ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุทธ์

    ลำดับตอนที่ #9 : ภัยร้ายในทุ่งลับแล

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.พ. 47


                                    “นิวาต นิวาต” นิวาตรู้สึกว่ามีใครมาเขย่าตัวเขาอยู่ ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นมา



            “ทำไมนายมานอนตรงนี้ล่ะ” วิจักษณ์ถาม



            “เอ้อ ฉันตื่นนอนมาตอนตีสองแล้วล่ะ แล้วก็มาหลับตรงนี้ เอ่อกี่โมงแล้วเนี่ย” ในนาฬิกาเวทมนตร์บอกว่า ‘6โมง’



            “นายใช้เวทมนตร์นี้ได้แล้วรึ”



            “ง่ายจะตาย นายลองทำดูสิ”



            “เอ้อ ช่างมันเถอะ อ้าว วิลาสินีตื่นแล้วนี่”



            การสนทนาอันเรื่อยเปื่อยของทั้งสามก็ดำเนินไปซักพักหนึ่งก่อนที่อาจารย์อุชุจะโผล่พร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง



            “อาหารพวกเจ้าเช้านี้มีแค่นี้นะ คลังอาหารแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว” อาจารย์อุชุโยนห่ออาหารให้ “ไปกินที่ทุ่งลับแลละกัน บทเรียนวันนี้มีอีกเพียบ”



            “อิ๊อ้าต อำไออาอานไอ้ไอ๊อาอ๋าเอกอาอ๋านอะ”(นิวาตทำไมอาจารย์ไม่ใช้คาถาเสกอาหารล่ะ)



            “เพราะคาถาเสกอาหารต้องใช้วัตถุดิบน่ะสิ”



            “แล้วทำไมอาจารย์ไม่สอนคาถาให้พวกเราล่ะคะ”



            “ก็อาจารย์กลัวอาหารหมดคลังไง โดยเฉพาะ” นิวาตเหล่ตาไปที่วิจักษณ์ที่กำลังกินอาหาร ซึ่งมันหมดไปครึ่งนึงแล้ว “เฮ้ย เหลือให้พวกเราบ้างสิ”



            “เร็วไปกันได้แล้ว ข้าบอกให้พวกเจ้าไปกินที่ทุ่งไง”



            “ครับ/ค่ะ”





            ถ้าสังเกตไม่ผิด ทุ่งในตอนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก คือ ร่องรอยการต่อสู้เมื่อวานไม่เหลือแล้ว และมีพืชพรรณต้นไม้ขนาดต่าง ๆ หลากหลายชนิดขึ้นอยู่มากมาย



            “พวกเจ้านั่งพักไปก่อน จะทำอะไรก็ทำไป เดี๋ยวข้าไปเตรียมการสอนก่อน”



            “วันนี้อาจารย์อุชุจะสอนอะไรล่ะเนี่ย” วิจักษณ์เปิดประเด็น



            “ไม่น่าใช่เวทมนตร์” นิวาตหยิบอาหารเข้าปาก



            “อาจจะเป็นสมุนไพรค่ะ ต้นไม้พวกนี้มีแต่สมุนไพรทั้งนั้นเลยค่ะ”



            ตามที่วิลาสินีพูดไว้ไม่ผิด อาจารย์อุชุกลับมาพร้อมกับพืชหลากหลายชนิด



            “เราจะเรียนเกี่ยวกับสมุนไพรจริงหรือครับ” วิจักษณ์ทำหน้าเบ้



            “มันสำคัญมาก เพราะเจ้าไม่มีวิชาจำพวกรักษา” อาจารย์อุชุอธิบาย “และเวทมนตร์ของสายรักษาก็ไม่สามารถรักษาอาการบางอย่างได้ ทำให้สมุนไพรมีความจำเป็นต่อเรา ก่อนอื่นต้องรู้จักชื่อของพวกมันก่อน พวกแรกนะ เป็นพืชจำพวกรักษาบาดแผล สามารถใช้ได้ 5 ชนิด”



