลับ?....เจ้าน่ะเหรอนอนไม่หลับ ตอนที่ข้านอนเป็นเพื่อนเจ้า ข้าเห็นเจ้านอนหลับแถมกรนอีกด้วยนะ หรือว่า....ไม่มีข้านอนอยู่ด้วยเจ้าก็เลยนอนไม่หลับสินะ”
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง แต่สำหรับหญิงสาวที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นมันช่างกระชากใจดวงเล็กๆ ของเธอเสียเหลือเกิน
“ไม่ใช่เสียหน่อย!”
ใบหน้าแดงก่ำ แสดงให้เห็นว่าคำพูดของเขานั้นจี้ใจดำเธอขนาดไหน
“เอาล่ะ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ งั้นก็นอนได้แล้ว ดึกป่านนี้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าจะไม่สบายเอา”
คืนนั้น แพมนอนหลับอยู่บนอกแข็งแรงของราเมสอย่างสบายใจ ความกังวลที่มีอยู่ในใจของหญิงสาวกลับหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับยิ่งทำให้แพมกังวลถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อฟาโรห์หนุ่มจนยากที่จะอธิบายได้
สถานการณ์ตึงเครียดที่ปรากฏขึ้นในห้องว่าราชการของฟาโรห์แห่งอียิปต์ แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่มีผลกระทบมากมายเพียงใดกับอียิปต์ มีเพียงแต่ฟาโรห์หนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ พร้อมด้วยร่างเล็กๆ ที่กำลังสนใจกับแผนที่ในมือของชายหนุ่มเท่านั้น ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับความตึงเครียดของทุกคน
สงคราม!....สิ่งที่น่าหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้ยิน
“ฝ่าบาทจะทรงทำสงครามกับฮิปไทน์จริง หรือพะย่ะค่ะ?”
ขุนนางแก่ๆ ท่านหนึ่งก้าวออกมาหลังจากได้รับหน้าที่สำคัญในการเจรจากับองค์ประมุข
ฟาโรห์หนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปยังเหล่าขุนนางที่ทำสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“แค่เตรียมการไว้ก่อน ข้าว่าอีกไม่นานกษัตริย์ฮิปไทน์คงต้องมาแน่”
แพมมองแผนที่ยุ่งเหยิงที่อยู่ในมือของชายหนุ่ม ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจว่า
“ทำไมท่านไม่ลองกดดันประเทศรอบๆ ของฮิปไทน์ดูล่ะ”
ห้องว่าราชการเงียบงันขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินความเห็นขององค์หญิงตัวน้อย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
นิ้วเล็กๆ ชี้ไปยังเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบๆ อียิปต์และฮิปไทน์ พร้อมกับอธิบายแผนเศรษฐกิจที่ผู้คนในยุคปัจจุบันนิยมใช้กันหากแต่มันเป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคโบราณยังนึกไม่ถึง และอาจเป็นเพราะคนในยุคปัจจุบันไม่สามารถแย่งชิงดินแดนกันด้วยการทำสงครามอีกแล้ว จึงได้คิดค้นวิธีที่จะกลืนกินประเทศอื่นด้วยวิธีที่แยบยลทางการเมืองมากกว่าก็เป็นได้
หลังจากที่แพมอธิบายให้ทุกคนเข้าใจถึงวิธีที่เธอหมายถึง สีหน้าของเหล่าขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายต่างมีความเคารพและชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด
“ทรงปรีชายิ่งนักองค์หญิง ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีวิธีอันแยบยลเช่นนี้อยู่ด้วย นับว่าเป็นบุญของกระหม่อมที่ได้ยิน”
ขุนนางชราคนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนจะทำความเคารพเธออย่างสูงสุด ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องแม้แต่เหล่าแม่ทัพใหญ่ทั้งหลายก็พร้อมใจกันทำเช่นเดียวกับขุนนางคนนั้น
แพมทำหน้าตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้รับการเคารพถึงขนาดนี้ ทุกคนกำลังคุกเข่าให้เธอที่นั่งอยู่ข้างๆ ราเมสบนบัลลังก์ทองคำ เสียงหัวเราะของชายหนุ่มเรียกให้หญิงสาวหันไปมอง
“ทรงขำอะไรเพคะ!?”
“เปล่าเสียหน่อย ข้าแค่มองเห็นแป้งก้อนกลมๆ เช่นเจ้าทำหน้าตกใจก็เท่านั้น”
ราเมสกล่าวออกมาทั้งที่อกแข็งแกร่งยังไม่หยุดสั่นไหว
แป้งก้อนกลมๆ!....อ๊ายยย มาว่าหน้าตาน่ารักของฉันเป็นแป้งก้อนกลมอย่างนั้นเหรอ!!!
คราวนี้ใบหน้าของแป้งก้อนกลมที่ราเมสกล่าวถึง กลับยิ่งกลายเป็นหงิกงอ จนชายหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะดังสนั่นออกมา ทำให้เหล่าขุนนางตกตะลึงไม่ใช่น้อย เพราะตั้งแต่ฟาโรห์สมติเทพของพวกเขาสูญเสียพระบิดาและพระมารดา พวกเขาก็ไม่เคยได้เห็นพระพักตร์ที่สุขไสวไปด้วยความสุขเช่นนี้จากฟาโรห์หนุ่มอีกเลย
หลังจากที่แอบแยกออกมาตอนที่ฟาโรห์หนุ่มกำลังปรึกษาเรื่องสงครามอยู่ แพมก็เดินลัดเลาะไปตามห้องต่างๆ ที่อยู่ในพระราชวังโดยมีฟาเรทและนางข้าหลวงอีกนับสิบคอยติดตาม ปากช่างซักถามของหญิงสาวก็ทำหน้าที่สัมภาษเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในพระราชวังแห่งนี้ไม่หยุดปาก จนกระทั่ง
“เอ๋...ป้าฟาเรทคะ ที่นั่นเอาไว้ทำอะไรน่ะค่ะ”
นิ้วเล็กๆ ชี้ไปยังตำหนักที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก สีหน้าและท่าทีอึกอักของเหล่านางข้าหลวงทั้งหลายยิ่งทำให้เธอสงสัยมากขึ้น แพมไม่รอฟังคำตอบหญิงสาวเดินเร็วๆ ไปยังสิ่งที่หมายตาเอาไว้ในทันที เมื่อไปถึง กลิ่นหอมของดอกไม้และกำยานลอยเข้ามาปะทะจมูก พร้อมทั้งเสียงหัวเราะของหญิงสาวหลายนางที่ดังลอดออกมา
“ที่นี่คือฮาเร็มเหรอ?”
