คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] Sunflower 1/3
มือเรียวสองข้างรวบช้อนส้อมด้วยกิริยาเชื่องช้า ดวงตาหลุบลงต่ำเมื่อมองไปยังอาหารเช้าที่ยังเหลืออยู่เต็มจาน แม้จะอดรู้สึกผิดกับคนทำไม่ได้ แต่ลำคอแห้งผาก และลิ้นชา ๆ ก็ดูจะไม่สามารถรับรสชาติอะไรของอาหารได้มากไปกว่านี้ แถมก้อนขม ๆ ที่อยู่ในคอเองก็คอยจะดันเอาอาหารที่กลืนลงไปกลับออกมาทุกที
“อิ่มเร็วจัง ... พักนี้ทานน้อยนะคะ ไดเอทหรือเปล่าคะ” สตรีผู้มีหน้าที่ดูแลเขาโดยตรงเอ่ยขึ้นทันทีอย่างที่คิดเอาไว้ ชานยอลเงยหน้ามองหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับที่นั่งของเขาด้วยรอยยิ้มแห้งบนหน้าเจื่อน ๆ
“ขอโทษฮะ ... มันขมอยู่ในคอ ทานอะไรไม่ลงเลย”
“ไม่สบายหรือเปล่า เดี๋ยวน้าพาไปหาหมอดีกว่าค่ะ ไหนเช็คดูซิ” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขัน รูปร่างท้วม หากปราดเปรียวปรี่มาทางเขาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ชานยอลจะตั้งตัว เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อเมื่ออีกฝ่ายสะบัดมือตัวเองก่อนยื่นหลังมือมาวัดไข้กับหน้าผากของเขาเหมือนที่เคยทำ
“ตายล่ะ มีไข้รุม ๆ นะคะ ... ไม่ได้การแล้ว วันนี้ไม่ไปมหา’ลัยได้ไหมคะ น้าจะได้พาไปหาหมอตรวจเช็คอาการให้เรียบร้อย” พี่เลี้ยงร่างอวบตัดสินใจเร็ว หากชานยอลกลับส่ายหน้าและบอกปฏิเสธแทบจะในทันที
“วันนี้ชานยอลมีสอบฮะ... เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วชานยอลแวะไปหาหมอที่โรงพยาบาลเองก็ได้ฮะ”
“แต่ว่า...”
“น้ามินอาฮะ... สอบตัวสำคัญด้วย ถ้าขาดครั้งนี้ไป ชานยอลต้องติด F แน่ ๆ ” เด็กหนุ่มมองหญิงตรงหน้าด้วยสายตาอ้อนวอน สามปีที่อยู่ที่นี่มา ทำให้ชานยอลรู้ว่ามินอาเป็นพี่เลี้ยงที่เข้มงวด และดูแลเขาตามคำสั่งของอีกคนได้อย่างไม่มีที่ติ หากมีอะไรที่จะกระทบกระเทือนถึงสภาพความเป็นอยู่หรือเกิดความผิดปกติทางร่างกายของเขาแม้แต่น้อย ทุกอย่างจะต้องได้รับการจัดการในทันที
จนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า... มันมากเกินไปหรือเปล่าสำหรับเขา?
