ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Red Riding Hood หนูน้อยหมวกแดงสีเลือด

    ลำดับตอนที่ #2 : นิทานบทที่ 1 : กาลครั้งหนึ่งสีแดง

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 58


    นิทานบทที่
    -กาลครั้งหนึ่งสีแดง-

     

          “เชื่อ

           ครั้งแรกที่ได้รู้จักคำคำนี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ? ถึงแม้อาจไม่ใช่คำสั่งที่ว่าให้เชื่อหรือคำขอร้องที่ว่าเชื่อฉันเถอะ แต่มนุษย์เราก็ถูกปลูกฝังให้เชื่อในสิ่งต่างๆโดยเฉพาะคำพูดของใครสักคนมาตั้งแต่เกิดกันทั้งนั้น

    ถ้าอธิษฐานต่อดาวตกความปรารถนาจะเป็นจริง

    โลกใบนี้น่ะเป็นทรงกลมแป้นเหมือนส้มล่ะ

    ถ้าหนูเป็นเด็กดีแม่จะซื้อตุ๊กตาให้นะ

    เธอมันไร้ประโยชน์

    วันพรุ่งนี้โลกจะถึงคราวล่มสลาย

    ฉันรักเธอนะ

    .

    .

    .

    คุณตัดสินอย่างไรว่าจะตกลงใจเชื่อดีหรือไม่?

     

    ในนิยายเรื่องนี้สิ่งที่คุณต้องทำคือเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...

    เอ๊ะ? หรือเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น?

    หรือเชื่อทั้งสองอย่าง หรืออย่าไปเชื่อเลยแม้สักอย่าง

    เอ...ยังไงกันแน่นะ?

             หืม? สีหน้าแบบนั้นแปลว่าตัดสินใจได้แล้วสินะ! แต่ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้ขอให้เชื่อหรอกนะ ก็ในเมื่อคนที่จะตัดสินใจคือตัวเธอเองนี่นา งั้นถ้าพร้อมแล้ว...ก็มาเริ่มกันเลยเถอะ

    คำพูดที่ใครสักคนทำให้”เชื่อ”ว่าต้องเริ่มต้นนิทานด้วยคำคำนี้...เอ้า พูดสิ หนูน้อยหมวกแดงของฉัน

     

    “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”

     

     

        “...แล้วจุมพิตแห่งรักแท้ก็ได้ถอนคำสาปให้เจ้าชายอสูรกลับคืนร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองก็แต่งงานกันแล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป จบแล้วจ้ะ”

          ปับ! เสียงปิดหนังสือดังสะท้อนในห้องเล็กๆที่มีเพดานไม่สูงนัก

          หนังสือนิทานปกอ่อนถูกนำกลับเข้าไปวางในชั้นหนังสือข้างลิ้นชักตามที่มันเคยอยู่

         “อ่านกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยเนอะ แกเองก็ชอบใช่ไหม? ไดอาน่า”

         เสียงใสดังขึ้นอย่างอิ่มใจ เจ้าเหมียวสีดำขลับเจ้าของปลอกคอสลักชื่อไดอาน่าร้องครางเบาๆพร้อมหลับตาพริ้มเมื่อคุณเกาคางของมัน ท่าทีมีความสุขนั้นทำให้คุณอดยิ้มออกมาไม่ได้

          ในห้องใต้หลังคาที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่ให้แสงลอดผ่านซึ่งถูกดัดแปลงจากห้องเก็บของรกๆจนกลายเป็นห้องหนังสือแสนอบอุ่น ส่วนมากแล้วในบรรดาหนังสือมากมายเป็นกองพะเนินจนนับไม่หวาดไม่ไหวมักจะเป็นหนังสือนิทานสำหรับเด็กซึ่งถูกซื้อมาให้ลูกสาวคนเดียวของบ้านโดยเฉพาะ

           กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของกระดาษและหมึกพิมพ์อบอวลชวนให้รู้สึกอุ่นใจ

            คุณมักจะใช้เวลาทั้งวันหมกตัวอยู่ที่นี่กับแมวตัวโปรด นอนกลิ้งบนพรมนุ่มๆสีดอกลาเวนเดอร์ที่อยู่บนพื้นบ้างล่ะ นั่งขัดสมาธิบนโซฟาใต้ผ้าม่านพริ้วสไวสีครีมบ้างล่ะ แล้วใช้หนังสือที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมห้องเป็นประตูไปสู่โลกที่ไม่เคยพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นโลกใบใหญ่ของธัมเบลิน่า โลกสีเขียวของพ่อมดออซ หรือโลกใต้ทะเลของเจ้าหญิงเงือก แต่นิทานที่เด็กผู้หญิงทุกคนชอบมาที่สุดเห็นจะไม่พ้นเรื่องที่เจ้าหญิงได้ครองคู่กับเจ้าชายและใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป แน่นอนว่าคุณเองก็ด้วย

