ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Sunflower {KrisYeol}{รวมชอตฟิคคริสยอล}

    ลำดับตอนที่ #10 : [SF] Just Somebody {6th}

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 56


     

    6th

     taking a chance on love

     

     

                    “เป็นไงบ้าง... ไม่สนุกเหรอฮะ”

                    คริสสะดุ้งเล็กน้อย                 ก่อนหันไปยังต้นเสียง  ใบหน้าขาวจัดและหุ่นกระทัดรัดของจุนมยอนลอยเข้ามาในสายตา    คริสยิ้มกว้าง พร้อมยกขวดเบียร์ในมือขึ้นชนกับเบียร์อีกกระป๋องที่เจ้าตัวถือรอไว้

                    “ก็โอเค... แต่พี่ชอบอากาศเย็น ๆ เลยมานั่งคิดอะไรข้างนอกนิดหน่อย”  คริสตอบ  และหันกลับไปมองฟ้ากว้างและท้องทะเลสีดำสนิทที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักด้วยสายตาครุ่นคิด    ลมเย็นจัดพัดเข้ามาประทะผิวกายอย่างรุนแรง ... แต่หนุ่มชาวจีน สัญชาติแคนาดาคุ้นเคยกับความเย็นจนรู้สึกสบายใจที่จะนั่งตากอากาศอยู่ที่ริมระเบียง บ้านพักตากอากาศของจุนมยอนกินพื้นที่กว้างขวาง   บ้านขนาดกลาง ไม่ได้โดดเด่นหรูหรา หากกลมกลืนและเข้ากับสภาพพื้นที่โดยรวม  เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างที่ชานยอลอวดเขาไว้   

    อู๋ฟานเคยได้ยินว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าหนึ่งปีคนนี้เป็นลูกชายคนเดียวของรัฐมนตรีคนสำคัญของเกาหลี เขาจึงไม่แปลกใจกับเฟอร์นิเจอร์หรือแม้กระทั่งรถยุโรปคันงามในโรงจอดรถที่อาจเป็นรุ่นลิมิเตดแบบที่มีไม่กี่สิบคันในโลก และเจ้าตัวก็ไม่เคยแสดงความหยิ่งยโสในฐานะตัวเอง แถมยังมีน้ำใจด้วยการขนเพื่อน ๆ โฉบไปทุกที่โดยไม่มีหวง  เรื่องกินยิ่งไม่ต้องห่วง ในฐานะคนอายุมากที่สุดในกลุ่ม  จุนมยองยังเป็นเจ้ามือเลี้ยงเด็กเป็นประจำ จนทุกคนยกให้เป็นคุณพ่อของกลุ่ม  

    “ข้างในเป็นไงบ้างล่ะ” คริสถาม   ... เขาปล่อยให้ชานยอลที่ไม่ยอมคุยกับเขาตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อเย็นไว้กับเพื่อนเพื่อความสบายใจของเจ้าตัว ... คริสรู้ขีดจำกัดของชานยอลดี  เด็กร่างสูงคนนั้นไม่ชอบให้ใครเข้ามารุกล้ำการตัดสินใจของตัวเอง ...  สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการให้เวลา  และไม่บีบคั้นชานยอลมากเกินไป

    “ก็... เมาเละ  ทำตัวเหมือนไม่เคยกินเหล้ากินเบียร์  ซัดไปซะหนัก   ตกลงผมพาพวกมันมาทำอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ”  จุนมยอนตอบยิ้ม ๆ  ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนบันไดคันเดียวกับอีกฝ่าย

    “ปล่อยไปเถอะ นาน ๆ ครั้ง... เห็นว่าชานยอลบอกว่าช่วงนี้เรียนหนัก  ได้มีวันหยุดบ้างก็ดีแล้ว พักผ่อนให้เต็มที่”

    “เพิ่งสอบเสร็จด้วย เลยปล่อยของกันหนัก...  ข้างในก็มีแต่คยองซูด้วยที่พอไว้ใจได้  ซิ่วหมินกับจงแดนี่ไม่ต้องหวัง  ตอนนี้พาไคไปเปิดเหล้าขวดใหม่แล้ว”

    “อือ...   เดี๋ยวพี่จะเข้าไปช่วยด้วยละกัน    นี่ยังไม่รู้เลยว่าปกติชานยอลเมาแล้วเป็นยังไง”

    “ก็น่าห่วงอยู่นะฮะ...  โดยเฉพาะถ้าจับคู่กับแพคฮยอน” ประโยคสุดท้ายของจุนมยอนแผ่วเบาอย่างน่าประหลาด  คริสเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความข้องใจ 

    “พี่ทะเลาะกับชานยอลเหรอฮะ....” ชายหนุ่มร่างเล็กถาม   

                    “ทำไมรู้ล่ะ”

                    “ก็... ดูมึนตึงกันเล็กน้อย  แถมชานยอลก็ดูจะดื่มหนักเหมือนกัน... ผมก็เลยสงสัยนิดหน่อย”  เจ้าของบ้านสารภาพ 

