ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『 แฟนเด็ก 』 l ╯#สามหกสิบแปด╰

    ลำดับตอนที่ #23 : กุ๊งกุ๊งที่ 20 : นักรบหัวจุกน้ำพุที่ต้องสู้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 29.18K
      2.43K
      15 มี.ค. 63

    #สามหกสิบแปด 20

    กุ๊งกุ๊งที่ 20 :  นักรบหัวจุกน้ำพุที่ต้องสู้




    และก็เป็นเช้าอีกหนึ่งวันที่ผมตื่นอย่างรวดเร็ว 

    ไม่ใช่เพราะนาฬิกาปลุกเพราะผมไม่มีมือถืออยู่กับตัว แต่เป็นเพราะว่า

     

    ผมฝันร้าย!!!

    ร้ายสุดๆ !!!

     

    ผมฝันว่าลุงในสภาพหัวโล้นห่มผ้าเหลืองเดินมาหอมหัวผมแล้วบอกว่า

     

    เด็กดีของพี่ ตั้งใจเรียนแล้วไปคิโมจี้กันที่ญี่ปุ่นนะจ๊ะ

     

    บาปปปปป บาปมาก บาปไม่ไหวแล้ว อะไรทำให้ผมฝันแบบนั้นไปได้ พระลุงเวอร์ชั่นหื่นกามเนี่ยนะ ต้องเป็นเพราะแผลระบมบนหน้าบนตัวแน่นอนๆ แน่ๆ ไม่มีทางที่มันจะมาจากจิตสำนึกผมแน่ๆ โอ๊ยยยยยยยยยย อยากจะบ้าตายยยยย 

     

    พระลุงเนี่ยนะ

    พระลุง!!!!

     

    เพราะลุงคนเดียวเลยที่จู่ๆ ก็พูดเรื่องวัดขึ้นมาเมื่อวาน วันนี้ผมเลยเพ้อเจ้อแต่เช้าเลย มีที่ไหนฝันถึงพระ ฮึ่ย!!! 

     

    ก๊อกๆ 

     

     

    “น้องเน ตื่นไหวไหมลูก วันนี้ไปโรงเรียนไหวไหม” เสียงแม่ดังมาจากหน้าประตูห้อง ผมที่กำลังทุบหัวตัวเองกับความฝันแสนพิลึกเลยต้องรีบหยุดนิ่ง

    “วะ ไหวแม่ เนจะไปโรงเรียน”

    “โอเค แม่ทำไส้กรอกปลาหมึกไว้เป็นข้าวเช้านะลูก”

    “อื้มมม เอ้ย ครับบบบบบบ” ผมขานรับก่อนจะรีบลุกไปอาบน้ำ ไม่ลืมล้างหน้าพร้อมกับพูดฝันร้ายจงกลายเป็นดีสามรอบแก้เคล็ดด้วย 

    หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ลงมากินข้าวเช้าปกติ ที่ไม่ปกติวันนี้ก็น่าจะเป็นพ่อที่มานั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องครัว แปลก ปกติพ่อไม่ตื่นเช้าขนาดนี้ แถมมานั่งกินข้าวเช้าด้วย แปลกสุดๆ ผมลังเลอยู่นิดหน่อยว่าควรจะทำตัวอย่างไร ควรเมินดีไหมเพราะพ่อก็ทำไม่ถูกที่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับผมเมื่อวาน มันเกินไป ต่อไม่เคยต่อยผมมาก่อน แต่พอจะไม่ไหว้ก็นึกถึงคำพูดลุงเมื่อวานขึ้นมา  

    เฮ้อ ลุงนะลุง 

    “พ่อ สวัสดีครับ” 

    “แค่กกกก” เป็นพ่อแทนที่สำลักกาแฟออกมา ผมมองพ่อพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย จะว่าไปลุงก็ทำตัวเหมือนพ่อนิดหนึ่งแหะ 

    “แม่ มีซอสมะเขือเทศไหม”

    “มีๆ พอดีเมื่อวานก่อนพี่แนนสั่งพิซซ่ามากินที่บ้านแล้วเขาแถมซอสมาให้เสียเยอะเลย” แค่รู้ว่ามีก็ดีใจแล้ว ผมทรุดตัวนั่งลงบนที่นั่งเยื้องกับพ่อ ไม่เลือกเผชิญหน้าตรงๆ แค่เกือบตรงๆ ก็พอแล้วกันนะ ถึงจะนั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกันแต่ก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นมีแค่เพียงเสียงเคี้ยวหงับๆ ของผมกับเสียงเปลี่ยนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ของพ่อ 

     

    อึดอัด...