           และบางครั้งคุณก็แอบจินตนาการไปว่าจะดีแค่ไหนหากได้เป็น”นางเอก”ในเรื่องราวเหล่านั้นเสียเอง

           “อยากรู้จังว่ารักแท้ของฉันคือใคร”

            คุณกระโดดโถมตัวลงบนโซฟาจนเกิดรอยยุบก่อนพลิกตัวนอนหงาย ดวงตาทอประกายแวววาวราวลูกแก้วอย่างไร้เดียงสามองออกไปนอกหน้าต่างที่ปรากฎฟากฟ้าสูงลิบ ก้อนเมฆสีขาวลอยมาตามลม รูปร่างแปลกตาของมันดูๆ ไปแล้วก็คล้ายกับเจ้าหญิงในชุดราตรีที่คุณใฝ่ฝัน

          “บางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นเจ้าชายที่ถูกสาปให้เป็นอสูรหรือเป็นกบก็ได้นะ”   

           แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา คุณหันไปมองที่ข้างตัวก่อนพบว่าไดอาน่าเพื่อนคุยตัวเดียวของคุณหลับไปแล้ว ตัวของมันเหมือนก้อนขนสีดำที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ

           “เอาเถอะ...เอาไว้โตเป็นผู้ใหญ่ก็คงรู้เองนั่นล่ะ” เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนกดจมูกลงบนขนนุ่มๆ สีดำแล้วหอมฟอดใหญ่

          “อยากโตเป็นผู้ใหญ่ไวๆจังเลยเนอะ”

     

        “(ชื่อคุณ)จ๊ะ ลงมาหาแม่ในครัวหน่อยลูก”

        “อ๊ะ ค่า!” เสียงตะโกนขานรับไปยังคุณแม่ที่ตะโกนมาจากด้านล่างของคุณทำเอาเจ้าเหมียวขี้เซาตกใจตื่น ตาของมันเหลือบมองขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจและเมื่อเห็นว่าเด็กสาววิ่งออกจากห้องใต้หลังคาไปมันจึงบิดขี้เกียจแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ

        คุณกระโดดข้ามขั้นสุดท้ายของบันไดไม้เตี้ยๆลงมาที่ห้องนอนของตัวเองที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาทำมือในชั้นสอง วิ่งลงบันไดมาที่ชั้นหนึ่งก่อนวิ่งผ่านห้องนั่งเล่นที่ใช้เป็นที่รับแขกไปยังห้องครัวและที่นั่นคุณแม่กำลังยืนรออยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลายดอกทานตะวันตัวเก่ง

         คุณแม่ของคุณเป็นผู้หญิงที่สวยเอามากๆ สวยเสียจนคุณแอบคิดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าโตขึ้นแล้วสวยได้เท่าคุณแม่ก็คงดีไม่น้อย นอกจากสวยแล้วฝีมือการทำขนมของคุณแม่ยังไม่เป็นรองใครในหมู่บ้านจนถูกไหว้วานให้ทำขนมสำหรับงานเทศกาลอยู่เนืองนิจ

         และเพราะคุณพ่อต้องเข้าไปทำงานในเมืองและไม่ค่อยได้กลับบ้าน คุณจึงต้องอาศัยอยู่กับคุณแม่ตามลำพัง

     

        “รีบมาก็ดีอยู่หรอกจ้ะ แต่วิ่งลงบันไดจะล้มเอานะ”

         ทันทีที่คุณก้าวเข้าไปในห้องครัว คุณแม่ก็แกว่งอุปกรณ์ทำขนมสักอย่างที่คุณไม่รู้จักชื่อเหมือนกับเป็นคอนดักเตอร์ไปพลาง เอ็ดคุณไปพลาง แต่สมาธิของคุณดูจะไปจดจ่อที่ของในมือของคุณแม่มากกว่าจะเป็นเสียงบ่น

         คุณแม่ที่มักจะทำขนมอยู่ในห้องครัวเป็นประจำทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง บางทีก็ใช้ไม้ที่เอาไว้นวดแป้ง บางครั้งก็ใช้ช้อนตวง อย่างเมื่อวานก็เป็นไม้พาย จนคุณเผลอคิดไปว่าบางทีคุณแม่อาจจะเคยเป็นแม่มดที่เคยใช้ไม้กายสิทธ์ในการร่ายมนตร์สาปเด็กเกเรให้เป็นก้อนขนมเค้กก็เป็นได้

         “เอ้า นี่จ้ะ” และในตอนที่กำลังจินตนาการภาพของคุณแม่เพลินๆนั้นเอง ตะกร้าเล็กๆที่ถูกคลุมด้วยผ้าบางๆสีชมชมพูอ่อนก็ถูกยื่นมาตรงหน้าจนปรับโฟกัสสายตาแทบไม่ทัน

         “คะ?”