                    “ไม่มีอะไรหรอก... ไม่ถึงทะเลาะ   แค่ปรับความเข้าใจไม่ตรงกัน ...จูนกันไม่ติดน่ะ”   คริสว่าง่าย ๆ และถามต่อด้วยความสนใจ “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ... เมาหรือยัง  พี่จะได้พากลับห้อง  “

                    สีหน้าของจุนมยอนเจื่อนลงเล็กน้อย

                    “แย่กว่าเมาอีกฮะ.... ”

                    “ชานยอลทำอะไร”

                    “พี่รู้เรื่องแพคฮยอนกับชานยอลไหมฮะ”

                    “เรื่องที่แพคฮยอนรักชานยอลเหรอ....”

                    “มากกว่านั้นล่ะฮะ....”  จุนมยอนเอ่ยเบา..   สีหน้าเรียบเฉย  ทว่า คริสกลับเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฎอยู่ในตาคม 

                    อะไรบางอย่างกระแทกเข้ามาในใจของหนุ่มชาวจีน ...  ก่อนที่เขาจะเอ่ยอย่างยอมแพ้   ความจริงเลวร้ายกว่าการคาดเดาของเขามากนัก

                    “จะบอกพี่ว่า...สองคนนั้น... มีอะไรกันแล้วงั้นเหรอ”

                    “...”

                    จุนมยอนไม่ปฏิเสธ ...   คริสจึงผ่อนลมหายใจออกอย่างแรง  เขากำหมัดแน่น...

                    “บ้าชะมัด”

                    “แต่ชานยอลมันคิดกับแพคฮยอนแค่เพื่อน... เท่านั้น ”

                    “พี่ไม่คิดว่าชานยอลจะกล้าทำแบบนั้นได้...  เด็กนั่นรักเพื่อนจะตาย....”

                    “.แพคฮยอน... หมอนั่นรักชานยอลจริง ๆ  รักจนยอมทุกอย่าง... แม้แต่เอาหัวใจตัวเองไปช่วยเยียวยาให้ชานยอลหายดี ”

                    “ส่วนเด็กบ้านั่นก็....”  คริสส่ายหน้า... และถามกลับด้วยความสงสัย “แล้วคิดยังไงเอามาเล่าให้พี่ฟัง”

    “ผมอยากให้พี่ช่วย...  ช่วยทำให้ชานยอลกลับมาเป็นปกติ” จุนมยอนถอนหายใจ   และเอ่ยอย่างยอมจำนน “เพราะผมรู้ว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ....คนที่เสียใจที่สุดก็คือแพคฮยอน”

                    “มันเกิดขึ้นบ่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”

                    “เฉพาะตอนที่ชานยอลเสียศูนย์ฮะ...”

                    จินมยอนพูดด้วยสิ่งที่รู้กันดี  ...เช่นเดียวกับที่ทุกคนในกลุ่มรู้    ชานยอลที่แสดงความร่าเริงถึงขั้นบ้าคลั่งนั้นเป็นแค่เครื่องมือปกปิดความอ่อนแอของตัวเองเท่านั้น   เพราะความจริงแล้วชานยอลไม่ใช่คนแบบนั้นเลย

                    “หมอนั่น... จิตใจอ่อนแอ”

                    คริสกระดกน้ำในกระป๋องเข้าปาก .. โดยแทบไม่รับรู้รสชาติใด ๆ ของมัน   เขาไม่รู้ว่าควรจัดการความรู้สึกนี้อย่างไร

                    เขาไม่แคร์ว่าชานยอลผ่านใครมาบ้าง...  แต่เขากลับรู้สึกแย่ที่เพิ่งเป็นฝ่ายรับรู้ว่าชานยอลอ่อนแอถึงขั้นนี้

                    เด็กน้อยของเขาซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมายแค่ไหน   รอยยิ้มที่เขาเห็น  ถูกฉาบเพื่อปกป้องภาพที่อ่อนแอไว้ขนาดไหน    

                    หัวใจบอบช้ำของชานยอล... ถูกแสดงออกมาด้วยรอยยิ้มและท่าทางสดใสร่าเริงขนาดนี้ได้อย่างไรนะ

                    “พี่จุนมยอน....”

                    ระหว่างที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงคิดของตนเอง... เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ดังขึ้น    ทั้งคริสและจุนมยอนหันกลับไป ก่อนจะพบกับสีหน้าไม่สบายใจของหนุ่มรุ่นน้อง

                    “คยองซู...”

                    “มันเข้าห้องไปแล้วล่ะ ...”  คนตัวเล็กเอ่ยด้วยเสียงอันแหบพร่า ...  บอกเล่าสิ่งที่ทำให้คริสรู้สึกเหมือนกำลังกลืนก้อนหินลงไปในคอ “เมื่อกี้นี้เอง....”