น้ำเสียงขึ้งเครียดของหญิงสาวในร่างเด็กทำให้ฟาเรทถึงกับหน้าเสีย
“พะ...เพคะ”
คำตอบของฟาเรทกลับยิ่งทำให้ใบหน้ากลมงอหงิกยิ่งขึ้นไปอีก แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเสียงหัวเราะต่อกระซิกของเหล่านางในฮาเร็มก็เงียบลง แสดงให้เห็นว่าพวกนางคงเห็นผู้มาเยือนอย่างเธอเสียแล้ว
ทุกคนทำความเคารพก่อนจะได้รับอนุญาตให้เงยหน้าขึ้น เสียงคุ้นหูของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้น
“ไม่นึกเลยว่าองค์หญิงตัวน้อยจะเสด็จมาถึงที่นี่ได้ หม่อมฉันสนมเอกดาเน่เพคะ ทรงจำได้หรือเปล่า”
ดาเน่พร้อมกับนางข้าหลวงอีกสองสามคนเดินออกมาจากด้านหนึ่งของฮาเร็ม ที่ที่เดินมาจากอีกทางหนึ่งก็คือสนมเอกเฟรเซียซึ่งพอนางข้าหลวงรีบไปแจ้งข่าว นางจึงมาเพื่อดูหน้าเจ้าหญิงองค์ใหม่แห่งอียิปต์ที่นางได้ยินแต่คำร่ำลือ
“หม่อมฉันสนมเอกเฟรเซีย บุตรสาวของแม่ทัพเคปเพคะ”
ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน ก่อนจะแย่งกันเอาใจองค์หญิงพระองค์ใหม่กันให้วุ่นวาย แพมถูกพาไปนั่งอยู่กลางวงล้อมของหญิงงามอีกหลายคนที่ตอนนี้กลายเป็นศัตรูกันเพราะต้องการแย่งความสนใจของเธอ
อืม...จะว่าไปแล้วมีผู้หญิงสวยๆ มาคอยเอาใจนี่ก็ดีเหมือนกันนะ! ชักจะเข้าใจอีตาราเมสขึ้นเยอะเลยแหะ....(บ้า)
แต่แล้วทุกเสียงก็เงียบลงเมื่อหญิงสาวนางหนึ่งก้าวเข้ามา องค์หญิงมิเนร่า เจ้าหญิงแห่งซีเรียผู้ที่ได้รับการอภัยโทษและได้รับการโปรดปรานจากฟาโรห์หนุ่มอย่างมากเพียงแต่ว่า เหล่าขุนนางทั้งหลายไม่สนับสนุนนางให้ขึ้นดำรงตำแหน่งราชีนีเพราะบิดาของนางเองที่ทำให้เกิดสงครามในครั้งนั้น
“ที่แท้พวกเจ้าก็มัวแต่มาเอาใจเด็กน้อยคนนี้นี่เอง ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์ที่ใด ดาเน่ เฟรเซีย”
รูปร่างอวบอัดเยื้องย่างมาอย่างสง่างาม ผิวสีแทนเรียบเนียนเป็นสีเดียวกันทำให้มิเนร่ามองดูแล้วกลายเป็นหญิงสาวที่มีผิวสีแทนสวยอย่างที่พวกฝรั่งนิยมกัน
“ท่านเองก็ควรที่จะรู้ฐานะของตัวเองบ้างนะองค์หญิง ท่านเป็นแค่องค์หญิงที่เป็นเชลย เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงที่ท่านว่า ท่านก็ต้องทำความเคารพนางเช่นกัน”
ฟาเรทกล่าวเสียงเข้ม เมื่อมองความโอหังของหญิงสาวที่ถือตัวว่าเป็นคนโปรด ทั้งที่บิดาของนางเป็นต้นเหตุให้องค์ฟาโรห์ซิมเซซุสและราชีนีต้องสิ้นพระชมน์ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้พระขนิษฐาที่องค์ฟาโรห์ราเมสรักที่สุดต้องปลงพระชมน์องค์เอง
“บังอาจ! นังไพร่! ข้าเป็นถึงองค์หญิง เจ้ามันเห็บไรที่ไหนกันถึงกล้ามาสอดแทรกคำพูดของข้า!”
คำพูดนี้ทำให้แพมจี๊ดไปถึงทรวงใน แต่ก่อนจะได้ทำอะไร ยัยองค์หญิงผิวหมึกก็สั่งให้นางข้าหลวงตบปากฟาเรทเสียแล้ว
“พวกเจ้าตบปากมัน!”
เมื่อเป็นคำสั่งของเจ้านายชั้นสูง มีหรือที่นางข้าหลวงต่ำศักดิ์จะสามารถปฏิเสธได้ ถึงแม้ว่าคำสั่งขององค์หญิงต่างแคว้นผู้นี้จะไม่มีใครอยากกระทำก็ตามที
นางข้าหลวงที่ได้รับคำสั่งจับตัวฟาเรทไว้ แต่ก่อนที่จะได้ลงมือเสียงใสๆ ก็ดังขึ้น
“หยุดนะ!”
