ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัก...อันตราย AimNam AF11

    ลำดับตอนที่ #4 : ระทึก

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 57


    น้ำกระเด้งตัวออกจากเอมแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชายหนุ่มที่ดังอยู่ด้านนอก ก่อนเจ้าของเสียงจะเปิดประตูเข้ามาในชมรม เต๋ามองหญิงสาวทั้งสองคนที่มีท่าทางเก้อเขินกันอย่างแปลกใจ แก้มขาวของสาวหมวยขึ้นสีแดงเรื่อ และจับหน้าจับผมดูไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย พอมองไปที่เอมฝ่ายนั้นไม่มีท่าทางอะไร แต่ก็นิ่งซะจนน่าแปลกใจ 
                “เอ่อ พี่เต๋ามีอะไรหรือเปล่าคะ” น้ำที่หาเสียงตัวเองได้ก่อนเพื่อนสนิทเป็นฝ่ายเอ่ยถาม เธอรู้สึกร้อนข้างในแปลกๆ กับเหตุการณ์ชวนระทึกใจที่เกิดขึ้นก่อนชายหนุ่มจะเดินเข้ามา นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเต๋าไม่เข้ามาขัดจังหวะมันจะเป็นยังไง          
                เธอเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิทที่เม้มปากแน่นคล้ายกำลังทำใจกับอะไรสักอย่าง ก่อนจะได้คิดอะไรนอกเหนือจากนั้น ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนเดียวของห้องเอ่ยขึ้นมาซะก่อน     
                “พี่ว่าจะมาชวนน้องน้ำไปทานข้าวกลางวันครับ พอดีเมื่อกี้เจอแม็คเขาบอกว่าน้ำน่าจะมาห้องชมรม” เต๋าพูดพลางยิ้มกว้าง ทั้งที่ในใจเขาเริ่มรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของเพื่อนสนิทคู่นี้ ความสัมพันธ์บางอย่างที่กั้นเขาเอาไว้     
                “น้ำยังไม่หิวเลยค่ะ” สาวหมวยตอบปฏิเสธพร้อมสายตาเชิงขอโทษ เธอยังไม่อยากทะเลาะกับเอมเพราะเรื่องของเต๋าอีก ถึงอีกฝ่ายจะตามใจให้เธอคุยได้ แต่เธอรู้ว่าเอมไม่ได้รู้สึกยอมรับจริงๆ ที่บอกออกมาเพราะอยากให้เธอสบายใจเท่านั้น  
                เอมได้แต่ฟังบทสนทนาโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไร เพราะอารมณ์ตอนนี้ไม่ปรกติคงที่เท่าไหร่ เผลอๆอาจจะได้ฆ่าผู้ชายหน้าหล่อคนนี้ ที่เข้ามาขัดจังหวะในเวลาสำคัญ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ทำไมสวรรค์ไม่เข้าข้างเธอบ้าง 
                แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งเข้ามาในสมองทันที น้ำทำแบบนั้นอาจะเป็นเพราะอารมณ์หวั่นไหว น้อยใจ สับสนหรืออะไรก็ตาม และถ้ามันเกิดขึ้นจริงเหตุการณ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ของเราจะเหมือนเดิม หรือไม่มันก็แย่กว่าเดิม ซึ่งเธอคงทำใจไม่ได้จริงๆ ถ้ามันจะไม่เหมือนเดิม แม้การอยู่ข้างๆจะเป็นได้แค่เพื่อนสนิท แต่มันก็ดีกว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน 
                “งั้นพี่รอที่นี่ก็ได้ครับ น้องน้ำหิวเมื่อไหร่เราค่อยไปกินกัน” เต๋าบอกเมื่อได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธ บอกได้เลยว่าตอนนี้เขาไม่ไว้ใจอะไรเลย ทั้งที่เคยคิดว่าเอมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกุมหัวใจน้ำ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าสาวหน้าคมคนนี้แหละที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด

