ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『 แฟนเด็ก 』 l ╯#สามหกสิบแปด╰

    ลำดับตอนที่ #10 : กุ๊งกุ๊งที่ 8 : Comfort Zone

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 34.84K
      3.03K
      12 ก.ค. 62

     

    ตอนที่ 8

     

     

     

     

         ห้องทำงานของผมเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานใหญ่ไว้มองวิวทิวทัศน์ พ่อผมเคยบอกว่ามันแก้เครียดได้ดี ถึงบางช่วงของวันจะต้องปิดม่านหนีแดดก็ตาม การตกแต่งของห้องเรียบง่ายมีเพียงสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงาน

     

    และบางครั้งก็มีบ้างที่จะมีของไม่จำเป็น

     

    อย่างเช่น...

     

    “ไอ้กันหลานกูเนี่ยนะ”


    มนุษย์ที่ชื่อไอ้เก่งเป็นต้น

     

    “ใช่” ไอ้เก่งมองหน้าผมด้วยความงงสุดชีวิต

    “มึงจะอยากเจอหลานกูไปเพื่ออะไรวะ” 

    “...”

     “ไอ้สัด ไอ้ไม้ อย่าบอกนะว่ามึง...”

    “...”

    “มึงจะ...”

    “...”

    “มึงจะให้ทุนหลานกูด้วยความรักและเอ็นดูหลังจากที่มึงประทับใจที่มีกูเป็นเพื่อน!!!“ 

    “ก็คิดอยู่ว่ามึงจะต้องพูดอะไรแปลกๆ แต่ไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้” ผมมองหน้าของไอ้เก่งที่เลิ่กลั่กไปมา “... แต่เอาเป็นว่าไม่ใช่”

    “ไม่ใช่ที่จะให้ทุนหลานกูด้วยความรักและเอ็นดูหลังจากที่มึงประทับใจที่มีกูเป็นเพื่อน?”

    “ไม่ใช่เรื่องของมึง” 

    “กี๊ด มึงตบมุก” 

    “...” บุญแค่ไหนไม่ตบมึงด้วย 

    ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแต่ด่ามันทางสายตาแทน ไอ้เก่งปรบไม้ปรบมือยินดีกับตัวเองอยู่สองสามวิถึงค่อยหันกลับมาเข้าประเด็น


    “แต่เดี๋ยว เรื่องใช้ห้องน้ำมึงนี่จริงจังขนาดจะเรียกมาด่าเลยหรอวะ ปล่อยหลานกูไปเถ้อ” จริงๆ ไอ้ประเด็นห้องน้ำนั่นแทบไม่อยู่ในสมองผมเลยด้วยซ้ำ แต่พอมันพูดขึ้นมาถึงค่อยนึกได้ว่ามันก็ดูเป็นข้ออ้างที่เป็นเหตุเป็นผลดีเหมือนกัน

    “เพราะมึงสปอยล์หลานมึงแบบนี้ไง ถึงได้เกเร”

    “ถึงร้ายก็หลานนะเกเรยังไงก็หลานนะ” 

    “...”

    “โจอี้บอยร้องไห้แล้วนะไม้”

    “...”

    “สัด ใจร้าย แค่มุกก็ตบให้ไม่ได้ เออๆ เดี๋ยวเลิกเรียนกูจะลากมันมาให้ เลิกนั่งหน้าบูดได้แล้ว ช่วงนี้เห็นมีแต่คนซุบซิบกันว่ามึงดูอารมณ์ดี เสือกดีกับคนอื่นแต่ร้ายกับกูหรอ กูเพื่อนนะ!!! “ 

    “กูอารมณ์ดีหรอ” ผมขมวดคิ้วให้กับข่าวใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน 

     

                เก่งเป็นบุคคลที่ตรงข้ามกับผมมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย มันเป็นคนเข้าสังคมเก่งแทบจะมีเพื่อนอยู่ในทุกคณะ ต่างจากผมที่จะเฮฮาตามอารมณ์ เข้าสังคมได้บ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทไปทั่ว ยิ่งพอเข้าวัยทำงานสังคมที่ไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจยิ่งแคบจนแทบจะไม่มี ต่างจากไอ้เก่งที่ยังล้อกับแม่บ้านเล่นได้เหมือนเป็นญาติสนิท และด้วยความสนิทไปทั่วของมันนั่นแหละ มันจึงเป็นแหล่วข่าวที่ดีมากๆ สำหรับผม ใครนินทาอะไรเข้าหูผมหมดแม้จะไม่ได้อยากฟังก็ตาม