“ไม่มีทาง... เดี๋ยวน้าจัดการให้ หนูก็รู้ว่าแค่คุณคริสเอ่ยปากคำเดียวก็หมดเรื่องแล้วค่ะ ทางมหาวิทยาลัยไม่มีทางปล่อยให้คนของมิสเตอร์คริสต้องติด F หรอกค่ะ”
“น้ามินอา... ” ชานยอลโอดครวญ แม้จะรู้ดีว่าบุคคลที่สามในบทสนทนาทรงอิทธิพลแค่ไหนก็ตาม “ผมไม่อยากให้พี่ฟ่านถูกมองไม่ดีนะฮะ ถ้าต้องทำอย่างนั้นขึ้นมา พี่ฟ่านต้องเสียผู้ใหญ่แน่ๆ ”
แม้จะไม่มีหัวทางด้านธุรกิจมากนัก หากชานยอลรู้ดีว่าธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคของอีกคนนั้นใหญ่โตและมีเครือข่ายครอบคลุมมากขนาดไหน เท่าที่รู้มาบริษัทนี้เป็นมรดกของครอบครัว และมีเครือข่ายอยู่เกือบจะทั่วโลก ศูนย์ใหญ่อยู่ที่จีน และแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา แต่อู๋ อี้ฟาน พิสูจน์ตัวเองโดยใช้เวลาเพียงสามปีในการนำบริษัทเข้ามาในเกาหลี จากบริษัทลูกที่แทบไม่มีชื่อเสียง กลายมาเป็นบริษัทที่ได้รับความเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ จนบิดา และมารดาปล่อยมือให้ดูแลกิจการภายในประเทศด้วยตัวเอง ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้มิสเตอร์คริส หนุ่มจีนสัญชาติแคนาดาวัย 27 กลายเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งปี
ชานยอลเม้มปากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้... ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบและรูปร่างสูงใหญ่ราวกับนายแบบของอีกฝ่ายผุดขึ้นมาในหัว
แถมยังติดอันดับหนุ่มในฝันของสาว ๆ ในเกาหลีซะด้วยสิ
เขาในวัยไฮสคูลแทบไม่รู้มาก่อนเลยว่าอิทธิพลของชายหนุ่มแทรกไปแทบทุกหย่อมหญ้า แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยที่ชานยอลอุตส่าห์ตั้งใจสอบเข้าได้ด้วยคะแนนสูงลิ่ว เขาก็เพิ่งรู้ตอนที่ก้าวเข้าไปในนั้นว่าชื่อของคริสเป็นหนึ่งในบุคคลที่มอบทุนจำนวนมหาศาลให้กับทางมหาวิทยาลัย แถมยังได้รับเชิญไปเสวนาในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยอยู่บ่อย ๆ
ชานยอลพยายามทำตัวลีบและไม่ให้ใครสังเกตได้ว่ารถนำเข้าสีดำเคร่งขรึมพร้อมคนขับท่าทางจริงจังนั้นมาจากคฤหาสน์ของมิสเตอร์คริส แต่ก็ยากที่จะปิดบังเหลือเกินโดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนของเขาที่ใช้ความสนิทสนมสืบเสาะจนรู้ความจริงในที่สุด
“ชานยอลจ๊ะ ... ชานยอล”
จมอยู่ในภวังค์ไปนานแค่ไหน เขาไม่แน่ใจนัก ชานยอลสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพี่เลี้ยงบีบไหล่เขาเบา ๆ
“โอเคไหมจ๊ะ น้าจะได้เรียนคุณคริสว่าหนูไม่สบาย ต้องไปหาหมอ”
“...นะครับน้ามินอา ... ชานยอลขอวันเดียว จะรีบไปสอบให้เสร็จ แล้วกลับมาเลย สัญญาฮะว่าจะยอมให้น้ามินอาจับส่งคุณหมอเลย”
“ยอมให้คุณหมอฉีดยาด้วยใช่ไหมคะ” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้ทัน เป็นอันรู้กันดีว่าชานยอลเกลียดการกินยาและฉีดยามากแค่ไหน การจะจับชานยอลเข้าโรงพยาบาลยากเสียยิ่งกว่าการจับลูกหมาอาบน้ำเสียอีก
“น้ามินอา T_T”