         “แอปเปิ้ลพายไงจ๊ะ ที่ตะกี้แม่บอกว่าต้องเอาไปให้คุณยายไง” คุณแม่ขมวดคิ้วทำท่าจะดุคุณอีกเที่ยวที่ไม่ฟัง เห็นดังนั้นคุณจึงรีบรับตะกร้าพายมาก่อนฉีกยิ้ม

          “เข้าใจแล้วค่ะ เอาแอปเปิ้ลพายไปให้คุณยายกัน ใช่ไหมคะ?” คุณหัวเราะแหะๆ คุณแม่จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

           พายในตะกร้าส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายไหลเหมือนทุกที คุณแทบอดใจรอให้ถึงบ้านคุณยายไม่ไหวเพราะคุณยายมักจะตัดแบ่งพายมานั่งทานพร้อมน้ำชาด้วยกันทุกครั้ง

          นอกจากนี้แล้ว คุณชอบที่จะเดินไปบ้านคุณยายที่อยู่ลึกเข้าไปในป่ากับคุณแม่และตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้เข้าไป เพราะระหว่างทางนั้นมักจะมีจุดที่มีดอกไม้สวยๆบานสะพรั่ง ต้นไม้เองก็เต็มไปด้วยรูปร่างแปลกๆชวนให้จินตนาการว่าอยู่ในแดนมหัศจรรย์ นกและกระรอกตัวน้อยแวะเวียนเข้ามาทักทาย ถึงจะมีจุดที่มืดทึบ รกชัฎ และเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่บ้างแต่หากมีคุณแม่อยู่ข้างๆเด็กน้อยก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นกลับกันเหมือนให้ความรู้สึกว่ากำลังผจญภัยอยู่เสียมากกว่า

    แต่...  

     “แม่ว่าลูกต้องไม่ได้ฟังที่แม่พูดแน่ๆเลย แม่บอกว่าครั้งนี้แม่ไปด้วยไม่ได้นะ”

     “คะ?” รอยยิ้มของคุณพลันหายวับไป

      “แม่ต้องไปรับของที่พ่อส่งมาให้ที่สถานีรถไฟน่ะจ้ะ จำทางไปบ้านคุณยายได้ใช่ไหม? ก็ไปด้วยกันตั้งหลายรอบแล้วนี่นา” คุณแม่ยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนสีหน้าของคุณแม้แต่น้อย

         ความคิดในหัวพังทลาย ถ้าไปกับแม่คงไม่เป็นไรแต่ถ้าต้องเข้าไปในป่าที่น่ากลัวแบบนั้นตามลำพัง...แค่คิดก็ไม่อยากแม้แต่ก้าวออกจากบ้านแล้ว

         ภาพของต้นไม้ประหลาดราวกับแดนมหัศจรรย์พลันถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ปิศาจที่มีปากกว้างกลวงโบ๋ นกตัวน้อยกลับกลายเป็นอีกาตัวใหญ่แข่งกันส่งเสียงเสียดแทงโสตประสาท ไหนจะจุดที่มืดทึบจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองอีกล่ะ!

     

    คุณที่ไม่อยากไปตามลำพังจะตอบแม่ว่าอย่างไร?

    -  “ไปคนเดียวมันน่ากลัวออกจะตาย หนูไม่ไปไม่ได้เหรอคะ!?” คุณโพล่งออกไปในทันที (ไปที่หมายเลข1)

    -  “จำได้อยู่แล้วล่ะค่ะ” คุณตัดสินใจฉีกยิ้มแม้จะไม่อยากก็ตาม เพราะเด็กดีควรจะเชื่อในสิ่งที่คุณแม่พูด (ไปที่หมายเลข3)

     

       (1) “ไปคนเดียวมันน่ากลัวออกจะตาย หนูไม่ไปไม่ได้เหรอคะ!?” คุณโพล่งออกไปตามที่คิดและนั่นทำให้คุณแม่ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจก่อนยกอุปกรณ์ทำขนมขึ้นมาแกว่งอีกรอบ

         “เดี๋ยวเถอะ เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกหมาป่าจับกินนะ!