    “เออสิ แม่บ้านห้องน้ำชั้นสามบอกว่ามึงผิวปากลงไปซื้อกาแฟ อารมณ์ดีเหมือนมีเมีย”

    “หรือกาแฟแค่อร่อย”

    “หรือมีเมีย” 

    “หรือแค่กูอารมณ์ดี”

    “หรือมึงมีเมียยยยยย”

    “...” ผมยกมือขึ้นนวดขมับ

     

     

    ถ้ามันรู้อายุคนที่มันกล่าวหาว่าเป็นเมียผมเท่าหลานมัน

    มันคงไม่ยืนทำหน้าจิ้กจอกเจ้าเล่ห์แบบนี้ใส่ผมแน่ๆ  

     

    “หูย มึงร้ายว่ะสัด มีสาวไม่บอกกู” ไอ้เก่งกระแทกตัวลงกับเก้าอี้ ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าผม 

    “กูไม่ได้มีสาว” 

    “แหนะะะะ หรือมึงเก็บเด็กเลี้ยงไว้ ได้วัยมึงเลย เสี่ยเลี้ยงเด็กเนี่ย” 

    “...”


     นิ่งไว้ก่อน เสือกถูก เดาเก่ง 

    แต่เสี่ยเลี้ยงเด็กอะไรวะ ไม่ได้เลี้ยง เขาเรียกให้ที่พักอาศัย เกิดอยากจะทวงความยุติธรรมให้เสี่ยทั่วโลกขึ้นมาเสียอย่างนั้น


    “อ้าวเงียบว่ะสัด มึงซุกเด็กจริงหรอไอ้ไม้”

    “...”

    “ออ มอ กอ”

    “...”

    “หระ หระ หรือที่มึงเรียกหลานกูมาก็เพราะว่า!!!!” 

    “...” 

    “มึงจะให้ทุนหลานกูด้วยความรักและเอ็นดูหลังจากที่มึงประทับใจที่มีกูเป็นพะ-

    “หมดหน้าที่มึงแล้ว ออกไปแล้วอย่าลืมตามหลานมึงมาหลังเลิกเรียนด้วย” ผมถอนหายใจแล้วเอนตัวลงกับเก้าอี้ ไอ้เก่งส่งเสียงล้อผมอยู่สองสามประโยคก่อนจะยอมถอยทัพออกจากห้องไป

     

    ป่านนี้ไอ้เด็กดื้อจะทำอะไรอยู่ในโรงเรียนนะ 

     

    นับจากวันที่เนมาอยู่ห้องนี่เพิ่งผ่านไปได้แค่สองวันและแน่นอนกว่าการเรียกตัวหลานไอ้เก่งมาเพราะผมจำเป็นที่จะต้องรู้ข้อมูลบางอย่าง

     

     

    ข้อมูลที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะถามเนในตอนนี้

     


    แต่มันก็สำคัญมากพอที่ผมควรจะรู้ก่อนที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเนไปอีกหนึ่งเดือน

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     “คุณลุงงงงงง ผมขอโทษจริงๆ นะครับบบ คือไม่ได้ตั้งใจจะแอบเข้าไปใช้ห้องน้ำของลุงเลยครับ” ผมกระพริบตามองเด็กมัธยมปลายตรงหน้าด้วยสายตาแบบเดียวกับที่มองอาของมัน

     

    อืม...

    ความกวนตีนมันถ่ายทอดทางพันธุกรรมรึเปล่าวะ 

     

    “ใครลุงของนาย”

    “ครับ? ลุงของผม อ๋อ ลุงแท้หรอๆ หรอครับ”

    “...”

