ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัก...อันตราย AimNam AF11

    ลำดับตอนที่ #1 : เพื่อนสนิท

    • อัปเดตล่าสุด 12 ธ.ค. 57


    “ถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีใคร อยากให้รู้ว่าไว้ว่าเธอมีฉัน ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครรักเธอ ยังมีฉันที่รักเธอเสมอ เพียงแต่เธอไม่รู้เท่านั้นเอง”

    เพื่อนสนิท คือคนที่คอยช่วยเหลือกัน เพื่อนสนิทคือคนที่คอยให้คำปรึกษาทุกเรื่อง แต่สำหรับเธอแล้วเพื่อนสนิทคือคนที่เธอแอบรัก 
                “จดหมายจากพี่เต๋าฝากมาให้”     
                น้ำเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ก่อนจะมองซองจดหมายสีขาวที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ “จดหมายนี่นะ วันนี้สองซองแล้วนะ พี่เค้าขยันเขียนขนาดนั้นเลย”         
                “แค่รับแล้วอ่านมันไม่ลำบากขนาดนั้นหรอกน้ำ แต่เรานี่สิพี่เค้าเห็นเราเป็นบุรุษไปรษณีย์ไปแล้วมั้ง เจอทีไหร่ก็น้องเอมครับ ฝากจดหมายให้น้องน้ำหน่อยครับ ไม่ลำบากกว่าอีกเหรอ” เอมบ่นออกมาอย่างเหลืออด กับความโรแมนติกของรุ่นพี่คนสนิท ที่ดันมาแอบชอบเพื่อนสนิทของเธอ เน้นว่าของเธอ 
                “ไหนพี่เขาเขียนมาว่ายังไง มีกลอนไหม ขออ่านหน่อยได้เปล่า” สาวหน้าคมยื่นหน้าไปอ่านจดหมายที่อยู่ในมือสาวหมวย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายดึงออกไปแนบไว้กับตัว        
                “อย่ามาอ่านของเขานะ พี่เต๋าเอามาให้น้ำอ่าน เพราะฉะนั้นน้ำอ่านได้คนเดียว”
                “อ้าว แต่เอมเป็นเพื่อนสนิทน้ำนะ ทำไมถึงอ่านไม่ได้อ่ะ”       
                “อย่ามางอนงี่เง่านะเอม เรื่องนี้มันเรื่องส่วนตัวของน้ำ” เสียงน้ำเริ่มแข็งเมื่อเพื่อนสนิทเริ่มงอแง และพูดจาไม่รู้เรื่อง           
                เธอกับเอมเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน นานจนคิดว่าเราสองคนคงจะไม่มีความลับต่อกัน แต่บางครั้งคำว่าเพื่อนสนิทมันก็ทำให้เธออึดอัด เมื่อมันทำให้เธอและเอมแทบจะไม่มีระยะห่างระหว่างกัน แต่ถ้าถามว่าเธอขาดเพื่อนคนนี้ไปได้ไหม ก็คงตอบได้เลยว่า...........ไม่        
                “ใช่ซิ เดี๋ยวจะเขียนจดหมายมาให้อ่านบ้าง ดูซิจะกลับมาสนใจเราหรือเปล่า” เอมตัดพ้อพลางฉีกกระดาษในสมุดโน๊ตมาเขียนยุกยิก จนคนข้างต้องรีบหยิบกระดาษออกมา
                “อย่าเลยเอม เดี๋ยวมันจะกลายเป็นว่าน้ำต้องมานั่งแก้คำผิดให้”         
                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ” สาวหน้าคมยังดื้อ พร้อมกับหยิบกระดาษที่ถูกแย่งไปมาคืน แต่คราวนี้ถูกน้ำแย่งปากกาไปเลย     
                “เราอ่านไม่ออก ไปๆ ไปเรียนกันเถอะ เดี๋ยวเข้าสาย” 
                พูดจบน้ำก็หอบหนังสือเรียนขึ้นมาในอ้อมแขน ลุกขึ้นจากโต๊ะมานั่งหินอ่อนเพื่อเตรียมตัวไปเรียน สาวหมวยจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้ตัวเอง หันไปมองเพื่อนสนิทที่ยังนั่งทำหน้าบึ้งอยู่ไม่ยอมลุกตามเธอมา
                “เอมลุกได้แล้ว เดี๋ยวจะเข้าสายนะ”           