    ผมรีบๆ เคี้ยวไส้กรอกเพื่อที่จะได้รีบไปโรงเรียน อยากเจอลุงจะตายอยู่แล้ว 

     

    “เน รีบกินทำไมนัก เดี๋ยวติดคอนะลูก”

    “เปล่ารีบ เนหิวหรอก”

    “เดี๋ยววันนี้พ่อเขาไปส่ง ไม่ต้องรีบไปขึ้นรถเมล์หรอก” พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ขมวดคิ้วทันที 

    “เนไปเองได้”

    “จะไปส่ง” เสียงพ่อดังขึ้นทำเอาผมแอบใจฝ่อไปเล็กน้อย 

    “แต่เนไปเองได้”

    “คิดว่าไม่รู้หรือไงว่ารีบไปเพราะอะไร” 

    “ตะ แต่ เนจะไปเอง” ผมกำหมัดแน่น พ่อรู้ พ่อรู้แล้ว 

    “อย่าให้ต้องพูดซ้ำหลายๆ รอบ” ผมกัดปากตัวเองแน่น ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้แล้วแท้ๆ 

    “นะ เนจะไปเอง พ่อไม่ต้องไปส่ง”

    “มันไม่มาหรอก”

    “...”

    “พ่อให้แนนโทรบอกแล้ว”

    “...”

    “ไปขึ้นรถ” 

     

    ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...

    ผมได้แต่กลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น หัวใจผมบีบตัวจนรู้สึกเจ็บ มือของผมกำแน่นจนรู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อ 

     

    ต่อให้ผมพูดทุกอย่างที่รู้สึก

    ต่อให้ผมโดนทำร้ายจนเจ็บไปทั้งตัว

    ต่อให้ผมขอร้องจนแทบจะกราบ

    ... ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป 

     

    ระหว่างทางจากบ้านมาโรงเรียน ผมไม่แม้แต่จะพูดอะไรไปออกไปสักคำ ได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกรถ ขนาดความสุขเล็กๆ แค่ได้เจอหน้าก่อนเข้าเรียนก็ยังหายไป ทำไมต้องใจร้ายกันขนาดนี้ด้วย 

     

    “เลิกเรียนพ่อจะมารับ”

    “เนอยากกลับเอง”

    “เน”

    “เนอยากกลับเอง ปกติพ่อก็ไม่เคยรับส่งเน พ่อจะทำทำไม”

    “จะมารับ แค่นั้นแหละ” 

    “...” ผมไม่ได้เถียงอะไรต่อเพราะรู้ว่าพูดอะไรไปพ่อก็ไม่เคยเข้าใจอยู่ดี ไม่ใช่พี่แนนก็เหนื่อยหน่อย เฮ้อ เนี่ย อุตส่าห์จะพยายามไม่พาลพี่แนนแล้วแท้ๆ 

    พอรถจอดหน้าโรงเรียนผมก็เปิดประตูลงมาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีแม้แต่จะหันไปพูดอะไรกับพ่ออีก ผมกวาดสายตามองหน้าโรงเรียนก็ไร้ซึ่งเงาลุง ก็คงเป็นไปตามที่พ่อบอก 

    ไร้กำลังใจจะเข้าเรียนชะมัด

     

    “นายๆ” ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินเข้าโรงเรียน ก็มีเด็กนักเรียนที่ผมไม่รู้จักเดินเข้ามาแตะไหล่

    “หืม?”

    “พ่อนายฝากเอาของมาให้ เขาบอกว่านายลืมไว้บนรถ”

     

    ลืม? 

    ลืมไรวะ...

    กระเป๋านักเรียนก็เอาลงมาหมดแล้วนี่นา...

    ถึงงั้นผมก็รับถุงกระดาษนั่นมาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณไป พอผมเปิดถุงกระดาษปริศนานั่นดูก็เห็นว่าเป็นถุงยากับแซนวิช บนถุงยามีโพสอิทเล็กๆ เขียนด้วยลายมืออ่านแสนจะยาก เจ้าของลายมือเคยบ่นว่าผมลายมือเหมือนถั่วงอก ส่วนตัวเองเขียนยึกยืกเหมือนไส้เดือนผมยังไม่เคยบ่นเลย ผมอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ 

     

    ก้อนดื้อต้องเป็นก้อนที่ตั้งใจเรียน

    ปล. ทายาแล้วก็กินยาด้วย 

     

    ก้อนดื้อแบบนี้ มีอยู่คนเดีย

    พออ่านจบผมก็เงยหน้าขึ้นมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของโพสอิทแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

     

    “นาย คนที่ฝากมาอยู่ไหนอ่ะ”

    “พ่อนายอ่ะหรอ ไม่รู้ว่ะ เหมือนเขารีบเดินขึ้นตึกนั้นไปแล้ว” พอผมมองตามมือไปก็เห็นเป็นตึกออฟฟิสของลุง  

    “...”