    “พี่เต๋าคะ น้ำยังไม่หิวเลยคงพี่ไม่ต้องรอหรอกค่ะ น้ำเกรงใจ” น้ำบอกย้ำอีกครั้ง แต่ดูท่าแล้วชายหนุ่มจะดื้ออยู่ไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มมาให้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเดียวกันกับเอม เพียงแค่อยู่คนละฝั่ง กลายเป็นว่าตอนนี้ที่นั่งมีที่ว่างอยู่ที่เดียวคือตรงกลาง   
                “น้ำจะไปกินข้าวก็ได้นะ เดี๋ยวเอมไปด้วย” เป็นเอมที่เอ่ยทำลายความอึดอัดระหว่างสามเรา ไม่ใช่ว่าเธอสงสารพี่เต๋าที่ต้องมานั่งรอ แต่ไม่อยากให้น้ำมานั่งตรงกลางต่างหาก เพราะถ้าน้ำทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาระหว่างเธอกับเต๋าละก็ คงได้อกแตกตายกันพอดี ไม่อยากให้เข้าใกล้เกินสามเมตรเลยด้วยซ้ำ แต่จะทำไงได้ล่ะ เป็นแค่เพื่อนสนิท ต้องอย่าคิดสะเออะ          
                “เอมหิวแล้วเหรอ งั้นไปกินเลยก็ได้” น้ำตอบตกลงทันทีที่เอมเอ่ยปาก ให้ชายหนุ่มที่ฟังอยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เขาชวนตั้งสองรอบกลับโดนปฏิเสธทั้งสองรอบ แต่กลับเอมที่บอกเพียงแค่ประโยคเดียว น้ำดันตกลงอย่างง่ายดาย           
                “น้องเอมจะไปด้วยเหรอครับ” เขาเผลอถามออกมาด้วยความไม่พอใจที่สะสมมาจากเมื่อเช้า หลังจากโดนเอมเหวี่ยงใส่เมื่อเช้า และไหนจะความสัมพันธ์คลุมเครือของทั้งคู่อีก มันเลยทำให้เขาหลุดปากไปโดยไม่คิด
                “แล้วทำไมเอมจะไปด้วยไม่ได้คะ” สาวหน้าคมไม่ได้เคารพชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว เขาทำเหมือนเธอเป็นส่วนเกินในชีวิต ทั้งที่จริงแล้วเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้ามาทีหลัง “พี่ถามเหมือนจะไปกับน้ำสองคน แล้วทิ้งเอมไว้อย่างนั้นแหละ”    
                ชายหนุ่มชะงักไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะถามไปแบบนั้น แต่เพราะมันรู้สึกน้อยใจ เมื่อสาวหมวยทำเหมือนคำชวนของเขาไม่ได้มีค่าเท่ากับเอม         
                “ถ้าอย่างนั้นเอมไม่ไปค่ะ น้ำไปกินกับพี่เต๋าสองคนเถอะ เราจะไปห้องเรียนแล้วเจอกันที่ห้องนะ” พูดจบเอมก็เดินออกจากห้องชมรมทันที น้ำจะเรียกตัวเอาไว้ก็ไม่ทันซะแล้ว เพราะคนพูดเดินตัวปลิวไปด้วยความเร็วสูง                                             

                น้ำหันมาประจันหน้ากับชายหนุ่มคนเดียวที่ทำให้เธอกับเพื่อนต้องทะเลาะกันภายในวันเดียว เธอพยายามเรียบเรียงคำพูด พยายามไม่ให้ความโกรธทำคำที่ออกไปมันดูรุนแรง แต่รู้สึกว่าทำไม่ได้เอาซะเลย          
                “น้ำแคร์เอมมากเลยนะครับ” เต๋าพูดเสียงแผ่ว เมื่อเห็นใบหน้าโกรธเคืองของคนตรงหน้า เขาพอจะรู้มาบ้างว่าอาการหวงเพื่อนของสาวหมวยมันหนักหนาสาหัสขนาดไหน เพราะเพื่อนเขาหลายคนที่เคยใจกล้าไปจีบเอม ก็โดนหญิงสาวคนนี้เหวี่ยงกลับมาอย่างไม่ไว้หน้า “ดูไม่เหมือนเพื่อนกันเลย”     