          !!?

          คุณชะงักไปทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

          เด็กไม่ดีจะถูกหมาป่าจับกิน...จะถูกหมาป่าจับกินเชียวนะ! คุณแม่มักจะขู่แบบนี้เสมอเวลาที่คุณดื้อ เอาแต่ใจ ไม่ยอมเชื่อฟัง  เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็กมากแล้วและจนทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้เสมอ

          หมาป่ามีฟันคมกริบ เล็บยาวโง้งแหลมคม ดวงตาวาวโรจน์สีแดงเหมือนโลหิต ปากของมันใหญ่พอที่จะกลืนเด็กคนนึงลงไปในคำเดียว

         เคยเห็นแบบนั้นในสมุดภาพนิทานหลายเรื่องๆ หมาป่านั้นน่ากลัว...ไร้ความปรานี เป็นตัวละครที่โหดร้ายและควรหนีให้ห่าง

        ดังนั้นคำพูดที่ว่าถ้าเป็นเด็กไม่ดีจะถูกหมาป่าจับกิน ไม่ว่าได้ยินกี่ครั้งก็รู้สึกกลัวจนต้องยอมทำตาม

         แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้...ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะถึงจะหวาดกลัวหมาป่าแต่พอลองมาชั่งน้ำหนักดูว่าระหว่างในป่ากับหมาป่าว่าอะไรกันแน่ที่น่ากลัวมากกว่ากัน คุณก็เผลอก้มหน้าลงกัดเล็บอย่างใช้ความคิด

     

     

    คุณตัดสินใจตอบไปว่าอย่างไร?

    - “น-หนูไม่เชื่อหรอก! ถ้าไม่เข้าป่าซะอย่างก็ไม่เจอหมาป่าหรอกค่ะ! (ไปที่หมายเลข2)

     - “งั้น...ก็ได้ค่ะ” (ไปที่หมายเลข3)

     

    (2) “น-หนูไม่เชื่อหรอก!” คุณตะโกนอย่างเอาแต่ใจ “ถ้าไม่เข้าป่าซะอย่างก็ไม่เจอหมาป่าหรอกค่ะ!

          ทำให้คุณแม่ที่ไม่คิดว่าคุณจะตอบแบบนั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจ ตาของเธอวูบไหว

          “เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่! ทำไมเป็นเด็กแบบนี้นะ” พูดจบก็คว้าตะกร้าพายคืนไปจากมือของคุณโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว “ไม่ไปก็ไม่ไป งั้นแม่ฝากน้าโจแอนไปก็ได้”

          คุณแม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนหันหลังเดินออกจากบ้านไปด้วยสีหน้าถมึงทึง

          ไม่ได้เห็นคุณแม่โกรธขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ...คุณซึมลงถนัดตาที่ได้ยินประตูปิดดังปัง แต่แล้วทิฐืในใจก็ร้องบอกว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย

          “แล้วทำไมคุณแม่ไม่ขอให้น้าโจแอนไปแต่แรกล่ะ” คุณแลบลิ้นไล่หลังก่อนเดินเสียงตึงตังทั้งที่ไม่มีใครได้ยินกลับไปยังห้องใต้หลังคาที่ไดอาน่ายังคงนอนหลับอย่างสบายอารมณ์

       

    (ชื่อคุณ)จ๊ะ ลงมาหาแม่ในครัวหน่อยลูก”

        “ค่า!” เสียงตะโกนขานรับไปยังคุณแม่ที่ตะโกนมาจากด้านล่างของคุณทำเอาเจ้าเหมียวขี้เซาตกใจตื่น ตาของมันเหลือบมองขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจและเมื่อเห็นว่าเด็กสาววิ่งออกจากห้องใต้หลังคาไปมันจึงบิดขี้เกียจแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ

        คุณกระโดดข้ามขั้นสุดท้ายของบันไดไม้เตี้ยๆลงมาที่ห้องนอนของตัวเองที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาทำมือในชั้นสอง วิ่งลงบันไดมาที่ชั้นหนึ่งก่อนวิ่งผ่านห้องนั่งเล่นที่ใช้เป็นที่รับแขกไปยังห้องครัวและที่นั่นคุณแม่กำลังยืนรออยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลายดอกทานตะวันตัวเก่ง

         คุณแม่ของคุณเป็นผู้หญิงที่สวยเอามากๆ สวยเสียจนคุณแอบคิดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าโตขึ้นแล้วสวยได้เท่าคุณแม่ก็คงดี นอกจากสวยแล้วฝีมือการทำขนมของคุณแม่ยังไม่เป็นรองใครในหมู่บ้านจนถูกไหว้วานให้ทำขนมสำหรับงานเทศกาลอยู่เนืองนิจ