                เอมหันไปตามเสียงห้าวๆของสาวหมวย เห็นซองจดหมายสีขาวและสีชมพูที่โผล่มาจากหนังสือแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ มันคงไม่มีทางที่เธอจะมีโอกาสได้เขียนจดหมายสารภาพรักแบบนั้นบ้าง           
                “ไปเรียนได้หรือยัง”         
                “รู้แล้ว ลุกแล้ว” สาวหน้าคมลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วคว้ามันขึ้นมาสะพาย ก่อนจะเอื้อมมือไปรับกองหนังสือจากมือเพื่อนสนิทมาถือไว้อย่างเคย “เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งเบ๊ ต่อไปจะได้เป็นอะไรเนี่ย”           
                “บ่นขนาดนี้ ให้เป็นแม่นมแล้วกัน” น้ำหันมาตอบด้วยสีหน้ากวนประสาท ตาที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่เมื่อเจ้าตัวยิ้ม   
                “คุณก็เป็นซะอย่างเงี้ย” เจอแบบนี้เข้าไปใครจะกล้าโกรธ เอมเหลือมองเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างกันและลอบถอนหายใจเบาๆ ในสายตาใครๆอาจจะมองว่าน้ำธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น แต่สำหรับเธอแล้ว น้ำคือคนที่น่ารักที่สุด ยิ่งมองยิ่งหลงใหล เธอจึงไม่แปลกใจที่พี่เต๋าจะมาหลงเสน่ห์เพื่อนเธอคนนี้ เพราะขนาดเธอเองยังเผลอตกหลุมไปแล้วเลย ตกไปตอนไหนก็ไม่รู้ด้วยสิ

                สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับสาธิดาไม่ใช่การเรียน ไม่ใช่การร้องเพลง และไม่ใช่การเล่นกีฬา แต่คือการแปลคำภาษาไทยให้เป็นไทย ผ่านไปแล้วว่าชั่วโมงกับการแกะกลอน ในขณะที่คนข้างๆแปลไปจนเกือบหมดหน้ากระดาษแล้ว เธอยังอยู่ที่กลอนบทแรกอยู่เลย    
                “เอม จะหมดเวลาแล้วนะ แปลเสร็จหรือยัง” น้ำกระซิบกับคนที่ทำหัวยุ่งอยู่ข้างๆ สาธิดาผู้มาพร้อมความเพอร์เฟกต์ มักตกม้าตายอยู่เสมอเมื่อเจอกับภาษาไทย 
                “น้ำออกไปก่อนได้เลย เราคงอีกนาน” เอมกระซิบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด พลางคว้าน้ำยาลบคำผิดมาขีดคำที่เขียนผิดออก ดูแล้วการขีดครั้งนี้คงจะไม่ต่ำกว่าห้ารอบแล้วก็เป็นได้
                “เอาของน้ำไปดู เราจะได้ออกพร้อมกัน วันนี้น้ำมีนัด”           
                สาวหมวยเลื่อนงานที่ทำเสร็จแล้วให้ดู แต่สิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากเอมไม่ใช่กระดาษที่ถูกยื่นมาให้ แต่เป็นคำพูดที่บอกว่า “น้ำมีนัด”          
                “น้ำมีนัดเหรอ มีนัดกับใคร” สาวหน้าคมกระซิบถามด้วยสายตาเอาเรื่อง          
                “กับเพื่อนน่ะ รีบเอาไปลอกเถอะเอม เดี๋ยวจะไม่เสร็จเอานะ” น้ำตอบส่งๆ เธอไม่อยากบอกเอมว่าวันนี้มีนัดดูหนังกับพี่เต๋า เพราะเดาได้เลยว่าเพื่อนสนิทต้องโวยวายแน่นอน ดีไม่ดีจะขอตามไปด้วย   
                เอมไม่ใช่คนโง่ ดูก็รู้ว่าเพื่อนที่น้ำบอกคงไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ถ้าให้เดาจริงๆก็คงเป็นนัดกับพี่เต๋า แต่ที่ไม่บอกเพราะกลัวว่าเธอจะโวยวาย และไม่ยอมให้ไป
                “ไม่เป็นไรน้ำ เดี๋ยวเอมทำงานเอง น้ำรีบเอาไปส่งเถอะเดี๋ยวเลยเวลานัดมันจะเสียมารยาท”        
                “แต่เอม น้ำ...”   