                    คริสสบถเป็นภาษาจีน  และลุกพรวดขึ้นแทบจะในทันทีที่ได้ยิน

                    “เมากันทั้งสองคนเลย ... ผมละสายตาไปดูจงอินแค่แว้บเดียว ก็เข้าห้องล็อคประตูไปแล้ว ขอโทษฮะ... ”

                    “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก  ...  สองคนนั้นต่างหากล่ะที่ ...” จุนมยอนเดินไปตบไหล่คยองซู  และปลอบเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิด... เพราะเขาฝากเอ่ยปากให้อีกฝ่ายช่วยดูแลสองคนนั้น ก่อนจะเดินมาคุยกับหนุ่มชาวต่างชาติ  “อีกอย่าง... มันก็เป็นเรื่องของพวกเค้าสองคนด้วย”

                    “เด็กบ้า... ” คริสกัดฟันแน่น...  ก่อนกระแทกขวดเบียร์ลงบนขอบไม้กั้นระเบียงจนกระป๋องอลูมิเนียมบิดเบี้ยวไปตามแรงบีบ

                    “พี่จะเข้าไปห้ามหรือเปล่า”  จุนมยอนถาม...   

                    “นายคิดว่าพี่ควรหรือเปล่าล่ะ...”  คริสมองเข้าไปในบ้านและถอนหายใจแรง ...  

                    “ไม่รู้สิฮะ...  แต่ผมเอง...ก็อยากห้ามแพคฮยอนเหมือนกัน”

    เจ้าของบ้านว่าพร้อมก้มหน้าลงต่ำ.. น้ำเสียงจริงจังจนคริสเองก็เชื่อเหลือเกินว่ามันไม่ได้มาจากความรู้สึกที่อยากปกป้องเท่านั้น....เป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่สัมผัสได้

    ไม่ต่างจากที่เขามีให้ชานยอล 

     

     

     



     

     

                   

     

     

                    “ชานยอล....”

                    แพคฮยอนเอ่ยเสียงพร่า  ลมหายใจแทบหยุดลงเมื่อเจ้าของชื่อขยับออกไปนั่งก้มหน้าที่ปลายเตียง  คนตัวเล็กลุกขึ้น...  และขยับไปกอดแผ่นหลังเปลือยเปล่า  ก่อนซบหน้าลงบนเนื้ออุ่น  

                    “เบียร์ไหม... ฉันออกไปเอามาให้

                    “อยากให้ฉันเมามากนักเหรอ” มือใหญ่คว้ามือข้างหนึ่งของแพคฮยอน    ก่อนที่ชานยอลจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

                    “ชานยอล...”

                    “ขอโทษ..  ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้  ฉันไม่ได้อยากทำร้ายนาย”  น้ำเสียงจริงจังทำให้แพคฮยอนส่ายหน้า

                    “นายไม่ได้ทำร้ายฉันเลยนะ... ”

                    ชานยอลส่ายหน้า  มือหนาจับสาบเสื้อที่แยกออกของคนตัวเล็กให้กลับเข้ามาที่เดิม...ที่ ๆ ควรจะเป็น  

                    “ฉันหลอกใช้นาย...นี่ยังไม่ทำร้ายอีกเหรอ  แค่นี้ยังไม่รู้เหรอว่าฉันใช้ประโยชน์จากนายอยู่”

                    “ฉันบอกแล้วไงว่าเต็มใจ!!!”  แพคฮยอนตะโกน  หากชานยอลกลับถอยออกมา  และติดกระดุมกางเกงของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าเสื้อที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ลวก ๆ

                    “ขอโทษ...  ขอโทษแพคฮยอน ฉันทำไม่ได้”

                    “เพราะเขาเหรอ....”

                    “เปล่า... เพราะตัวฉันเอง” ร่างสูงปฏิเสธ...  ขณะหันหลังให้เขา      แพคฮยอนเม้มปากสนิท   และสะกดน้ำตาที่กำลังเอ่อท้นให้หยุดอยู่ที่ลูกแก้วใส

                    “นายเป็นเพื่อนฉัน... ขอโทษที่เอาเปรียบมาตลอด... ” 

                    แพคฮยอนมองชานยอลเดินออกไปจากห้องพร้อมกับที่น้ำใส ๆ ไหลลงมาอาบแก้ม...  

