ศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย - ศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย นิยาย ศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย : Dek-D.com - Writer

    ศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย

    อันนี้ ก็เกี่ยวกับ "คนไทย" เหมือนกันนะค่ะ สังคม เกิดมาคู่กับ ศาสนากันอยู่แล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    4,714

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    4.71K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.ค. 49 / 22:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย

      มนุษย์มีความหวาดกลัวเป็นปมที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกมาแต่กำเนิด  อันนำมาสู่ความปรารถนาในการปลดเปลื้องความกลัวนั้นด้วยการพยายามหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ก่อกำเนิดเป็นรูปแบบความเชื่อถือที่เรียกกันว่า ศาสนา  ดังนั้นศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญในการอบรมขัดเกลาบุคคลให้ดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีแบบแผนตามแนวคิดที่แต่ละศาสนาจะเห็นเป็นเรื่องถูกต้อง

                      ตั้งแต่ครั้งบรรพกาลผู้คนในพื้นที่ประเทศไทยก็มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เริ่มต้นจากรูปแบบความเชื่อที่ถือกันว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก นั่นคือ การนับถือภูตผีปีศาจ ( Animism )

                      คนไทยนับถือผีกันมาตั้งแต่เริ่มมีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งเมื่อ 5,000 – 4,500  ปีมาแล้ว  พวกเขาเชื่อว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น เช่น ฝนตก ฟ้าร้องฟ้าผ่า  น้ำท่วม ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลต่อการดำรงชีวิต เกิดขึ้นได้เพราะอำนาจที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า ผี

                  ผี ในที่นี้มิได้หมายถึง วิญญาณของคนตาย หากความหมายของมันตรงกับความหมายของคำว่าเทพเจ้าในปัจจุบันนั่นเอง  คนไทยโบราณเชื่อว่าผีมีอำนาจที่จะบันดาลสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้นการเซ่นสรวงบำบวงเพื่อสร้างความพอใจให้ผีจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ อันจะนำความผาสุกมาสู่ตนเองและเผ่าพันธุ์สืบไป ผีจึงมีหลายอย่าง เช่นผีฟ้าหรือพญาแถนซึ่งเป็นพญาผี เป็นใหญ่กว่าผีทั้งหลายในโลก  ผีป่า  ผีปู่ผีย่าหรือผีบรรพบุรุษ ผีประจำถิ่นและผีเหล่านี้สามารถปรากฏกายในรูปลักษณ์ต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ เช่นดาวตก เป็นต้น

                  ฉะนั้นคนพวกนี้จึงเคารพบูชาคน สัตว์ หรือสิ่งของที่เชื่อว่าสามารถติดต่อหรือเชื่อมโยงกับผีได้ เช่นคนทรง สัตว์เช่น กบ แมว งู ช้าง หรือสิ่งของ เช่น ก้อนอุกกาบาต 

                      ในเวลาต่อมากลุ่มชนขยายใหญ่ขึ้นและรับเอาอารยธรรมจากดินแดนอื่นเข้ามาแล้วนั้น ปรากฎวิถีความเชื่อโบราณลัทธิหนึ่งที่แพร่หลายเข้ามาในดินแดนแถบนี้ และเหล่าชนต่างเชื่อถือบูชา นั่นคือศาสนาพราหมณ์ ฮินดู

                      ศาสนาพราหมณ์ถือกำเนิดขึ้นในชมพูทวีปเมื่อกว่า 3,000 ปีมาแล้ว โดยมีความเคารพศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายที่มีอำนาจอยู่เหนือสรรพสิ่ง โดยเฉพาะ พระพรหม – ผู้สรรสร้าง พระวิษณุ – ผู้รักษา และพระศิวะ – ผู้ทำลาย ซึ่งเรียกรวมกันว่า ตรีมูรติ  ความเชื่อเรื่องพลังอำนาจเหนือธรรมชาตินี่เองที่สามารถหล่อหลอมให้คนในดินแดนสยามเชื่อถือยอมรับในศาสนานี้อย่างเต็มใจ เพราะนอกจากจะไม่ขัดแย้งกับลัทธิความเชื่อดั้งเดิมที่เคยมีมาแล้วยังเท่ากับเป็นการขยายความเชื่อดั้งเดิมที่เคยนับถือสิ่งที่ไร้ตัวตนให้กลายเป็นสิ่งที่มีตัวตนสามารถสัมผัสได้มากขึ้น กลายเป็นเหล่าทวยเทพที่ปกปักคุ้มครองโลก 