                คำพูดของชายหนุ่มแทงใจคนฟังเข้าอย่างจัง น้ำนิ่งไปเพราะทุกอย่างที่เต๋าบอกออกมามันจริงทุกอย่าง เธอหวงเอมมาก ไม่ว่าใครที่เข้ามาหวังสานสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทของเธอ จะต้องโดนเหวี่ยงใส่ทุกราย และไม่เคยถามตัวเองว่ามันเป็นเพราะอะไร เธอรู้แค่ว่าถ้าเอมไม่ว่าอะไรก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร นึกไปเองว่ามันเป็นสิ่งที่เพื่อนปรกติทำกัน       
                เพื่อนปรกติทำกัน พอนึกถึงคำนี้พลันเหตุการณ์ชวนหวั่นใจที่เพิ่งผ่านไปก็ปรากฏขึ้นในหัวทันที เพื่อนที่ไหนจะอยากจูบกัน จูบกัน นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย แต่พอนึกดีๆช่วงเวลานั้นเธอก็อยากทำแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าหลงความสวยหรืออะไร แต่ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร      
                ทุกครั้งจะเป็นเธอเสมอที่คิดว่าเอมเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเธอมากเกินไป จนบางครั้งรู้สึกอึดอัด แต่ก็ทุกครั้งที่เธอเข้าไปวุ่นวายในชีวิตของสาวหน้าคม และไม่เคยได้รับคำต่อว่าอะไรมาเลย เอมยอมเธอเสมอ ยอมจนเธอเคยตัว และคิดไปเองอีกแล้วว่าเพื่อนปรกติเขาทำกัน          
                จนมันไม่ปรกติเมื่อเธอมาย้อนคิดนี่แหละ   
                “น้ำแคร์เอมมากอย่างที่พี่เต๋าบอกจริงๆนั่นแหละค่ะ” น้ำเอ่ยออกมาเบาๆ หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก “เพราะเอมเป็นคนสำคัญของน้ำ อย่างที่ไม่มีใครจะเป็นได้”

                “รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก โอ๊ย ไม่รักอีกแล้ว เหนื่อยจะเด็ดแล้วนะ” เอมบอกอย่างหัวเสีย พลางปาก้านดอกไม้ลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ แม้จะเป็นเสี่ยงดวงที่ปัญญาอ่อน แต่มันก็ทำให้เธออินอย่างเหลือเชื่อ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นความจริง ความจริงที่น้ำไม่ได้รักเธอ         
                บางครั้งก็อยากถามออกไปเหมือนกัน ว่าเคยคิดจะมองกันมากกว่าเพื่อนสนิทบ้างหรือเปล่า หลายครั้งที่น้ำแสดงออกมาว่าหวงและห่วงเธอมาก จนทำให้หวังกับตัวเองอยู่ลึกๆ แต่หลายหนก็สับสนเมื่อน้ำทำเหมือนรำคาญเธอขึ้นมาซะอย่างนั้น และพอจะไปสนิทกับคนอื่นก็มาทำหวงให้คนอื่นไม่กล้าเข้ามายุ่ง จนเธอคิดว่าตัวเองสำคัญ แล้วสักพักก็วนกลับไปเหมือนเดิม 
                สรุปแล้วเธออยู่ในฐานะไหนกันแน่
                เคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเองหลายรอบ ตอนรู้ตัวว่าตกหลุมรัก แต่คำตอบที่ได้ออกมาจากตัวเองก็เหมือนอีกเช่นเคย เพื่อนสนิทยังไงล่ะคะ สาธิดา  
                “ถ้าวันนี้เอมต้องอยู่ทำความสะอาด บอกไว้ก่อนเลยนะว่าน้ำไม่ช่วย” เสียงห้าวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เอมหันไปมองทันที ก่อนจะพบกับใบหน้าที่ยิ้มให้เต็มแก้ว จนเธอใจสั่นระรัวกับภาพที่เห็น นี่จะทำให้เธอตกหลุมรักวันล่ะกี่รอบกันล่ะเนี่ย   
                “ซื้อขนมปังมาฝาก” น้ำชูขนมปังในมือให้อีกฝ่ายดู “ไม่กินข้าวให้ตรงเวลาเดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก”  