เสียงเด็กหญิงที่ดังขึ้นหยุดชะงักทุกการกระทำทั้งหลาย ต้นตอของเสียงดังมาจากเด็กหญิงที่อยู่กลางวงของเหล่าสาวงาม ในมือของนางยังมีองุ่นพวกใหญ่ถืออยู่
“มัวทำอะไรกันอยู่! ทำไมไม่ทำตามที่ข้าสั่ง!”
เหล่านางข้าหลวงต่างมองหน้ากันไปมา อีกฝ่ายก็สนมเอกที่เป็นที่โปรดปราน อีกฝ่ายก็องค์หญิงที่องค์ฟาโรห์ให้ความรัก และแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท
“ข้าสั่งให้ปล่อยฟาเรทไป”
เสียงเล็กๆ ที่ยังดังขึ้นอีกทำให้นางข้าหลวงที่จับนางฟาเรทเอาไว้ต้องรีบปล่อยมือทันที
“องค์หญิง ท่านทำเช่นนี้จะให้ท้ายหญิงชั้นต่ำกำเริบต่อราชวงศ์เช่นนั้นหรือ!”
สีหน้าของมิเนร่าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ เหล่านางสนมทั้งหลายต่างยิ้มเยาะ เมื่อได้เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยความโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะคราวนี้ผู้ที่กล้าต่อกรด้วยเป็นถึงองค์หญิงแห่งจักรวรรษอียิปต์ที่ยิ่งใหญ่
“ข้าไม่ยักรู้ ว่าแต่เจ้าเป็นราชวงศ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือว่าข้าจะตกข่าว”
เสียงหัวเราะของเหล่านางสนมยิ่งทำให้ใบหน้างามบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ
“ท่านกล่าวเช่นนี้ช่างไม่สมควรเลยนะ อย่างน้อยข้าก็อาวุโสกว่าท่าน”
มิเนร่ามององค์หญิงตัวน้อยด้วยดวงตาหมิ่นแคลน แท้จริงแล้วนางก็ไม่อยากยอมรับว่าต้องยอมก้มหัวให้กับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งไม่ใช่ราชวงศ์ตั้งแต่กำเนิดเช่นนางถึงแม้ว่าตอนนี้เด็กคนนี้ จะได้รับการยอมรับจากองค์ฟาโรห์แล้วก็ตามที
องค์หญิงน้อยไม่กล่าวตอบ ปากก็ยังเคี้ยวลูกองุ่นไม่ยอมหยุด ทำให้มิเนร่าสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
นางจะดูซิว่ายัยเจ้าหญิงต่ำศักดิ์จะทำเช่นไร หากนางจะเป็นผู้ลงโทษนังไพร่นี่ด้วยตนเอง แม้แต่องค์ฟาโรห์เองก็ยังให้ความรักต่อนางจนยอมมองข้ามเรื่องที่บิดาของนางเป็นผู้ทำให้ขนิษฐาสุดที่รักต้องตายไป
เมื่อคิดแล้วมิเนร่าก็ไม่รอช้า นางก้าวเข้าไปหาฟาเรทอย่างรวดเร็วก่อนจะตวัดฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง ซึ่งตัวนางฟาเรทเองไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเซถลาล้มลงไปที่พื้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่านางข้าหลวง
ดาเน่และเฟรเซียมองการกระทำของมิเนร่าอย่างสมเพช
นังองค์หญิงไม่เจียมตัว!...นางฟาเรทเป็นนางข้าหลวงที่รับใช้ตั้งแต่อดีตราชินี ขนาดนางเองยังไม่กล้าที่จะกระทำต่อนางฟาเรทถึงขนาดนี้มาก่อน เห็นทีถ้าองค์ฟาโรห์รู้เรื่องนี้เข้า นังองค์หญิงนี่ต้องตกกระป๋องเป็นแน่...ดาเน่คิด
เพียงแต่ไม่ต้องรอกระทั้งฟาโรห์หนุ่มมาถึง ร่างเล็กๆ ที่นั่งสบายอยู่เมื่อครู่กระโดดพรวดเดียวก็ไปอยู่ตรงหน้าฟาเรทที่ได้รับการพยุงจากเหล่านางข้าหลวงเสียแล้ว
ตายแล้ว! ยัยองค์หญิงดำนี่ทำอะไรกันเนี่ย! หนอย..สงสัยอยากลองดีกับนังแพมเสียแล้ว ชิ!
“เจ้า!....บังอาจมากเกินไปแล้ว “
มิเนร่ายิ้มเยาะกับน้ำเสียงขึ้งเครียด ที่มองยังไงก็ยังเป็นน้ำเสียงของเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอยู่วันยังค่ำ
“ข้ายอมลดตัวไปลงโทษไพร่เช่นมัน ก็นับว่าเป็นบุญของมันแล้ว เช่นนั้นท่านจะกล่าวโทษข้าได้อย่างไร”
มิเนร่าปรายตามองไปยังเหล่าสนม ที่นั่งนิ่งอยู่อย่างลำพองใจ
คราวนี้คงไม่มีใครกล้าต่อกรกับนางอีกแล้ว ฮึ ช่างง่ายดายจริงๆ
“แต่เจ้าขัดคำสั่งข้า!”