            “มีสมุนไพรเพิ่มพลังไหมครับ” วิจักษณ์แทรก



            “บ๊ะ ชอบแทรกจริง เดี๋ยวจบบทนี้ก่อนสิ ในสมุนไพรจำพวกนี้มีแบบหาง่าย 3 ชนิด หายาก 2 ชนิดน่ะ สรรพคุณก็ต่างกันด้วย 3 ชนิดที่ว่าหาง่ายนั้นใช้สมานแผลทั้งหมด เริ่มเลยนะ วัชไพรี-ใช้สำหรับรักษาแผลเล็กน้อย หาได้ตามพื้นดินทั่วไป ใช้ทาที่แผล สายบึง-ใช้รักษาแผลที่มีขนาดปานกลาง หาได้ตามริมน้ำสะอาด ใช้คั้นน้ำเหยาะลงที่แผล และเขียวมังกร-ใช้รักษาแผลได้ทั่วร่างกายภายนอก ใช้การรับประทาน หาได้ตามป่า” อาจารย์อุชุอธิบายพร้อมทั้งหยิบสมุนไพรให้ดู “ข้าจะแสดงตัวอย่างให้พวกเจ้าดู วิจักษณ์ ปล่อยลูกพลังขนาดเล็กมาที่ข้าที”



            “ลูกพลัง” วิจักษณ์ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย



            อาจารย์อุชุยกแขนซ้ายมาบังลูกพลัง ทำให้เกิดบาดแผลแหว่งลงไปถึงเนื้อ “คิดว่าต้องใช้สมุนไพรชนิดไหนดี”



            “สายบึงครับ” นิวาตรีบยกมือตอบ



            “ถูกต้อง แผลขนาดนี้ควรใช้สายบึง แต่ก็สามารถใช้เขียวมังกรได้ แต่มันจะสิ้นเปลือง ไม่เหมาะสมกับสภาพบาดแผลเท่าไหร่นัก หรือไม่ก็เอายาของวัชไพรีมาใช้ก็ได้” อาจารย์อุชุหยิบสายบึงขึ้นมา แล้วบีบมันให้น้ำหยดลงไปที่แผล ประมาณ 10 วินาที แผลก็หายเป็นปกติ ดูแล้วน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก



            “แล้วยาจากสมุนไพรล่ะครับ” วิจักษณ์ถาม



            “ก็คือการสกัดเอาส่วนของสมุนไพร เช่น น้ำ ราก ฯลฯ มาบรรจุเก็บไว้ในสภาพพร้อมใช้ และมีปริมาณเหมาะสม ซึ่งมันจะทำให้สมุนไพรเหล่านั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือไม่ก็นำสมุนไพรต่าง ๆ มาผสมกัน จนได้ตัวยาใหม่ขึ้น ซึ่งคุณสมบัติก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย” อาจารย์อุชุชูขวดยาให้ดู “มีสมุนไพรรักษาบาดแผลอีก 2 อย่าง ถ้าพวกเจอจะถือว่าโชคดีมาก ๆ เลยล่ะ อันแรก เกล็ดเหรา (อ่านว่า เห-รา) –มีคุณสมบัติในการปลูกอวัยวะภายนอก ใช้ทาในส่วนที่ต้องการ เช่น แขนขาด ก็ทาที่ไหล่ แขนก็จะงอกออกมา และเมโทนาคี ใช้รับประทานเพื่อรักษาภายใน เช่น เจอคาถาทำลายอวัยวะ”



            “อาจารย์เคยเห็นไหมคะ”



            “ถึงขนาดเคยใช้เลยล่ะ ทั้งสองอันเลยด้วย ที่จริงข้าน่ะเกือบตายตั้งสองครั้งแล้ว ถ้าข้าไม่ได้สมุนไพรเหล่านี้นะ ข้าต้องตายแน่นอน ในหนังสือเล่มนี้มีรูปอยู่ เดี๋ยวข้าจะให้ดู สมุนไพรชนิดต่อไปคือพวกแก้อาการผิดปกติ มีอยู่ 3 อย่าง คือ กิ่งนิล-ใช้แก้พิษทั่วไป หาได้จากต้นนิล เห็ดฟุ้งซ่าน-ใช้แก้อาการจำพวกเชื่องช้า เฉื่อยชา ขี้เกียจ แต่ข้อเสีย คือจะทำให้เราขาดสมาธิไป2ชั่วโมง หาได้ตามขอนไม้ชื้น ๆ อันสุดท้ายนี้หายากสุด และมีคุณสมบัติดีที่สุด คือ มันใช้แก้อาการผิดปกติได้ทุกชนิด ที่อยู่ไม่ทราบ ชนิดสุดท้ายใช้เพิ่มพลังมีสี่ชนิดหายากทั้งสิ้น และมีผลถาวร วชิรพฤกษา-เพิ่มพลังโจมตี มณีวรณะ-เพิ่มพลังป้องกัน สมานภากร-เพิ่มพลังรักษา จำแลงเพศา-เพิ่มพลังสะกด ทั้งสี่นี้หาได้ยากที่สุดในบรรดาทั้งหมด ถ้าแค่ต้นเดียวในชีวิตก็สุดจะโชคดีมาก ๆ แล้ว”



