ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมืองในหมอก

    ลำดับตอนที่ #2 : 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 51
      1
      16 ม.ค. 57

    1.

                    วันที่เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นนั้น มารุตจำได้ดีว่าเป็นวันพฤหัสบดี เป็นวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่สามของเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ.2567 เป็นวันที่ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่อันดีของประชาชนแห่งชาติประจำจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเขาเป็นหัวหน้าแพทย์มีผู้ใช้บริการมากเป็นพิเศษ ที่ว่ามากนี่หมายถึงมากกว่าปกติ คือคนหรือสองคนต่อวัน สำหรับวันนี้ที่นั่งรอเรียกพบแพทย์อยู่ถึงหกคน

                    ร้อยโท นายแพทย์มารุต เจนประเสริฐเป็นนายแพทย์ทหารบกวัยยี่สิบสี่ปี หนุ่ม รูปหล่อ ร่างสูงออกจะกำยำอยู่สักหน่อย ผิวขาวอย่างคนไทยเชื้อสายจีน หน้าตาก็มีเค้าอย่างลูกจีนทั่วๆไป ผิดอยู่อย่างคือตาคมและเรียกได้ว่าโตเมื่อเทียบกับคนเลือดเดียวกัน มารุตกำลังสอบอาการคุณยายคนหนึ่งที่เป็นอะไรมาเจ้าตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน

                    “ยายเป็นอะไรมาจ๊ะ”

                    หมอมารุตถาม หยิบแว่นสายตาขึ้นสวมอ่านประวัติคนไข้ของคุณยายที่แสดงอยู่ในเครื่องมือหน้าตาคล้ายหนังสือบางๆเล่มหนึ่ง แต่แท้จริงคือคอมพิวเตอร์ส่วนตัว

    “ปวดหัว? ตัวร้อน? วิงเวียนศีรษะ? หน้ามืด? คล้ายจะเป็นลม?”

                    “ยายไม่ใช่ยาดมตราโป๊ยเซียนนะพ่อหมอ”

                    “ใช้ดม ใช้ทาในหลอดเดียวกันครับ”  

                    สอบไปสอบมาก็สรุปได้ว่ายายแกเป็นไข้หวัดทั่วไป มารุตสั่งยาแล้วก็ให้พยาบาลผู้ช่วยไปส่งคุณยายที่ป้ายรถเมล์หน้าคลินิก  มารุตกรอกข้อมูลเพิ่มเติมลงไปในประวัติคนไข้ของคุณยายยังไม่ทันเสร็จดี คุณฟ้าพยาบาลผู้ช่วยของเขาก็กลับมาพร้อมกาแฟร้อนสองแก้ว มารุตเงยหน้ามองด้วยสายตาแสดงคำถาม

                    “ไม่มีคนไข้แล้วนะคะ แต่มีคนมาขอพบหมอค่ะ”

                    “หือ?”

                    “ฉันเองแหล่ะรุต”

                    ทั้งหมอและพยาบาลหันตามเสียงนั้น เจ้าของเสียงที่ยืนเกาะขอบประตูห้องโผล่ร่างครึ่งบนเข้ามาให้เห็นเป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับมารุต ผมซอยสั้นตามสมัยนิยมซึ่งมารุตก็เห็นเจ้าหล่อนนิยมมาตั้งแต่สมัยเรียน รอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวตัดกับผิวหน้าที่ออกสีแทน

                    “นึกว่าใคร ยัยนิ้งนี่เอง เข้ามาก่อนๆ”

                    คุณฟ้าถอยออกจากห้องไปและปิดประตูตามหลังอย่างรู้งาน หญิงสาวที่หมอเรียกว่า “นิ้ง” เดินเข้ามานั่งเก้าอี้สำหรับคนไข้ที่หน้าโต๊ะทำงานหมอ

                    “เลิกขุดกำแพงเมืองแล้วเหรอยะ”

