ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เส้นทางสายใหม่
        นิวาตยังคงยืนนิ่งอยู่ ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น
        “เสียใจสินะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้ตามไปแล้ว” นาคพุ่งไปหาเหยี่ออย่างรวดเร็ว
        “พลั่กกกกกกก” หุ่นดินของอาจารย์อุชุพุ่งมาอัดนาคเต็มแรง “พวกเจ้าเป็นอะไรไหม”
        “ผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่วิจักษณ์ ตาย แล้ว” นิวาตตอบเสียงสิ้นหวัง
        “แกอีกแล้วรึ คราวนี้แกได้ตายแน่” นาคพูดอย่างเคียดแค้น
        “ฟูมมมมมมม” มันรีบโจมตีด้วยการพ่นไฟไปหาหุ่น โดยไม่ทันให้ตั้งตัว
        “ฟื้บบบบ” หุ่นสวนหมัดกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
        “ซ่า...........” หุ่นของอาจารย์อุชุสลายไปทันที
        “โง่จริง ๆ เลย ไฟของข้ามันร้อนมากเชียวนะ”
        “ถึงหุ่นข้าจะพังแต่ข้ายังไม่ตายนะ” อาจารย์อุชุตะโกนลั่นมาแต่ไกล “พวกเจ้าหนีไปซะ ข้าจะจัดการมันเอง”
        “ไม่ ผมจะอยู่  ช่วย อาจารย์ เอง”
        “ไปเถอะค่ะ”วิลาสินีพยายามเรียกนิวาต แต่นิวาตก็ยังคงไม่สนใจ
        “เปรี้ยงงงงงง” วิลาสินีหายไปในพริบตา
        “ม่ายยยยยยยยยย”
        “ไปซะนิวาต” มีลำแสงสีฟ้าพุ่งมาทางตัวเขา แล้วมันก็มืดไปหมด
        “พอเขารู้สึกตัวอีกที ที่ที่เขาอยู่ก็อยู่ก็กลายเป็นห้องโถง ไม่มีใครอยู่เลย มันเงียบสงบมาก”
        ขาเขาเริ่มขยับแล้ววิ่งไปที่วงกลมเวทมนตร์ขนาดใหญ่อันนั้น ปัญหาทั้งหมดที่เขามีอยู่ในสมองตอนนี้ต้องกระจ่างให้หมดภายในวันนี้
        คราวนี้บรรยากาศไม่มืดเหมือนแต่ก่อน แต่มีชายหกคนยืนรอเขาอยู่แล้ว
        “เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของผม ทำไมอาจารย์ถึงปล่อยผมให้อยู่อันตรายอย่างนี้” นิวาตถามเสียงเย็น
        “อ้าวอาจารย์แกล้งพวกเจ้าอีกแล้วหรือ”
        “แกล้ง แกล้งเหรอ” นิวาตขมวดคิ้ว
        “นาค คือ เพื่อนสนิทของตระกูลเราเองล่ะ มันประจำอยู่ในทุ่งลับแล และคอยช่วยเหลือตระกูลเรามาตลอด สงสัยอุชุ
จะตกลงกับมันเพื่อเล่นละครแกล้วพวกเจ้ามั้ง”
        “แล้วตอนนี้เพื่อนผมอยู่ไหนครับ”
        “นั่นไง” ทั้งหกชี้ไปที่มุมมืดแห่งหนึ่ง แล้วก็มีวิจักษณ์กับวิลาสินีโผล่ขึ้นมา
        “วิจักษณ์ วิลาสินี เอ๊ะ! โกหกน่า ไม่น่าเป็นไปได้”
        “สวัสดีนิวาต ฉันยังไม่ตายหรอก แค่ถูกวาร์ปมาเฉย ๆ” วิจักษณ์อธิบาย
        “ฉันก็เหมือนกันค่ะ” วิลาสินีกล่าว
        “นี่เป็นแค่ละครน่ะ”
        “ทำเอาผมตกใจหมด”
        “อ้าว อาจารย์พวกเจ้ามาตามแล้ว เอาล่ะ สงสัยอะไรก็ไม่ถามเอาเองละกัน” รอบ ๆ มืดอีกครั้ง แล้วทั้งสามก็กลับมาที่ห้องโถง
        “เป็นยังไงบ้างล่ะ” อาจารย์อุชุทัก เขายิ้มแย้มผิดจากตอนที่นิวาตเห็นคราวที่แล้ว
        “อาจารย์ไม่โกรธผมหรือ” นิวาตถาม
        “โกรธเรื่องอะไรล่ะ” อาจารย์อุชุทำท่าแปลก ๆ ราวกับไม่รู้เรื่อง
        “คราวที่แล้วอาจารย์ยังโกรธเลยนะครับ”
        “ไม่รู้เรื่อง ช่างมันเถอะ” อาจารย์ดูจะปิดความลับไว้อยู่
        “มีอะไรหรือนิวาต” วิจักษณ์สะกิดถาม
        “ เอ้อ ไม่มีอะไรหรอก” นิวาตตอบปัด ๆ
        “เข้าเรื่องกันดีกว่า คือพวกเจ้าเรียนจบแล้ว”
        “อะไรนะครับ/ค่ะ” ทั้งสามอุทาน
        “ก็คือพวกเจ้าเรียนจบภาคทฤษฎีแล้วล่ะ แต่ภาคปฏิบัติจริงพวกเจ้ายังไม่ได้เริ่มเรียนด้วยซ้ำ”
        “แล้วที่เราฝึกใช้เวทมนตร์ไปนั่นคืออะไรหรือครับ”
        “ภาคทฤษฎีน่ะ ภาคปฏิบัติจริง ๆ คือการนำไปใช้ต่างหากล่ะ”
        “แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรบ้างล่ะครับ”
        “ข้าจะให้พวกเจ้าไปทดสอบที่สมาคมนักเวทมนตร์ เพราะที่นั่นจะเป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่เฉลี่ยความสามารถของตัวพวกเจ้าไว้ให้แล้ว และมีแนวทางรองรับพวกเจ้าได้ทั้งหมด การทดสอบของเขาจะมีเป็นขั้น ๆ ไป เอาล่ะพรุ่งนี้เตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”
        “อาจารย์ครับ”