มิเนร่า รวมทั้งเหล่านางสนมและนางข้าหลวงทั้งหลายต่างตกใจกับน้ำเสียงกราดเกรี้ยวเช่นนั้น ซึ่งออกมาจากปากของเด็กหญิงวัยเพียงไม่กี่ขวบ ช่างเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วชวนให้สะท้านใจจริงๆ
“ข้าว่าได้เวลาที่ท่านควรจะกลับไปนอนกลางวันได้แล้ว พวกเจ้า! พาองค์หญิงกลับไปพระตำหนักได้แล้ว”
“จะกลับไปได้ยังไงกัน! ในเมื่อข้ายังไม่ได้จัดการกับเจ้าเลย”
คราวนี้ไม่ใช่เสียงตวาด แต่กลับเป็นน้ำเสียงจริงๆ ของแพม หญิงสาวที่เป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านที่เต็มไปด้วยทหารและตำรวจ ไม่นับคุณตาที่เป็นท่านนายพลทหารบก ผู้ที่ซึ่งได้เหรียญกล้าหาญจากสงครามเวียดนาม
“ทหาร! จับนางไปเฆี่ยนจนกว่าข้าจะพอใจ”
น้ำเสียงโหดเหี้ยมของเด็กหญิงตะโกนก้อง ทำให้ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักของเหล่านางสนมวิ่งเข้ามา
“องค์หญิงน้อย ท่านกล่าวอะไรออกมารู้หรือไม่เพคะ”
เฟรเซียแกล้งถามออกมาเมื่อเห็นว่าเรื่อง เมื่อครู่ชักจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้วสำหรับองค์หญิงมิเนร่าผู้ที่เธอเกลียดชัง
“ข้าสั่งให้ลากนางออกไปไงล่ะ พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
เหล่าทหารเมื่อได้รับคำสั่งจากรัชทายาทก็ตรงเข้าไปจับตัวองค์หญิงมิเนร่าเอาไว้
“พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ ข้าเป็นถึงพระสนมเอกนะ ปล่อยมือจากตัวข้าเดี๋ยวนี้เจ้าพวกไพร่!”
เหล่าทหารลากตัวนางออกมาที่หน้าตำหนัก ก่อนจะเริ่มเฆี่ยนนางเป็นไม้แรก
“กรี๊ดดดด......ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ถ้าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้พวกเจ้าจะต้องหัวหลุดจากบ่า”
การลงโทษยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของเหล่านางสนมนับร้อย และนางข้าหลวงทั้งหมดรวมทั้งฟาเรทที่ตอนนี้เดินกุมแก้มเข้ามาก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยากเย็น
“องค์หญิงเพคะ ทรงหยุดมือก่อนเถอะนะเพคะ ไม่เช่นนั้นพระสนมเอกคงไม่รอดแน่”
หลังจากที่โดนเฆี่ยนไปไม่กี่ที สภาพขององค์หญิงมิเนร่าแสนงามก็ต้องน้ำตานองหน้าพร้อมกับสติที่เริ่มลางเลือนไป
“พวกเจ้าทำอะไรกัน!!!?”
เสียงดังตวาดก้อง เมื่อฟาโรห์หนุ่มราเมสทรงดำเนินมาถึงหน้าตำหนักของเหล่านางในทั้งหลายตามที่นางข้าหลวงบอกกับเขา ว่าองค์หญิงตัวน้อยมาเดินเล่นบริเวณนี้ แต่แล้วเมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบกับการลงโทษที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับสนมเอกที่ได้รับการโปรดปรานไม่น้อยจากเขา
“ฝ่าบาท...ฝ่าบาท ทรงช่วยกระหม่อมด้วยเพคะ”
เสียงร่ำไห้ขององค์หญิงมิเนร่าทำให้ลานหน้าตำหนักคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ได้ยินเสียงนี้จึงติดตามมาดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางสนมเอกคนโปรดของฟาโรห์ ทุกคนมาเพื่อที่จะฟังคำตัดสินของฟาโรห์หนุ่มว่าจะทำเช่นใดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ข่าวการลงโทษองค์หญิงมิเนร่าที่เป็นถึงพระสนมเอกถูกแพร่ไปยังที่อื่นๆ จนไม่นานนัก ทั้งพระราชวังก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้เรื่องนี้
หลังจากหญิงสาวได้รับการช่วยเหลือให้ลุกขึ้นมาได้ มิเนร่าก็ถึงกับต้องให้นางข้าหลวงช่วยประคองเอาไว้ แต่ด้วยความแค้นหญิงสาวจึงไม่ยอมที่จะให้หมอหลวงตรวจรักษานางก่อน นางต้องการที่จะให้องค์ฟาโรห์ลงโทษเจ้าหญิงน้อยองค์นี้ให้จงได้
โอโห!....คนมากันเพียบเลยแฮะ การข่าวที่นี่ไวกันจริงๆ แพมคิด
“ใครกันทำเรื่องบังอาจเช่นนี้? เจ้าหรือดาเน่?”
ฟาโรห์หนุ่มหันไปเล่นงานหญิงสาวร่างงามที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก การสั่งลงโทษเจ้านายชั้นสูงได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
“หม่อมฉันเปล่าเพคะ เอ่อ...องค์หญิงเป็นผู้สั่งเพคะ”
ดาเน่กลัวว่าภัยจะมาถึงตัว จึงได้รีบกำจัดภาระนั้นไปยังเด็กน้อยที่ยืนมองผู้ใหญ่ตาแป๋วอยู่ข้างล่างอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เจ้าเองหรือ?” ราเมสคราง
“เจ้าค่ะ ข้าเอง!” ในเมื่ออยากรู้นักก็จะเล่นงานเสียให้เข็ดทั้งคู่เลย
“ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงทรงไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเลยเพคะ หม่อมฉันทูลแล้วว่าจะเป็นการหมิ่นพระเกียรติพระองค์ก็ไม่ยอมฟัง แถมยังสั่งทหารเฆี่ยนหม่อมฉันที่หน้าตำหนักอีกเพคะ” ว่าแล้วน้ำตาเม็ดโตก็หล่นออกมาจากดวงตาคู่งาม
โอ้โห (อีกรอบ) ยัยมิเนร่านี่น่าเข้าไปชิงรางวัลตุ๊กตาทองจริงๆ หล่อนช่างใส่ร้ายฉันหน้าด้านๆ เลยนะยะ!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป? นางเป็นถึงพระสนมเอกของข้า หากเจ้าต้องการที่จะลงโทษนาง เจ้าก็ควรให้ข้าเป็นผู้กระทำไม่ใช่ทำโดยพละการเช่นนี้”
ร่างเล็กๆ ทำหน้าแบะเล็กน้อย (ช่างเสแสร้งจริงๆ) ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดขาของฟาโรห์หนุ่มเอาไว้แล้วกล่าวว่า
“ข้าทำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้ท่านต้องเสียชื่อต่างหากเล่า นางทำร้ายฟาเรททั้งที่ฟาเรทบอกให้นางเคารพข้าแค่นั้นเอง ข้าไม่อยากให้ใครว่าท่านได้ว่าดูแลคนในปกครองไม่ดี ข้าทำผิดหรือเจ้าคะ?”