                    เสียงหมอมารุตจากที่นุ่มนวลทอดอ่อนหวานเวลาพูดกับคุณป้าคุณยายเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมสูง แสดงอาการจิกกัดประชดประชันชัด มีแต่เพียงเพื่อนรักของหมอมารุตตั้งแต่สมัยมัธยมอย่างนฤตย์ ปิยไพบูลย์ นักอ่านจารึกโบราณประจำกรมศิลปากรผู้นี้ที่รู้ดีว่าหมอหนุ่มผู้เป็นที่รักที่เคารพของผู้แก่แม่เฒ่าและชาวบ้านทั้งหลายในชุมชนนี้มีรสนิยมอย่างไร

                    มารุตเป็นเกย์

                    ดูแค่ท่านั่งที่พอประตูปิดปั๊บ ก็ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างเป็นท่าอย่างที่ศัพท์วัยรุ่นสมัยพวกเขายังเรียนอยู่ว่า “สาวมาก” ทันที นฤตย์ยกกาแฟขึ้นมาดมๆ ไม่จิบ วางกลับลงไปที่เดิม

                    “ไม่เหวยรึไง”

                    “ไม่ย่ะ ไม่โปรดกาแฟ หล่อนก็รู้นี่”

                    หญิงสาวว่า ฟังน้ำเสียงแล้วรู้ได้ชัดเจนว่าทั้งสองสนิทสนมกันมากทีเดียว คนอื่นอาจจะเข้าใจว่านฤตย์เป็นเพื่อนสาวของมารุต แต่ก็หารู้ไม่ว่ามารุตก็เป็นเพื่อนสาวของนฤตย์เช่นกัน นักอ่านจารึกผู้นี้เป็นหญิงสาวร่างสูง สูงกว่าผู้ชายหลายคน ตัวหนาหุ่นอย่างนักกีฬา ผิวแทนเพราะออกแดดบ่อย ผมตัดสั้นเป็นทรงที่วัยรุ่นชายเมื่อสักสิบปีที่แล้วนิยมตัด ข้อนี้มารุตรู้ว่านฤตย์ตัดผมตาม “เพื่อนชายคนสนิท” ของหล่อน แล้วก็ตัดแบบนั้นมาตลอด มารุตว่าผมทรงนี้เข้ากับนฤตย์มากกว่าเพื่อนชายของหล่อนเสียอีก ดูแล้วปราดเปรียวสมตัวดี

                    “มีอะไรถึงออกจากหลุมถ่อมาได้ถึงนี่ยะ ฮึ! ยัยนิ้ง! จะปรึกษากามโรครึไง!

                    “ปรึกษาทำไม คู่นอนฉันมีคนเดียว”

    หญิงสาวพูดหน้าตาเฉย หล่อนหมายถึงตุ๊กตาหมีตัวโตที่ใช้แทนหมอนข้าง โตป่านนี้แล้วก็ยังนอนกอดตุ๊กตา ก็แล้วใครจะทำไมมิทราบ

    “เห็นว่าพักนี้นอนไม่ซ้ำเตียงเลยนี่ยะ แม่หล่อนบ่นกับฉันตอนไปกินข้าวด้วยกันเมื่อวานซืน”

    “ว่าจะไม่ด่าแล้วนะอีนี่... ใครจะไปไฮโซเท่าหมอมารุตล่ะ มีห้องชุดอยู่เหนือคลินิก”

    มารุตเบ้ปาก ยักไหล่ เอื้อมมือกรีดกรายไปคีบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ

    “นี่แหน่ะมารุต”

    “ก็ว่ามาสิยะ”

    “ฉันมีเรื่องจะให้แกช่วย”

    “นึกแล้ว ไม่งั้นแกไม่โผล่หน้ามาให้ฉันเห็นหรอก”

    “โธ่รุต...ไม่ใช่ว่าฉันไม่คิดถึงแกนะ แต่งานฉันเป็นยังไงแกก็รู้ กลางวันทีมฉันลงขุดฉันก็ต้องไปดู ทีมฉันลงพื้นที่ฉันก็ต้องไปกับเขาด้วย ตกกลางคืนทีมฉันนอนแต่ฉันต้องนั่งถ่างตาอ่านสมุดข่อย—”

    “ย่ะ พอย่ะ ฉันสงสารแม่คุณจะแย่อยู่ละ” มารุตตัดบท ไม่วายแขวะเสียอีก “ตกลงแกมีอะไรจะให้ช่วยก็ว่ามา”

    “คือยังงี้นะรุต...”