         และเพราะคุณพ่อต้องเข้าไปทำงานในเมืองและไม่ค่อยได้กลับบ้าน คุณจึงต้องอาศัยอยู่กับคุณแม่ตามลำพัง

     

        “รีบมาก็ดีอยู่หรอกจ้ะ แต่วิ่งลงบันไดจะล้มเอานะ” ทันทีที่คุณก้าวเข้าไปในห้องครัว คุณแม่ก็แกว่งอุปกรณ์ทำขนมสักอย่างที่คุณไม่รู้จักชื่อเหมือนกับเป็นคอนดักเตอร์ไปพลาง เอ็ดคุณไปพลาง แต่สมาธิของคุณดูจะไปจดจ่อที่ของในมือของคุณแม่มากกว่าจะเป็นเสียงบ่น

         คุณแม่ที่มักจะทำขนมอยู่ในห้องครัวเป็นประจำทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง บางทีก็ใช้ไม้ที่เอาไว้นวดแป้ง บางครั้งก็ใช้ช้อนตวง อย่างเมื่อวานก็เป็นไม้พาย จนคุณเผลอคิดไปว่าบางทีคุณแม่อาจจะเคยเป็นแม่มดที่เคยใช้ไม้กายสิทธ์ในการร่ายมนตร์สาปเด็กเกเรให้เป็นก้อนขนมเค้กก็เป็นได้

         “เอ้า นี่จ้ะ” และในตอนที่กำลังจินตนาการภาพของคุณแม่เพลินๆนั้นเอง ตะกร้าเล็กๆที่ถูกคลุมด้วยผ้าบางๆสีชมชมพูอ่อนก็ถูกยื่นมาตรงหน้าจนปรับโฟกัสสายตาแทบไม่ทัน

         “คะ?”

         “แอปเปิ้ลพายไงจ๊ะ ที่ตะกี้แม่บอกว่าต้องเอาไปให้คุณยายไง” คุณแม่ขมวดคิ้วทำท่าจะดุคุณอีกเที่ยวที่ไม่ฟัง คุณจึงรีบรับตะกร้าพายมาก่อนฉีกยิ้ม

          “เข้าใจแล้วค่ะ เอาแอปเปิ้ลพายไปให้คุณยายกัน ใช่ไหมคะ?” คุณหัวเราะแหะๆ คุณแม่จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

           พายในตะกร้าส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายไหลเหมือนทุกครั้ง คุณแทบอดใจรอให้ถึงบ้านคุณยายไม่ไหวเพราะคุณยายมักจะตัดแบ่งพายมานั่งทานพร้อมน้ำชาด้วยกันทุกครั้ง

          นอกจากนี้แล้ว คุณชอบที่จะเดินไปบ้านคุณยายที่อยู่ลึกเข้าไปในป่ากับคุณแม่มากๆและตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้เข้าไป เพราะระหว่างทางนั้นมักจะมีจุดที่มีดอกไม้สวยๆบานสะพรั่ง ต้นไม้เองก็เต็มไปด้วยรูปร่างแปลกๆชวนให้จินตนาการว่าอยู่ในแดนมหัศจรรย์ นกและกระรอกตัวน้อยแวะเวียนเข้ามาทักทาย ถึงจะมีจุดที่มืดทึบ รกชัฎ และเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่บ้างแต่หากมีคุณแม่อยู่ข้างๆเด็กน้อยก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังผจญภัยอยู่เสียมากกว่า

    แต่...  

     “แม่ว่าลูกต้องไม่ได้ฟังที่แม่พูดแน่ๆเลย แม่บอกว่าครั้งนี้แม่ไปด้วยไม่ได้นะ”

     “คะ?” รอยยิ้มของคุณพลันหายวับไป

      “แม่ต้องไปรับของที่พ่อส่งมาให้ที่สถานีรถไฟน่ะจ้ะ จำทางไปบ้านคุณยายได้ใช่ไหม? ก็ไปด้วยกันตั้งหลายรอบแล้วนี่นา” คุณแม่ยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนสีหน้าของคุณแม้แต่น้อย

         ความคิดในหัวพังทลาย ถ้าไปกับแม่คงไม่เป็นไรแต่ถ้าต้องเข้าไปในป่าที่น่ากลัวแบบนั้นตามลำพัง...แค่คิดก็ไม่อยากแม้แต่ก้าวออกจากบ้านแล้ว

         ภาพของต้นไม้ประหลาดราวกับแดนมหัศจรรย์พลันถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ปิศาจที่มีปากกว้างกลวงโบ๋ นกตัวน้อยกลับกลายเป็นอีกาตัวใหญ่แข่งกันส่งเสียงเสียดแทงโสตประสาท ไหนจะจุดที่มืดทึบจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองอีกล่ะ!