ชานยอลแบะปากเหมือนจะร้องไห้ ตากลมโตใสแจ๋วกระพริบปริบ ๆ อย่างน่าสงสาร มินอารู้จักนิสัยคนที่เลี้ยงมาเป็นอย่างดี หากหล่อนก็ยอมปล่อยเด็กขี้อ้อนไปในที่สุด
“ถ้างั้นกลับมาพร้อมใบรับรองแพทย์มารับรองนะคะ ไม่งั้นน้าจะเชิญคุณหมอมาถึงบ้านเลย”
“ได้ฮะ” เด็กหนุ่มบอกด้วยท่าทางกระตือรือร้นเช่นเคย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มขณะลุกพรวดขึ้นเต็มความสูง หญิงร่างท้วมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตั้งแต่โครงหน้าสวยไร้ที่ติราวกับเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะดวงตาสองชั้นกลมสวยเป็นประกาย จมูกโด่งได้รูปโดยไม่ต้องพึ่งมือหมอ แถมริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูอ่อนเป็นธรรมชาติ ใบหน้าจิ้มลิ้มขัดกับรูปร่างที่สูงใหญ่และน้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับเป็นคนละคน
“สูงขึ้นอีกหรือเปล่าคะเนี่ย...“
“ แค่สองเซ็นเองฮะ... คงไม่สูงมากไปกว่านี้แล้วมั้ง ผมว่าจะหยุดดื่มนมแล้ว สูงไปกว่านี้เดี๋ยวกลายเป็นยักษ์” เจ้าตัวว่าพลางเกาหัวแกรก ๆ ส่วนสูงล่าสุดที่เขาวัดมาคือ 186 ต่างจากตอนที่อายุ 16 เกือบยี่สิบเซ็นติเมตร คนที่รู้จักเขาสมัยมัธยมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาโตไวมาก อาจเพราะอาหารการกินดีแถมสบายจนเกินเหตุ ร่างกายเลยเจริญเติบโตมากจนเกินไป
“จะสูงเท่าคุณคริสแล้วนะคะ ดูเผิน ๆ เหมือนฝาแฝดกันเลยค่ะ”
“ฮะฮ่า สงสัยพี่เค้ากลัวผมสูงกว่า เดี๋ยวนี้ถึงไม่อยากเจอหน้าผมเลย ..” ชานยอลหัวเราะร่าเริง.... ใบหน้าสดใสคล้ายไม่คิดอะไร หากน้ำเสียงกลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
มินอาถอนหายใจแผ่ว... และเอื้อมมือไปบีบต้นแขนอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน
“ชานยอล...”
“วันนี้พี่ฟ่านก็ไม่อยู่อีกแล้วสินะฮะ”
“คุณคริสออกไปตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ งานยุ่งทุกวันจ้ะ หนูต้องเข้าใจนะ”
“ชานยอลเข้าใจฮะ”เด็กหนุ่มรีบบอก... หากดวงตาใสกลับเบนไปมองโคมไฟคริสตัลสวยที่อยู่มุมห้องอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดของเขาได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนทุกที
“แค่... ผมก็แค่... “
จะพูดได้อย่างไร... อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่ไม่พบกันเกือบสองอาทิตย์แล้ว
จนอดคิดไม่ได้ว่า... อีกฝ่ายจงใจหรือเปล่า
“ไม่ได้เจอพี่ฟ่านเลย...”
“ชานยอล”
“บางที... ชานยอลอาจจะเป็นภาระของพี่ฟ่านจริง ๆ ก็ได้”
“น้าบอกแล้วไงคะว่าอย่าพูดแบบนี้... ถ้าคุณคริสได้ยินต้องเสียใจแน่ ๆ นะคะ”
ชานยอลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้ยิน... ประโยคที่ตั้งใจจะพูดออกมาถูกกลืนหายไปพร้อมๆ กัน
......
ถ้าพี่ฟ่านไม่อยากให้ชานยอลอยู่ที่นี่เมื่อไหร่ก็รีบบอกเลยนะฮะ
ชานยอลพร้อม... พร้อมที่จะไป
“อย่าคิดมากสิคะ ถึงจะเก็กหน้าขรึมไปอย่างนั้น แต่คุณคริสทั้งรักและห่วงหนูมากนะคะ”
ชานยอลสบตาอีกฝ่าย ก่อนยิ้มบาง...