                    “ไอ้บ้า... มาพูดอะไรเอาตอนนี้”

                    แพคฮยอนครุ่นคิดถึงเรื่องระหว่างเขาและชานยอล   มันเกิดขึ้นมาสามครั้ง... และแทบทุกครั้ง  ชานยอลก็กำลังอ่อนแอ

                    เขารู้ดีแก่ใจว่าชานยอลเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันที่ปล่อยตัวมานอนกับเขา ... คนที่เป็นเพื่อนกันมานาน

    “ฉันต่างหาก...ที่เอาเปรียบนาย”

                ฉันต่างหาก...ที่หวังมาตลอด  ว่านายจะหันกลับมามอง

                ทั้ง ๆ ที่น่าจะรู้ตั้งแต่แรก...ว่าคนที่ไม่ใช่....ยังไงก็คงไม่ใช่

                แพคฮยอน ...ไม่มีวันเป็นได้มากกว่าเพื่อนของชานยอลอยู่แล้ว         

     

     

     

     






     

                    ร่างเพรียวออกมาจากห้องราวกับคนไม่มีสติ ... เขามองไม่เห็นอะไรเลย  แม้แต่ร่างสูงเด่นตระหง่านที่ยืนอยู่ กระทั่งชานยอลเดินเข้าไปชนจนถลาออกมา   

                    ฝ่ามือหนาคว้าเอวคอดไว้ พร้อม ๆ กับที่ใบหน้าของอีกฝ่ายยื่นเข้ามาใกล้  ชานยอลชะงัก ... และดันอกคริสไว้เพื่อไม่ให้ใกล้กันมากกว่านี้

                    “เหม่ออะไรอยู่...หือ”

                    “อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

                    “... เมื่อกี้นี้เอง”

                    คริสยิ้มบาง...

                    “ผมยังไม่ได้เมานะ  ไม่ต้องมองหน้าแบบนั้น”

                    “รู้”

                    สีหน้าของคริสนิ่งเรียบจนชานยอลอึดอัด...  ริมฝีปากของเขาสั่น  

                    “ลืมรูดซิป ..เด็กเอ๋อ”  คริสว่าง่าย ๆ  มือเรียวยาวเลื่อนมารูดซิปกางเกงยีนส์ที่เปิดค้างไว้ขึ้น ... ชานยอลไม่ได้อาย...  หากรู้สึกใจหายวาบ  ก่อนมองตรงไปที่สายตาระดับเดียวกัน ...  ประกายหวั่นไหวและเจ็บปวดฉายชัดอยู่ในนั้น  จนเขาแทบหมดแรง

                    “ผม... ไม่ได้ทำอะไรนะ”

                    “พี่... พี่รู้”

                    ชานยอลกัดปาก... มองคริสนิ่งนาน กระทั่งคนอายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

    เด็กหนุ่มคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายและโฉบริมฝีปากลงไปประทับบนกลีบปากร้อนผ่าว

                    จูบหนักกระแทกกระทั้นรุนแรงจนเขาได้กลิ่นเลือด ... หากชานยอลกลับไม่ยอมหยุด   เช่นเดียวกับที่คริสบดขยี้ริมฝีปากเขากลับอย่างรุนแรงเช่นกัน   คริสคว้าเอวชานยอลไว้แน่น และประคองสันกรามได้รูป เพื่อส่งเรียวลิ้นชื้นแฉะแทรกผ่านเข้าไปเกี่ยวตวัดกันอย่างโหยหา

                    ในวินาทีนั้น...ชานยอลแทบลืมไปแล้วว่าเพิ่งผละจากแพคฮยอนมาอย่างเลือดเย็น   

                    “เพราะฮยอง...  เพราะฮยองคนเดียว”  เขาร้องไห้...    ร้องออกมาราวกับคนบ้า  “ผมเป็นบ้าก็เพราะฮยอง.. เป็นแบบนี้ก็เพราะพี่”

                    “อือ.. ”

                    คริสโอบชานยอลที่กำลังตะโกนลั่นเข้ามาซบที่ไหล่  ฝ่ามืออุ่นลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบประโลม   ก่อนที่สายตาของใครบางคนที่อยู่ไม่ห่างจะทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย

                    แพคฮยอน....

                    ใบหน้าเล็กเรียวนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ...  เด็กน้อยมองมาที่เขาครู่ใหญ่   และหันหลังไปในไม่ช้า  ส่งผลให้จุนมยอนที่ยืนอยู่หน้าประตูเดินตามเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

                    “เข้ามาในชีวิตของผมทำไม... เข้ามาทำบ้าอะไร”

                    คำถามนั้นทำให้คริสหัวเราะเบา  ในที่สุด... เขาก็ได้ยินคำถามนี้   คำถามที่เขาเฝ้าเตรียมคำตอบมานานมากแล้ว   

                “เข้ามาเพื่อรักเรายังไงล่ะ... ชานยอล”

                    อันที่จริง....

    เขาได้คำตอบสำหรับคำถามนี้มาตั้งแต่ที่ได้พบชานยอลครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ

     

     


     

     

     

                    “มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้... ไม่ง่วงเหรอ ”

                    คริสในชุดคลุมอาบน้ำเดินอกมาที่ระเบียง ...  กลิ่นครีมอาบน้ำหอมฟุ้งจนชานยอลที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นกระเบื้องย่นจมูก  สูดลมหายใจฟุดฟิด

                    “ไม่...”  ชานยอลส่ายหน้า    คริสวางมือลงบนผมสลวยที่ยังไม่แห้งสนิท และขยี้ไปมาจนแก้มใสพองลม     

                    “สร่างเมาหรือยังอะเรา”

                    “เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เมา...  ถ้าเมาคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”

                    “แล้วมานั่งทำไมตรงนี้..”