    “เออ พ่อนายฝากมาบอกอีก”

    “ว่า? ”

    “ตั้งใจเรียนจะได้ไปวัดด้วยกัน อันนี้ไม่ชัวร์นะ อาจจะฟังผิด ไม่น่าใช่วัดหรอก” มันคือวัดนั่นแหละ ผมอมยิ้มจนเห็นแก้มตัวเองยกขึ้นเป็นเนินตรงหางตา

    “เออ แต๊งกิ้วมาก”

    “เค” ผมยิ้มตอบเด็กนักเรียนตรงหน้า เหมือนจะเคยเห็นหน้าตอนกินข้าว น่าจะอยู่ห้องห้าถ้าจำไม่ผิด แต่ช่างเถอะ ผมเลิกสนใจแล้วก้มลงมองโพสอิทในมืออีกรอบ เฮ้อออ ไม่รู้ว่าลุงจะรู้ไหม แต่ไอ้ซื้อน้ำซื้อขนมมาให้ทุกวันเนี่ย โคตรเป็นการจีบของเด็กมัธยมเลย นี่ถ้ามีคิทแคทที่มีคำเขียนเสี่ยวๆ ข้างหลังนี่ตามสูตรเลยนะ

     

    ถึงจะเป็นแค่ของชิ้นเล็กๆ แต่ก็เหมือนเป็นการชาร์จพลังจนเต็มหลอดได้

    เฮ้อ...

    อยากเจอลุงเป็นบ้าเลย

     

    “เชี่ยหนูเน หน้ามึงไปโดนอะไรมาอีก มึงไปเปรี้ยวตีนใครมา” ไอ้กันเดินมาจับคางผมให้หันซ้ายขวา มาเปรี้ยวตงเปรี้ยวตีนอะไรของมัน 

    “มึงว่าตีนใคร”

    “เชี่ย!!! อย่าบอกนะ!!!

    “...”

    “ตีนกาหรอ!!!

    “อยากเจอตีนกูแทนไหม” 

    “ย้อเยว่นนนนนน ใครวะ กูจะตอบลุงก็ไม่น่าใช่ แม่งโอ๋มึงเหมือนลูก”  

    “ตีนพ่อกูเอง”

    “แหนๆ จะเล่นมุกพ่อที่ไม่ได้แปลว่าพ่อใช่ไหม”

    “พ่อแท้ๆ ”

    “...อุ๊” ไอ้กันถึงกับชะงัก “เอ่อ... คือ เอ่อ กูไม่ได้ตั้งใจ” 

    “ช่างมันเถอะ กูไม่อยากนึกถึง” 

    ถึงจะจิตว้าวุ่นแค่ไหนแต่พอเข้าห้องเรียนผมก็พยายามทำสมาธิให้ฟังครูให้ได้มากที่สุด จดบางอย่างที่ไม่รู้ไม่ได้จดหมดทุกตัวอักษร พอง่วงก็งีบสิบนาทีค่อยตื่นมาเรียนต่อ เป็นอย่างนั้นบนไปทุกคาบคนเลิกเรียน ผมกวาดของลงกระเป๋าเตรียมพร้อมจะวิ่งไปออฟฟิสลุงแต่พอเดินพ้นรั้วโรงเรียนมาก็ต้องขมวดคิ้ว

     

    พ่อ...

     

    พ่อยืนรอผมอยู่หน้าโรงเรียน 

     

     

    “เชี่ยเน นั่นพ่อมึงไม่ใช่เรอะ” ไอ้กันศอกเอวผมยิกๆ ไม่รู้มันจะมาย้ำทำไม เออ รู้แล้วโว้ยว่าพ่อกู เจอมาทั้งชีวิตคิดว่าจำหน้าไม่ได้เรอะ เซ็ง

    “เน ขึ้นรถ”

    “...” ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด พ่อไม่ได้พูดประโยคคำถามแต่เป็นประโยคคำสั่ง และผมก็รู้ว่าไม่มีสิทธิเถียง แปลกใจเล็กน้อยที่พ่อหาที่จอดได้ ปกติแล้วหน้าโรงเรียนผมไม่ค่อยจะมีที่จอดให้หรอก นอกเหนือจากจะมารอสักสองชั่วโมงก่อนเลิกเรียน ซึ่งพ่อแม่คนอื่นผมว่าคงทำได้ชิวๆ 

    แต่พอเป็นพ่อผม

    เหอะ... ไม่มีทาง 

    นี่แทบจะเป็นการรับส่งผมมาโรงเรียนครั้งแรกในรอบสามปีเลยมั้ง ปกติจะเป็นพี่แนนกับแม่มาตลอด อยากจะกรอกตาบน คุมขังเป็นนักโทษอะไรขนาดนี้ รู้ทันไปหมดว่าผมคงรีบวิ่งออกไปลุงหลังเลิกเรียน ผมปิดประตูรถแล้วก็หยิหูฟังขึ้นมาเปิดเพลง ไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว

    “เน”

    “...”

    “แนนมาบอกว่ามีคณะที่อยากเข้าแล้วหรอ” อารมณ์ไหนอ่ะ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ลดหูฟังในมือลง 

    “อื้อ เอ้ย ครับ” 

    “อืม”

    “อ...”

     

    อืม? 