        “ปึง” อาจารย์อุชุรีบหนีเข้าห้องก่อนที่จะเจอคำถามมากกว่านี้
        เช้าวันต่อมาผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว การสนทนาเริ่มขึ้นในห้องโถงอีกครั้ง
        “อ้าวตื่นกันเร็วจังนะวันนี้” อาจารย์อุชุทักอย่างร่าเริง
        “แหงอยู่แล้ว ก็อยู่ดี ๆ อาจารย์ก็ไล่พวกเราออกไปง่าย ๆ” วิจักษณ์ดูจะเคือง ๆ อยู่
        “นี่แหละชีวิตจริงที่พวกเจ้าต้องเจอ เช้านี้ข้าเลี้ยงอาหารเต็มที่เลยนะ ถือว่าเป็นมื้อจากลาละกัน”
        ทั้งสามเดินเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อหาสมาคมนักเวทมนตร์อยู่
        “นั่นไงล่ะจุดมุ่งหมายของเรา” วิจักษณ์ชี้ไปยังตัวสมาคมเวทมนตร์
        “อ่านป้ายประกาศก่อนดีกว่าค่ะ” วิลาสินีแนะนำ
        [I]ประกาศสำหรับผู้ที่ต้องการจะมาทดสอบเป็นนักเวทมนตร์ระดับ1 ขอให้ท่านมาลงทะเบียนในที่นี้ก่อน การทดสอบของเราจะเริ่มต้นตอนเวลา 12.00น. ในวันนี้ ทางเราจะจัดหนังสือกติกาไว้ให้[/I]
        “เออ ๆ ถ้างั้นเราก็รีบ ๆ ไปลงทะเบียนกันก่อนเหอะ”
        “เหวออออออ” มีเสียงคนร้องดังมาจากด้านหลัง
        “เกิดอะไรขึ้น” นิวาตรีบหันไปถามก็เห็นเด็กผู้ชาย ดูท่าทางจะอ่อนกว่าเขาประมาณสามปี เป็นเด็กชายผมสั้น หน้าตาดูไร้เดียงสา ใส่เสื้อรูปสัตว์
        “แฮ่ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ตกใจกับกฎนิดหน่อยน่ะครับ” เด็กคนนั้นตอบ
        “นายก็ทำงี่เง่าไปได้” หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูด เธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนิวาต เธอมีแววตาที่เย็น
ชามาก แต่งตัวเหมือนผู้ชาย และผมที่ยาวเกือบถึงเอวก็ทำให้เธอดูลึกลับทีเดียว
        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อกริช” เขารีบวิ่งมาทำความรู้จักกับวิจักษณ์ทันที
        “ยินดีที่ได้รู้จักส่วนนี่ก็เพื่อนฉันเอง นี่นิวาต นี่ก็วิลาสินี”
        “พี่ฮะทำความรู้จักกับพวกเขาหน่อยสิฮะ” กริชรบเร้าหญิงที่ยืนอยู่ข้าง
        “สวัสดีฉันชื่อวิลาสินีถ้าไม่มีอะไร เดี๋ยวพวกเราขอตัวก่อนนะ”
        “เป็นหญิงที่ดูประหลาดดีนะ”
        “เขาจะเรียกก็อีกครึ่งชั่วโมง เราไปเตรียมตัวกันก่อนเถอะ
        ทั้งสามออกมาเดินเล่นรับลมกันข้างนอก ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาลงทะเบียนในสมาคมมาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริเวณนี้มีเสียงดังไปหมด
        “อืมรายละเอียดการสอบมีอะไรบ้างหว่า” วิจักษณ์เปิดอ่านหนังสือกฎ กติกา ดูพร้อมพึมพำไปด้วย “อ้อ เราต้องออกเดินทางไปที่เมืองวรณะที่อยู่ข้าง ๆ เมืองเชียรนี้ โดยเราต้องผ่านการทดสอบของกรรมการคุมสอบตามจุดต่าง ๆ แล้วกลับมาให้ทันเวลา”
        “ไม่น่าจะยากนะ” นิวาตคิด
                   
                                “ประกาศผู้เข้าสอบทุกท่าน บัดนี้ถึงเวลาที่จะทำการสอบแล้ว ขอให้ทุกท่านมารวมกันที่สมาคมภายในสิบนาที ใครไม่มาจะถือว่าสละสิทธิ์
       
                                ผู้คนจำนวนมากต่างพากันเดินเข้าไปในสมาคม มีเสียงคุยกันดังระงมไปทั่วห้องของสมาคม
        “สวัสดีผู้เข้าสอบทุกท่าน” เสียงหนึ่งดังมาจากเวที และก็ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนเงียบสงบลง “ผมจะอธิบายการสอบให้ฟัง พวกคุณจะต้องจับกลุ่มกันกลุ่มละห้าคน แล้วเราจะให้แผนที่พวกคุณเพื่อให้ไปตามหากรรมการคุมสอบของเราตามจุดต่าง ๆ ให้ครบ โดยเมื่อคุณผ่านการทดสอบของกรรมการที่จุดนั้นแล้ว ก็จะได้บัตรผ่านมาหนึ่งใบ เพื่อไปเสนอให้กรรมการในจุดต่อไป และเมื่อคุณได้ครบแล้วก็ให้กลับมาที่เมืองก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ เราจะให้เวลาพวกคุณตั้งแต่ตอนนี้ถึงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” กรรมการเริ่มร่ายมนต์เล็กน้อย มีลูกไฟพุ่งไปที่ทุกคน ก่อนที่มันจะปรากฏเป็นแผนที่ให้กับทุกคน
        “เฮ้!!!!!!” เสียงผู้คนต่างร้องกันกึกก้อง แล้วพวกเขาก็รีบแยกกันออกจากสมาคม