    “จะยืมตังใช่มั้ย เอาเท่าไหร่”

    “จะบ้าเหรอ!

    “เอ้า! ก็เห็นอ้ำอึ้งๆ นึกว่าจ่ายค่าแชร์ไม่ทันเลยจะยืมเงิน”

    “บ้า! คบกันมาตั้งกี่ปี ฉันเคยยืมเงินแกรึไง”

    “ไม่เคย”

     “ก็นั่นน่ะสิ! มารุต แกเป็นหมอใช่ไหม”

    “ย่ะ ไม่ใช่นักเขียนการ์ตูนหรอก ทำไม ใครเป็นอะไร?”

    นฤตย์เอนตัวเข้ามาเท้าแขนกับโต๊ะทำงาน มารุตยังคงนั่งเอนหลังอยู่ในท่าเดิมแต่สายตาที่มองเพื่อนสาวเป็นสายตาเอาจริงเอาจังของนายแพทย์ ไม่หลงเหลืออารมณ์เล่นสนุกให้เห็น

    “แกรู้ข่าววนอุทยานแม่สะเรียงไหม”

    “ที่ co กับพม่าจะอนุรักษ์ป่าลุ่มน้ำสาละวิน ทำเป็นวนอุทยานแห่งชาติ เป็นมรดกโลกอะไรนั่นใช่ไหม”

    “นั่นแหล่ะ ป่าแถบนั้นที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่เราทำเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่มีอยู่ถึงสิบคนรึเปล่าก็ไม่รู้ ก็เลยต้องลงสำรวจพื้นที่กันใหม่”

    “แล้วไง ก็ปล่อยพวกป่าไม้ทำไปสิ เกี่ยวอะไรกับแก...เดี๋ยวๆ ฉันเดาว่าพวกป่าไม้ต้องไปเจออะไรในป่าแหง...ซากเมืองโบราณ?”

    “ไม่ใช่ก็เกือบไป พวกนั้นเจอคันดินกับคูน้ำที่ดูแล้วน่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ทำขึ้น ก็เลยติดต่อกรมศิลปากร กรมศิลป์ฯก็ส่งนักโบราณคดีไปลงพื้นที่ ปรากฏว่าสองสามเดือนผ่านไป—”

    “นักโบราณคดีชุดนั้นก็หายตัวไป?”

    มารุตพูดอย่างแดกดันมากกว่าจะจริงจัง

    “เออ!

    “เฮ้ย!!

    “เออ! รายงานสุดท้ายของนักโบราณคดีชุดนั้นบอกว่าคันดินที่พบน่าจะเป็นกำแพงเมือง และคูน้ำนั่นคือคูเมือง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีเมืองอยู่ในกำแพงเมืองนั้น ทีมฉันถูกส่งไปแทนโดยได้รับคำสั่งให้ 1. สำรวจหาเมืองนั้น 2. เก็บรวบรวมหลักฐานและร่องรอยของนักโบราณคดีชุดก่อนที่หายไป”

    “ทำยังกับเพื่อนฉันเป็นโคนัน...แล้วไงต่อ?”