นางยังเป็นเด็กหญิงอยู่จริงๆ หรือนี่? ทั้งคำพูดทั้งการกระทำทั้งหมดช่างล้วนตรงกันข้ามไปเสียทุกอย่าง ฟาโรห์หนุ่มมองร่างเล็กๆ ที่กอดขาตัวเองอยู่ ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีวาทะที่ดีมากจริงๆ เด็กน้อย แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้เพื่อนางข้าหลวงคนนึงทำไมกัน เพราะข้าอาจลงโทษเจ้าด้วยเรื่องนี้ก็เป็นได้”
“พระองค์จะไม่มีวันทำเช่นนั้นหรอกเพคะ เพราะหน้าที่ของราชวงศ์เช่นพวกเราคือปกป้องผู้ที่ต่ำต้อยกว่าต่างหากเพคะ เพราะถ้าไม่มีพวกเขา ทั้งฝ่าบาทและตัวหม่อมฉันเอง หรือแม้แต่พวกนาง คงต้องไปหาบน้ำฝ่าฟืนกันเองแล้วล่ะเพคะ”
แพมชี้ไปยังเหล่านางสนม ทั้งหลายที่นวยนาดออกมาชมการลงโทษครั้งนี้ด้วย
“เจ้านี่ช่างพูดจริงๆ เอาล่ะ กลับตำหนักได้แล้วตอนนี้เจ้าต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนข้าเสียที”
ฟาโรห์หนุ่มทำท่าจะเดินจากไป ถ้าไม่ได้ยินเสียงขององค์หญิงมิเนร่าที่ร้องเรียกพระองค์เอาไว้
“ฝ่าบาทเพคะ! แล้วพระองค์จะไม่ทรงให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันหรือเพคะ องค์หญิงทรงลงโทษหม่อมฉันอย่างไม่ยุติธรรมนะเพคะ”
“เจ้าจะให้ข้าลงโทษนางอย่างนั้นหรือ ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้เอาไว้นะ มิเนร่า” ฟาโรห์หนุ่มใช้สายตาคมกริบจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
“นางเป็นถึงรัชทายาทแห่งข้า ฟาโรห์ราเมสที่ 1 ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ตาม ผู้ที่จะกล่าวโทษนางได้ก็คือข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าเป็นเพียงนางสนมที่มาจากแคว้นเชลย อย่าได้บังอาจทำในสิ่งที่เกินฐานะของเจ้า”
พอกล่าวจบ ชายหนุ่มก็เดินจากไปพร้อมกับเด็กน้อยในอ้อมแขน ทิ้งให้องค์หญิงมิเนร่าได้แต่แค้นเคืองอยู่เพียงผู้เดียว
“น่าสงสารจังเลยนะ เฟรเซีย ข้าว่าตอนนี้ข้าคงต้องหาวิธีให้องค์หญิงรัชทายาทชอบข้าบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนเฆี่ยนหลังลายเวลาทำอะไรให้พระองค์ไม่พอพระทัยแม้แต่องค์ฟาโรห์เองก็ยังไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะพระองค์ไม่สนพระทัย”
เสียงหัวเราะดังออกจากปากของเหล่านางสนม
เฟรเซียมองร่างเจ้าหญิงมิเนร่าที่โดนเฆี่ยนอย่างสมเพชก่อนจะเดินออกไปจากห้องพร้อมกับนางข้าหลวง
ดาเน่เองก็ใช้พัดด้ามงามปิดปากเอาไว้ก่อนจะเดินแยกออกไปทางอุทยานหลวง
“เจ้าจะต้องชดใช้ นังเด็กน้อย”
องค์หญิงมิเนร่าสาบานกับตนเองในใจ......
“เจ้าทำให้ข้าต้องทะเลาะกับนางสนมคนโปรด”
ราเมสกล่าวยิ้มๆ ระหว่างที่อุ้มแพมเดินผ่านตำหนักต่างๆ ภายในพระราชวัง ตอนที่เขาออกมาจากห้องประชุม เขาก็มองหานาง แต่หลังจากที่ได้รับข่าวจากนางข้าหลวงที่วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าว เขาก็แทบจะหัวเราะออกมาดังๆ ในความกล้าของเด็กหญิง หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เขาเองก็ใช่ว่าจะโปรดปรานอะไรนาง แต่เป็นเพราะการคงอยู่ของนางเป็นสิ่งที่จะเตือนใจให้เขาเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อก่อน เขาได้แต่มองดูเทพตุม (พระอาทิตย์) หายลับลงไปในแม่น้ำไนล์ทุกวันพร้อมกับคิดถึงอนาคตที่ไร้ซึ่งผู้คนในครอบครัว ไร้ซึ่งมืออันอบอุ่นของเสด็จแม่ ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะอันสดใสของพระขนิษฐา แม้แต่เสียงทุ้มต่ำของเสด็จพ่อที่คอยพร่ำสอนสิ่งต่างๆ รอบตัว เพื่อให้เขาได้มายืนอยู่ตรงนี้ อยู่เหนือผู้คน หากแต่กลับไร้ผู้ที่ซึ่งจะร่วมยินดีกับสิ่งเหล่านั้นเสียแล้ว
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ฝ่าบาทยังมีอีกตั้งหลายคนไม่ใช่หรือเพคะ!”