                “น้ำ เดี๋ยวเอมทำเอง ไปเถอะ”       
                ในเมื่อเพื่อนพูดเสียงแข็งขนาดนี้ น้ำก็ไม่อยากจะเถียงกลับ สาวหมวยเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะลุกเอางานไปส่งอาจารย์ที่หน้าชั้นเรียน แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามองเพื่อนสนิทที่ยังนั่งทำงานอยู่ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเรียน        
                บทกลอนที่ไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว พอมีเรื่องนัดของน้ำเข้ามาในสมอง ยิ่งทำให้เธอไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ เอมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั่งเหม่ออยู่กับที่ จนได้ยินเสียงอาจารย์เรียกจึงรู้ตัวว่าหมดเวลาแล้ว และงานเธอยังไม่เสร็จ สาวหน้าคมเก็บของใส่กระเป๋าและเดินไปส่งงานอาจารย์ ไม่ต้องบอกว่าคะแนนงานชิ้นนี้อาจจะได้ไม่ถึงครึ่ง บทกลอนสี่บทเธอแปลได้วรรคเดียว 
                “ตอนนี้ทำอะไรอยู่น้ำ”

                รถในกรุงเทพไม่ว่าจะตอนไหนก็ติด เอมมองแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ดูจากสภาพจราจรแล้วคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ที่เธอจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน จะให้รถที่บ้านมารับก็ดูจะลำบากเข้าไปอีก สงสัยคงต้องพึ่งรถไฟฟ้าอีกแล้วสินะ          
                ไม่ชินเท่าไหร่กับการเดินคนเดียว เพราะตลอดเวลาเธอจะมีน้ำเดินอยู่ข้างเสมอๆ ไม่โกรธที่วันนี้น้ำจะไปเดินข้างคนอื่น เพราะสำหรับน้ำแล้วเธอเป็นแค่เพื่อนสนิท และไม่มีหวังที่จะก้าวไปมากกว่านี้ เคยคิดเหมือนกันว่าคนที่ร่าเริงอย่างน้ำ ถึงเลือกจะมาทำความรู้จักกับเธอที่ตอนนั้นทั้งเงียบและหน้าตาไม่รับแขก คนเดียวที่หยิบยื่นมิตรภาพในรั้วมหาวิทยาลัย จากเพื่อนก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิท และจากเพื่อนสนิทก็กลายเป็นเธอแอบรักเพื่อนสนิท
                มันเป็นความรักที่เธอเองไม่รู้ตัว จนกระทั่งวันที่พี่เต๋าเดินเข้ามา ถึงได้รู้ตัวว่าเธอหวงสาวหมวยคนนี้มากขนาดไหน และพี่เต๋านี่แหละที่เป็นตัวเก็งทั้งหมด ในบรรดาผู้ชายที่จะคว้าหัวใจน้ำไป ส่วนเธอไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายเข้ามา แต่ก็ยังไม่มีใครคนไหนที่ทำให้เธอหัวใจเต้นแรงได้เท่าน้ำอีกแล้ว สุดท้ายก็กลายมาเป็นเพื่อนกันซะหมด     
                คิดเรื่องราวเก่าๆไปเรื่อยรู้ตัวอีกทีเอมก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า ไม่ใช่แค่ถนนที่มีรถเยอะแต่รถไฟฟ้าเองก็คนเยอะไม่แพ้กัน หญิงสาวหยิบบัตรรถไฟฟ้าสแกนเพื่อผ่านประตู ก่อนจะได้ยินเสียงโวยวายเกิดขึ้น ถึงเธอจะไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็สั่งการขาให้เดินไปยังต้นเสียง ซึ่งมีไทยมุงอยู่แล้วสี่ห้าคน         