        “งั้นพวกเราก็ตามไปบ้างสิ เอ้อ เอาใครอีกสองคนดีล่ะ” วิจักษณ์ครุ่นคิด
        “ผมก็ได้ฮะ” กริชรีบมาเสนอหน้าทันที ที่ได้ยินเสียง “ถ้ารวมพี่ผมด้วยแล้วก็จะครบพอดี”
        “งั้นเรารีบ ๆ ไปกันเถอะ” ตอนนี้ผู้คนออกไปจากสมาคมเกือบจะหมดแล้ว มีกลุ่มของนิวาตเท่านั้นที่ยังยืนคุยกันอยู่ “เร็วสิ เดี๋ยวเราจะไม่ทันพวกเขานะ”
        “เร่งจริง ๆ  ถ้าเขาให้กลับมาที่เมืองนี้อีก ฉันมีความคิดว่าเราน่าจะสร้างวงกลมเวทมนตร์ไว้ที่นี่ก่อนนะ เวลากลับจะได้ไว ๆ”นิวาตเสนอความคิด
        “ก็ดี งั้นเรารวมกันสร้างวงกลมเวทมนตร์กันก่อน”
        หลังจากที่ทั้งสามสร้างเสร็จแล้ว บริเวณนั้นไม่มีคนเหลือแล้ว คงเหลือแต่กลุ่มของนิวาตที่ยังไม่ไปถึงไหน
        “เอาเถอะ เสร็จแล้วก็รีบเดินทางได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา”
        “ตามที่แผนที่บอกไว้ เขาให้เราไปทางทิศใต้ แล้วข้ามภูเขาหนึ่งลูกจะเจอกรรมการจุดแรกที่นั่นค่ะ” พอวิลาสินีพูดจบเธอก็เริ่มร่ายมนต์ “ขอความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติจงทำให้เรามีความคล่องตัว เร่งความเร็ว”
        มีแสงสีขาวออกมาจากตัวเธอ และมันก็ผ่านเข้าไปในร่างกายของทั้งห้า
        “ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้นฮะ”
        พวกเขาวิ่งออกจากเมืองด้วยเวลาอันสั้น เพราะฤทธิ์ของเวทมนตร์ที่วิลาสินีร่ายให้ ทั้งห้าวิ่งเข้าไปในป่า และแซงพวกกลุ่มท้าย ๆ ไปได้หลายกลุ่ม ทำให้ไม่นานก็เจอภูเขาตามที่แผนที่เขียนไว้
        วิลาสินีไม่รอช้าเธอรีบร่ายเวทมนตร์บทต่อไปทันที “กระโดด” มีขนนกปลิวว่อนออกจากตัวเธอ แล้วมันก็พุ่งเข้าไปหาทุก ๆ คนในกลุ่ม ซึ่งมันช่วยทำให้กระโดดได้สูงขึ้น ทั้งห้าใช้โอกาสนี้รีบกระโดด ไปตามตัวเขา ไม่นานนักก็ถึงบทยอดเขาได้อย่างไม่ยากเย็น
        “เพิ่มพลัง” วิลาสินีร่ายมนต์ให้กับทุกคนอีกครั้ง มีไอสีขาวลอยเข้าไปซึมในทุก ๆ คนทำให้ทุกคนมีแรงมากขึ้น
        ด้านบนพอนี้มีกลุ่มคนอยู่สี่ห้ากลุ่มกำลังนั่งพักอยู่ แต่ดรุณีไม่ยอมให้พักเพราะกลัวว่าจะไม่ทันทำให้วิลาสินีต้องร่ายมนต์กระโดดให้ทุกคนเพื่อลงจากเขา
        “ไม่ต้องกลัวนะ กระโดดลงไปเลย เดี๋ยวผมจะลดความเร็วให้” นิวาตบอกทุก ๆ คน แล้วกระโดดลงจากภูเขาเป็นคนแรก
        ทั้งห้าพุ่งตัวลงไปสู่ข้างล่างด้วยความเร็วสูง ความเร็วยิ่งเพิ่มเท่าไหร่ พวกเขาก็ใกล้พื้นดินเท่านั้น
        “เหวอออออออ” กริชร้อง
        “ไม่ต้องกลัว กำแพงอากาศหกชั้น” นิวาตร่ายมนต์บ้าง ทำให้ทั้งห้ารู้สึกเหมือนผ่านอะไรของเหลวเป็นชั้น ๆ แล้วความเร็วก็ลดลง ทำให้ลงสู่พื้นดินอย่างสวัสดิภาพ
        “อ้าว สวัสดีครับคุณกรรมการ” กริชสวัสดีต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ทำให้ทุกคนงงกับการกระทำของเขา
        “เก่งมากที่รู้ที่ซ่อนข้าโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์” มีกรรมการคุมสอบโผล่มาจากต้นไม้ ซึ่งทั้งสี่ไม่รู้เลย แต่กริชกับมองเห็นคนเดียว พอกรรมการโผล่ออกมาก็ถึงกับอึ้งในความสามารถอันผิดมนุษย์นี้
        “เอาล่ะ พวกเจ้าผ่านแล้ว” บัตรผ่านก็ปรากฏด้านหน้าของทุกคน แล้วทั้งห้าก็เดินทางต่อไปด้วยความเร็วสูงเช่นเคย จนมาถึงที่ป่าทึบแห่งหนึ่ง
        “มีที่ทึบแบบนี้ด้วยเหรอ” วิจักษณ์สงสัย “แสงสว่าง” มีลูกไฟโผล่ขึ้นบนหัววิจักษณ์ ซึ่งก็พอทำให้มองเห็นรอบข้างได้
        “เงียบ ๆ หน่อยฮะ ผมว่าผมได้ยินอะไรกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้ มีสองตัวด้วย”
        “ไม่เห็นได้ยินเลย” วิจักษณ์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
        “แฮ่ ฮ่า” มีสัตว์สองตัวกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ มันดูเหมือนตัวเม่นผสมกับตุ่น ลำตัวท่อนบนเป็นสีเขียวกลมกลืนกับพุ่มไม้ ตัวมันสูงประมาณหนึ่งเมตร
        มันไม่รอช้ารีบกระโจนเข้ามาหมายจะตะครุบเหยื่อ
        “กำแพงลม” นิวาตรีบร่ายมนต์เพื่อป้องกันเพื่อน ๆ พอสัตว์สองตัวนั้นมันโดนกำแพงลมของนิวาต มันก็กระเด็นไปสอง
เมตร
        “จังหวะนี้แหละ” วิจักษณ์พูด “ลูกพลั..”