    ผมถึงกับขำในใจเมื่อเกือบจะหลุดอืมถามออกไป ถ้าเป็นลุงทำเสียงอืมเหมือนคำถามแปลว่าให้แก้เป็นครับแทน ลุงบอกว่าผมชอบตอบผู้ใหญ่ห้วน ไม่น่ารัก เพราะงั้นเวลาผมตอบอื้อหรืออืมลุงจะแก้ให้ตอบว่าครับแทนเสมอ

    และด้วยความเหมือนพ่อรู้ว่าผมรอจะไปวิ่งไปหาลุงทุกครั้งที่เลิกเรียน ทำให้พ่อลงทุนขับรถรับส่งผมอยู่จะสองอาทิตย์ อืม อีกนิดนึงมันก็เกือบเดือนแล้ว 

    เกือบเดือน...

    โอ๊ยย นี่มันกี่วันผ่านไปแล้วที่ผมไม่ได้เจอลุงตัวเป็นๆ !!!!

    ได้แต่เจอวิญญาณลุงผ่านแชทแล้วก็วิดีโอคอลก่อนนอน ผมคิดถึงลุงมากจนไม่ยอมกดวางสายก่อน แล้วก็เป็นลุงที่เป็นคนกดวางหลังจากผมหลับแล้วเสมอ 

     

    คิดถึงลุงเป็นบ้า....

    คิดถึงลุง...

     

    ตลอดเดือนกว่าการนั่งรถไปโรงเรียนถือเป็นความทรมานเหมือนนั่งรถไปคุก ความทรมานในห้องเรียนยังเทียบไม่ได้กับความที่ต้องนั่งอึดอัดกับพ่อในทุกเช้ากับเลิกเรียน  แค่คิดว่าต้องเป็นแบบนี้ทุกวันจนกว่าสงครามในหัวพ่อจะจบก็รู้สึกอยากจะกลั้นใจตาย

    แต่ถึงอย่างนั้น

    ด้วยข้าวกล่อง ขนม น้ำผลไม้ในทุกเช้าที่ลุงแอบฝากนักเรียนคนอื่นมาให้ก็ถือเป็นสิ่งละลายความทรมานให้กลายเป็นกำลังใจก่อนเข้าเรียนได้เป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อว่าของเล็กๆ น้อยๆ นั่นมันจะทำให้ใจฟูได้ขนาดนี้ พอจะเข้าใจพระเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว 

    ผมน่ะ อยากมาเรียนทุกวันเพราะลุ้นว่าของให้ถุงตอนเช้าจะเป็นอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงยังเลือกของมาให้ไม่ซ้ำกันสักอย่าง 

    เนี่ยแหละมั้ง ความโรแมนติกแบบลุงๆ 

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พ่อมารับหลังเลิกเรียน พอรถจอดผมก็รีบเปิดประตูรถเตรียมวิ่งเข้าบ้าน แต่ก่อนจะเปิดประตูบ้านก็แอบเห็นรองเท้าปริศนาถอดอยู่บนชั้น

     

    เหมือนรองเท้าลุง...

    ไม่น่าใช่หรอก สงสัยรองเท้าใหม่พ่อ 


    คนแก่นิยมสไตล์นี้สินะ


    ช่างเถอะ... 

     

    ผมรีบเปิดประตูบ้านเมื่อเห็นว่าพ่อเดินตามมาด้านหลัง พอเปิดประตูบ้านเสร็จก็เตรียมวิ่งขึ้นห้อง แต่ติดที่ว่าผมกวาดตาเห็นหัวคุ้นๆ นั่งหันหลังในบนโซฟากลางบ้านเสียก่อน 

     

    “ลุง?”

    “อ้าว กลับมาแล้วหรอ” 

     

    เฮอะ...

    ผมภาพหลอนหรอหรืออะไร ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองภาพลุงวางแก้วกาแฟแล้วลุกขึ้นยืนจัดเสื้อตัวเอง ใบหน้าที่ผมโคตรจะคิดถึงนั่นดูโทรมขึ้นเล็กน้อย งงไปหมดแล้ว ลุงมาอยู่ที่บ้านผมได้ยังไง แอบพ่อเข้ามาหรอ? 

     

    “ลุง ไปซ่อนเร็ว พ่อจะมาแล้ว!!!

    “ตะโกนดังขนาดนั้นคงซ่อนไม่ทันหรอก” เสียงพ่อดังมาจากด้านหลังทำเอาผมเลิ่กลั่กไปหมด ไม่รู้จะทำยังไงดี ทำไงดี เอาผ้าห่มมาคลุมได้ไหม ไม่อยากให้ลุงหายไปอีกรอบแล้ว

    “เน ใจเย็นๆ” 

    “ลุง ลุง” ผมน้ำตาคลออีกรอบเมื่อรู้ว่ากำลังจะต้องแยกกันอีกแล้วหรอ เพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำ 

    “พ่อเราเป็นคนเรียกพี่มา ไม่ต้องร้องไห้”  

    “เอะ เอ๊ะ?”

    “พ่อมาหาพี่ระหว่างที่รอรับเราที่โรงเรียน” 

    “พ่อ...”