เพียงแค่คิด ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ต้องคิดสิฮะ... เพราะจนถึงวันนี้ชานยอลยังไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”
มินอามองตามหลังของเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งไปจนกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังมองลูกชายอีกคน แม้ว่าหล่อนจะทำหน้าที่พี่เลี้ยงของคริสมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่กับชานยอลที่ได้รับหน้าที่ดูแลใกล้ชิดมาแค่สามปี มินอากลับรู้สึกผูกพันกับเด็กชายมากกว่า ...อาจเพราะสงสารชานยอลเป็นเด็กที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียมาตั้งแต่อายุยังน้อย แถมเป็นเด็กที่ยังไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตัวเองเลย
นึกไปถึงชายหนุ่มอีกคนที่เลี้ยงมาเองกับมือ มินอาก็อดส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจไม่ได้
ไม่ไหวเลย
ถ้าคริสยังเป็นหนุ่มน้อยวันแรกรุ่นอยู่ มินอาคงไม่ลังเลที่จะเอื้อมมือไปบิดหูชายหนุ่มแรง ๆ สักทีเพื่อให้รู้ตัวสักทีว่ากำลังทำอะไรลงไป
“ปากก็บอกว่าอยากให้ช่านเลี่ยมีความสุข... แต่ขโมยรอยยิ้มน้องไปอีกแล้วนะคุณคริส ” หล่อนพึมพำ
♥
“ที่นี่เหรอวะ... นี่มันบ้านหรือปราสาทเนี่ย...”
คนข้างตัวเอ่ยอย่างตื่น ๆ ก่อนดับรถเครื่องยนต์ลง ชานยอลพยักหน้ารับคำเพื่อน พลางถอนหายใจแผ่วหวิวเมื่อมองผ่านกระจกออกไปยังแสงสว่างของบ้านหลังใหญ่
เกือบสองทุ่มแล้ว... ป่านนี้น้ามินอาคงจะรอแย่ เผลอ ๆ อาจจะวิ่งวุ่นโทรแจ้งตำรวจแล้วก็ไม่รู้ ชานยอลไม่เคยกลับบ้านคนเดียวในเวลามืดค่ำแบบนี้ด้วยสิ
แต่ทำยังไงได้ ที่ ๆ เขาไปมันกับจงอินมันไกลไม่ใช่น้อยเลยนี่นา
“จงอิน ...ขอบใจนะโว้ย วันนี้เหนื่อยหลายเรื่องเลย ”
“ เออ ไม่เป็นไร... ดีซะอีก กูได้รู้จักมึงขึ้นกว่าเดิมเยอะ ตอนแรกนึกว่าจะยิ้มเสียสติเป็นอย่างเดียวซะอีก” จงอินยักคิ้วและเอียงหน้ากวน ๆ มาทางเขาพร้อมกับซบพวงมาลัย ชานยอลหรี่ตาลงเล็กน้อยและย่นจมูกใส่
“เดี๋ยวเหอะ... กูอุตส่าห์พูดดี ๆ ด้วย”
เด็กหนุ่มผิวเข้มหัวเราะลั่นรถคันเก่าของตัวเอง สีหน้าสดใสของจงอินทำให้ชานยอลยิ้มอวดฟันครบสามสิบสองซี่
“ไม่เป็นไร มึงโอเคไหมวะ ยังคิดถึงพี่อยู่เหรอวะ”
“โอเคดี... ก็ยังคิดถึงบ้าง กูมีพี่แค่คนเดียวนี่หว่า แต่ไม่มีอะไรหรอก กูเชื่อว่าพี่โชรงยังอยู่เคียงข้างกูเสมอ ตอนนี้ก็ด้วย...”
“ไอ้เชี่ย... มาพูดอะไรตอนมืด ๆ วะ กูยิ่งเสียว ๆ อยู่” จงอินทำหน้าเหย ก่อนบอกต่อไปเมื่อกวาดสายตามองกำแพงบ้านสูงใหญ่ตรงหน้า “แต่มึงโชคดีนะ ยังเหลือญาติมีฐานะแบบนี้อยู่ด้วย อยู่สบายเลยสิ”
คนโชคดีรับฟังก่อนดึงกระเป๋าเป้มากอดไว้แน่น... หน้าสวยคลี่ยิ้มบาง ดวงตาคู่ใสสะท้อนประกายลึกเมื่อเพื่อนสะกิดความคิดบางอย่างให้กวนขุ่นขึ้นมา
“ใช่... โชคดีมาก...”
โชคดีจนต้องถามตัวเองหลายครั้งว่าทำไมเขาถึงโชคดีขนาดนี้...
มีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มวัย 27 ปี รับเลี้ยงดูเด็กผู้ชายอายุแค่ 19 มานานเกินกว่าสามปีแล้ว
กับเด็กคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่น้อย...