                      ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เข้าสู่ดินแดนแถบนี้เมื่อประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว โดยเชื่อว่าเหล่าพราหณ์ซึ่งเดินทางจากอินเดียเป็นผู้นำเข้ามา และนับถือแพร่หลายกันไปทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์

                      ประมาณกันว่า ในราว พ.ศ.569 พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์โมริยะผู้ปกครองอินเดีย ทรงส่งสมณทูต 2 องค์ คือ พระโสณเถระและพระอุตตรเถระเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนที่เรียกกันว่า สุวรรณภูมิ ซึ่งจดหมายเหตุจีนระบุว่าอยู่ระหว่างพุกาม( พม่า )กับพระนครของเขมรจึงน่าจะหมายถึงดินแดนสยามในปัจจุบัน

                      ผู้ปกครองรัฐในขณะนั้นซึ่งเรียกตนเองว่าอาณาจักรทวารวดี ได้ยอมรับนับถือศาสนาใหม่นี้อย่างเต็มที่ทำให้ประชาชนต่างหันมาให้ความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนากันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งเนื้อแท้แห่งพระพุทธศาสนาก็สอดคล้องกับลักษณะพื้นฐานของคนไทย และไม่เป็นปฏิปักษ์รุนแรงกับความเชื่อดั้งเดิม

                      ศาสนาพุทธนิกายแรกที่เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้คือ นิกายมหายาน ซึ่งมีความเชื่อเป็นหลักว่าพระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์มากดุจเม็ดทรายในมหาสมุทร นอกจากนี้ยังเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ ว่าคือบุคคลผู้ทำความดีอย่างยิ่งยวด แต่ไม่ยอมเข้าสู่โลกนิพพาน หากยังอยู่ในโลกนี้เพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกองทุกข์ พระโพธิสัตว์มีหลายพระองค์ เช่น ปัทมปาณิโพธิสัตว์ มัญชุศรีโพธิสัตว์  หรือ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ผู้มีชื่อเสียงและได้รับการนับถือศรัทธามากที่สุด

                      ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ในอาณาจักรทวาราวดี พระพุทธศาสนานิกายหินยานจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทและเจริญถึงขีดสุดในสมัยสุโขไทเป็นต้นมา ด้วยแนวคิดหลักที่เน้นเหตุและผล เสนอแนวทางการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่เบียดเบียนทำให้นิกายนี้เจริญควบคู่กับบบ้านเมืองในแถบนี้มาตลอด

                      ในสมัยสุโขไท เรารับรูปแบบของศาสนาพุทธจากศรีลังกา โดยผ่านทางเมืองเมาะตะมะของมอญ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัด สงบเสงี่ยม ทำให้ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับศรีลังกาในสมัยนั้นมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น ส่งผลต่อศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ซึ่งล้วนมีต้นกำเนิดมาจากศาสนา

                      ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามาในดินแดนสยามตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีประมาณรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2  ในพ.ศ.1555  มีมิชชันนารีซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโปรตุเกสคณะดอมินิกัน ฟรันซิสกันและเยสุอิตทยอยเข้ามา และร่วมอยู่กับประชาคมชาวโปรตุเกส สั่งสอนศาสนาและมีชาวอยุธยาเลื่อมใสเข้ารีตจำนวนไม่น้อย 