                เอมยิ้มน้อยๆกับความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนสนิท ก็เพราะแบบนี้แหละเธอถึงไปไหนไม่รอดสักที พอจะตีตัวออกห่างก็มาทำให้ปลื้ม ไปๆมาๆก็ย่ำอยู่ที่เดิม ตัดใจไม่ได้เหมือนเดิม สาวหน้าคมยื่นมือไปรับขนมปัง แกะซองก่อนจะฉีกเข้าปากทันที ตอนแรกก็ไม่หิวนะ แต่พอหิวเท่านั้นแหละหิวเลย       
                “กินข้าวมาแล้วเหรอ” เธอเอ่ยถามสาวหมวย เลี่ยงที่จะพูดถึงชายหนุ่มอีกคนอย่างจงใจ 
                “ไม่ได้กิน นี่ไงซื้อขึ้นมากินด้วย”     
                “แล้วทำไมไม่กินล่ะ แค่นี้จะอิ่มเหรอ”         
                “เอม น้ำไม่ได้กินจุขนาดนั้น อย่ามาพูดเหมือนน้ำเป็นคนตะกละสิ ใครมาได้ยินเข้าเขาจะเข้าใจผิดเอานะ”           
                                       
                เอมทำสีหน้าไม่เชื่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนตะกละ แต่เรื่องกินจุมันเป็นความจริง เธอจำได้เลยว่ามีอยู่วันหนึ่งน้ำกินห้ามื้อ และไม่ใช่มื้อเบาๆซะด้วย แต่จัดหนักจัดเต็มทุกมื้อ เพราะฉะนั้นขนมปังก้อนเท่านี้ไม่พอประทังกระเพาะของสาวหมวยแน่นอน 
                “พี่เต๋าไม่ได้พาไปกินเหรอ” อุตส่าห์เลี่ยงจะพูดถึง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเอ่ยถามอยู่ดี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้คำตอบที่ต้องการอย่างแน่นอน “หรือว่าทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”     
                น้ำส่ายศีรษะเบาๆเป็นคำตอบว่าเปล่า ในขณะที่ปากยังเคี้ยวขนมปังจนแก้มตุ่ย ไม่รู้เหมือนกันว่างสิ่งที่เกิดขึ้นมันเรียกว่าทะเลาะหรือเปล่า แต่แน่ใจว่าพี่เต๋าคงไม่พอใจเท่าไหร่กับสิ่งที่เธอพูด
                ช่วยไม่ได้ เธอพูดความจริงและเขาควรรับให้ได้       
                “แล้วหายไปตั้งนาน” เอมบอกพลางหยิบน้ำมาเปิดฝา แล้วรีบยื่นให้เพื่อนสนิทที่ดูท่าว่าขนมปังติดคอ เล่นยัดเข้าไปซะขนาดนั้น “ระวังค่อยๆกิน เดี๋ยวสำลักน้ำ”     
                “ขอบคุณนะ” น้ำบอกเมื่อผ่านเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเฉียดตาย ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มน้อยๆของเพื่อนสนิท เอมมักยิ้มแบบนี้เสมอ ยิ้มแบบสุภาพแต่มองแล้วอบอุ่น   
                สงสัยเธอคงต้องลองค้นใจตัวเองดูสักครั้ง ว่าแท้จริงแล้วคิดอย่างไรกับเพื่อนสนิทคนนี้ เป็นแค่อารมณ์หวั่นไหวหรือเปล่า เพราะถ้ามันลึกซึ้งกว่านั้นเธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจจีบเพื่อนตัวเองถูก แต่ถ้าไม่จะได้ถอนตัวกลับมาเป็นเพื่อนสนิทไม่ได้          
                แต่ถ้าเอมไม่ได้คิดเหมือนกันล่ะ อันนี้แหละปัญหาหนัก        
                “เป็นอะไรคิดอะไรอยู่ เดี๋ยวนี้เหม่อบ่อยนะเรา” เอมแซวเมื่อเห็นน้ำนิ่งไป ก่อนจะยื่นนิ้วไปคลึงตรงหัวคิ้วของสาวหมวย ที่ขมวดเข้ากันโดยเจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลยสักนิดว่าเผลอทำหน้าเครียด ให้คนมองมองด้วยความเป็นห่วง      
                “คิดมากเดี๋ยวแก่เร็วนะ” เสียงนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้ม จนน้ำเผลอมองอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยถามคล้ายกับละเมอ           