    “ลุงผมชื่อลุงกร แต่ลุงกรทำงานอยู่ชลบุรีกับป้าดามีลูกชื่อองุ่นมั้ง ไม่แน่ใจอ่ะ ผมไม่ค่อยสนิทกับลุงเท่าไหร่หรอก เจอกันครั้งสุดท้ายงานบวชแฟนน้ากิ่ง”

    “...” มาเป็นผังครอบครัวตะกูลแบล็กในแฮร์รี่ พูดจาเหมือนผมเป็นคนในครอบครัวถึงจะเข้าใจเนื้อเรื่องไปกับมัน 

     

    ไม่รู้ตั้งใจกวนตีนไหม

    แต่เอาเป็นว่าวันนี้ผมอยากจะเตะคนครั้งที่สองของวัน 


    ครั้งแรกคนที่เป็นอา ครั้งสองคนที่เป็นหลาน ปวดหัว

     

    “แต่ถามถึงลุงกรทำไมอ่ะ”

    “ฉันหมายถึงใครเป็นลุงของนาย เรียกฉันอายุเท่าอานาย” 

    “อ้าว ก็ไอ้เนบอก...” 

    “เกี่ยวอะไรกับเน” ผมขมวดคิ้วจ้องหน้าเด็กตรงหน้า 

    “ฮือออ อย่าจ้องผมงั้น กลัวแล้วคร้าบ อาไม้ก็อาไม้” เด็กตรงหน้ายกมือขึ้นพนมพรางส่งเสียงฮือ ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเรียกสติก่อนจะกลับเข้าประเด็น 

    “เอาหละ วันนี้ฉันเรียกมาเตือนก็จริง แต่ก็มีคำถามด้วย”

    “เอ๋?”

    “สนิทกับเนมานานหรือยัง”

    “ไอ้เน? อ๋อ ก็นานแล้วนะครับ ตั้งแต่ม.ก็หกปีแล้วนะ นานแหละ“ 

    “เล่าอะไรเกี่ยวกับเนที่นายรู้ให้ฉันฟังหน่อย”

    “ทำไมผมต้องเล่าเรื่องเพื่อนผมให้ลุงฟังด้วยอ่ะ”

    “เอาเป็นฉันไล่ไอ้เก่งออกแทนเล่าเรื่องก็ได้นะ ง่ายกว่าเยอะ” ผมยกยิ้มเป็นมิตรแต่เด็กตรงหน้าถึงกับกรี๊ดในคอพร้อมกับหดขาขึ้นกอด

    “ละ เล่าแล้วครับ คือ เอ่อ เริ่มไงอ่ะ มันเป็นผู้ชายที่น่ารักอ่ะ ในโรงเรียนมันนี่ฮอตมากเลย แต่ประเด็นคือโรงเรียนผมมันชายล้วนไง มันชอบโดนพวกรุ่นพี่ไม่ก็รุ่นเพื่อนแกล้ง เอ่อ แกล้งแบบไม่ใช่แกล้งแบบผู้ชายอ่ะ ผมพูดไม่ถูก แกล้งแบบบีบก้นพยายามจับนมเงี้ย ด้วยความที่มันไม่ใช่พวกโดนบีบแล้วหันไปต่อยอ่ะ มันโวยวายก็เลยยิ่งน่าแกล้ง พวกผมก็ช่วยกันได้ส่วนหนึ่งนะแต่มันก็ช่วยไม่ได้ตลอดอ่ะ” 

    “...” 


    เรื่องลวนลามที่เนเคยระบายออกมาสินะ

    พอจะรู้มาบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดี 


    “แต่มันก็เป็นเด็กดีนะถ้าเทียบกับผม มันพยายามทำตัวไม่ดีแต่เวลาทำก็กลัวว่ามันไม่ดี ผมพูดงงไหมอ่ะ”

    “ไม่งง พูดต่อ” ข้อนี้ก็พอจะรู้อยู่แล้วแม้จะรู้จักในเวลาสั้นๆ

    “อ้อ แล้วก็เนมันมีปัญหากับที่บ้าน” 

    “...” พอถึงตรงนี้ผมก็ขมวดคิ้วเบาๆ 

    “ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนะ มันก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องที่บ้านมัน แต่ก็รู้มาบ้างว่ามันมีปัญหากับพ่อ” ถึงตรงนี้ผมก็สะดุดนิดหนึ่ง

     

    ถ้าจำไม่ผิด

     

    เนไม่เคยพูดถึงพ่อออกมาเลย ขนาดตอนผมไปปลุกก็ยังนึกถึงแม่ขึ้นมาก่อน สิ่งที่หลานไอ้เก่งเล่าทำให้ผมพาลไปนึกถึงบทสนทนาระหว่างกับแนนเมื่อวันก่อน

     

     

    [....นั่นสินะคะ]

    “หืม?”