    “เราพบจารึกลานทองคำ—จารึกบนแผ่นทองคำน่ะ—ที่กำแพงเมือง จารึกนั้นไม่สมบูรณ์...จะอธิบายยังไงดีแกถึงจะเข้าใจ เอายังงี้ แกเคยเห็นมัดใบลานไหม แบบว่า คัมภีร์ใบลานน่ะ”

    “คล้ายๆพัดจีน...เออๆ พอนึกออก”

    “นั่นแหล่ะ เพียงแต่เป็นแผ่นทองคำตีบางๆ จารึกข้อความไว้แล้วเอามาร้อยเข้าด้วยกันแบบเดียวกับมัดใบลานนั่นแหล่ะ ที่เราพบเป็นแผ่นทองที่มีการจารึกไว้ และมีร่องรอยการเจาะลักษณะไว้ร้อยเป็นมัด ข้อความบนนั้นแปลออกมาได้ความสรุปได้ว่า เป็นท่อนกลางของการบรรยายเส้นทางและการเดินทาง”

    “อารมณ์แบบบันทึกการเดินทางนะเหรอ”

    “ไม่ใช่ๆ เหมือนกับบรรยายเส้นทาง วิธีการเดินทางไปยังที่ที่หนึ่งต่างหาก”

    “งั้นก็เป็นคู่มือนำเที่ยวน่ะสิ”

    นฤตย์อดหัวเราะไม่ได้กับคำพูดของเพื่อนรัก

    “จะว่างั้นก็ได้ ทีนี้พอหัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ดูแลเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาเห็นเข้า เขาก็ว่านายบ้าน—ประมาณว่าผู้นำชุมชนน่ะ—ของพวกกะเหรี่ยงที่อยู่บนเขาเคยเอามัดทองแบบนี้มาให้เขาดู เขาไม่สนใจของเก่า แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นทองคำจริงๆก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ พอรู้ยังงี้เราก็เลยขอให้เขาพาไปหานายบ้าน”

    “เดี๋ยวนี้ยังมีกะเหรี่ยงเหลืออยู่อีกเหรอวะ นึกว่าลงเขาเข้าเมืองไปหมดแล้วซะอีก”

    “เหลือแค่กลุ่มนี้นี่แหล่ะที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่ยอมรับความเจริญและการติดต่อจากคนนอกชุมชน โชคดีที่คุณอำพลเป็นที่เคารพนับถือของพวกนั้นก็เลยพาพวกเราเข้าไปได้ มูเล นายบ้านกะเหรี่ยงอิสระให้เราดูจารึกลานทองมัดนั้น ฉันมองคร่าวๆก็พอรู้ว่าจารึกแผ่นที่เราพบหลุดมาจากลานทองมัดนี้แน่ ก็เลยขอยืมลานทองมัดนั้นมาจากมูเล”

    “อาฮะ”

    “แต่มูเลไม่ให้”

    “เอ้า!

    “มูเลมีข้อแลกเปลี่ยนว่าจะให้ลานทองมัดนั้นกับเราถ้าหากเรายอมทำตามข้อแลกเปลี่ยนของเขา”

    “ซึ่งก็คือ?”

    “ลูกชายคนเดียวของมูเล ชื่อช่าเก่อปอ—”

    “—เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ จะให้นฤตย์ ปิยไพบูลย์แต่งงานกับลูกชายเขาก่อนแล้วจะยกให้เป็นสิ้นหมั้น?”

    “อีบ้า! ช่าเก่อปอป่วยหนัก มูเลต้องการให้เรารักษาลูกชายเขาให้หายดีเป็นข้อแลกเปลี่ยน”

    “มิน่าล่ะถึงได้มาขอให้ฉันช่วย...เข้าใจละ”

    มารุตขยับนั่งตัวตรง กดเปิดโปรแกรมเอกสารในเครื่องคอมพิวเตอร์ ปากก็ถาม

    “ช่าเก่อปอ...ไม้เอกใช่ไหม โอเค ไหนบอกอาการมาซิ”

    หมอมารุตถึงกับเปิดประวัติคนไข้ให้ นฤตย์ดูแล้วก็แอบหัวเราะ ล้วงกระเป๋าเสื้อซาฟารีที่สวมอยู่ หยิบเอาสมุดโน้ตปกหนังสีดำเล่มขนาดพอดีฝ่ามือออกมา