                “ถ้าแก่แล้วจะรักหรือเปล่า”          
                เอมชะงักไปหัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยินคำถาม เธอทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าน้ำถามในฐานะไหน แต่คำตอบที่มีก็มีอยู่แค่คำตอบเดียว           
                “รักสิ”   
                หนักแน่น มั่นคง จนคนฟังสะท้านไปทั้งใจ รักในฐานะไหนตอนนี้สาวหมวยไม่คิดสนใจ รู้แค่ว่าเอมรักเธอแค่นั้นพอ พอแล้วจริงๆ

                บรรยากาศในคลาสเรียนดีขึ้นทันตาเห็น เมื่อเอมกลับมาเรียนและดูเหมือนทั้งคู่จะคืนดีกันแล้ว จนเพื่อนในห้องพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเมื่อเช้าการที่ต้องทนเรียนภายใต้รังสีความโกรธที่แผ่ออกมาจากน้ำไม่ใช่เรื่องสนุก        
                ทว่าสิ่งที่มันเพิ่มมาคือบรรยากาศหวานๆที่ทุกคนเริ่มสัมผัสได้ อันที่จริงทั้งสองคนก็หวานเกินคำว่าเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เหมือนมันมากกว่าเดิมตั้งหลายเท่าตัว และทุกคนก็ได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งว่า การทนเรียนภายใต้ความสวีทหวานก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เช่นกัน

                “จะไม่ลงมาไหว้น้าก้อยหน่อยเหรอ” น้ำเอ่ยถามคนบนรถที่ส่ายหน้าน้อยๆ เธอทำหน้าบูดบึ้งใส่คนที่ไม่ยอมตามใจ ให้ต้องรีบเอ่ยปากง้อ 
                “วันนี้เอมมีธุระจริงๆ พ่อให้รีบกลับบ้าน” เอมบอกเหตุผล อันที่จริงก็อยากจะอยู่ต่อแต่เพราะนัดกับบิดาไว้แล้ว เธอเลยไม่อยากจะผิดสัญญา นานทีปีหนจะได้เจอ    
                “โอเค เห็นว่ามีธุระหรอกนะ เลยยอมให้กลับ” คนขี้งอนยอมหายแบบไม่ค่อยเต็มใจ “กลับบ้านดีๆนะ ถึงบ้านเมื่อไหร่โทรมาบอกด้วย”    
                “ได้เลยครับผม” 
                น้ำหัวเราะเมื่อเอมตะเบ๊ะเป็นการรับปาก สาวหน้าคมโบกมือให้คนข้างนอกก่อนจะเลื่อนกระจกปิดเหมือนเดิม และรถยนต์ยุโรปคันหรูจึงเคลื่อนตัวจากไป สาวหมวยยืนมองจนรถเลี้ยวหายลับตาไป แล้วจึงเดินเข้าบ้าน           
                น้ำรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมีความสุขกับอะไรบางอย่าง ที่บอกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เธอเดินเข้าบ้านพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี          
                “ยืนยิ้มกับตัวเองเป็นบ้าเหรอลูก” น้าก้อยเอ่ยทักหลานสาวที่ยืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน “ถ้าจะยิ้มก็เข้ามายิ้มในบ้าน เดี๋ยวใครมาเห็นจะเข้าใจผิดเอา”    
                “น้าก้อยอ่ะ คนมันอารมณ์ดีนี่ จะให้หน้าบูดบึ้งหรือยังไงล่ะ  
                น้ำมองค้อนคนเป็นน้าที่หัวเราะกับความสุขของเธอ แต่ก็จริงอย่างที่น้าก้อยบอกล่ะนะ ถ้าเกิดใครผ่านมาแล้วเห็นเธอยืนยิ้มอยู่คนเดียว ก็คงตีความได้อย่างเดียวว่าเธอไม่ปรกติ    
                “มีเรื่องอะไรที่ทำให้หลานสาวน้ายิ้มหน้าบานขนาดนี้ล่ะเนี่ย” น้าก้อยเอ่ยถามอย่างสงสัย มันเรื่องอะไรที่มันอดไม่ได้ขนาดต้องไปยืนยิ้มแบบนั้น “หรือน้ำถูกหวย ทำไมไม่บอกน้าบ้างล่ะ”        