                “เนสท์” เอมอุทานออกมาเป็นชื่อหญิงสาว ที่ยืนเสียงดังโวยวายใส่ผู้ชายวัยสามสิบต้นๆซึ่งยืนก้มหน้าก้มตาอย่างหวาดกลัว
                “เกิดอะไรขึ้นคะ” สาวหน้าคมหันไปถามไทยมุงข้างๆ

                “ก็ยัยหนูนั่นน่ะ บอกว่าโดนไอ้หนุ่มมันลวนลาม แต่มันปฏิเสธก็เลยโดนยัยหนูเหวี่ยงเอาน่ะสิ” ป้าไทยมุงตอบคำถามเธอ แต่ตาก็ยังมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
                “ขอโทษนะคะ พอดีนี่เพื่อนหนูเองไม่ทราบว่าพี่ทำอะไรเพื่อนหนูหรือเปล่าคะ” เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดี เอมจึงเดินเข้าไประงับเหตุการณ์ตรงหน้าเพื่อไม่ให้บานปลาย เพราะดูแล้วเจ้าหน้าที่สถานีจะหยุดอารมณ์เพื่อนสาวของเธอไม่อยู่          
                เนสท์หันหน้าไปมองหญิงสาวที่อ้างตัวเป็นเพื่อนเธอ จะอ้าปากเถียงว่าก็โดนสายตาคมนั้นอุดปากเอาไว้ แต่ก็ไม่วายแอบดื้อพยายามแกะมือที่โดนจับเอาไว้ออก และไม่รู้ว่ายัยคนตัวคล้ำกินอะไรเป็นอาหารทำไมถึงแข็งแรงนักก็ไม่รู้ มือที่จับไว้ยังกับคีมหนีบดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก  
                “นี่พี่ ลวนลามเพื่อนหนูจริงหรือเปล่า” เอมหันไปถามคู่กรณีส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องพยายามจับมือคนตัวเล็กเอาไว้ด้วย        “พี่ถ้าไม่ตอบแปลว่ารับสารภาพนะ จะเอายังไง”          
                ตอนนี้เธอเริ่มรู้แล้วว่าทำไมเนสท์ถึงโมโหขนาดนั้น เพราะถามเท่าไหร่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ยอมตอบคำถามสักที เป็นแบบนี้สงสัยคงต้องใช้ไม้ตาย    
                “เนสท์ โทรหาตำรวจเลย เอ้ายืนงงทำไมล่ะ โทรสิ” เอมขึ้นเสียงใส่คนตัวเล็กให้รีบหยิบมือถือขึ้นมากดผิดกดถูก แต่ก่อนจะโทรออกก็มีเสียงจากชายที่จะโดนจับขึ้นมาซะก่อน        
                “ว้าย อย่าเพิ่งโทรนะหนู พี่ไม่ได้ลวนลามหนูจริงๆ พอดีเห็นลิปหนูสีมันสวยดีเลยว่าจะสะกิดถาม แต่สองจิตสองใจอยู่พอดีคนมันเบียดเลยกลายเป็นพี่ไปจับก้นหนูไง แต่พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ”       
                กลายเป็นว่าคดีพลิกจนเธออยากจะปล่อยก๊ากออกมาดังๆ หันไปมองเนสท์ที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำจนถึงใบหู คงโกรธไม่สิคงอายมากกว่า
                “แล้วทำไมพี่ไม่บอกแต่แรก ปล่อยยัยนี่มันยืนโวยวายเป็นบ้าอยู่คนเดียว”         
                “ก็คนมันเยอะ พี่ไม่อยากเปิดตัวนี่นา”        
                สรุปกลายเป็นเรื่องขำขันมากกว่าที่จะเป็นเรื่องใหญ่โต เอมมองคนตัวเล็กที่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าด้วยใบหน้าหงุดหงิด เธอหัวเราะเบาๆก่อนจะบอกให้พี่ชายเอ้ยพี่สาวที่โดนเข้าใจผิด ให้กลับบ้านได้แล้วส่วนทางนี้เธอจะจัดการเอง           