    “อะไร ยังใช้สมุดโน้ตอยู่อีก”

    “ใครจะไปไฮเทคเหมือนหมอมารุตละยะ อยู่ในป่าขืนมัวแต่ไฮเทค แบทหมดขึ้นมาเปิดงานไม่ได้ก็ไม่ต้องทำการทำงานกันล่ะย่ะ”

    “แกน่าจะลองใช้ดูนะนิ้ง จริงๆ สมุดจดน่ะเลิกได้แล้ว”

    “แกอย่ามาว่าฉัน สมุดฉันน่ะ Moleskine เชียวนะ”

    “ตามใจ...เข้าเรื่องซิ ไหนอาการเป็นไงบ้างว่ามา”

    “เป็นไข้ หนาวสั่น ไอ—”

    “มีเสมหะไหม”

    “มี เคยมีเลือดปนครั้งหนึ่งด้วย”

    “ฉิบหาย...ว่าต่อไป”

    “หายใจลำบาก บางทีก็หอบ เจ็บหน้าอก”

    “ปอดอักเสบ” หมอมารุตวินิจฉัยทันที “ทานอาหารได้ไหม?”

    “ได้แต่น้อยกว่าปกติ”

    “ก็ยังดี...แกติดต่อทางโน้นได้ไหม”

    “ได้ อาจารย์มีโทรศัพท์”

    “สั่งไปว่าให้คนไข้ดื่มน้ำเยอะๆ คอยดูให้ร่างกายอบอุ่นไว้ ฉันจะรีบขึ้นไปให้เร็วที่สุด”

    วิญญาณความเป็นหมอครอบงำมารุตเสียแล้ว

    “ป่วยมานานแค่ไหนแกรู้ไหม”

    “เจ้าตัวบอกว่ารู้สึกไม่สบายได้สองสามวันก็เป็นไข้ นอนซม พวกฉันไปเจอเข้าก็สี่ห้าวันได้แล้ว”

    “เดี๋ยวนะ คนไข้อายุเท่าไหร่เนี่ย”

    นฤตย์เปิดหาในสมุดบันทึกแล้วก็ตอบ

    “ประมาณยี่สิบห้า สูงใหญ่...คิดว่าสูงกว่าแกซ้ำไป น้ำหนักน่าจะประมาณแปดสิบห้า”

    “โอเค แกจะกลับไปที่นั่นได้เมื่อไหร่”

    “แกพร้อมเมื่อไหร่ฉันก็ไปได้เมื่อนั้น ที่กลับมานี่ฉันแค่มารับแก ไม่ได้มีธุระอื่น”

    “งั้นเราออกเย็นนี้เลย”

    พูดจบก็เอื้อมมือไปกดกริ่งบนโต๊ะทำงาน อึดใจเดียวก็มีเสียงเคาะประตูและพยาบาลผู้ช่วยของมารุตก็ก้าวเข้ามาในห้อง หมอหนุ่มสั่งการทันที

    “คุณฟ้า วันนี้ปิดคลินิกแค่นี้ก่อน ผมจะขึ้นไปดูคนไข้ของนิ้งที่แม่ฮ่องสอน ช่วยทำเรื่องลาให้ผมด้วย ใช้วันหยุดผมนั่นแหล่ะครับโปะๆเข้าไป แล้วก็ให้เขาส่งหมอมาประจำที่นี่ระหว่างที่ผมไม่อยู่ไปก่อน เคสนี้เห็นทีจะต้องไปนานอยู่”

    “ได้ค่ะ”

    “ผมส่งลิสต์รายการยากับเครื่องมือไปแล้ว เตรียมให้ผมด้วยนะครับ ผมจะไปเย็นนี้เลย”

    “เข้าใจแล้วค่ะ”

    “ขอบคุณมากครับ”

    พอผู้ช่วยออกจากห้องไป หมอมารุตก็หันกลับมาหาเพื่อนสาว

    “เราไปกันเถอะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×