                      ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนักบวชในคริสต์ศาสนามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและบริหารประเทศ เวลานั้นมีคนไทยเข้ารีตประมาณ 2,000 คน นักบวช 11 องค์ และต้องยอมรับว่าบาทหลวงเหล่านี้มีส่วนอย่างมากต่อความเจริญของประเทศในเวลานั้น 

                      ในสัมยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ทรงอุปถัมภ์กิจการของคริสต์ศาสนาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด กระทั่งปัจจุบันประเทศไทยมีอัครสังฆราชาประจำอยู่ที่วัดอัสสัมชัญ เขตบางรักกรุงเทพมหานคร คือ พระคาร์ดินัลไมเคิล มีชัย กิจบุญชู ถือเป็นหนึ่งในพระราชาคณะแห่งคริสตจักรที่มีสิทธิ์เลือกและได้รับเลือกเป็นสมเด็จพระสันตปาปา ประมุขแห่งคริสตจักร 

                      สำหรับศาสนาคริสต์นิกายโปแตสแตนท์นั้นเริ่มมีบทบาทในประเทศไทยในปี 1828 เมื่อมิชชันนารีคณะแรกจากสมาคมมิชชันนารีลอนดอน ( London Missionary Society) ซึ่งประกอบด้วยศาสนาจารย์ออกัสกุตช์ลาฟฟ์ชาวเยอรมันและศาสนาจารย์ยากอบ  ทอมลินเริ่มเข้ามาเผยแพร่ศาสนาที่กรุงเทพฯ   ความจริงทั้งสองตั้งใจจะไปเมืองจีนแต่ก็ได้เปลี่ยนความตั้งใจและทำงานกับคนจีนที่กรุงเทพฯ แทน   และได้ร่วมกันแปล                     พระวรสาร ( The Gosple) ทั้งสี่เล่มออกเป็นภาษาไทย เมื่อเห็นว่างานดำเนินไปด้วยดีจึงขอคณะกรรมาธิการอเมริกันเพื่องานธรรมทูตต่างประเทศ (Ame rican Board of Commissioners for Foreign Missions) ให้ส่ง             มิชชันนารีมาเพิ่ม และได้ติดต่อคณะอเมริกันบับติสท์มิชชั่นในพม่าให้ส่งคนมาช่วย ศาสนาจารย์ยอห์น เทเลอร์ โจนส์จึงได้มาพร้อมกับครอบครัวในปี 1833 และได้แปลหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดเป็นภาษาไทย  กิจการของโปแตสแตนท์จึงดำเนินไปได้ด้วยดีตลอดมา

                      สำหรับศาสนาอิสลามนั้นได้เผยแผ่มาสู่ประไทยโดยชาวมุสลิมที่มากับเรือสินค้า และเข้ามาติดต่อค้าขายกับคนไทยในในภาคใต้ ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแผ่ด้วย จากนั้นก็ได้แพร่ขยายมากขึ้นจนเป็นที่รู้จักของผู้คน และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้เราทราบว่า ศาสนาอิสลามได้เผยแผ่เข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย 

                      ชาวมุสลิมที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีหลายเชื้อสายด้วยกัน เช่น เชื้อสายอินเดีย เชื้อสายปากีสถาน เชื้อสายจีน เชื้อสายเปอร์เซียหรืออิหร่าน  ประกอบด้วยนิกายซุนีห์และนิกายชีอะฮ์ที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

                      ลักษณะเด่นของศาสนาและความเชื่อในประเทศไทยก็คือความผสมกลมกลืนกันและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  แม้จะเป็นเมืองพุทธ และเรียกตัวเองว่าพุทธศาสนิกชน แต่คนไทยก็ยังเคารพนับถือเทพเจ้า และภูติผี กันอยู่ ฉะนั้น เราจึงยังเห็นวัดวาอารามควบคู่กันไปกับศาลเจ้า ศาลพระภูมิ และศาลของผี ในขณะเดียวกันการเคารพในความคิดและความเชื่อของผู้อื่นก็ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย.

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×