    “ไปนั่ง” พ่อชี้ไปที่โซฟา ซึ่งผมก็รีบวิ่งไปนั่งตามคำสั่ง คิดไปคิดมาเหมือนสั่งหมาเลย ชี้นิ้วปุ๊ปวิ่งปั๊บ ผมเลือกที่จะนั่งลงข้างลุง แอบสูดกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยเข้าปอดฮึบๆ เผื่อต้องแยกกันอีกรอบก็ยังมีกลิ่นให้หายคิดถึง

    “เกิดอะไรขึ้น เนงงไปหมดแล้ว”

    “พ่อคุยกับคุณไม้แล้ว” 

    “พ่อคุยกับลุง? ”

    “คุณไม้” พ่อย้ำเสียงดุผมเลยต้องรีบเปลี่ยน

    “เน มะ หมายพ่อคุยกับพี่ไม้หรอ คุยได้ไง คุยอะไร” ยอมเรียกพี่ไม้ให้ก็ได้หรอกนะ เห็นว่าพ่อดุเถอะ!!!

    “แนนมาพูดกับพ่อ... หลายครั้ง” 

    “...” พี่แนนงั้นหรอ

    “มันมีหลายอย่างที่พ่อคิดว่ามันไม่ถูกต้อง แนนเองก็เห็นด้วย... เรื่องอายุ” พอถึงตรงนี้ผมก็หน้าเจื่อนลง อายุอีกแล้ว ขอเป็นเรื่องอื่นที่ผมแก้ไขได้ไหม เรื่องอายุนี่มันเร่งเกิดก่อนไม่ได้จริงๆ นี่

    “แต่...” 

    “อย่าเพิ่งขัดผู้ใหญ่”

    “แต่ว่าเน -

    “เน” ลุงหันมาส่งสายตาดุผม ผมเลยต้องยอมเก็บความคิดตัวเองกลืนเข้าลำคอ 

    “​หึ แนนมาบอกหลายเรื่องทั้งเรื่องมีคณะที่อยากเข้า เรื่องตั้งใจเรียนมากขึ้นซึ่งก็ไม่ได้น่าเชื่อเท่าไหร่นัก แต่วันนี้เข้าไปคุยกับครูประจำชั้นเขาก็มายืนยันว่าเนตั้งใจเรียนขึ้นผิดหูผิดตาเหมือนโดนทำของ”

    “...”

    “พ่อจะยอมให้คบหาดูใจกัน”

    “พ่อ!!!” ผมตะโกนเรียกพ่อลั่นบ้าน อย่างพ่อเนี่ยนะ พ่อเนี่ยนะ!!!!

     

    เมื่ออาทิตย์ก่อนยังตั้งแง่หนาเป็นกำแพงมาเรีย ไม่ยอมรับขนาดนั้นจะมายอมรับได้ในระยะเวลาแค่นี้เนี่ยนะ

    ต้องมีใครทำของ ต้องมีใครทำของแน่ๆ !!! 

     

    “แต่...” 

    “...”

    “ระหว่างนี้กว่าเนจะสอบติดคณะที่ตั้งใจ”

    “...”

    “พ่อขอสั่งห้ามติดต่อกัน”

     

     พอพ่อพูดจบผมก็ใจหล่นไปอยู่ที่เท้าอีกรอบ ตอนนี้เพิ่งเข้ามกรามันอีกตั้งเป็นเดือนกว่าจะสอบแกทแพท ไหนจะรอประกาศคะแนน รอยื่น รอประกาศอีก มากกว่าสามเดือนแน่ๆ

     

    ว่าแล้ว...

    พ่อไม่มีทางเปลี่ยนเป็นคนใจดีขนาดนั้นได้หรอก... 

     

    “เน ทำได้ไหม” ลุงหันมาถามผม ผมรีบส่ายหน้าทันที 

    “ไม่ได้ ทำไม่ได้ มันตั้งเป็นเดือนนะลุง ไม่เจอเป็นเดือนนะ มากกว่าสามเดือนนะลุง นี่ยังไม่ได้สอบแกทแพทเลย ไหนจะยื่นอีก” 

    “แค่สามเดือนเอง”  

    “แต่... ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย เนตั้งใจเรียนได้ เนไม่เข้าใจพ่อเลย ตั้งแต่มีลุงเนก็ตั้งใจเรียนมาตลอด...” 

    “แล้วถ้าไม่มีล่ะ” พ่อพูดสวนขึ้นมาทันที 

    “...”

    “พยายามทำอะไรด้วยตัวเองให้พ่อเห็นหน่อยเน อย่าเอาตัวเองไปพึ่งคนอื่นทั้งตัว ถ้าวันหนึ่งไม่มีพี่เขาแล้วจะอยูู่ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยงั้นหรอ” 

    “แต่...”