ถ้าฟังไม่ผิดนี่เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่านางกำลังโกรธเขาอยู่ แต่นางยังเป็นแค่เด็กนะ? จะมารู้เรื่องการหึงหวงอย่างนี้ได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่า......
นางกำลังโกหกอะไรบางอย่าง
ค่ำคืนที่มืดมิดอีกคืนที่แพมได้แค่มองดูด้วยร่างเล็กกระจ้อยร่อย สายลมเบาๆ ที่พัดเข้ามาปะทะกับดวงหน้าของเด็กน้อยทำให้หญิงสาวรำลึกได้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด
เพราะคืนนี้เขา ฟาโรห์ราเมสจะไม่ได้มาเป็นผู้ควบคุมเธอแม้ในยามหลับ
“บรรทมไม่หลับหรือเพคะองค์หญิง”
นับตั้งแต่หญิงสาวตรงหน้าช่วยปกป้องนาง สายตาที่เอ็นดูอยู่เสมอของนางฟาเรทก็เปลี่ยนไปเป็นการเทิดทูนและรักใคร่อย่างที่สามารถตายแทนได้
“แพมอยากสวมแหวนป้าฟาเรท”
“จะดีหรือเพคะ ถ้าเกิดองค์ฟาโรห์ทรงเปลี่ยนพระทัยดั่งเช่นคืนก่อนอีก”
“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง แพมให้ยาเรฟไปเฝ้าที่หน้าตำหนักเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวถ้าราเมสมา แพมจะรีบถอดแหวนออกเลยค่ะ”
สีหน้ามุ่งมั่นและขอร้องทำให้ฟาเรทใจอ่อนจนได้ หากแต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นผ้าม่านที่ปลิวไสวอยู่กับสายลมหลังผ้าม่านผืนบางนั่นปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้ที่ซึ่งเป็นเจ้าชีวิตของทุกสรรพสิ่งในอียิปต์ ฟาโรห์ราเมส
ห้องของฟาโรห์ที่ถูกทำเอาไว้ยามฉุกเฉินมีประตูลับผ่านมาทางห้องของราชินี ภายในห้องนี้นอกจากฟาเรทแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย เพียงแต่ว่าฟาเรทเองก็คงนึกไม่ถึงว่าเด็กชายที่นางเคยเลี้ยงดูมาสมัยเมื่อยังเล็กจะทำการซ้อนแผนโดยการให้แม่ทัพใหญ่คาอูลปลอมตัวอยู่ในห้องประชุมตั้งแต่หัวค่ำ แล้วส่งคนกลับมาแจ้งข่าวเพื่อให้นางเผยความลับที่เขาสงสัยออกมา
แหวน?....หรือว่าจะเป็นแหวนที่เขาเจอในตัวของนาง แหวนของเสด็จแม่
เมื่อชายหนุ่มหลบซ่อนอยู่ในประตูลับหลังผ้าม่าน ย่อมมองเห็นเหตุการณ์ในห้องไม่ถนัดตาเท่าใดนัก หากแต่เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเขาก็พอจะเข้าใจว่า แหวนวงนั้นสามารถทำให้เด็กน้อยที่เขาเห็นอยู่ทุกวันนั้นกลับไปอยู่ในร่างเดิม
อา....นางจะใช่หญิงผู้นั้นหรือเปล่านะ?
ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม หัวใจของฟาโรห์หนุ่มสั่นสะท้านแสนจะหวั่นไหว เมื่อนึกถึงว่าเขากำลังจะได้พบกับนางในฝันที่เขาเฝ้ารอมาตลอด ผู้ที่ซึ่งจะมาร่วมแบ่งปันสิ่งต่างๆ ในชีวิตร่วมกับเขา
ราวกับรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามอง แพมรู้สึกขนลุกแต่ก็ไม่เปลี่ยนใจ หลังจากที่เปลี่ยนชุดให้เป็นชุดที่แสนจะรุ่มร่ามตัวนี้ที่เธอกำลังใส่อยู่ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะประสพการคราวที่แล้ว ที่พอตัวเธอโตขึ้น เสื้อผ้าที่หญิงสาวใส่ก็กลับหดเล็กลงไปอีก ดังนั้นคราวนี้เธอจึงต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน
ฟาโรห์หนุ่มค่อยยื่นมือออกมาจากรอยกำแพงของช่องทางลับ หลังจากที่ยึดผ้าม่านเอาไว้ได้ เขาก็มองเห็นแพมในชุดของหญิงสาว ความยาวของมันระไปกับพื้นห้องจนน่าขัน
นางกำลังจะทำอะไรกันแน่?
แต่พอแพมค่อยๆ สวมแหวนเข้าไปในนิ้วเล็กป้อม แสงสว่างแสบตาก็เจิดจ้าออกมาอยู่รอบๆ แต่พอแสงสว่างนั้นหายไป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นแทบจะทำให้ฟาโรห์หนุ่มโห่ร้องด้วยความยินดี
ใช่นางจริงๆ ด้วย! อา.....นางในฝันของข้า ยอดรักของข้า
ดวงตาของฟาโรห์หนุ่มเต็มไปด้วยความปลื้มปิดิ บางที เขาคงต้องจัดการเรื่องต่างๆ ให้มันถูกต้องเสียที
ร่างบางที่เพิ่งได้ร่างเดิมกลับคืนมาหมุนตัวไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะนั่งลงที่ริมแท่นบรรทม
“เฮ้ออออ ไม่ได้อยู่ในร่างนี้เสียนาน ป้าคะ วันนี้แพมออกไปข้างนอกไม่ได้หรือคะ?”