                    “ลมมันเย็นดี... เห็นดาวด้วย เห็นทะเลด้วย พี่ว่ามันไม่สวยเหรอ ”

                    เด็กหนุ่มว่าพลางชี้ไปข้างนอก ...ความสูงบนตึกชั้นสิบเจ็ด  ทำให้ภาพเบื้องล่างน่าสนใจสำหรับชานยอลอยู่ไม่น้อย   ลมพัดแรง  หากชานยอลกลับไม่อยากยอมแพ้ให้กับความเย็นเยียบที่คืบคลานเข้ามาโอบรอบตัว จนทิ้งภาพอันสวยงามของคืนเดือนมืดที่มีเพียงแสงดาว และแสงไฟกระจายมาจากตึกรามบ้านช่อง  ฟ้าข้างบนปรากฏภาพแสงดาวเด่นชัดยิ่งกว่าที่เคย   ทะเลสีดำสนิททอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา มีเพียงแสงดาวเท่านั้นที่ส่องสว่างเป็นประกายอยู่เบื้องบน  ...  แสงดาวที่ทำหน้าที่นำทางให้แก่ชาวประมงที่กำลังออกเดินทางอยู่กลางความมืดมิด

                    “มืดจะตาย... ” คนข้างตัวเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนทรุดตัวลงเคียงข้างคนที่นั่งกอดเข่ามองฟ้าด้วยแววตาที่ลึกล้ำ  

                    “ยิ่งมืดสิยิ่งดี  ดูสิ เห็นดาวโน่นไหม สว่างสุด ๆ  ฮยองไม่เคยได้ยินเหรอ ...ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาวนะ”

                    “อืม...   เห็นจริง ๆ ด้วย... ดาวสวยดีนะ”

                    “ดาวอยู่บนฟ้านะ  มองผมทำไม? ” ชานยอลหันกลับมามองคนตัวสูงข้าง ๆ ที่จ้องเขาเขม็งด้วยความข้องใจ    รอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้เด็กหนุ่มขยับตัวชิดบานเลื่อนกระจกโดยอัตโนมัติ...

                    “ ก็ตรงนี้ มีดาวอยู่ด้วยตั้งสองดวง ... ”

                    ชายหนุ่มมองนัยน์ตาใสแจ๋วของอีกคนที่ฉายชัดอยู่ภายใต้แสงสลัวและเอ่ยอย่างอารมณ์ดี    คริสขยับยิ้มมุมปาก   สรรพเสียงเงียบหายไปโดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัว  ชั่วพริบตานั้นเองที่คริสขยับตัวตามสัญชาตญาณ แผ่นหลังกว้างเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบกริบ  ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากชานยอล นอกเสียจากลมหายใจที่ขาดห้วงไป  และเสียงแหบพร่าที่เอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัวนัก

                    “พี่... ค..คริส ”

                    คริสได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นจมูกชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าที่เคย  ไออุ่นจากฝ่ามือเรียวบางที่เกาะกุมอยู่แน่นนั้นแผ่ซ่านเข้ามาพร้อมกับเหงื่อชื้น ๆ ที่ผุดพรายออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ  สายตาคมเข้มจับจ้องที่เรียวปากอิ่มอย่างพิจารณา รูปหน้าเล็กราวกับตุ๊กตา  เครื่องหน้าทั้งหมดกลมกลึงและอ่อนหวานราวใบหน้าของหญิงสาว โดยเฉพาะจมูกโด่งสวยที่โดดเด่น   ลูกแก้วกลมโตสีเข้มทอประกายหวั่นไหว  ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นมาสัมผัสแก้มนุ่มนิ่มพร้อมกับรอยยิ้ม  ริมฝีปากของชานยอลสั่นระริกยามที่นิ้วหัวแม่มือของเขาเลื่อนไล้ผิวสีชมพูเข้มอย่างเบามือ     

                    “รัก...”

                    เปลือกตาบอบบางเบิกกว้างเล็กน้อย ... ก่อนที่น้ำในดวงตาคู่สวยจะเคลื่อนไหวด้วยความตั้งใจที่จะทักท้วงด้วยความลำบากใจ

                    “ผมบอกแล้วไงว่า... ผม... ”

                    “ไม่ใช่ไม่ได้รัก... ไม่ใช่รักไม่ได้... แต่เพราะกลัวใช่หรือเปล่า”

                    “เปล่า”

                    “ปากแข็ง”

                    “เอ๊ะ ฮยองนี่ยังไง ก็ผมบอกแล้วว่า.....”