    “พ่อถามแค่คำเดียวว่าทำได้ไหม” 

     

    ผมกลืนน้ำลายอึดใหญ่ลงคอ 

    ผมต้องไม่มีลุงอยู่ข้างๆ เป็นเดือน มันน่ากลัวไปหมดเลย ลุงเองก็เหมือนรู้ถึงได้เลื่อนมือมากุมมือผมไว้ ผมหันไปสบตากับลุง ลุงจ้องกลับมานิ่งๆ พร้อมกับยกยิ้มขึ้น 

     

    รอยยิ้มที่ผมคิดถึง

    รอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกเหมือนถูกลูบหัวอยู่ 

    รอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกว่ามีคนเข้าใจอยู่

    รอยยิ้มที่ทำให้รู้ว่าต่อให้แพ้จากที่ไหนมาก็จะมีมันปลอบอยู่เสมอ

    ผมมองรอยยิ้มนั่นแม้มันจะเบลอจากกลุ่มก้อนน้ำตาน่ารำคาญก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา

     

    “อื้ม”

    “อื้ม? ”

    “ครับ..”

    “...”

    “เนทำได้” ผมบีบมือลุงแน่นหลังจากตอบออกไป ไม่อยากทำเลยแท้ๆ แต่ถ้าเป็นทางเดียวที่ทำให้พ่อยอมรับและลุงก็คิดว่าผมทำได้ ผมก็ต้องทำได้ 

    “โอเค งั้นก็ลากันให้เสร็จ ส่งแขกด้วย” พูดจบพ่อก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ไม่แม้แต่จะหันมารับไหว้ลุง พอพ่อเดินออกไปลุงก็ลุกขึ้นยืน 

    “ป่ะ ไปส่งพี่หน่อย” 

    “ลุง...” 

    “ห้ามร้องแล้วเน พี่รู้ว่ามันยาก” 

    “ฮึก...” 

    “มันไม่ได้ยากสำหรับเราคนเดียวหรอก” ลุงยื่นมือมาตรงหน้าผม ผมเลยยื่นมืออกไปจับ แล้วลุุงก็ออกแรงดึงผมเข้าไปกอด 

    “ลุง...” 

    “พี่จะรอ ถ้าจะกังวลเรื่องพี่ไม่ต้องกังวล พี่มีแต่เรา” 

    “แต่เนกลัว... ถ้าเนทำไม่ได้” 

    “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ลุงส่งยิ้มมาให้ผม 

    “ลุง สามเดือนมัน ไม่ มันอาจจะมากกว่าสามเดือน สะ สอบ สอบเดือนไหน ยื่นเดือนไหน”

    “ใจเย็นๆ เน”

    “จะให้เนเย็นได้ยังไง ลุงไม่รู้หรอว่าเนอึดอัดแค่ไหน!!!

    “รู้สิ...”

    “ฮึก...”

    “รู้ดีกว่าเราอีกมั้ง...” ลุงส่งยิ้มบางๆ มาให้ผม  

    “แต่ แต่” 

    “พยายามให้เต็มที่ อย่าเพิ่งไปคิดว่าจะทำได้หรือไม่ได้ อย่ารีบกดดันตัวเอง” 

    “เนเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นนะลุง เนเพิ่งจะมาทำความเข้าใจ เนเพิ่งจะเริ่มติว คนอื่นเขาติวกันมาตั้งนานแล้ว เนจะไปสู้ได้ไง” ผมสะอื้นจนตัวโยน ถ้าเป็นเด็กรุ่นผม บางคนเตรียมตัวมาตั้งแต่ม.สี่ แล้วผมที่เพิ่งจะมาเริ่มติวจริงจังตอนช่วงก่อนจะสอบไม่กี่เดือนแบบนี้จะเอาอะไรไปสู้กัน

    “คิดในแง่ดีอย่างน้อยก็ได้เริ่ม ก็คงต้องพยายามให้หนักขึ้น... แต่ก็เอาเท่าที่ทำได้” 

    “ฮึก...” 

    “ไม่ร้องน่า” 

    “ทำไมเนต้องเรียนเก่งถึงจะรักใครสักคนได้หรอลุง” 

    “...”

    “ทำไมเนแค่รักเฉยๆ เหมือนคนอื่นไม่ได้” ทำไมคนอื่นถึงมีความรักปกติได้ ไม่เห็นต้องมาเรียน มาสอบติดอะไรก่อนเลย เพราะเป็นเกย์หรอ เพราะเราไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชายหรอ หรือเพราะแค่วัยเราต่างกัน ทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องทำอะไรซับซ้อนมีเหตุผลไปหมด ทำไมแค่รักกันมันไม่ได้

     

    ไม่เข้าใจ

    โลกของผู้ใหญ่น่ะ ไม่เข้าใจสักนิดเลย

     

    “เน...” 

    “เนไม่เข้าใจ” 

    “พ่อแค่เป็นห่วงเรา เราน่ะ... ไม่ได้ต้องเรียนเก่งถึงจะรักใครได้ ไม่ต้องประสบความสำเร็จหรอก แต่พ่อเขาแค่อยากให้เรายืนได้ด้วยตัวเองในวันที่ความรักนั้นมันไม่เป็นไปตามที่เนฝัน ตอนนี้เนอาจจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อไหร่ที่เนโตมากกว่านี้  เนจะเข้าใจเหตุผลของพ่อ” 

    “ไม่เป็นตามฝันเน? หมะ หมายความว่าไง ลุงจะเลิกกับเนตอนเนโตหรอ” 

    “อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราอาจจะยังรักกัน หรืออาจจะใครสักคนยังรักอีกคนอยู่คนเดียว มันไม่มีใครบอกอนาคตได้” 

    “ฮึก...” 