    [เด็กผู้ชายเนี่ย ให้ผู้ชายสอนคงเข้าใจได้มากกว่าผู้หญิงจริงๆ แหละ]

     


    ... ไม่คิดเลยว่ามันจะมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ในคำพูดเบาๆ นั่น



     

    “แล้วไงต่อ”

    “แล้วก็... อ้อ ไอ้เนมันรักพี่สาวมันมากเลย โคตรเกรงโคตรกลัว จะขู่อะไรมันเอาพี่สาวมาขู่มันยอมหมดทุกอย่าง แต่อย่าว่างั้นงี้นะ เนมันรักพี่สาวมันมากแต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่ามันเกลียดพี่สาวตัวเอง บอกไม่ถูกอ่ะ”

    “...”

    “แล้วก็-

     

    ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

     

    “ลุงงงงงงงงงงงงงง อย่าทำร้ายร่างกายเพื่อนเนนนนนนนนนนนน” ยังไม่ทันฟังหลานไอ้เก่งเล่าต่อ เสียงโวยวายก็ดังมาจากหน้าห้อง ก็ยังดีที่มีมารยาทเคาะห้องแต่ดันส่งเสียงโวยวายลั่นตึก ไอ้เด็กเวร 

    “... เน”

    “ลุงงงงงงง เนเปิดเข้าไปได้ไหมอ่ะะะะะะะ” ผมกุมขมับ ตะโกนถามขนาดนี้ ไอ้เด็กบ้า

    “ให้ผมเล่าต่อไหมอ่ะ หรือลุงจะถามมันเองเลย”

    “แค่นี้พอแล้ว แล้วไม่ต้องบอกเนด้วยว่าฉันถาม”

    “เคครับ”

    “แล้วอีกอย่าง”

    “...”

     

    ผมตบโต๊ะตรงหน้าก่อนจะก้มหน้าลงจ้องตากับหลานไอ้เก่ง 

     

    “อย่าเรียกลุง” 

     

    สิ้นคำขู่ผมก็มีอีกเสียงดังแทรกขึ้น

     

    “ลุงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” 

     

    ไม่ทันขาดคำ...

    ไอ้เด็กเวรนี่... 

     

    “เน...”

    “ลุงทำไรไอ้กันอ่ะ แค่ห้องน้ำไม่เห็นต้องหวงเลย ทีลุงปวดขี้แวะเข้าห้องน้ำปั๊มเจ้าของปั๊มก็ไม่เรียกไปด่าป่ะ” เออ เอาเข้าไป แล้วหลานไอ้เก่งจากที่นั่งหน้าซีดกลัวผมตอนนี้มันวิ่งไปหลบหลังไอ้เนแล้ว 

    “ฉันไม่ได้ทำอะไร”

    “เชื่อได้ป่ะเนี่ย” 

    “เน” ผมเรียกสั้นๆ ปากยื่นๆ นั่นก็หุบลง 

    “เชื่อแล้วเชื่อแล้ว อย่ามองดุดิ” มีขยับปากบ่นงุบงิบในลำคอต่อก่อนจะหันหลังไปหาเพื่อน “แล้วมึงอ่ะกัน รีบออกมาไม่บอกกูเลยนะ ปล่อยกูยืนรออยู่หน้าโรงเรียนตั้งนาน”

    “โถไอ้เวร สภาพกูดูเหมือนคนเต็มใจมาเรอะ” 

    “แล้วคุยไรกันอ่ะ ไม่ไปเปิดประตูให้กูด้วย”