                    เมื่อเป้าหมายเริ่มเคลื่อนไหว คริสขยับพรวดเดียวเพื่อฉกเหยื่อตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ริมฝีปากรุ่มร้อนประกบก้อนเนื้ออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายพร้อมฝ่ามือที่เคลื่อนไปยึดที่ท้ายทอยอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ขยับหนี  มืออีกข้างยึดฝ่ามือเล็กไว้กับพื้นเย็นเฉียบแน่นหนา

                    “นะ.. นี่ อื้อ... ”

                    เสียงทุ้มดังหวิวอยู่ในคอ ลมหายใจร้อนผ่าวหลอมรวมกันอยู่เหนือริมฝีปาก  ความร้อนลามเลียจากกลีบปากที่ถูกครอบครองไปทั่วทั้งหน้า และคงไหลเวียนไปทั้งร่างหากอีกฝ่ายยังคงไม่หยุดฉวยโอกาสจากเขาแบบนี้   ฝ่ามือแกร่งที่ประคองท้ายทอยคล้ายจะบังคับให้เขารับสัมผัสที่แสนวาบหวามนั้นอย่างเอาแต่ใจ  

    แม้จะรู้ตัวดีว่าถึงคริสไม่ทำเช่นนั้นชานยอลเองก็แทบไร้เรี่ยวแรงเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาคมเข้มที่กำลังร่ายมนต์สะกดไม่ให้เขาเคลื่อนไหวได้เหมือนตอนนี้   ความชื้นแฉะและรสสัมผัสที่คุ้นเคยแทรกเข้ามาผ่านริมฝีปากที่เผยอออกอย่างไม่รู้สึกตัวแทบจะทำให้ชานยอลสำลัก  ทั้งผ่าวร้อน อ่อนโยนและดุดันอยู่ในที  แตกต่างจากจูบอันรุนแรงบ้างคลั่งเมื่อครู่ที่แล้วโดยสิ้นเชิง  เด็กหนุ่มได้กลิ่นเลือดจาง ๆ ที่ยังซึมอยู่ในปาก  แม้จะเจ็บไม่น้อย ...หากทั้งคู่เลือกจะลืมเลือนมันไปในที่สุด  

    ชานยอลคว้าลำคอแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเป็นที่ยึดเหนี่ยว  สมองที่เคยคิดจัดการอะไรต่อมิอะไรกลับว่างเปล่า  เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเบาหวิวแผ่กระจายมาจากช่องท้อง ราวกับจะลูกโป่งนับล้าน ๆ ลูกเบียดกันอยู่ภายใน...และกำลังทำให้เขาลอยได้ 

                    ชานยอลไม่รู้อะไรเลย...  ไม่รู้เลยว่าอู๋ฟานจะพาเขาไปยังทิศทางใด   เรียวลิ้นที่รุกคืบเข้ามาทั้งเรียกร้องและตักตวงไปราวกับไม่ต้องการที่จะหยุด

                    ด้วยสติที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดในขณะนี้ก็ช่างยากเหลือเกินที่จะผลักไสหนุ่มรุ่นพี่ออกไปได้... ร่างกายอ่อนยวบยินยอมให้อีกฝ่ายดันจนติดประตูกระจกโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้...  ดวงตาคมแบบชาวต่างประเทศมองเขาลึกซึ้งจนไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา...

                    “อะ... ”

                    ชานยอลเจ็บเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากล่างถูกขบเบา ๆ หากสิ่งที่ทำให้เขาตกใจกลับเป็นสิ่งที่สมองรับรู้จากความคิดนั้น

                    ไม่ใช่... ไม่ได้

                    “ไม่!

                    ชานยอลผลักร่างสูงใหญ่ออกห่างทันทีที่สมองกลับมาทำงานอีกครั้ง  ทว่าคริสแข็งแรงเกินกว่าที่เขาจะผลักไสให้ห่างออกไปได้อย่างที่ตั้งใจ  เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากตัวเองพร้อมคิ้วเข้มที่ขมวดยุ่งเป็นปมระหว่างคิ้วทั้งสอง  เข่าทั้งสองยกขึ้นตั้งเพื่อกางกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามารุกล้ำอาณาเขตของตัวเอง  ดวงตาที่เคยสดใสเต็มไปด้วยร่องรอยตื่นตระหนก.    

                    คริสไม่ยอมผละออกมาจากร่างผอมเพรียว  แต่เคลื่อนตัวออกเพียงเล็กน้อย และจับจ้องใบหน้าแดงก่ำสลับซีดเซียวอย่างพิจารณา  นัยน์ตาหวาดหวั่นของชานยอลทำให้เขารู้สึกผิด.... 

                    เปล่าเลย... เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับการกระทำเมื่อครู่นี้ เพราะรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าชานยอลไม่ได้ปฏิเสธเขาเลย  หนำซ้ำยังยินดีตอบรับโดยที่ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ... 

                    “เฮ้อ...”

                    คริสถอนหายใจ ...ที่เขารู้สึกผิด... คงเพราะให้ความรักกับชานยอลไม่พอจะทำให้ ลืมเลือน เรื่องที่ฝังอยู่ในใจได้สนิทอย่างที่คาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกได้...