                “ไปคนละเรื่องกันเลยค่ะ” น้ำบอกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน “ที่จริงน้ำก็ไม่รู้หรอกว่ายิ้มเรื่องอะไร แต่ว่ามันมีความสุขเลยยิ้มออกมาเท่านั้นเอง”
                ไม่รู้ว่าอธิบายจะทำให้คนฟังงงมากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า แต่เธอก็หมายความตามที่บอกจริงๆ เพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าความรู้สึกเต็มตื้นที่หัวใจแบบนี้มันคืออะไร 
                “เป็นเอามาก” น้าก้อยบอกยิ้มๆก่อนจะก้มลงไปอ่านงานต่อ   
                เป็นโชคดีของน้ำที่ไม่ต้องเสียค่าหอเหมือนอย่างคนอื่น เพราะเธอเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพ เมื่อต้องหาที่พัก บ้านของน้าก้อยจึงเป็นที่พักอาศัยชั้นเยี่ยมที่เจ้าของเต็มใจให้เธอมาอยู่ด้วย เพียงแค่ช่วยงานบ้านอย่างที่ควรทำก็เพียงพอแล้ว        
                “แล้ววันนี้กลับบ้านมายังไง” น้าก้อยเอ่ยถามขณะที่ยังอ่านกระดาษในมือไปด้วย          
                “วันนี้เอมมาส่งค่ะ”         
                น้ำรู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มมีเลศนัยของผู้เป็นน้า ก่อนจะที่เอ่ยประโยคที่ทำให้เธออึ้งออกมาก       
                “เพราะวันนี้เอมมาส่งหรือเปล่าเลยอารมณ์ดี หรือเพราะวันนี้เอมสารภาพรัก”   
                ความร้อนทั้งหมดไหลมากองรวมที่ใบหน้าขาว ไม่ต้องให้ใครมาบอกน้ำก็รู้ตัวว่าตอนนี้แก้มเธอต้องแดงมากๆ “ทำไมน้าก้อยพูดแบบนั้นล่ะคะ เอมจะมาสารภาพรักกับหนูทำไม”    
                น้ำบอกเสียงตะกุกตะกัก ไม่รู้เพราะเขินอายหรือว่าเพราะโดนพูดแทงใจดำกันแน่         
                “น้ำมองเอมไม่ออกจริงๆเหรอ” น้าก้อยถามด้วยความไม่เชื่อ เพราะสำหรับเธอแล้วมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว “สายตาเอมเวลามองน้ำมัน
    HD ซะขนาดนั้น เผลอๆจะระดับ 4K เลยนะนั่น” 
                สาวหมวยพูดอะไรไม่ออก บอกตามตรงเธอก็ไม่เคยสังเกตสายตาเวลาเอมมองเลยจริงๆ ถึงจะมีบางครั้งที่เคยสบตากัน และรู้สึกว่ามันหวานแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนพอน้าก้อยมาบอกแบบนี้เธอถึงได้รู้สึกตัว      
                นี่ตกลงว่าเอมรักเธอใช่หรือเปล่านะ

                ฝ่ายสาวหน้าคมที่ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่ากำลังตกเป็นประเด็นระหว่างสองน้าหลาน ก็กำลังนั่งยิ้มหวานอยู่ในรถอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ จนพูมที่ขับรถอยู่ต้องพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ เพราะไม่อยากล้อให้คุณหนูต้องอาย แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะสัมผัสไม่ได้ระหว่างความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อนสาว ที่วันนี้ดูจะหวานกว่าทุกวัน เหมือนว่าคนทั้งคู่กำลังเปิดใจเข้าหากัน    