                “ที่เธอหน้าแดงเนี่ย เป็นเพราะอายหรือว่าโกรธกันล่ะ” เอมถามแหย่ดาวคณะของปี ให้หันมาส่งสายตาอาฆาตใส่ ซึ่งทำอะไรเธอไม่ได้เลยเพราะโดนมาจนชินแล้ว  
                “ฉันจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องยุ่ง” เนสท์กระแทกเสียงใส่ ยิ่งเห็นรอยยิ้มกวนของคนตรงหน้ายิ่งทำให้อารมณ์เสียเข้าไปอีก “แล้วฉันก็ไม่ขอบคุณหรอกนะ ถ้าเธอไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ ฉันอาจจะไม่ต้องอับอายแบบนี้ก็ได้”         
                “แต่เธอก็ทำให้พี่คนนั้นเขาอับอายเหมือนกันนะ”     
                “เธอเชื่อคนง่ายไปหรือเปล่า เขาอาจจะไม่ใช่เกย์ก็ได้ ถ้าสมมติเขาเป็นไอ้โรคจิตชอบลวนลามจริง มันก็หมายความว่าเธอปล่อยคนผิดไป”         
                เอมชะงักไปเมื่อฟังเหตุผลจากอีกฝ่าย เรื่องนี้อาจจะผิดที่เธอเข้ามายุ่งก็ได้      
                “ถ้าอย่างนั้นฉันขอโทษ ที่จริงก็ไม่ควรเข้ามายุ่งด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่พอดีแค่เป็นห่วงฉันก็เลยอดไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ” 
                บางทีเนสท์ก็สงสัยว่าคนตรงหน้าถูกเลี้ยงมาแบบไหน ถึงได้ใจดีกับคนอื่นเขาไปทั่ว คิดร้ายกับใครไม่เป็น แม้แต่กับเธอที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบหน้ากันก็ยังเข้ามาช่วย       
                “ช่างเถอะ ทีหลังอย่าไปทำกับคนอื่นแบบนี้ละกัน แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก”       
                นี่หูฝาดไปหรือเปล่า ที่ได้ยินดาวคณะเอ่ยปากขอบคุณ ใจจริงเอมอยากจะให้อีกฝ่ายพูดอีกทีเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่คิดอีกทีคงไม่ดีเท่าไหร่ จากคำขอบคุณอาจจะกลายเป็นคำด่าแทนได้    
                “แล้วนี่เธอจะไปไหนต่อ” เอมหาเรื่องชวนคุย อึดอัดไม่น้อยเหมือนกันเวลาที่ต้องมายืนกับคนที่                   จะเรียกว่ายังไงดี ไม่ถูกกัน เรียกแบบนั้นก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะที่ไม่ถูกกับเธอมีแค่เนสท์นั่นแหละที่คิดไปเองคนเดียว  
                “กลับบ้านสิ ถามอะไรประหลาด”  
                มันจะมีวันที่เธอกับเนสท์พูดกันดีๆบ้างไหมเนี่ย ถามอะไรดีๆไปไม่เคยตอบแบบดีๆกลับมาบ้างเลย          
                “แล้วจะกลับยังไง เธอคงไม่คิดจะขึ้นรถไฟฟ้าหรอกนะ” เอมยังไม่ละความพยายามในการถาม   
                “โอ๊ยเอม ฉันนั่งรถแท็กซี่ได้ รถเมล์ตั้งเยอะตั้งแยะฉันก็นั่งได้ ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก” เนสท์หันมาตอบอย่างนึกรำคาญ ทำไมต้องมาวุ่นวายกับเธอแบบนี้ด้วยนะ ไม่รู้หรือไงว่าคนเขายิ่งหวั่นไหว........อยู่     
                เอมมองไปที่ถนนซึ่งแน่นขนัดไปด้วยรถต่างๆ กว่ายัยนี่จะถึงบ้านคงอีกนานโข หญิงสาวมองคนตรงหน้าอย่างใช้ความคิด ก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายมาด้วยกัน           