        ดรุณียื่นมือมาบังวิจักษณ์ไว้
        “จะทำอะไรน่ะ” วิจักษณ์โมโหเล็กน้อย
        “ฉันจัดการเองได้ อย่าทำให้สัตว์ผู้ไร้เดียงสาต้องบาดเจ็บเลย” ดรุณีเริ่มร่ายเวทมนตร์ “จงหยุด สะกด” เสียงที่เธอเปล่งออกมาฟังแล้วดูมีอำนาจมาก ขนาดทั้งสี่ยังต้องสะดุ้ง มีแสงสีม่วงพุ่งออกไปจากมือเธอ แล้วกระจายเข้าไปในสัตว์ทั้งสอง ซึ่งทำให้มันแข็งขยับเขยื้อนไม่ได้เลยทีเดียว”
        “พี่ฮะ เดี๋ยวผมจัดการเอง จิตใจอันอ่อนโยนที่มีในสัตว์ทั้งหลาย จงตื่นขึ้นเพื่อขจัดความโกรธแค้นในตัวเอง จงสงบเถิด เชื่อง” เสียงของกริชฟังแล้วดูอ่อนโยนมาก เหมือนกับมีเมตตาออกมาพร้อม ๆกับคำพูดด้วย มีแสงสีเหลืองพุ่งไปที่สัตว์ทั้งสองนั้น มันดูจะสงบลง แล้วเดินเข้ามาหากริชช้า ๆ กริชลูบหัวทั้งสองตัวอย่างเอ็นดู
        “แปะ แปะ แปะ” มีเสียงปรบมือดังมา พอหันไปมองก็เห็นกรรมการคุมสอบยืนอยู่ “เป็นกลุ่มแรกที่ทำให้ตัวหมุ่น (เม่น+ตุ่น) เชื่องได้ พวกเจ้าผ่านการทดสอบแล้วล่ะ นี่บัตรผ่าน บัตรปรากฏต่อหน้าทุกคนตามเคย พวกเขาเก็บไปแล้วเดินทางต่อ
        ไม่นานนักทั้งห้าก็มาถึงหน้าเมืองวรณะ เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งกำแพง เพราะมีกำแพงขนาดยักษ์ล้อมรอบตัวเมืองไว้ ส่วนภายในเมืองแผนผังภายในก็ไม่ต่างจากเมืองเชียรมากนัก
        “กรรมการอยู่ไหนเนี่ย” วิจักษณ์เริ่มพูดบ่นตามประสา
        “อยู่ทางทิศตะวันตกน่ะค่ะ รีบไปเถอะค่ะ” ทั้งห้ารีบเดินไปทางทิศตะวันตก ก็พบกับกรรมการคุมสอบยืนรออยู่แล้ว
        “ด่านนี้ไม่มีบัตรแจกให้พวกเจ้าหรอก เพียงแต่พวกเจ้าต้องไปหาสมุนไพร เขียวมังกร กลุ่มละหนึ่งต้น แล้วนำไปส่งที่สมาคมให้ทันเวลา รีบไปเถอะ ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
        “แล้วเราจะไปหาที่ไหนดีเนี่ย” วิจักษณ์พึมพำไปตามเรื่อง ทั้งห้าเดินออกไปจากเมืองวรณะแล้วเริ่มปรึกษากัน
        “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงฮะ เดี๋วยผมให้เพื่อนผมช่วยหาก็ได้ฮะ” กริชล้วงเอานกหวีดออกมา แล้วเป่าเป็นจังหวะเพลงของเขา ฟังแล้วเหมือนนกร้องมาก
        มีนกกระจอกตัวสีขาวบินมาเกาะมือกริชอย่างนิ่มนวล “นี่เป็นเพื่อนของผมเองฮะ ผมตั้งชื่อให้มันว่ากาด”
        “สวัสดีครับทุก ๆ คน” กาดทำท่าอ่อนน้อม (สัตว์ในโลกนี้สามารถพูดได้ทุกตัว) “มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ กริช”
        “ช่วยหาสมุนไพรเขียวมังกรให้พวกเราทีสิ ได้หรือเปล่า คือพวกเราต้องใช้ในการสอบน่ะ ช่วยหน่อยนะ”
        “เขียวมังกรหรือครับ ไม่ยากเลยครับ เดี๋ยวผมจะไปเอามาให้รอผมหน่อยละกันครับ” กาดบินออกจากมือกริช แล้วมุ่งตรงไปในป่า
        “รอหน่อยละกันฮะ ตอนนี้ว่าง ๆ จะทำอะไรก็ทำไปฮะ”
        “งั้นเราสร้างวงกลมเวทมนตร์เตรียมตัวกลับดีกว่า” ดรุณีเสนอ
        “ก็ดี เราจะได้ไม่เสียเวลา” ทุกคนยอมรับข้อเสนอนี้ แล้วก็เริ่มช่วยกันสร้างวงกลมเวทมนตร์เพื่อไปเชื่อต่อกับวงกลมเวทมนตร์อันเก่าที่อยู่ที่เมืองเชียร
        “อ้าวมาแล้วมาแล้ว” กริชมารอรับสมุนไพรจากจากกาด กาดอ้าปากเพื่อปล่อยสมุนไพรทั้งสามต้นให้กริช
        “เฟี้ยวววววว” มีอะไรบางอย่างพุ่งตัดหน้ากริช และกาด แล้วมันก็หมุนอ้อมกลับไปที่ในเมือง รู้ตัวอีกทีกริชก็เห็นเขียวมังกรเหลือเพียงต้นเดียว
        “ใครน่ะ” วิจักษณ์ตะโกนลั่นอย่างโมโห
        “ได้มาตั้งสองต้น ก็ดี” เสียงนั้นดังมาจากตัวเมือง มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาถือมีดไว้ทั้งสองมือ มีสมุนไพรเขียวมังกรสองต้นติดอยู่ในคมมีด บ่งบอกได้ว่าคนนี้ขโมยไปแน่นอน
        “เอาคืนมานะ” วิจักษณ์เปล่งเสียงดังลั่น พร้อมแววตาที่โกรธเต็มที
        “ไม่ ของฟรีไม่เอาก็โง่สิ” ชายผู้นั้นยั่ววิจักษณ์เต็มที่
        “แก บังอาจพูดกับฉันอย่างนี้หรือ” วิจักษณ์กำมือแน่น มีรัศมีสีแดงออกมารอบ ๆ มือของเขาแล้ว วิจักษณ์ที่ปกติอารมณ์ดี ตอนนี้กลับอารมณ์ร้ายแบบไม่น่าเชื่อ “ลูกพลังงงงงงง”
        ลูกพลังสีแดงก้อนขนาดเมตรกว่า ๆ พุ่งไปหาที่ชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
        “แค่นี้มันกระจอกจริง ๆ” ชายผู้นั้นยกมีดขึ้นแล้วสะบัดใส่ลูกพลังของวิจักษณ์อย่างรวดเร็ว ลูกพลังของวิจักษณ์หายไปในพริบตา “อ๊ะ เป็นไปไม่ได้น่า” ชายคนนั้นดูจะตกใจกับความสามารถของวิจักษณ์ เพราะมันทำให้แขนเสื้อของเขามีรอยแหว่ง