                    “ใจแข็ง ปากแข็ง... แล้วก็ใจร้ายด้วย”

                    หนุ่มรุ่นพี่ตัดพ้อสีหน้าระรื่นจนเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัดปากตัวเอง  ก่อนกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความเคืองแค้น

                    “บ้าเอ้ย... ฮยองบ้า  ผมโกรธนะ... โกรธมากด้วย”

                    “เราก็อย่าเอ๋อใส่ฮยองสิ”

                    “ฮยองต่างหากที่เอ๋อใส่ผม” น้ำตาเม็ดโตหยดแผละออกมาจากดวงตากลมโตเป็นครั้งแรก  ร่างเพรียวสูงสั่นระริก ก่อนที่แรงสะอื้นจะทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นเด็กชายปาร์ค ชานยอลอายุไม่เกินสิบขวบ  เสียงทุ้มปนสะอื้นพูดตะกุกตะกัก กขณะที่มองคนตรงหน้าอย่างถือโทษ “ฮยองต่างหาก... ที่ใจร้ายกับผม”

                    อู๋ ฟานหรี่ตาลงเล็กน้อย  ก่อนส่งมือหนาไปเกลี่ยน้ำตาให้หนุ่มรุ่นน้องอย่างเบามือ   ชานยอลไม่ปัดป้องสัมผัสนั้น  ไม่มีปฏิกิริยาที่แสดงออกว่ารังเกียจ หรือต้องการให้เขาออกห่าง ... หากร่างที่สั่นสะท้านและกอดตัวเองไว้แน่นนั้นกลับเหมือนแม่เล็กที่ดึงดูดให้เขาอยากขยับเข้าไปใกล้เพื่อซับน้ำตา

                    ท่อนแขนแข็งแกร่งวาดเพียงครั้งเดียวก็ดึงร่างเพรียวบางที่ซ่อนอยู่ในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งเข้ามาในอ้อมกอดได้สำเร็จ  คนอายุน้อยกว่าดิ้นอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีก็ยอมซบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาลงบนอกกว้าง 

                    “บ้า... ฮยองบ้า... “

                    ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับเรือนผมสลวยที่ยาวจนเกือบประบ่าของคนในอ้อมแขนพร้อมสูดกลิ่นแชมพูบางเบาเข้าจมูก   ฝ่ามือหนาค่อยลูบผมอย่างช้า ๆ ให้คลายจากแรงสะอื้น

                    “ชานยอล...”

                    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกคนที่ซบอยู่บนอกแผ่วเบา  หากไม่ทันที่จะพูดสิ่งใด  ชานยอลก็ถามขึ้น  

                    “ถ้าวันนึงพี่ทิ้งผมไปอีก... ผมจะทำยังไง”

                    คำถามนั้นทำให้คริสชะงึกกึก... จนต้องคลายอ้อมกอด และจ้องมองใบหน้าที่อาบชุ่มไปด้วยน้ำตา  ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย ตาคู่ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นและไม่มั่นใจ  ก่อนส่ายหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาคมเข้มส่งความหมายที่หนักแน่นประกอบคำถามด้วย

                    “เชื่อพี่ไหม...”

                    ลมหายใจของชานยอลขาดห้วงด้วยแรงสะอื้น... แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงอย่างชัดเจนเมื่อเขาพยายามกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นดังเกินกว่าคำถามของอีกฝ่าย   เด็กหนุ่มพยายามหลบตา  หากมือที่ยึดไว้อยู่ที่ปลายคางกลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น 

                    “เราเชื่อ... เชื่อพี่หรือเปล่า”

                    ชานยอลมองตาคู่ที่เคยทำให้หัวใจเขาเต้นแรง... ดวงตาที่เขาพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้เข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจเขามาตลอด...แต่ไม่เคยทำได้

                    “ผมเชื่อตัวเอง...”

                    ชานยอลรู้ตัวดี

                    เขาแพ้มานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ...

                    สิ่งที่พยายามปฏิเสธมาตลอด... พยายามที่จะโยนมันทิ้งไปเพื่อไม่ให้มันย้อนมาสร้างรอยแผลให้กับตัวเองเหมือนที่เคยเป็นมา กลับไม่สามารถทิ้งมันไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว...