    “ถามลุง...” มันชี้นิ้วมาที่ผมแต่พอเห็นมองก็รีบหุบนิ้วกลับไปก่อนจะอ้อมแอ้มแก้คำพูด “กูหมายถึงถามอาไม้ของมึง นู่น” 

    “ลุง” เนหันหน้ามาถามผมผ่านสายตา

    “เห้อ ไม่มีอะไร ฉันแค่เตือนเรื่องโดดเรียนเฉยๆ ใช่ไหมกัน” หลานไอ้เก่งมองหน้าผมก่อนจะรีบพยักหน้ารัวๆ 

    “จริงหรอ ทำไมเนรู้สึกมันมากกว่านั้น”

    “นี่เรียบร้อยแล้วใช่ไหม เดี๋ยวจะได้ไปหาอะไรกิน” ผมเปลี่ยนเรื่องและก็ทำสำเร็จ เพราะแค่พูดถึงเรื่องอาหาร เนก็ย้ายระบบความคิดไปเป็นเรื่องเมนูอาหารแทนทันที ผมสบตากับกันเพียงไม่กี่วิ เจ้าตัวก็เป็นงานรีบไหว้ผมก่อนจะขอตัววิ่งออกไปทันที ส่วนเนที่ตอนแรกสงสัยนักหนาก็แค่หันไปบ้ายบายเพื่อนแล้วกลับมาเสนอเมนูกับผมต่อ

    “เอ็มเคไหมอ่ะเอ็มเค อยากกินเป็ด” 

    “วันนี้มีการบ้านไหม”

    “มีคณิตกับเคมี แต่หรือกินชาบูชิดีลุงว่า อยากกินอะไรต้มๆ อ่ะ”

    “สอบสปีคกิ้งอังกฤษเป็นไง”

    “อาจารย์บอกเวรี่กู้ด เนตกลงเอ็มเค เอ็มเคแล้วกันจบๆ “ คิดเอง ตกลงเอง จบเอง โคตรจะเน 

     

    ส่วนผมก็โคตรจะลุงแก่ๆ ที่เสือกยิ้มให้กับท่าทางเด๋อๆ ของเด็กตรงหน้า 

    ... เหนื่อยใจกับตัวเองพอๆ กับเหนื่อยใจกับเนเลย ให้ตายเถอะ

     

    ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเก็บเอกสารและของที่จำเป็นเข้ากระเป๋า ส่วนเนที่นั่งแกว่งขาเล่นโทรศัพท์รอก็ดูจะพร้อมอยู่แล้ว จากที่ทำงานผมไปห้างชื่อดังแม้จะไม่ได้ไกลกันมากแต่ด้วยความเป็นเวลาเลิกงานก็ทำให้ต้องใช้เวลาบนถนนอยู่เกือบชั่วโมงบวกกับวนหาที่จอดรถอีก หน้าของเด็กแสบถึงยู่ยี่คิ้วแทบติดกัน

     

    “กรุงเทพชีวิตดีๆ ที่ลงตัวมาก ลงตัวสุดๆ หิวจะตาย” เนบ่นพร้อมกับเดินนำผมเข้าห้าง 

    “เสื้อหลุดจากกางเกงหมดแล้ว” 

    “เลิกเรียนแล้วไม่เป็นไรหรอกกก”

    “ใส่ดีๆ ” ยู่หน้าเป็นคำตอบแต่ก็ยอมยกมือจกชายเสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยของตัวเองเข้ากางเกง ถึงจะสั่งให้อีกคนเก็บเสื้อดีๆ แต่ผมดันเป็นฝ่ายยกมือขึ้นปลดกระดุมเม็ดบนพร้อมกับพับแขนเสื้อเชิร์ตขึ้น 

    “เอ็มเคนะลุง”

    “อืม เดินนำไปเลย”

      

    เนฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเดินนำทางไปที่ร้าน พอไปถึงก็ยกมือขึ้นชูสองนิ้วว่ามาสองคน พนักงานสาวยิ้มต้อนรับก่อนจะพาเดินนำไปที่โต๊ะ ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติจนกระทั่งเมื่อผมสอดตัวลงนั่งแล้วเงยหน้ามองเนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

     

    แขนเล็กนั่นค้นของในกระเป๋าก่อนจะเอาของในมือออกมากางพร้อมกับยกขึ้นสวม

     

    เน...