    “พ่อเขาแค่อยากให้เราพยายามด้วยตัวเอง ไม่กี่เดือนเอง เราทำได้อยู่แล้ว” 

    “เน...” 

    “แล้วที่พ่อให้เราห่างกันอาจจะเพราะแค่อยากรู้ว่าเรื่องของเรามันจริงจังแค่ไหน ห่างกัน จะมีฝ่ายไหนเปลี่ยนใจไหม มันอาจจะเป็นความชั่ววูบไหม” 

    “...”

    “พี่เชื่อว่าพี่ทำได้เพราะพี่ไม่ได้รู้สึกกับเราแค่ชั่ววูบ เราหละ? ” ลุงถามพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาผม 

    “เน ทำได้ ฮึก ต่อให้เป็นปีเนก็ทำได้”

    “โฮ่ ปากเก่ง”

    “เนพูดจริง!!! เนจะไม่มีใคร ลุงก็ห้ามมีใคร เนมีสายนะ ลุงอย่าคิดว่าทำอะไรแล้วเนจะไม่รู้”  

    “หึ...”   

     “หะ ห้ามติดต่อกัน คือโทรก็ไม่ได้หรอ”

    “เอามือถือเรามา” 

    “...” ผมขมวดคิ้วงง แต่ก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบมือถือตัวเองออกมาส่งให้ลุง ลุงรับไปจิ้มนู้นจิ้มนี่อยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงโทรศัพท์ผมเข้าไปใกล้ปากตัวเอง

     

    “เน เหนื่อยก็พักนะ อย่าฝืนตัวเองจนเกินไป ทำเท่าที่เราทำได้ วันไหนที่เหนื่อยก็เปิดเสียงนี้ฟัง อีกไม่กี่วันเราก็คงจะได้เจอกันแล้ว อดทนอีกนิดหนึ่ง... คนเก่งของพี่” 

     

    ลุงบันทึกเสียงตัวเองพร้อมกับจ้องหน้าผมไปด้วย ผมเลยได้แต่เบะปากร้องไห้ให้กับความโรแมนติกแบบเก่าๆ ของลุง 

     

    มีที่ไหนมาอัดเสียงตัวเองลงในเครื่องคนอื่น มันเหมือนละครสมัยก่อนเกินไปไหมที่อินเตอร์เนทเข้าไม่ถึงต้องอัดใส่เทปหรือแผ่นซีดีไม่ก็เป็นฝากเสียงรอสายอะไรแบบนี้ สมัยนี้เขาส่งวอยซ์ในไลน์กันแล้ว ลุงนี่แสนจะลุงจริงๆ ผมปาดน้ำตาออกก่อนจะแบมือรอรับเครื่องตัวเองกลับมา ลุงเหมือนจะกดนู่นกดนี่อย่างหวาดระแวงกลัวไปกดลบเสียงตัวเอง พอมั่นใจว่าอัดลงแอปเสร็จก็ส่งมือถือคืนผมมา ผมรับมือถือตัวเองมาเปิดไลน์ก่อนจะกดอัดวอยซ์

     

    “ลุง สอนให้ใช้วอยซ์กี่ครั้งไม่เคยจำเลยใช่ไหม ลุงนี่โคตรจะลุง นี่เนนะ เนเอง อย่าให้รู้ว่าไปดินเนอร์กับลูกค้าสาวนะ แล้วถ้าเนรู้ว่าเอาปากไปจูบใครนอกจากเน เนเอาเรื่องแน่ เนเป็นมวยแล้วนะ เนจะเอาเลือดลุงมาจิ้มแทนเคชชัพ แล้วก็นะ...  เนอ่ะนะเนอ่ะ... เนเป็นคนเก่งของลุงอยู่แล้ว ฮึก รอเนนะ ห้ามไม่รักเนนะ ห้ามรักคนอื่นนะ รอแต่เนคนเดียวนะ ฮึก เนอ่ะ.... รักลุงนะ” อัดเสร็จแอพก็ส่งไปอัตโนมัติ มือถือในกางเกงลุงสั่นตัวครืดหนึ่งให้รู้ว่าส่งถึงแล้ว ลุงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบ 

    “ไอ้ก้อนดื้อ”

    “อื้ออออออ” 

    “ยังอยากจูบอยู่ไหมตอนนี้” 

    “อื้อ”

    “อื้อ? “

    “ครับ... อยากจูบ” 

    “หึ...​” 

     

    ลุงใช้นิ้วดันคางผมขึ้นพร้อมกับประจบจูบลงมา ผมยกมือขึ้นคล้องคอลุงไว้ลุงเองก็กวาดแขนโอบรอบเอวของผมไว้แน่น

     

     จูบครั้งนี้ไม่ได้ร้อนแรงที่สุด ไม่ได้ดุดันจนเกือบจะเลยเถิดแบบที่เกิดขึ้นบ่อยในออฟฟิสเวลาผมอ้อน ไม่ได้เป็นจูบที่หวานหอมกลับกันมันเป็นจูบที่เค็มปร่าไปด้วยน้ำตา ทุกสัมผัสเป็นเพียงการกดย้ำเบาๆ แสดงถึงความอ้อยอิ่งและโหยหา 

     

    ... ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้จากกัน  

     

    “เน”

    “ครับ” 

    “พี่รอได้ แต่อย่านานนักนะ”

    “เอ๊ะ.. จะมีสาวงั้นหรอ!!!