        “เป็นไปไม่ได้ มีคนทำลายลูกพลังของข้าได้ด้วยหรือนี่” วิจักษณ์ท่าทางจะตกใจเหมือนกัน
        “ไปเร็วเถอะวิจักษณ์” นิวาตดึงวิจักษณ์เข้ามาในวงกลม หมายจะจบเรื่องโดยเร็ว เพราะถ้าอยู่ต่ออาจจะเกิดเรื่องมากกว่านี้ก็ได้
        “ชื่อวิจักษณ์หรือ เจ้าเป็นคนแรกที่โจมตีข้าโดน เอาเถอะ ข้าชื่อ ภากร อีกไม่นานเราคงจะได้พบกันอีก ฮ่าๆๆๆๆๆ”
        “แวบบบบบ” วงกลมเวทมนตร์ส่องแสงวาบ แล้วทั้งห้าก็หายไป กลับไปสู่เมืองเชียร
        “ปีนี้มีเด็กที่น่าสนใจมากพอดูเลย ใช่ไหมนิศากร” มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของสุดของกำแพง
        “พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย เจ้าจะเป็นเชื้อเพลิงหนึ่งที่จะผลักดันให้เกิดสันถันดรกัปป์ ฮ่าๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองดังไปทั่ว ก่อนที่พวกเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
        ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม บ่งบอกถึงสิ่งที่เลวร้ายกำลังจะเข้ามา และเหมือนกับมันกำลังเรียกหา ความตาย
       
       
        “เสียใจสินะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้ตามไปแล้ว” นาคพุ่งไปหาเหยี่ออย่างรวดเร็ว
        “พลั่กกกกกกก” หุ่นดินของอาจารย์อุชุพุ่งมาอัดนาคเต็มแรง “พวกเจ้าเป็นอะไรไหม”
        “ผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่วิจักษณ์ ตาย แล้ว” นิวาตตอบเสียงสิ้นหวัง
        “แกอีกแล้วรึ คราวนี้แกได้ตายแน่” นาคพูดอย่างเคียดแค้น
        “ฟูมมมมมมม” มันรีบโจมตีด้วยการพ่นไฟไปหาหุ่น โดยไม่ทันให้ตั้งตัว
        “ฟื้บบบบ” หุ่นสวนหมัดกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
        “ซ่า...........” หุ่นของอาจารย์อุชุสลายไปทันที
        “โง่จริง ๆ เลย ไฟของข้ามันร้อนมากเชียวนะ”
        “ถึงหุ่นข้าจะพังแต่ข้ายังไม่ตายนะ” อาจารย์อุชุตะโกนลั่นมาแต่ไกล “พวกเจ้าหนีไปซะ ข้าจะจัดการมันเอง”
        “ไม่ ผมจะอยู่  ช่วย อาจารย์ เอง”
        “ไปเถอะค่ะ”วิลาสินีพยายามเรียกนิวาต แต่นิวาตก็ยังคงไม่สนใจ
        “เปรี้ยงงงงงง” วิลาสินีหายไปในพริบตา
        “ม่ายยยยยยยยยย”
        “ไปซะนิวาต” มีลำแสงสีฟ้าพุ่งมาทางตัวเขา แล้วมันก็มืดไปหมด
        “พอเขารู้สึกตัวอีกที ที่ที่เขาอยู่ก็อยู่ก็กลายเป็นห้องโถง ไม่มีใครอยู่เลย มันเงียบสงบมาก”
        ขาเขาเริ่มขยับแล้ววิ่งไปที่วงกลมเวทมนตร์ขนาดใหญ่อันนั้น ปัญหาทั้งหมดที่เขามีอยู่ในสมองตอนนี้ต้องกระจ่างให้หมดภายในวันนี้
        คราวนี้บรรยากาศไม่มืดเหมือนแต่ก่อน แต่มีชายหกคนยืนรอเขาอยู่แล้ว
        “เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของผม ทำไมอาจารย์ถึงปล่อยผมให้อยู่อันตรายอย่างนี้” นิวาตถามเสียงเย็น
        “อ้าวอาจารย์แกล้งพวกเจ้าอีกแล้วหรือ”
        “แกล้ง แกล้งเหรอ” นิวาตขมวดคิ้ว
        “นาค คือ เพื่อนสนิทของตระกูลเราเองล่ะ มันประจำอยู่ในทุ่งลับแล และคอยช่วยเหลือตระกูลเรามาตลอด สงสัยอุชุ
จะตกลงกับมันเพื่อเล่นละครแกล้วพวกเจ้ามั้ง”
        “แล้วตอนนี้เพื่อนผมอยู่ไหนครับ”
        “นั่นไง” ทั้งหกชี้ไปที่มุมมืดแห่งหนึ่ง แล้วก็มีวิจักษณ์กับวิลาสินีโผล่ขึ้นมา
        “วิจักษณ์ วิลาสินี เอ๊ะ! โกหกน่า ไม่น่าเป็นไปได้”
        “สวัสดีนิวาต ฉันยังไม่ตายหรอก แค่ถูกวาร์ปมาเฉย ๆ” วิจักษณ์อธิบาย
        “ฉันก็เหมือนกันค่ะ” วิลาสินีกล่าว
        “นี่เป็นแค่ละครน่ะ”
        “ทำเอาผมตกใจหมด”
        “อ้าว อาจารย์พวกเจ้ามาตามแล้ว เอาล่ะ สงสัยอะไรก็ไม่ถามเอาเองละกัน” รอบ ๆ มืดอีกครั้ง แล้วทั้งสามก็กลับมาที่ห้องโถง
        “เป็นยังไงบ้างล่ะ” อาจารย์อุชุทัก เขายิ้มแย้มผิดจากตอนที่นิวาตเห็นคราวที่แล้ว
        “อาจารย์ไม่โกรธผมหรือ” นิวาตถาม
        “โกรธเรื่องอะไรล่ะ” อาจารย์อุชุทำท่าแปลก ๆ ราวกับไม่รู้เรื่อง
        “คราวที่แล้วอาจารย์ยังโกรธเลยนะครับ”
        “ไม่รู้เรื่อง ช่างมันเถอะ” อาจารย์ดูจะปิดความลับไว้อยู่
        “มีอะไรหรือนิวาต” วิจักษณ์สะกิดถาม
        “ เอ้อ ไม่มีอะไรหรอก” นิวาตตอบปัด ๆ
        “เข้าเรื่องกันดีกว่า คือพวกเจ้าเรียนจบแล้ว”
        “อะไรนะครับ/ค่ะ” ทั้งสามอุทาน
        “ก็คือพวกเจ้าเรียนจบภาคทฤษฎีแล้วล่ะ แต่ภาคปฏิบัติจริงพวกเจ้ายังไม่ได้เริ่มเรียนด้วยซ้ำ”