            “ผมฟังมาต้องนาน ทำไมเขาถึงไม่นำพวกมันไปเพาะพันธุ์ล่ะครับ”นิวาตถาม



            “เคยมีคนพยายามจะเพาะมันแล้ว แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ ซึ่งข้าก็ไม่รู้สาเหตุ และยิ่งจำพวกเพิ่มพลังแล้ว ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะในแถบนั้นจะมีขึ้นเพียงต้นเดียว ราวกับว่ามีใครส่งมาให้คนที่พบมัน (ประมาณว่าอยู่ดี ๆ เจอน่ะครับ)”



            “ฟังดูลึกลับจังครับ” วิจักษณ์กล่าว “ผมอยากได้วชิรพฤกษาซักต้นจังครับ”



            “มีข้อจำกัดในการใช้ไหมคะ”



            “มีสิ สมุนไพรหรือยาพวกนี้ใช้ได้เฉพาะพวกที่ใช้เวทมนตร์สายธรรมชาติเท่านั้น”



            “แล้วเวทมนตร์มีกี่สายล่ะครับ”



            “จริง ๆ แล้วมีสองน่ะ คือ สายธรรมชาติ ซึ่งแบ่งได้สี่พวก ตามประเภทเวทมนตร์ที่เด่น ๆ และอีกสายหนึ่ง คือ สายพรสวรรค์ ไม่มีสายแบ่งย่อย พวกนี้แทบจะใช้เวทมนตร์ได้ทุกชนิดโดยไม่ต้องอาศัยเทพเลยล่ะ แต่พวกนี้ก็จะหายากมาก ๆ และมีฝีมือพอ ๆ กับพวกเทพ และมารเชียวล่ะ แต่ใช้สมุนไพรเหล่านี้ไม่ได้”



            “อาจารย์ ผมหิวแล้วอะครับ น่าจะเที่ยงแล้วนะครับ ท้องของผมมันร้องตรงเวลาเสมอ” วิจักษณ์โอดครวญ



            “จะเป็นอะไรไหมถ้าข้าบอกว่าอาหารที่พวกเจ้ากินเมื่อเช้าคืออาหารชุดสุดท้าย”



            “ผมก็ตายน่ะสิครับ อ้อ อาจารย์ก็ไปซื้อมาใหม่สิครับ”



            “ทีอย่างงี้ล่ะหัวไว เดี๋ยวข้าไปหาซื้อก่อนนะ รอกันที่นี่ล่ะ” แล้วอาจารย์อุชุก็เดินจากไป



            “เรามาฝึกกันดีกว่า”





            การซ้อมผ่านไปเรื่อย ๆ จนทั้งสามมีท่าใหม่คนละหนึ่งท่า แต่การซ้อมก็ต้องหยุดลง



            “ทำไมท้องฟ้ามันมืดจัง” วิจักษณ์หยุดฝึกแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า



            “นั่นสิ มันผิดปกติเกินไป”



            “ครืนนนน” แผ่นดินเริ่มสั่นไหวอย่างน่ากลัว



                                    “ซูมมม ตูมมมม”แล้วก็มีน้ำพุ่งออกมาจากใต้ดิน ปรากฎงูตัวขนาดยักษ์

    เส้นผ่านศูนย์กลางของลำตัวมันประมาณ3ฟุต ตัวยาวประมาณ 200 เมตร มันคือนาคนั่นเอง



            “อย่างนี้ต้องหนี” นิวาตบอก



            “วิลาสินี ช่วยใช้ท่าใหม่ให้พวกเราที”



            “เร่งความไว” เธอร่ายเวทมนตร์ มีแสงสีขาวพุ่งมาหาทั้งสาม



            “เผ่นนนนน”



            “เด็กทั้งหลาย” นาคเริ่มพูด “พวกเจ้าบุกรุกพื้นที่ข้า และโทษของมันก็คือ ตายสถานเดียว” มันคำรามเสียง