      “ไปคนเดียวมันน่ากลัวออกจะตาย หนูไม่ไปไม่ได้เหรอคะ!?

     

    BAD END 1 : Not Even a Step

    ฉากเดิมๆถูกวนซ้ำไม่รู้จบราวกับโลกที่ถูกสะท้อนบนกระจกเงาไปเรื่อยๆ

    เด็กสาวเกเรที่ไม่แม้แต่ยอมสวมฮู้ดสีแดงแล้วก้าวออกจากบ้านไม่อาจเริ่มต้นเรื่องราวใดๆ

    สุดท้ายก็เป็นเพียงหนังสือนิทานไร้ค่าที่รอวันโยนเข้าเตาไฟ

     

     

     

    (3) “ต้องแบบนี้สิ คนเก่งของแม่” ได้ยินดังนั้นคุณแม่จึงยิ้มออกมาด้วยสีหน้าดีใจระคนโล่งใจ หญิงสาวย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนหอมแก้มคุณฟอดใหญ่เหมือนอย่างที่คุณทำกับไดอาน่า

         คุณรู้สึกว่าได้กลิ่นพายที่อยู่บนตัวคุณแม่ด้วย

        “ถ้างั้นก็รีบไปก่อนจะมืดเถอะจ้ะ” คุณแม่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “ระหว่างทางก็ระวังตัวด้วยล่ะ จำที่แม่สอนได้ใช่ไหม? อย่าเถลไถลแล้วก็-------------

         “-----------อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า!” คุณต่อคำโดยไม่ต้องคิด

          เพราะนี่คือประโยคที่ได้ยินเสมอๆในนิทานที่ตัวเอกต้องเข้าไปในป่าตามลำพังทำให้คุณจำได้แม่นยิ่งกว่าวันเดือนปีเกิดของตัวเองเสียอีก

       “เก่งมากจ้ะ ฝากความคิดถึงถึงคุณยายด้วยนะจ๊ะ”

       “ค่ะ” คุณพยักหน้าตอบ คุณแม่จึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

        พอเห็นแบบนี้แล้ว...รู้สึกว่าคิดไม่ผิดจริงๆที่ตอบตกลง เพราะคุณชอบใบหน้ายิ้มแย้มของคุณแม่ที่สุด ทุกครั้งที่คุณแม่ยิ้มโลกทั้งใบดูสดใสขึ้นทันตา ราวกับว่าเป็นสายฝนที่ชะล้างความหม่นหมองทั้งปวงออกไป...เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นเวลามีผู้หญิงคนนนี้กุมมือไว้

         ไม่เป็นไร...เราต้องทำได้!

         คุณวิ่งกลับขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา คว้าฮู้ดสีแดงที่มักจะสวมทุกครั้งเวลาเข้าไปในป่ามาสวมไว้

          ฮู้ดสีแดงสดปลิวสะบัดล้อแสงแดดที่ทอดผ่านหน้าต่างเข้ามา

         คุณตรวจเช็กความเรียบร้อย บอกไดอาน่าที่เงยหน้าขึ้นมองคุณว่าจะรีบกลับมาอ่านนิทานเรื่องสโนไวท์กับคนแคระทั้ง7ให้ฟัง ก่อนกลับลงมาที่ชั้นล่างโดยครั้งนี้คุณลงบันไดอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม

        คุณแม่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน

        คุณหยุดกึก

        ถ้าก้าวพ้นประตูไปแล้วคงจะงอแงขอไม่ไปไม่ได้อีกแล้ว...

        ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...ทันทีที่เรากลับมาถึงบ้าน คุณแม่จะต้องชมแน่ๆ!