        “แล้วที่เราฝึกใช้เวทมนตร์ไปนั่นคืออะไรหรือครับ”
        “ภาคทฤษฎีน่ะ ภาคปฏิบัติจริง ๆ คือการนำไปใช้ต่างหากล่ะ”
        “แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรบ้างล่ะครับ”
        “ข้าจะให้พวกเจ้าไปทดสอบที่สมาคมนักเวทมนตร์ เพราะที่นั่นจะเป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่เฉลี่ยความสามารถของตัวพวกเจ้าไว้ให้แล้ว และมีแนวทางรองรับพวกเจ้าได้ทั้งหมด การทดสอบของเขาจะมีเป็นขั้น ๆ ไป เอาล่ะพรุ่งนี้เตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”
        “อาจารย์ครับ”
        “ปึง” อาจารย์อุชุรีบหนีเข้าห้องก่อนที่จะเจอคำถามมากกว่านี้
        เช้าวันต่อมาผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว การสนทนาเริ่มขึ้นในห้องโถงอีกครั้ง
        “อ้าวตื่นกันเร็วจังนะวันนี้” อาจารย์อุชุทักอย่างร่าเริง
        “แหงอยู่แล้ว ก็อยู่ดี ๆ อาจารย์ก็ไล่พวกเราออกไปง่าย ๆ” วิจักษณ์ดูจะเคือง ๆ อยู่
        “นี่แหละชีวิตจริงที่พวกเจ้าต้องเจอ เช้านี้ข้าเลี้ยงอาหารเต็มที่เลยนะ ถือว่าเป็นมื้อจากลาละกัน”
        ทั้งสามเดินเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อหาสมาคมนักเวทมนตร์อยู่
        “นั่นไงล่ะจุดมุ่งหมายของเรา” วิจักษณ์ชี้ไปยังตัวสมาคมเวทมนตร์
        “อ่านป้ายประกาศก่อนดีกว่าค่ะ” วิลาสินีแนะนำ
        [I]ประกาศสำหรับผู้ที่ต้องการจะมาทดสอบเป็นนักเวทมนตร์ระดับ1 ขอให้ท่านมาลงทะเบียนในที่นี้ก่อน การทดสอบของเราจะเริ่มต้นตอนเวลา 12.00น. ในวันนี้ ทางเราจะจัดหนังสือกติกาไว้ให้[/I]
        “เออ ๆ ถ้างั้นเราก็รีบ ๆ ไปลงทะเบียนกันก่อนเหอะ”
        “เหวออออออ” มีเสียงคนร้องดังมาจากด้านหลัง
        “เกิดอะไรขึ้น” นิวาตรีบหันไปถามก็เห็นเด็กผู้ชาย ดูท่าทางจะอ่อนกว่าเขาประมาณสามปี เป็นเด็กชายผมสั้น หน้าตาดูไร้เดียงสา ใส่เสื้อรูปสัตว์
        “แฮ่ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ตกใจกับกฎนิดหน่อยน่ะครับ” เด็กคนนั้นตอบ
        “นายก็ทำงี่เง่าไปได้” หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูด เธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนิวาต เธอมีแววตาที่เย็น
ชามาก แต่งตัวเหมือนผู้ชาย และผมที่ยาวเกือบถึงเอวก็ทำให้เธอดูลึกลับทีเดียว
        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อกริช” เขารีบวิ่งมาทำความรู้จักกับวิจักษณ์ทันที
        “ยินดีที่ได้รู้จักส่วนนี่ก็เพื่อนฉันเอง นี่นิวาต นี่ก็วิลาสินี”
        “พี่ฮะทำความรู้จักกับพวกเขาหน่อยสิฮะ” กริชรบเร้าหญิงที่ยืนอยู่ข้าง
        “สวัสดีฉันชื่อวิลาสินีถ้าไม่มีอะไร เดี๋ยวพวกเราขอตัวก่อนนะ”
        “เป็นหญิงที่ดูประหลาดดีนะ”
        “เขาจะเรียกก็อีกครึ่งชั่วโมง เราไปเตรียมตัวกันก่อนเถอะ
        ทั้งสามออกมาเดินเล่นรับลมกันข้างนอก ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาลงทะเบียนในสมาคมมาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริเวณนี้มีเสียงดังไปหมด
        “อืมรายละเอียดการสอบมีอะไรบ้างหว่า” วิจักษณ์เปิดอ่านหนังสือกฎ กติกา ดูพร้อมพึมพำไปด้วย “อ้อ เราต้องออกเดินทางไปที่เมืองวรณะที่อยู่ข้าง ๆ เมืองเชียรนี้ โดยเราต้องผ่านการทดสอบของกรรมการคุมสอบตามจุดต่าง ๆ แล้วกลับมาให้ทันเวลา”
        “ไม่น่าจะยากนะ” นิวาตคิด
                   
                                “ประกาศผู้เข้าสอบทุกท่าน บัดนี้ถึงเวลาที่จะทำการสอบแล้ว ขอให้ทุกท่านมารวมกันที่สมาคมภายในสิบนาที ใครไม่มาจะถือว่าสละสิทธิ์
       
                                ผู้คนจำนวนมากต่างพากันเดินเข้าไปในสมาคม มีเสียงคุยกันดังระงมไปทั่วห้องของสมาคม
        “สวัสดีผู้เข้าสอบทุกท่าน” เสียงหนึ่งดังมาจากเวที และก็ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนเงียบสงบลง “ผมจะอธิบายการสอบให้ฟัง พวกคุณจะต้องจับกลุ่มกันกลุ่มละห้าคน แล้วเราจะให้แผนที่พวกคุณเพื่อให้ไปตามหากรรมการคุมสอบของเราตามจุดต่าง ๆ ให้ครบ โดยเมื่อคุณผ่านการทดสอบของกรรมการที่จุดนั้นแล้ว ก็จะได้บัตรผ่านมาหนึ่งใบ เพื่อไปเสนอให้กรรมการในจุดต่อไป และเมื่อคุณได้ครบแล้วก็ให้กลับมาที่เมืองก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ เราจะให้เวลาพวกคุณตั้งแต่ตอนนี้ถึงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” กรรมการเริ่มร่ายมนต์เล็กน้อย มีลูกไฟพุ่งไปที่ทุกคน ก่อนที่มันจะปรากฏเป็นแผนที่ให้กับทุกคน