ฟาเรทส่ายหน้าเบาๆ กับหญิงสาวแสนงามตรงหน้า นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้เห็นตัวจริงของนาง หากแต่ดูเหมือนว่านางจะงามขึ้นทุกครั้งที่ได้พบ
“ถ้าท่านออกไปตอนนี้เกิดฝ่าบาทเสด็จกลับมาถึงแม้ว่าพระองค์จะให้ยาเรฟไปเฝ้าเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์เพคะ เพราะถ้าพระองค์เสด็จมาถึง ฝ่าบาทเองจะเสด็จกลับมาทันหรือเพคะ?”
ฟาโรห์หนุ่มใช้เวลาอีกพักใหญ่เพื่อดื่มด่ำกับความงามของนาง ร่างสูงค่อยๆ ปิดประตูบานหนักลง ก่อนจะก้าวยาวๆ ไปยังประตูอีกด้านที่สามารถออกจากช่องทางลับไปโผล่ออกทางอุทยานหลวงได้
ระหว่างทางราเมสไม่สามารถปิดบังสีหน้าปิติของตนเอาไว้ได้ ในหัวสมองของชายหนุ่มกำลังนึกถึงวิธีการต่างๆ ที่จะรั้งตัวนางเอาไว้ข้างกาย หลังจากใช้ผ้าคลุมฝืนใหญ่ในการพลางตัวจนไปถึงหน้าห้องประชุม ฟาโรห์หนุ่มก็มองเห็นนางข้าหลวงที่ทำหน้าที่ดูต้นทางให้กับนาง
เขาคงต้องให้นางไปจากตรงนั้นก่อน
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ทหารกลุ่มใหญ่ที่ไม่รู้มาจากไหนเดินเข้ามาถามยาเรฟที่คอยเฝ้ามองประตูห้องประชุมอยู่ตลอดเวลา
“ข้า...คือข้า ข้า ข้ามาดูแลความเรียบร้อยน่ะเจ้าค่ะ”
“ดูความเรียบร้อยเช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ควรไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าควรจะอยู่!”
ยาเรฟมองประตูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยอมรับคำแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ราเมสก้าวออกมาจากหลังต้นเสาก่อนจะบอกให้ทหารจากไปได้ ส่วนตัวของเขาเองก็เดินเข้าไปในห้องประชุมที่มีแม่ทัพใหญ่คาอูลรออยู่
“กระหม่อมกำลังจะหลับอยู่พอดี หวังว่าสิ่งที่พระองค์ต้องการถึงขนาดต้องทำเช่นนี้คงจะคุ้มกันนะพะย่ะค่ะ”
คำพูดประชดเสียดสีออกจากปากของแม่ทัพใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นสหายสนิทขององค์ฟาโรห์และยังเป็นบุตรชายคนเดียวของนางฟาเรท อดีตพี่เลี้ยงของชายหนุ่มอีกด้วย
“เจ้าไม่ต้องกล่าวเสียดสีข้าเช่นนั้นคาอูล เมื่อใดที่เจ้าต้องเจอเช่นข้า เจ้าอย่ามาให้ข้าช่วยเหลือก็แล้วกัน”
“โถ่!...ฝ่าบาท กระหม่อมคงไม่เจอปัญหาเช่นเดียวกับพระองค์แน่ เพราะกระหม่อมไม่ชอบ ‘เด็ก’”
เมื่อแม่ทัพหนุ่มกล่าวถึงหญิงสาวที่เขาเพิ่งจากมา สีหน้าของเขาก็ซ่อนความปิติไม่มิดอีกครั้ง
“โอ้...ดูเหมือนว่าเหล่านางสนมทั้งหลาย คงต้องน้ำตกในกันคราวนี้ เพราะดูเหมือนว่าพวกนางจะมีคู่แข่งตำแหน่งราชินีขึ้นมาเสียแล้ว แถมเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเสียด้วย เพราะนางยัง ‘เด็ก’ และนั่นทำให้นางเสียเปรียบ หึๆ”
“งั้นเจ้าก็ควรเข้าใจเสียใหม่ด้วย ว่านาง ไม่ได้ ‘เด็ก’ อย่างที่เห็น”
คาอูลไม่เข้าใจ เหตุใดนางจึงไม่ใช่ ‘เด็ก’ ในเมื่อเขาเองและทุกคนในพระราชวังนี้ก็เห็นเช่นเดียวกันกับเขา อย่างน้อยความสูงขององค์หญิงอย่างมากก็แค่ เลยหัวเข่าเขาขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือพะย่ะค่ะ?”
ฟาโรห์หนุ่มเดินไปยังระเบียงกว้าง ก่อนจะมองท้องฟ้าที่เขาเดาว่า นางเองก็กำลังมองอยู่เช่นเดียวกันกับเขา ความโหยหาที่ไม่มีสิ้นสุด จนกว่าจะเจอคนที่ใช่....