        คุณกระชับตะกร้าในมือก่อนกลั้นหายใจ เผยรอยยิ้มออกมา

        “แล้วจะรีบกลับมานะคะ”

        

        หญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน มองส่งจนกระทั่งผ้าคลุมสีแดงสดปลิวสไวหายไปจนลับสายตา

        เพราะรู้ว่าไม่สามารถจะคอยปกป้องเด็กคนนั้นได้ตลอดไป...จึงอยากให้ได้ออกไปพานพบกับโลกด้วยตัวเอง ตอนแรกก็แอบกลัวว่างอแงไม่ยอมไปหรือเปล่านะ แต่ภาพที่เห็นตอนนี้คือเด็กสาวตัวน้อยที่ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นตามลำพัง

         “หลังจากนี้...ยังมีเรื่องราวที่ต้องพบเจออีกเยอะนะ” เสียงอันอ่อนโยนพูดเบาๆก่อนหลับตาลง “แต่ถ้าเป็นลูกล่ะก็ แม่เชื่อว่าจะต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอนจ้ะ”

        

     

         “อ้าว วันนี้ไปเยี่ยมยายคนเดี๋ยวเหรอ? (ชื่อคุณ)

         “คุณแม่ติดธุระน่ะค่ะ ลุงบ๊อบ”

         “เอาแซนด์วิชไปทานระหว่างทางไหมล่ะจ๊ะ”

         “ขอบคุณค่ะ น้าโซเฟีย”

         “พี่(ชื่อคุณ) เล่านิทานให้ฟังหน่อยสิฮะ!

         “ไว้วันหลังนะไนเจล วันนี้พี่ต้องเข้าไปในป่าน่ะ”

          “ถ้างั้นระวังหมาป่าด้วยนะฮะ!

          “โธ่...อย่าพูดแบบนั้นสิ คนเค้ายิ่งกลัวๆอยู่”

         ที่นี่ ที่หมู่บ้านโรเฟลนี้เป็นหมู่บ้านสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กๆ ด้วยความที่ทั้งหมู่บ้านมีประชากรไม่ถึง1ส่วน4ของเมืองหลวงทำให้ทุกคนที่นี่รู้จักกันถ้วนหน้า นอกจากนั้นแล้วยังคงมีกลิ่นอายของชนบทที่ทุกๆคนต่างรักใคร่และมีน้ำใจต่อกันราวกับเป็นคนในครอบครัว

          และด้วยเหตุที่ว่ามาทำให้แค่เดินผ่านตลาดก็กินเวลาและพลังงานไปมากโข ถ้าไม่ติดว่าทางนี้เป็นทางเดียวที่คุณแม่ให้ใช้ก็คงเลี่ยงไปทางอื่นไปแล้วแท้ๆ

          คุณกอดตะกร้าพายไว้แนบอก ระมัดระวังไม่ให้ไปกระแทกกับใครเข้า

          แนะนำกันอีกสักนิด หมู่บ้านโรเฟลที่คุณอาศัยอยู่นี้เป็นหมู่บ้านที่ตั้งเป็นเอกเทศน์แยกออกมาจากเมืองใหญ่ ที่นี่ถูกโอบล้อมด้วยป่าหนาทึบทั้งเหนือใต้ออกตก และคงตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงหากไม่มีรถไฟสายเหนือที่ไปสิ้นสุดที่เมืองหลวงซึ่งใช้เวลาเดินทางแค่ขาไปถึง 3 วันเต็ม นอกจากนั้นแล้วก็มีเพียงทางเข้าไปในป่าใหญ่ซึ่งมีกระท่อมเล็กๆกระจายอยู่ประปรายตั้งแต่สมัยยุคบุกเบิก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกระท่อมของคุณยายที่คุณกำลังเดินทางไป

         ทางเข้าไปในป่านั้นมีอยู่หลักๆ 3 ทางด้วยกัน ทางแรกคือทางเข้าป่าหน้าหมู่บ้าน เป็นทางสายหลักที่ทุกคนใช้เป็นปกติเวลาจะเข้าไปในป่า ไม่ว่าจะเป็นเข้าไปเยี่ยมญาติหรือเก็บของป่า ซึ่งตรงนั้นเองจะมีตลาดเล็กๆเอาไว้แลกเปลี่ยนสิ่งของจึงทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองก็ว่าได้      

         ทางที่สองคือทางเข้าป่าท้ายหมู่บ้าน เป็นทางเข้าเล็กๆที่ตั้งอยู่เยื้องกับโบสถ์ประจำหมู่บ้านอันเงียบสงบ เป็นจุดที่ไม่ค่อยมีใครย่างกรายเข้าไปสักเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นเพราะเส้นทางค่อนข้างมืดและรกจนเกินไป