                เอมเองก็รู้สึกได้แต่เธอไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะรู้ดีว่าการที่หวังเอาไว้สูงเวลาตกลงมามันจะเจ็บขนาดไหน แต่มันก็ห้ามได้ยาก จากการแสดงออกของน้ำวันนี้ทำให้เธอคิดไปไกลจนเกือบจะดึงตัวเองไม่อยู่ แต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดได้ไม่นาน เมื่อเธอเริ่มรู้สึกว่าบอดี้การ์ดเริ่มขับเร็วรถขึ้นเรื่อยๆ      
                “พี่พูม เอมไม่ได้รีบนะ” เธอชะโงกตัวไปบอกเขาเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง กำลังขับตามมาอย่างกระชั้นชิด       
                มันจะไม่น่าแปลกอะไรเลย ถ้าคนขี่รถทำแบบชาวบ้านปกติทั่วไป แต่แค่การแต่งการก็ห่างไกลจากคำว่าปรกติไปมากโข แดดร้อนเปรี้ยงขนาดนี้กลับแต่งชุดสีดำมิดชิด สวมหมวกกันน๊อคปิดหน้าปิดตา และยังเร่งความเร็วเข้ามาใกล้รถของเธออย่างจงใจ
                หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นักเลงปลายแถวแบบนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเธอด้วยซ้ำ คนที่จ้างพวกมันมาอาจจะลืมไปว่าเธอเองก็ลูกมาเฟียเหมือนกัน เรื่องที่จะฆ่ากันให้ตายไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆเลย            ดูถูกฝีมือของเธอต่ำเกินไปซะแล้ว 
                เอมมองออกไปนอกกระจกในมือกระชับปืนคู่ใจเอาไว้ ที่จริงเธอไม่ชอบฆ่าใครหรือพูดได้เลยว่าไม่เคยฆ่าใคร เพราะเธอคิดเสมอว่าชีวิตของคนเรา มีค่าเท่ากัน ไม่มีใครจะมีสิทธิ์ไปพรากชีวิตของคนอื่นได้อย่างชอบธรรม แล้วทำไมคนพวกนี้มันไม่คิดแบบเธอบ้าง ไม่สิต้องบอกว่าทำไมพี่ชายเธอไม่คิดแบบนี้บ้าง หรือเพราะความโลภมันบังตา      
                รถจักรยานยนต์เร่งความเร็วเข้ามาใกล้มากขึ้น ในช่วงจังหวะที่รถเธอแล่นอยู่คันเดียว พูมรู้ดีว่าเขาควรทำเช่นไร ชายหนุ่มชะลอรถให้ช้าลง พร้อมๆกับที่คุณหนูของเขาค่อยกดเปิดกระจกไม่ให้เป็นที่สังเกต และเสี้ยววินาทีที่คนซ้อนรถจักรยานยนต์ยกปืนขึ้นมา กลับช้ากว่าคุณหนูที่ยกมือขึ้นมาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว      
                “ปัง” เสียงปืนดังออกมาก่อนที่ฝ่ายนั้นจะได้ทันรู้ตัว กระสุนก็เจาะเข้าที่ไหล่ขวาของคนร้ายอย่างแมนยำราวจับวาง ตามมาด้วยอีกเสียงที่เจาะเข้าที่ยางรถจักรยานยนต์ล้อหลัง สองนัดในเวลาไม่ถึงสิบวิ แต่ก็ทำเข้าเป้าและทำให้ผู้ลอบทำร้ายต้องพ่ายอย่างไม่เป็นท่า           
                พูมจอดรถทันทีเมื่อเห็นว่ารถจักรยานยนต์ล้มคว่ำไป เคราะห์ดีที่ไม่มีรถตามมาไม่อย่างนั้นสองคนนั้นคงได้ลงนรกไปอย่างแน่นอน แต่สำหรับเขาคงเลือกจะลงนรกมากกว่าที่จะประจันหน้ากับคุณหนูตอนนี้ ดวงตาคมที่เปล่งประกายอ่อนโยนตลอดเวลา เปลี่ยนเป็นโหมดโหดร้ายได้ในทันที หญิงสาวเดินเข้าไปหาสองคนร้ายที่กระเสือกกระสนอย่างหมดทางสู้
                ชายหนุ่มคนร้ายผู้เป็นคนขับนิ่งไป เมื่อรู้สึกถึงมัจจุราชจ่ออยู่ที่ขมับ หันไปมองเพื่อนอีกคนก็มีสภาพไม่ต่างกัน ดูแล้วอาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำเพราะโดนยิง น้ำเสียงเย็นพูดให้เขากระตุกเฮือกอย่างตกใจ           
                “ถ้าไม่บอกว่าใครสั่งมา ฉันจะให้นายได้ลิ้มลองคำว่านรกบนดิน”       
               
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×