ไม่สิ...จะว่าไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้
แต่ก็เป็นแค่.... น้องชายของแฟนเก่า
แฟนเก่าที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำ
“ชานยอล... ชานยอล”
ชานยอลหน้าเบ้ เด็กหนุ่มเอามือยันคนที่ตะโกนแหกปากข้างหูเขาออกห่าง เพราะเสียงทุ้มต่ำของจงอินดังลั่นจนแสบแก้วหู
“ไอ้บ้า ... เรียกซะตกใจหมด”
“ก็มึงไม่ได้ยินนี่หว่า” จงอินบ่นอุบ ... ก่อนทำหน้ากระตือรือร้นเมื่อพูดถึงประโยคต่อมา “เรื่องที่กูคุยกับมึงวันก่อน ตกลงว่าไงนะ”
“เรื่อง?... ” ชานยอลทำหน้าสงสัย “อะ... เอ่อ เรื่องนั้น ”
“โหย... กูซีเรียสนะนี่ เกิดมากูยังไม่เคยหน้าด้านขอใครคบแบบนี้มาก่อนเลยนะ อย่ามาทำหน้างงได้ปะชานยอล”
“ก็มึงล้อเล่นไม่ใช่เหรอวะ” คนถูกขอคบทำหน้าตื่น ... ให้ตายเถอะ ใครจะไปรู้ว่าไอ้หน้ายิ้ม ๆ ตากรุ้มกริ่มอารมณ์ดี แถมยังเจ้าเล่ห์แบบนั้นจะพูดจริง
จงอินเป็นเพื่อนคนแรกที่รู้จักในมหาวิทยาลัย ถึงคบกันไม่กี่เดือนแต่ความสนิทสนมก็มากพอสมควร อาจจะมากกว่าเพื่อนหลาย ๆ คนของชานยอลที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถมด้วยซ้ำไป หมอนี่ชอบพูดจาขวานผ่าซาก... ทำหน้ากวนส้นเท้าตลอดเวลา แถมยังชอบล้อเล่นอยู่เรื่อย
แล้วไอ้ประโยคคำถามที่ว่า ‘มึงมีแฟนหรือยัง ’ ที่เขาส่ายหน้าปฏิเสธไป และประโยคต่อมาที่ว่า ...‘ถ้าไม่มี งั้นก็มาเป็นแฟนกูดิ ’
ประโยคพวกนี้... พอคนหน้านิ่ง ๆ อมยิ้มบาง ๆ พูด มันเลยไม่ได้ทำให้ชานยอลรู้สึกถึงความจริงจังแม้แต่น้อย
กระทั่งชานยอลเห็นจงอินทำหน้าเซ็ง เขาจึงยอมเชื่อในที่สุด
“ถ้าพูดเล่นกูจะถามมึงอีกรอบเหรอ” คนถามเอ่ยด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ “มึงนี่มันไม่โรแมนติกเลยเหอะชานยอล”
“กูเป็นผู้ชาย...” เด็กหนุ่มตอบนิ่ง ๆ รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“แล้วมึงไม่ได้ชอบผู้ชายหรือไงวะ ”
ชานยอลสะดุ้ง ก่อนร้องเสียงหลง “กูไม่ใช่เกย์!!!”
“กูก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น... อีกอย่างกูไม่ได้ชอบที่มึงเป็นเกย์นี่หว่า กูให้เวลามึงไปคิดอีกสามวันแล้วกัน ถ้ามึงปฏิเสธกูก็ไม่ว่า กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้“ จงอินพูดง่าย ๆ โดยไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าฝ่ายคนถูกสารภาพรักแสดงสีหน้าอย่างไร
ชานยอลปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับท่าทางสบาย ๆ เหลือเกินของอีกฝ่าย ...