                “กลับบ้านกับฉัน แล้วเดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”

                เรามาทำอะไรที่นี่ เป็นคำถามที่เนสท์ถามตัวเองมาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้าง แล้วตอนนี้เธอกำลังนั่งกินไอติมกับคู่แข่งของเธออยู่ ที่จริงเธอควรจะอยู่บนรถแท็กซี่กำลังนั่งหงอยเพราะรถติด แต่ว่าวันนี้กลับไม่ใช่      คนตรงหน้าเธอกำลังมีความสุขกับไอติมหลากรสที่เจ้าตัวสั่งมา ส่วนเธอยังงงอยู่ หลังจากโดนลากมารู้ตัวอีกทีเธอก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว          
                “ไอติมละลายหมดแล้ว เหม่ออะไรของเธอ” เอมทักเมื่อเห็นคนที่เธอลากมานั่งเหม่อ คนไอติมไปมา หรือว่าอยากกินซุปมากกว่าไอติม   
                “ฉันยังไม่หิว พอดีคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” เนสท์ตอบพลางมองหน้าคนถาม แล้วลอบถอนหายออกมา คนตัวเล็กหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมา แล้วเอื้อมไปเช็ดมุมปากให้คนที่กินได้เหมือนเด็กอายุห้าขวบ ไอติมแบบตักแท้ๆ กินยังไงให้เลอะปาก   
                “เอ่อ ขอบคุณนะ” เอมหยิบกระดาษมาเช็ดปากเอง เพราะไม่ชินเท่าไหร่กับการมีคนมาทำแบบนี้ให้ แม้แต่น้ำเองอย่างมากก็แค่หยิบกระดาษให้ แต่มาเช็ดแบบนี้บอกเลยว่าไม่เคยมี
                น้ำพยายามเพ่งมองคนในร้านไอติม ถ้าตาไม่ฝาดก็พอจะโฟกัสได้ว่า ผู้หญิงที่เห็นตอนนี้คือเพื่อนสนิทของเธอ ส่วนอีกคนยังมองได้ไม่ชัดเพราะป้ายโฆษณาบังไปตั้งครึ่ง แต่ว่าเป็นคนที่เธอรู้จักแน่นอน เพราะมันดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ใครกันนะ          
                “น้ำครับ พี่เรียบร้อยแล้ว” เต๋าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยทัก จนน้ำที่กำลังใช้สมาธิในการเพ่งสะดุ้งด้วยความตกใจ    
                “น้องน้ำมองอะไรอยู่หรือครับ” เต๋าถามพลางมองตามสายตาของหญิงสาวไป แต่ก็ไม่เห็นอะไร  
                “อ้าว เมื่อกี้ยังอยู่เลย ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น้ำรู้สึกเหมือนเห็นเพื่อนน่ะค่ะ เลยลองมองดูแต่สงสัยคงลุกไปกันแล้ว”   
                น้ำอธิบายให้ชายหนุ่มรุ่นพี่เข้าใจ แต่สายตาก็ยังอยู่จับจ้องอยู่ที่ร้านไอติมที่เธอเห็นเพื่อนสนิท แต่ตอนนี้โต๊ะตรงนั้นว่างเปล่าแล้ว           
                “ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะครับ เดี๋ยวพี่ไปส่งน้ำที่บ้านนะ” เต๋าเอ่ยปากชวนพร้อมพลางยื่นมือมารับของที่น้ำถือไปถือเอาไว้เอง แล้วเดินนำไปที่รถ สาวหมวยหันไปมองร้านไอติมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินตามเต๋าออกไป ทำไมรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×