    เหี้ยม



            “ไม่ต้องไปสน” นิวาตเตือน ทั้งสามคงยังวิ่งต่อไป



            “หนีได้เหรอ ข้าบอกว่าพวกเจ้าต้องตายสถานเดียว” นาคเริ่มเลื้อยไปหาทั้งสาม ความเร็วมากกว่าทั้งสามถึงสองเท่า



            “นั่นไง ต้นไม้นั่น มันมีวงกลมเวทมนตร์อยู่ที่นั่น เอ๊ะ! วงกลมเวทมนตร์หายไปไหน” วิจักษณ์เริ่มเหงื่อตก



            “ไม่สมเป็นนายเลยนะ” นิวาตเตือนสติ “นายมันต้องไม่กลัวอะไรสิ”



            “ใช่ค่ะ วิจักษณ์ที่ฉันรู้จักไม่ใช่แบบนี้”



            “เอาอย่างนั้นก็ได้ พวกเราลุย!!!



            “หนีไม่ได้ล่ะสิ เตรียมตัวตายได้แล้วพวกแก” นาคอ้าปาก แล้วก็เริ่มพ่นควันออกมา ไม่นานนักสภาพโดยรอบก็กลายเป็นสีเทา



            “เรามองไม่เห็นแล้ว เสียเปรียบเห็น ๆ เลยเนี่ย”



            “วงควันคงไม่กว้างนักหรอก เรารีบออกจากควันดีกว่า”



            “กระโดด” วิลาสินีร่ายเวทมนตร์ให้ทุกคน “เวทมนตร์นี้มีผล 1 นาทีนะคะ”



            “ฟื้บบบบบ” นาควาดหางมาหาทั้งสาม แต่ก็ไม่ทันพวกเขากระโดดออกไปเรียบร้อยแล้ว



            ทั้งสามลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผ่านออกมาจากวงควัน คาดว่าน่าจะสูงซัก 10 เมตรได้”



            “ลูกพลัง ๆๆๆ” วิจักษณ์ยิงมันไปที่กลุ่มควัน แรงผลักทำให้ทั้งสามพุ่งเร็วขึ้น



             “ฟูมมมมมม” มีไฟพุ่งมาหาทั้งสามอย่างรวดเร็ว



            “กำแพงลม” นิวาตร่ายเวทมนตร์ มีลมจากการร่ายเวทมนตร์มาปัดไฟให้เปลี่ยนทิศทาง



            “ยังไงพวกเจ้าก็ต้องตาย” นาคพุ่งตัวออกมาจากกลุ่มควัน หมายงับนิวาตให้เละ



            “ลูกพลังระเบิด” วิจักษณ์ปล่อยมันไปที่ปากของนาค



             “ตูมมมมมมมมมมมมม” นาคร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แววตาของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ



            ทั้งสามร่อนลงสู่พื้นอีกครั้งหนึ่ง แต่นาคยังคงไม่เคลื่นไหว



            “เร่งความไว กระโดด” วิลาสินีปล่อยสองเวทมนตร์ติดกัน แล้วทั้งสามก็รีบวิ่งไปที่ภูเขา



            “ความเร็วพอแล้วล่ะ รีบกระโดดเร็วเข้า” วิจักษณ์สั่ง



            “ลูกพลังระเบิด” วิจักษณ์ปล่อยใส่นาคอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้มันเริ่มเลื้อยมาหาทั้งสามแล้ว แต่ก็ช้ากว่า เพราะแรงเฉื่อย

    ของการวิ่งก่อนกระโดด



             “ตูมมมมมมมมมมมมมม” ไม่มีเสียงร้องใด ๆ ทั้งสิ้น



            วิจักษณ์ทำท่าทางเล็กน้อยไปทางนิวาต ซึ่งเขาก็เข้าใจดี



            “พลังผสาน ลูกพลังระเบิด รวมกับลูกบอลอากาศ”



            “ครืนนนนนนน”



             “บึ้มมมมมมมมมมมมมมม” ไม่มีเสียงอะไรเช่นเคย เพียงแต่ตามันยิ่งแดงขึ้น



            “กำแพงอากาศ” นิวาตปล่อยมันเพื่อชะลอความเร็วก่อนชนภูเขา



            “กระโดดกันออกไปจากที่นี่เลยนะ ไปตรงเมือง.....” วิจักษณ์พยายามจะสั่ง แต่



             “เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” สายฟ้าพุ่งมาหาวิจักษณ์ แล้วเขาก็สลายหายไป



            “บอกแล้วว่าพวกเจ้าต้องตาย” นาคตอกย้ำ



            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×