        “เฮ้!!!!!!” เสียงผู้คนต่างร้องกันกึกก้อง แล้วพวกเขาก็รีบแยกกันออกจากสมาคม
        “งั้นพวกเราก็ตามไปบ้างสิ เอ้อ เอาใครอีกสองคนดีล่ะ” วิจักษณ์ครุ่นคิด
        “ผมก็ได้ฮะ” กริชรีบมาเสนอหน้าทันที ที่ได้ยินเสียง “ถ้ารวมพี่ผมด้วยแล้วก็จะครบพอดี”
        “งั้นเรารีบ ๆ ไปกันเถอะ” ตอนนี้ผู้คนออกไปจากสมาคมเกือบจะหมดแล้ว มีกลุ่มของนิวาตเท่านั้นที่ยังยืนคุยกันอยู่ “เร็วสิ เดี๋ยวเราจะไม่ทันพวกเขานะ”
        “เร่งจริง ๆ  ถ้าเขาให้กลับมาที่เมืองนี้อีก ฉันมีความคิดว่าเราน่าจะสร้างวงกลมเวทมนตร์ไว้ที่นี่ก่อนนะ เวลากลับจะได้ไว ๆ”นิวาตเสนอความคิด
        “ก็ดี งั้นเรารวมกันสร้างวงกลมเวทมนตร์กันก่อน”
        หลังจากที่ทั้งสามสร้างเสร็จแล้ว บริเวณนั้นไม่มีคนเหลือแล้ว คงเหลือแต่กลุ่มของนิวาตที่ยังไม่ไปถึงไหน
        “เอาเถอะ เสร็จแล้วก็รีบเดินทางได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา”
        “ตามที่แผนที่บอกไว้ เขาให้เราไปทางทิศใต้ แล้วข้ามภูเขาหนึ่งลูกจะเจอกรรมการจุดแรกที่นั่นค่ะ” พอวิลาสินีพูดจบเธอก็เริ่มร่ายมนต์ “ขอความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติจงทำให้เรามีความคล่องตัว เร่งความเร็ว”
        มีแสงสีขาวออกมาจากตัวเธอ และมันก็ผ่านเข้าไปในร่างกายของทั้งห้า
        “ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้นฮะ”
        พวกเขาวิ่งออกจากเมืองด้วยเวลาอันสั้น เพราะฤทธิ์ของเวทมนตร์ที่วิลาสินีร่ายให้ ทั้งห้าวิ่งเข้าไปในป่า และแซงพวกกลุ่มท้าย ๆ ไปได้หลายกลุ่ม ทำให้ไม่นานก็เจอภูเขาตามที่แผนที่เขียนไว้
        วิลาสินีไม่รอช้าเธอรีบร่ายเวทมนตร์บทต่อไปทันที “กระโดด” มีขนนกปลิวว่อนออกจากตัวเธอ แล้วมันก็พุ่งเข้าไปหาทุก ๆ คนในกลุ่ม ซึ่งมันช่วยทำให้กระโดดได้สูงขึ้น ทั้งห้าใช้โอกาสนี้รีบกระโดด ไปตามตัวเขา ไม่นานนักก็ถึงบทยอดเขาได้อย่างไม่ยากเย็น
        “เพิ่มพลัง” วิลาสินีร่ายมนต์ให้กับทุกคนอีกครั้ง มีไอสีขาวลอยเข้าไปซึมในทุก ๆ คนทำให้ทุกคนมีแรงมากขึ้น
        ด้านบนพอนี้มีกลุ่มคนอยู่สี่ห้ากลุ่มกำลังนั่งพักอยู่ แต่ดรุณีไม่ยอมให้พักเพราะกลัวว่าจะไม่ทันทำให้วิลาสินีต้องร่ายมนต์กระโดดให้ทุกคนเพื่อลงจากเขา
        “ไม่ต้องกลัวนะ กระโดดลงไปเลย เดี๋ยวผมจะลดความเร็วให้” นิวาตบอกทุก ๆ คน แล้วกระโดดลงจากภูเขาเป็นคนแรก
        ทั้งห้าพุ่งตัวลงไปสู่ข้างล่างด้วยความเร็วสูง ความเร็วยิ่งเพิ่มเท่าไหร่ พวกเขาก็ใกล้พื้นดินเท่านั้น
        “เหวอออออออ” กริชร้อง
        “ไม่ต้องกลัว กำแพงอากาศหกชั้น” นิวาตร่ายมนต์บ้าง ทำให้ทั้งห้ารู้สึกเหมือนผ่านอะไรของเหลวเป็นชั้น ๆ แล้วความเร็วก็ลดลง ทำให้ลงสู่พื้นดินอย่างสวัสดิภาพ
        “อ้าว สวัสดีครับคุณกรรมการ” กริชสวัสดีต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ทำให้ทุกคนงงกับการกระทำของเขา
        “เก่งมากที่รู้ที่ซ่อนข้าโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์” มีกรรมการคุมสอบโผล่มาจากต้นไม้ ซึ่งทั้งสี่ไม่รู้เลย แต่กริชกับมองเห็นคนเดียว พอกรรมการโผล่ออกมาก็ถึงกับอึ้งในความสามารถอันผิดมนุษย์นี้
        “เอาล่ะ พวกเจ้าผ่านแล้ว” บัตรผ่านก็ปรากฏด้านหน้าของทุกคน แล้วทั้งห้าก็เดินทางต่อไปด้วยความเร็วสูงเช่นเคย จนมาถึงที่ป่าทึบแห่งหนึ่ง
        “มีที่ทึบแบบนี้ด้วยเหรอ” วิจักษณ์สงสัย “แสงสว่าง” มีลูกไฟโผล่ขึ้นบนหัววิจักษณ์ ซึ่งก็พอทำให้มองเห็นรอบข้างได้
        “เงียบ ๆ หน่อยฮะ ผมว่าผมได้ยินอะไรกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้ มีสองตัวด้วย”
        “ไม่เห็นได้ยินเลย” วิจักษณ์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
        “แฮ่ ฮ่า” มีสัตว์สองตัวกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ มันดูเหมือนตัวเม่นผสมกับตุ่น ลำตัวท่อนบนเป็นสีเขียวกลมกลืนกับพุ่มไม้ ตัวมันสูงประมาณหนึ่งเมตร
        มันไม่รอช้ารีบกระโจนเข้ามาหมายจะตะครุบเหยื่อ
        “กำแพงลม” นิวาตรีบร่ายมนต์เพื่อป้องกันเพื่อน ๆ พอสัตว์สองตัวนั้นมันโดนกำแพงลมของนิวาต มันก็กระเด็นไปสอง
เมตร
        “จังหวะนี้แหละ” วิจักษณ์พูด “ลูกพลั..”