                    วิธีการมากมายถูกนำมาใช้เพื่อหลบเลี่ยง...และแบกรับความรู้สึกที่อัดแน่นพวกนั้นภายใต้รอยยิ้มและความสดใสของตัวเอง

                    ครั้งนี้... ชานยอลตัดสินใจมาด้วยความรอบคอบ เ ขาตั้งใจมาเพื่อทดสอบหัวใจตัวเอง... ตั้งใจมาพิสูจน์ว่าตัวเองได้ถลำลึกลงไปมาแค่ไหนแล้ว จะได้หาทางกลับมาสู่สภาวะปรกติของตัวเองได้ถูก   ชานยอลเดิมพันด้วยหัวใจตัวเองว่า...หากความรู้สึกของเขายังคงปรกติดี...และพบว่ามันเป็นแค่ความหวั่นไหวชั่วครั้งคราว  ชานยอลคงหาวิธีการปฏิเสธแบบที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจได้   แต่หากมันเป็นความรู้สึกอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น  เด็กหนุ่มก็พร้อมที่จะตัดใจ และปฏิเสธอีกฝ่ายให้เด็ดขาด

                    ทว่า... เหตุการณ์ตรงหน้ากลับทำให้ชานยอลรู้จักตัวเองกว่าที่เคยรู้

                    เขาไม่ได้เข้มแข็งเลยสักนิด.... เขาไม่ได้กล้าเลยแม้แต่นิดเดียว  แม้จะยืมมือแพคฮยอนและเพื่อน ๆ มาช่วย  แม้จะตั้งใจปฏิเสธคริสอย่างจริงจังแค่ไหน   และแม้ว่าเขาจะวิ่งหนีผู้ชายคนนี้ต่อไปเขาก็ไม่มีทางชนะ

                    “ผมไม่อยากเชื่อใครอีกแล้ว“

                    “ชานยอล”

                    “ผมเชื่อตัวเอง...มาตลอด... “

                    ไม่มีทางเลย...ยิ่งพยายามหนี ก็เหมือนยิ่งติดกับ...และถูกฉุดเข้าไปในวังวนของคริสลึกลงไปอีก

                    ใบหน้าของคริสเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครา... ลมหายใจรุ่มร้อนแทรกผ่านอากาศหนาวเย็นมากระทบที่ริมฝีปากบางเบา  ชานยอลสั่นระริก...

                    ยามที่เห็นแพขนตายาวหนาของอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ระยะลมหายใจ   เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าเขายินดีบอกกับทุกคนบนโลกนี้ว่าเขาเกลียดคริส

                    “แล้วตอนนี้ล่ะ? ...”

                เกลียดพอ ๆ กับที่เกลียดหัวใจตัวเอง!

                    ชานยอลสบถกับตัวเองอยู่ในใจ  ขณะปล่อยให้ตัวเองอ่อนระทวยยิ่งกว่าเก่าเพราะถูกครอบครองอีกครั้งด้วยริมฝีปากที่แสนเอาแต่ใจของคนที่กำลังกอดเขาแน่น  เป็นจูบที่นุ่มนวล และอ่อนหวานจนเพิ่มอุณหภูมิให้หัวใจของตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก 

                    “พี่เข้าใจเรานะ ...”  ชายหนุ่มกระซิบเบาที่ข้างหู ... กัดใบหูที่แดงก่ำอย่างหมั่นเขี้ยว  มือทั้งสองกระชับร่างเพรียวบางในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก 

                    “พี่ไม่เข้าใจหรอก” ชานยอลแย้ง  

                    “พี่เข้าใจนะว่าทำไมเราถึงปฏิเสธพี่” เขารีบอธิบายเพิ่ม

                    “ไม่...พี่ไม่เข้าใจผม  ไม่เข้าใจหรอก”

                    คริสยิ้มอยู่บนบ่าของคนตัวเล็กกว่า   ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง..

                    “กลัวพี่ทิ้งไปขนาดนั้นเลยเหรอ หือ...”

                    ชานยอลสั่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้น แขนเรียวเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอของมิสเตอร์อู๋ฟาน 

                    “แล้วจะทิ้งไหม?

                    เป็นคำถามที่ทำให้หัวใจของคริสเกือบหยุดเต้น...  สีหน้าของชานยอลจริงจังและเคร่งเครียดกว่าที่เคยเห็น  ริมฝีปากนุ่มหวานที่เขาต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแค่คนเดียวเม้มสนิท 

                    ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่หวาน  ก่อนจูบเบาที่พวงแก้มยุ้ย และเลื่อนลงมาบดเบียดเนื้อนิ่มที่เหมือนกับรอเขาอยู่แล้ว

                    “ไม่... ไม่มีวัน”

                    น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา... เป็นภาษาเกาหลีที่คิดว่าเขาพูดได้ชัดเจนที่สุด  

                    “พี่รักชานยอล”

                    คริสไม่ได้ยินคำตอบรับจากคนในอ้อมแขน... หากสิ่งที่ชานยอลแสดงให้เขาได้รับรู้กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว  เรียวลิ้นชื้นแฉะตอบรับเขาอย่างไม่มั่นใจนัก เรียวแขนที่ยึดร่างเขาไว้แน่เป็นภาษารักที่ชัดเจนที่สุดของชานยอลเช่นกัน

                    “คนใจร้าย... ฮยอง... คนใจร้าย ”        

                รัก...

                “ทำแบบนี้... ผมจะหยุดรักพี่ได้ยังไง ”

     

    TBC.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×