    “เปล่า พี่แก่แล้ว ตีนกาขึ้นเยอะเดี๋ยวจะไม่หล่อเอา” ผมขำพรืดให้กับคำพูดของลุง

    “ก็เนบอกลุงแล้วไง”

    “...”

    “เนไม่ได้รักลุงเพราะหน้าตา”

    “ก้อนดื้อ”

    “แต่เนรักลุงเพราะตีนกาต่างหาก” ผมหัวเราะออกมาหลังพูดจบ ลุงเลยยกยิ้มขึ้นด้วย ผมซุกหน้าตัวเองลงกับอกลุง สูดกลิ่นน้ำหอมประจำตัวลุงเข้าปอดให้ชื่นใจก่อนจะผละออกมา “ลุงกลับเองนะ เนไม่ไปส่งที่รถ”

    “อ้าว”

    “เพราะถ้าเนไปส่ง”

    “...”

    “เนคงโดดขึ้นรถไปด้วยแน่ๆ “ ลุงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ ก็จริงนี่ ผมอยากจะกลับห้องลุงจะตายอยู่แล้ว ให้ไปเจอรถที่เคยนั่งเคยกินข้าวเช้าอยู่เป็นเดือน เดี๋ยวก็ใจอ่อนโดนขึ้นรถหนีออกจากบ้านกันพอดี

    “งั้นพี่กลับแล้วนะ”

    “อื้อ” 

    “แล้วเจอกัน” 

    “อื้อ เจอกันอีกที... ตอนเนเป็นว่าที่เด็กมหาลัยแล้วนะ” 

    “หึ...” ลุงก้มตัวลงหอมหัวผมหนึ่งฟอดก่อนจะหันตัวไปหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินออกจากบ้านไป 

     

    พอลุงเดินพ้นตัวบ้าน มือที่กำเสื้อนักเรียนตัวเองอยู่ก็กำแน่นขึ้นจนเสื้อยับ ปากก็ขยับสั่นจนควบคุมไม่ได้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็กลิ้งหล่นจนหน้าเปียก 

     

    จะเข้มแข็งด้วยตัวเองให้ได้

    จะเป็นก้อนดื้อของลุงที่เข้มแข็งให้ได้เลย!!!

     



    ----


    จะทำได้ไหม ทำได้หรือเปล่า จะทำได้ไหม ทำได้หรือเปล่า



    เราใกล้จะหลุดพ้นความดราม่าแล้วค่ะ ;---;

    คุณพ่อก็ยอมเท่าที่จะยอมแล้วค่ะ มุแง้


    ทุกคนคะๆๆๆๆ คือเราไปผ่าฟันคุดมาค่ะ แบบว่าแสนจะเจ็บปวดรวดร้าว

    แบบพญามดแต่เป็นมดเขียววีสามแต่กำลังเดินตามล้างแค้นให้พ่อกัด

    มันแบบ แคร่กๆๆ แกร่กๆๆ คุณหมอมาขุดเจาะถนนในปากดิฉันทำไมแล้วงัดทำไมคะคุณหมอออ งัดทำไมม

    เสียงแหง่กๆ ในหูดิฉันคือเสียงอะไรคะคุณหมอ 


     


    ปากโออิชิแล้วค่ะคุณหมอ 

    ปากน้องไม่รู้สึกอะไรแล้วนอกจากบาปที่เคยทำไว้จากชาติทีแล้วเลยต้องมาต้องชดใช้กรรมด้วยการโดนผ่าฟันครุฑ ฟันพญานาค แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    ตอนนี้หน้าโย้ไปหมดเลยค่ะ แก้มพองเป็นหนูอมเม็ดทานตะวัน แถมยังได้กลิ่นเลือดตลอดเวลา

    ถ้ามีแฟนเป็นแวมไพร์ในนิยายต้องบรรยายว่าจูบแสนหวานเพราะปากมีแต่กลิ่นเลือดแล้วค่ะ แงๆๆๆๆๆๆ

    ฮืออออออออออออออออ


    จบแล้วค่ะ ตอนนี้นอนหน้าโย้อยู่ 

    แต่ถ้าใครมีฟันคุดก็ไปเอาออกกันนะคะ ตอนผ่าไม่เจ็บเลยสักนิดมีแต่เสียงดังๆ 

    แต่พอยาชาหมดฤทธิ์ก็คือแบ่บ แบ่บ แบ่บบบบ




    มุแงะ ตุ้บๆ เลยน้าตุ้บๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×