          และทางสุดท้ายนั้นตั้งอยู่หลังบ้านของลุงบ๊อบที่เป็นคนตัดฟืน ทางเส้นนี้ถูกเปิดให้ใช้เฉพาะเหล่านายพรานเพื่อความปลอดภัยของคนในหมู่บ้านที่อาจโดนลูกหลงจากกระสุนปืนหรือกับดัก วันดีคืนดีจะเห็นชายร่างใหญ่เดินออกมาพร้อมซากกระต่ายตัวใหญ่เอย กวางเอย นกเอย คุณแม่จึงไม่ค่อยชอบให้คุณไปเล่นแถวๆบ้านหลังนั้นสักเท่าไหร่ แต่คุณก็แอบภาวนาขอให้สักวัน”หมาป่า”ใจร้ายจะถูกเพื่อนๆของลุงบ๊อบจับได้เหมือนในนิทานเสียที   

         นอกจากจะมีทางเข้าที่ตั้งอยู่คนละแห่งแล้ว ทางเดินในป่าของทั้งสามทางยังแยกจากกันแต่คุณจำได้ว่าคุณแม่เคยบอกว่าจะมีบางจุดที่เชื่อมต่อทางเดินเหล่านั้นเข้าด้วยกันอยู่

         และวันนี้ทางที่คุณจะใช้คือทางเข้าป่าหน้าหมู่บ้านที่คุณใช้เดินไปบ้านคุณยายกับคุณแม่ทุกๆครั้ง ใช่แล้ว...ทางที่ต้องผ่านตลาดอันแสนอึกทึกชวนเวียนหัวนั่นเอง

      

     

         “เฮ้อ...ออกมาได้สักที”

          หลังจากทักทายผู้คนไป26คน ได้รับขนมมา4ชิ้น และปฏิเสธที่จะรับปลาสดตัวใหญ่จากร้านขายปลาไป1ตัว คุณก็พาตัวเองออกมาจากตลาดได้สำเร็จ

          คุณปาดเหงื่อก่อนเปิดตะกร้าดูว่าพายยังอยู่ในสภาพเดิมหรือไม่ ซึ่งโชคดีว่าแม้จะเย็นชืดไปบ้างแต่ก็ยังดูดีไม่เปลี่ยน

          เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนเงยหน้าขึ้นจากตะกร้า

     

         !!!!!     

     

         และภาพตรงหน้านั่นทำให้คุณใจกระตุกวูบเหมือนถูกสปริงดึงรั้งแล้วปล่อยอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ตั้งตัว

         คุณกลืนน้ำลายเหนียวหนืดอย่างฝืดคอ

        

        มารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงหน้าทางเข้าป่าแล้ว

     

        

         จ้อกแจ้ก...จ้อกแจ้ก...

         คุณมองไปรอบด้าน    

          จุดที่คุณยืนอยู่คือปลายสุดถนนปูอิฐของหมู่บ้านที่ส่งต่อไปยังถนนดินธรรมดาๆลากยาวเข้าไปในป่าที่ดูแล้วราวกับซุ้มต้นไม้ตามธรรมชาติที่ยอมให้แสงลอดผ่านเพียงน้อยนิด

          จริงอยู่ที่ว่าจนถึงจุดนี้ยังมีคนในหมู่บ้านอยู่ประปรายแต่หากตรงเข้าไปตามทางในป่าแล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อจะไปบ้านคุณยายเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงจะเหลือเพียงคุณตามลำพังในทันที

     

          “ไม่ไปแล้วไม่ได้เหรอ” คุณพึมพัมกับตัวเอง

          หัวใจเริ่มเต้นแรง มือที่กำตะกร้าไว้เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้น รู้สึกถึงความกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้นอีกครั้ง

           ต้นไม้สีเขียวแก่ไหวเอนตามลมราวกับกวักมือเชื้อเชิญให้เข้าไปสู่ความมืดมิดที่ไม่มีทางย้อนกลับ

           คุณรีบสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆออกไป

     

          “เราต้องทำได้สิ!

          ต้องกล้าหาญให้เหมือนกับตัวเอกในนิทาน

          เด็กสาวให้กำลังใจตนเองแบบนั้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

           มือเล็กคลายฮู้ดที่คอเล็กน้อยให้หายใจสะดวกขึ้น พ่นลมหายใจยาวๆก่อนตัดสินใจก้าวเท้าออกจากอิฐก้อนสุดท้าย

         ผ้าคลุมสีแดงโบกสะบัดอย่างเด่นชัดท่ามกลางสีเขียวของป่ามืดทึบ และนี่คือการเดินทางลึกเข้าไปในป่าตามลำพังครั้งแรกของเด็กสาวผู้สวมฮู้ดสีแดงสดที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล

         

     

        “เข้ามาสิ เด็กน้อย

         จงเข้ามาเพียงลำพัง

         ป่ากำลังรอเธออยู่

         ความเชื่อ กำลังรอเธออยู่”




    (C) ELIZILE
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×