     

    ใส่หมวกคลุมอาบน้ำ....

     

    “เน...”

    “หือ?”

    “ใส่หมวกทำไม” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไอ้เด็กบ้าตรงหน้าผมใส่หมวกคลุมอาบน้ำรูปเป็ดเหลืองกลางเอ็มเค 

    “ก็เนเพิ่งสระผมเมื่อวาน เดี๋ยวหัวเหม็น พี่แนนทำทุกครั้งที่ไปกินปิ้งย่างเลย” ตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับเปิดเมนูอ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมหันไปสบตากับพนักงานสาวที่ส่งยิ้มเบาๆ ตอบกลับมาเหมือนไม่แปลกใจ

     

    ทำไมไม่แปลกใจ เด็กสมัยนี้ทำแบบนี้กันเยอะหรอ มันแปลกมากนะสำหรับผม

    หัวเหม็นก็สระสิ 

    โอเค ผู้หญิงยังเข้าใจเพราะผมยาว แต่เนเนี่ยผมทรงผู้ชายปกติไม่กี่นาทีก็แห้งแล้วยังต้องขี้เกียจสระอีกหรอวะ  

     

    คำถามมีเป็นสิบในหัวแต่เลือกไม่ถามแล้วพยายามเข้าใจกับสิ่งที่เด็กตรงหน้าทำ

    ... มันคงจะเป็นช่องว่างระหว่างวัยที่ผมเข้าไม่ถึง

     

     

    เนเป็นเด็กกินเก่งมากตามภาษาเด็กผู้ชาย แต่หุ่นก็ยังดูเก้งก้างจนไม่รู้ว่าสารอาหารมันละลายไปอยู่ที่ไหน แล้วดูท่าทางจะชอบกินเป็ดจริงๆ เพราะพอพนักงานมาเสิร์พตากลมก็เบิกกว้างร้องหูหาทันที 

     

    “ลุงเชื่อป่ะ เนชอบกินหนังเป็ดมาก” เนพูดพร้อมกับเคี้ยวเป็ดเต็มปาก

    “อืมเชื่อ” มีเหตุผลอะไรต้องไม่เชื่อ ลอกหนังเข้าปากตัวเองเกือบทุกชิ้น

    “แต่ปกติไปกินกับที่บ้าน แม่ชอบแกะหนังให้พี่แนน ทั้งที่เนก็ชอบกินอ่ะ พอแย่งพี่แนนก็โวยวาย เนก็โดนดุ เซ็ง” ปากบ่นไปก็เคี้ยวตุ้ยๆ ไป ดวงตากลมฉายแววน้อยใจเล็กน้อยแต่สักพักก็กลับมาสดใสกับของที่มาเสิร์พต่อ 

    “ตอนที่สีน้ำเกิดฉันเนี่ยหมาหัวเน่าเลย อยากกินอะไรก็ต้องให้น้องก่อน” ผมยิ้มให้กับอดีต หมาหัวเน่าขนาดที่สีน้ำทำฟิกเกอร์จูเร็นเจอร์ของสะสมลูกรักของผมหักแม่ก็ยังเข้าข้างน้องว่าน้องยังเด็ก ตอนนั้นหนะโกรธมากนะครับ เสียใจมาก แต่พอโตมานึกย้อนไปก็ตลกดี

    “เนก็เป็นน้อง ทำไมเนไม่เห็นได้อะไรบ้าง”

    “ได้สิ ได้หมูนุ่ม” ผมคีบหมูนุ่มที่เพิ่งลวกเสร็จใส่จานเด็กตรงหน้า เนยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะคีบหมูเข้าปาก 

    “ลุงรักพี่สีน้ำไหมอ่ะ”

    “รักสิ น้องสาวทั้งคนนะ เห็นงี้ฉันเป็นพี่ชายที่หวงน้องมากนะ” 

    “สมควรหวงอ่ะ พี่สีน้ำสวย” 

     