“ข้าเพิ่งได้พบกับปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทวยเทพประทานมาให้ข้า”
ชายหนุ่มพูดรำพึงเบาๆ หากแต่แม่ทัพหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ราเมสเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ให้กับแม่ทัพคู่บัลลังก์ฟังอย่างละเอียด ยามที่มองสีหน้าของคาอูล ฟาโรห์หนุ่มก็แทบจะหัวเราะออกมาเพราะมันดูแปลก เสียจนผิดกับมาดของท่านแม่ทัพใหญ่ที่เคยได้เห็นอยู่เสมอ
“ฝ่าบาทจะทำเช่นไรต่อไปพะย่ะค่ะ?”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวเหลือเชื่อ ชายหนุ่มมององค์ฟาโรห์ที่ทำพระพักตร์ครุ่นคิด เขาก็รู้แล้วว่าไม่แน่ว่าจากนี้ต่อไป เขาอาจต้องมีงานให้ต้องทำเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก แต่ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าอยากจะทำ” ฟาโรห์หนุ่มหันไปกล่าวกับแม่ทัพคาอูลก่อนจะเดินออกไปจากห้อง “ข้าจะไปนอน”
ห้องบรรทมที่พระบาทของฟาโรห์หนุ่มมุ่งไปก็คือ ห้องที่มี’นาง’กำลังรอเขาอยู่
นั่นไง! นางข้าหลวงยาเรฟ เขามองเห็นร่างของนางวิ่งห่างออกไปเมื่อครู่ เห็นทีว่าการมาของเขาคงไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้วกระมัง พระอังสาปลิวไสวระหว่างที่พระองค์พระดำเนินไปตามทางเดิน แผ่นอกแข็งแกร่งปราศจากไขมันกระเพื่อมไหวไปตามจังหวะการหายใจ แต่ในทรวงอกนั้นกำลังร้อนเร่าไปกับความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ เพื่อรอการที่จะได้ปลดปล่อยมันออกมา
เมื่อฝ่าพระบาทหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้อง หูของฟาโรห์หนุ่มพลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่อยู่ภายใน มุมพระโอษฐ์ของฟาโรห์หนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงภาพความวุ่นวายที่อยู่ภายในได้เป็นอย่างดี
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่? ทำไมยังไม่ให้องค์หญิงบรรทมอีกล่ะ?”
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปภายใน เขาสังเกตเห็นของบางอย่างเคลื่อนที่ออกไปจากเดิม หีบเสื้อผ้าขององค์หญิงพระองค์ใหม่ปิดไม่สนิท อีกทั้งสีหน้าซีดเผือดของนางฟาเรทยิ่งทำให้เขาแทบจะหลุดปากหัวเราะออกมา
“เอ่อ...คือ เมื่อครู่องค์หญิงทรงตื่นขึ้นมาเพคะ พระองค์ทรงอยากเสวยน้ำ หม่อมฉันเพิ่งกล่อมให้พระองค์หลับไปเมื่อครู่เพคะ”
“งั้นหรือ? หลับแล้วสินะ งั้นพวกเจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มปรายตามองไปยังร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมใหญ่
หึ...เมื่อครู่เขายังเห็นเปลือกตาของนางขยับไหวอยู่เลย
นางข้าหลวงทั้งหลายรวมทั้งฟาเรทต่างเดินออกไปจากห้องทันทีที่ได้รับคำสั่ง ทิ้งให้แพมต้องอยู่เพียงลำพังกับชายหนุ่มที่แสนจะหล่ออย่างร้ายกาจ
ทำไมวันนี้เธอรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปนะ?
อาจเป็นเพราะร่างสูงที่ค่อยๆ ทอดกายลงนอนข้างๆ เธอค่อยๆ รวบเธอเข้าไปปะทะกับอกกว้างของเขาอย่างระมัดระวัง แต่แพมกลับรู้สึกว่าวันนี้อ้อมแขนของเขากลับรัดเธอแนบแน่นเป็นพิเศษทำราวกับว่าเธอจะหลุดลอยหายไป ลมหายใจร้อนปะทะเบาๆ ที่หน้าผากมนนั่นยิ่งทำให้ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มแข็งทื่อไปในทันใด
เขาจูบเธอ?......
ถึงแม้ว่าจะเป็นที่หน้าผากก็เถอะ เสียงแพมร้องอยู่ในใจดังเอะอะไปหมด ทำไมวันนี้เขาทำอะไรแปลกๆ ไปหมด
หรือว่าเขาไปรู้เรื่องอะไรมากันนะ?
ร่างนุ่มนิ่มของเด็กน้อยในอ้อมแขนทำให้เขายั้งใจไว้ได้ เอาเถอะคืนนี้เขาจะละเว้นนางเอาไว้สักคืน หากแต่พรุ่งนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้นางหลับไปทั้งที่ยังทำให้เขาร้อนรุ่มเช่นนี้เป็นอันขาด
“นี่ป้าฟาเรท เมื่อคืนนี้น่ะป้าสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?”
วันนี้ขบวนของแพมมาจับจองที่ในอุทยานหลวงส่วนใน ซึ่งเป็นอุทยานที่ราเมสหวงแหนเป็นพิเศษ ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าหวังแม้แต่จะย่างเท้าเข้ามาที่นี่ หากแต่เมื่อเช้าหลังอาหารมื้อเช้า แพมตั้งใจที่จะ ขออนุญาตชายหนุ่มออกไปเดินเล่นรอบๆ พระราชวังเสียหน่อย แต่ฟาโรห์หนุ่มพูดราวกับเข้ามานั่งอยู่ในใจของเธอ โดยการชิงอนุญาตให้แพมมานั่งอยู่ในอุทยานส่วนพระองค์ได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาต
“สังเกต? องค์หญิงทรงหมายถึงสิ่งใดกันเพคะ?”
“ก็เมื่อคืนนี้องค์ฟาโรห์ของป้าน่ะค่ะ เขาทำอะไรแปลกๆ หรือเปล่าค่ะ?”
“เอ๋...หม่อมฉันก็ไม่เห็นฝ่าบาททำอะไรผิดสังเกตนี่เพคะ?”
นางฟาเรททำท่านึกก่อนจะส่ายหน้า เมื่อนึกยังไงก็นึกไม่ออก
“งั้นหรือคะ หรือว่าแพมจะคิดมากไปเอง?” (คนสวยมักจะคิดมาก...อิอิ/หืม?)
ความคิดเห็น