        ดรุณียื่นมือมาบังวิจักษณ์ไว้
        “จะทำอะไรน่ะ” วิจักษณ์โมโหเล็กน้อย
        “ฉันจัดการเองได้ อย่าทำให้สัตว์ผู้ไร้เดียงสาต้องบาดเจ็บเลย” ดรุณีเริ่มร่ายเวทมนตร์ “จงหยุด สะกด” เสียงที่เธอเปล่งออกมาฟังแล้วดูมีอำนาจมาก ขนาดทั้งสี่ยังต้องสะดุ้ง มีแสงสีม่วงพุ่งออกไปจากมือเธอ แล้วกระจายเข้าไปในสัตว์ทั้งสอง ซึ่งทำให้มันแข็งขยับเขยื้อนไม่ได้เลยทีเดียว”
        “พี่ฮะ เดี๋ยวผมจัดการเอง จิตใจอันอ่อนโยนที่มีในสัตว์ทั้งหลาย จงตื่นขึ้นเพื่อขจัดความโกรธแค้นในตัวเอง จงสงบเถิด เชื่อง” เสียงของกริชฟังแล้วดูอ่อนโยนมาก เหมือนกับมีเมตตาออกมาพร้อม ๆกับคำพูดด้วย มีแสงสีเหลืองพุ่งไปที่สัตว์ทั้งสองนั้น มันดูจะสงบลง แล้วเดินเข้ามาหากริชช้า ๆ กริชลูบหัวทั้งสองตัวอย่างเอ็นดู
        “แปะ แปะ แปะ” มีเสียงปรบมือดังมา พอหันไปมองก็เห็นกรรมการคุมสอบยืนอยู่ “เป็นกลุ่มแรกที่ทำให้ตัวหมุ่น (เม่น+ตุ่น) เชื่องได้ พวกเจ้าผ่านการทดสอบแล้วล่ะ นี่บัตรผ่าน บัตรปรากฏต่อหน้าทุกคนตามเคย พวกเขาเก็บไปแล้วเดินทางต่อ
        ไม่นานนักทั้งห้าก็มาถึงหน้าเมืองวรณะ เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งกำแพง เพราะมีกำแพงขนาดยักษ์ล้อมรอบตัวเมืองไว้ ส่วนภายในเมืองแผนผังภายในก็ไม่ต่างจากเมืองเชียรมากนัก
        “กรรมการอยู่ไหนเนี่ย” วิจักษณ์เริ่มพูดบ่นตามประสา
        “อยู่ทางทิศตะวันตกน่ะค่ะ รีบไปเถอะค่ะ” ทั้งห้ารีบเดินไปทางทิศตะวันตก ก็พบกับกรรมการคุมสอบยืนรออยู่แล้ว
        “ด่านนี้ไม่มีบัตรแจกให้พวกเจ้าหรอก เพียงแต่พวกเจ้าต้องไปหาสมุนไพร เขียวมังกร กลุ่มละหนึ่งต้น แล้วนำไปส่งที่สมาคมให้ทันเวลา รีบไปเถอะ ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
        “แล้วเราจะไปหาที่ไหนดีเนี่ย” วิจักษณ์พึมพำไปตามเรื่อง ทั้งห้าเดินออกไปจากเมืองวรณะแล้วเริ่มปรึกษากัน
        “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงฮะ เดี๋วยผมให้เพื่อนผมช่วยหาก็ได้ฮะ” กริชล้วงเอานกหวีดออกมา แล้วเป่าเป็นจังหวะเพลงของเขา ฟังแล้วเหมือนนกร้องมาก
        มีนกกระจอกตัวสีขาวบินมาเกาะมือกริชอย่างนิ่มนวล “นี่เป็นเพื่อนของผมเองฮะ ผมตั้งชื่อให้มันว่ากาด”
        “สวัสดีครับทุก ๆ คน” กาดทำท่าอ่อนน้อม (สัตว์ในโลกนี้สามารถพูดได้ทุกตัว) “มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ กริช”
        “ช่วยหาสมุนไพรเขียวมังกรให้พวกเราทีสิ ได้หรือเปล่า คือพวกเราต้องใช้ในการสอบน่ะ ช่วยหน่อยนะ”
        “เขียวมังกรหรือครับ ไม่ยากเลยครับ เดี๋ยวผมจะไปเอามาให้รอผมหน่อยละกันครับ” กาดบินออกจากมือกริช แล้วมุ่งตรงไปในป่า
        “รอหน่อยละกันฮะ ตอนนี้ว่าง ๆ จะทำอะไรก็ทำไปฮะ”
        “งั้นเราสร้างวงกลมเวทมนตร์เตรียมตัวกลับดีกว่า” ดรุณีเสนอ
        “ก็ดี เราจะได้ไม่เสียเวลา” ทุกคนยอมรับข้อเสนอนี้ แล้วก็เริ่มช่วยกันสร้างวงกลมเวทมนตร์เพื่อไปเชื่อต่อกับวงกลมเวทมนตร์อันเก่าที่อยู่ที่เมืองเชียร
        “อ้าวมาแล้วมาแล้ว” กริชมารอรับสมุนไพรจากจากกาด กาดอ้าปากเพื่อปล่อยสมุนไพรทั้งสามต้นให้กริช
        “เฟี้ยวววววว” มีอะไรบางอย่างพุ่งตัดหน้ากริช และกาด แล้วมันก็หมุนอ้อมกลับไปที่ในเมือง รู้ตัวอีกทีกริชก็เห็นเขียวมังกรเหลือเพียงต้นเดียว
        “ใครน่ะ” วิจักษณ์ตะโกนลั่นอย่างโมโห
        “ได้มาตั้งสองต้น ก็ดี” เสียงนั้นดังมาจากตัวเมือง มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาถือมีดไว้ทั้งสองมือ มีสมุนไพรเขียวมังกรสองต้นติดอยู่ในคมมีด บ่งบอกได้ว่าคนนี้ขโมยไปแน่นอน
        “เอาคืนมานะ” วิจักษณ์เปล่งเสียงดังลั่น พร้อมแววตาที่โกรธเต็มที
        “ไม่ ของฟรีไม่เอาก็โง่สิ” ชายผู้นั้นยั่ววิจักษณ์เต็มที่
        “แก บังอาจพูดกับฉันอย่างนี้หรือ” วิจักษณ์กำมือแน่น มีรัศมีสีแดงออกมารอบ ๆ มือของเขาแล้ว วิจักษณ์ที่ปกติอารมณ์ดี ตอนนี้กลับอารมณ์ร้ายแบบไม่น่าเชื่อ “ลูกพลังงงงงงง”
        ลูกพลังสีแดงก้อนขนาดเมตรกว่า ๆ พุ่งไปหาที่ชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
        “แค่นี้มันกระจอกจริง ๆ” ชายผู้นั้นยกมีดขึ้นแล้วสะบัดใส่ลูกพลังของวิจักษณ์อย่างรวดเร็ว ลูกพลังของวิจักษณ์หายไปในพริบตา “อ๊ะ เป็นไปไม่ได้น่า” ชายคนนั้นดูจะตกใจกับความสามารถของวิจักษณ์ เพราะมันทำให้แขนเสื้อของเขามีรอยแหว่ง
        “เป็นไปไม่ได้ มีคนทำลายลูกพลังของข้าได้ด้วยหรือนี่” วิจักษณ์ท่าทางจะตกใจเหมือนกัน
        “ไปเร็วเถอะวิจักษณ์” นิวาตดึงวิจักษณ์เข้ามาในวงกลม หมายจะจบเรื่องโดยเร็ว เพราะถ้าอยู่ต่ออาจจะเกิดเรื่องมากกว่านี้ก็ได้
        “ชื่อวิจักษณ์หรือ เจ้าเป็นคนแรกที่โจมตีข้าโดน เอาเถอะ ข้าชื่อ ภากร อีกไม่นานเราคงจะได้พบกันอีก ฮ่าๆๆๆๆๆ”
        “แวบบบบบ” วงกลมเวทมนตร์ส่องแสงวาบ แล้วทั้งห้าก็หายไป กลับไปสู่เมืองเชียร
        “ปีนี้มีเด็กที่น่าสนใจมากพอดูเลย ใช่ไหมนิศากร” มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของสุดของกำแพง
        “พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย เจ้าจะเป็นเชื้อเพลิงหนึ่งที่จะผลักดันให้เกิดสันถันดรกัปป์ ฮ่าๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองดังไปทั่ว ก่อนที่พวกเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
        ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม บ่งบอกถึงสิ่งที่เลวร้ายกำลังจะเข้ามา และเหมือนกับมันกำลังเรียกหา ความตาย
       
       
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น