    ผมหัวเราะเบาๆ มักจะมีคนมาบอกเสมอว่าผมหวงน้องสาวเพราะสีน้ำเป็นคนสวย แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าสีน้ำจะสวยหรือไม่สวยผมก็หวงหมดนั่นแหละ ก็ช่วยแม่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ใครจะมายุ่งก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ 

     

    “ทำไมถามถึงครอบครัว คิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วรึไง” 

    “เปล่านะ”

    “อยู่เดือนนึงเดี๋ยวเธอก็คิดถึงเอง” 

    “ลุงออกมาอยู่คนเดียวก็คิดถึงครอบครัวหรอ” เนขมวดคิ้ว มือที่คีบเป็ดหยุดชะงัก ตากลมเงยขึ้นจากของกินมาจ้องหน้าผม

    “คิดถึงสิ ถึงฉันจะดูอายุเยอะในสายตาเธอแต่ยังไงบ้านเป็นคอมฟอร์ตโซนสำหรับฉันอยู่ดี”

     

    หลายคนเคยบอกผมว่าเรายิ่งอายุเยอะขึ้นเรายิ่งห่างกับครอบครัว ทั้งหมดนั่นใช้ไม่ได้สำหรับผม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ถ้ามีเวลาว่าง วันหยุดเสาร์อาทิตย์ไม่ติดงานผมก็ขับรถกลับไปอยู่ที่บ้านแทนคอนโดเสมอ 

    ในวันที่เหนื่อยมาทั้งวันคงไม่มีอะไรดีไปกว่ากลับบ้านไปกินข้าวฝีมือแม่ ฟังพ่อเล่าเรื่องธุรกิจแม้จะเล่าซ้ำมาหลายสิบครั้งและคอยเป็นผู้ฟังที่ดีให้น้องสาวมาระบายเรื่องผู้ชายที่ฟังแล้วก็ได้แต่ปวดใจ จากน้องสาวใสๆ ในวันนั้นสู่สาวน้อยที่เปลี่ยนแฟนเก่งเป็นว่าเล่น... แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหวงน้องอยู่ดี

     

    “บ้านเป็นคอมฟอร์ตโซนสำหรับลุงหรอ”

    “ใช่”

    “บ้านก็เป็นคอมฟอร์ตโซนสำหรับเนนะ”

    “...”

    “แต่ถ้าหมายถึงครอบครัวอ่ะ ไม่ใช่” 

    “หมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้วกับคำตอบของเด็กตรงหน้า 

    “ง่ะ ก็ห้องนอนเนอ่ะเป็นคอมฟอร์ตโซนของเน อยู่แล้วสบายใจมาก บางวันเนไม่อยากจะออกจากห้องนอนเลย”

    “...”

    “แต่ถ้าหมายถึงครอบครัวอ่ะ”

    “...”

    “พวกเขาไม่ได้รวมอยู่ในนั้น” 

     

    เนพูดปกติเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรมากนัก ผมนิ่งไปเล็กน้อยกับคำตอบ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรกลับไป เพียงแค่คีบหนังเป็ดที่เหลืออยู่ใส่จานของเด็กตรงหน้า

     

     

    เหมือนเด็กมีปัญหาตรงหน้า



    จะมีปัญหาที่ใหญ่กว่าที่ผมคิด... 







    .. つづく







    นิยายรายเดือนสุดๆ 55555555555555555555555



    และนี่ก็คือก้อนน้องเนเวลาอยู่บนเตียงแล้วหยิบคอมลุงมาเล่นฮาร์เวสมูน





    และนี่คือลุงตอนออกไปดื่มกับเพื่อนเก่ง 




    ไม่ค่อยลงรูปเห็นหน้านะคะ เพราะอยากให้ไปจินตนาการกันเอง กลัวลงแล้วไม่ตรงจินตนาการคนอ่านแล้วจะผิดหวังกัน

    แต่หุ่นประมาณนี้แหละค่ะ เป็นก้อนดื้อๆ ก้อนชอบกินหนังเป็ดกับคุณลุงที่เริ่มลุงขึ้นเรื่อยๆ 555555555555555555555

    เหมือนจะเป็นนิยายเรื่องแรกของเราที่มุกน้อยที่สุดแล้วค่ะ หวังว่าจะยังชอบกันนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×