“นี่มึงจริงจังบ้างปะ”
“จริงจังดิ มึงไปคิดมาดี ๆ แล้วกัน... แต่เรียนปานกลาง กีฬาเด่น หน้าตาดี มีรถใช้แบบกูหาไม่ได้ง่าย ๆ นะโว้ย”
หน้าสวยวาดยิ้มกว้าง เขาขำพรืดกับคำบรรยายสรรพคุณของเจ้าของรถ
“รถบุโรทั่งนี่นะ น่าสนใจตาย” ชานยอลแลบลิ้นให้คนขี้อวด แต่จงอินกลับยักไหล่และอวดต่อ
“เก่าแต่คุณภาพดีนะน้อง ”
ชานยอลยิ้มจนแก้มปริ... จงอินมีดีตรงนี้ อยู่ด้วยเมื่อไหร่ก็ทำให้รู้สึกสบายใจได้เสมอ ถึงจะตลกไม่เข้าท่าและเสี่ยวไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาลำบากใจเลยที่จะคบหาด้วย
แล้วเขาก็เชื่อด้วยว่าจงอินคงไม่ว่าอะไรหากเขาจะปฏิเสธสิ่งที่จงอินเสนอมาให้
“เออ... งั้นกูไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
เจ้าของร่างสูงโปร่งขยับตัวลุกออกจากเบาะรถหลังเปิดประตูแล้ว หากไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกจากรถ ... อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมา
“เดี๋ยว....”
“หื...... อะ”
ชานยอลหันกลับไปยังต้นเสียง... และพบกับใบหน้าคมคร้ามที่เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว
ชั่ววินาทีนั้นเองที่ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับบนแก้มนิ่ม เนิบช้า เบาหวิว... ทว่าทำให้ชานยอลรู้สึกราวกับอีกฝ่ายวางถ่าoไฟร้อน ๆ ลงบนผิวหน้า เสียงกระซิบแผ่วเบาของจงอินทำให้เขาลืมว่าตัวเองก้าวพรวดลงมาจากรถตั้งแต่เมื่อไหร่
“จะรอนะ..”
♥
“กั๊มจงเอ้ย!!”
ชานยอลสบถเบาเมื่อมองตามรถคันเก่าเคลื่อนจากไปพร้อมปล่อยควันโขมงตามไปด้วย รอยอุ่นบางเบายังคลอเคลียอยู่บนแก้มฟู... นิ้วเรียวยาวแตะแผ่วผิวที่ถูกสัมผัสและถอนหายใจ
“ช่านเลี่ย!”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ร่างสูงโปร่งสะดุ้งสุดตัว...ชานยอลไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อยขณะหมุนตัวกลับไปยังต้นเสียง
เขาแทบหยุดหายใจ
ภาพตรงหน้าราวกับความฝัน
ชายร่างสูงใหญ่ ... ยืนกอดอกอยู่หน้าบันไดทางเข้าบ้าน ใบหน้าเรียบเฉย... ดวงตาคมเข้มมองตรงมาราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
อู๋ อี้ฟานพูดกับเขาเป็นภาษาเกาหลี หากน้ำเสียงทุ้มต่ำกลับชอบที่จะเอ่ยชื่อเขาด้วยสำเนียงจีน
ช่านเลี่ย... มีเพียงคนเดียวในโลกที่เรียกเขาแบบนี้
“พี่ฟ่าน...”
ชานยอลรู้สึกเหมือนตาร้อนผ่าว .... ยามเมื่อพิจารณาใบหน้าที่ไม่ได้พบนานเหลือเกิน
คล้ำขึ้นหรือเปล่านะ... ผมยาวขึ้น... ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย คงเพราะนิสัยที่ชอบเอามือเสยผมขึ้นเวลาหงุดหงิดหรือร้อนขึ้นมา
“ทำไม... พี่...ยืนตรงนี้”
“ไปไหนมา” น้ำเสียงของคริสดูหงุดหงิด... ชายหนุ่มเสยผมสีทองขึ้นอีกครั้ง และพ่นลมหายใจแรงออกมา
“คือ... ”
“พี่ ถาม ว่า ไป ไหน มา แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
ชานยอลก้มหน้างุด ลมหายใจติดขัดเมื่อได้ยินประโยคคาดคั้นที่แสนจริงจังและดุดันนั้น เด็กหนุ่มชาวูบไปทั้งตัว ...
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ก็คือหนึ่งปีก่อน ตอนที่เขาหามุมนั่งอ่านหนังสือและเผลอหลับไปที่ระเบียงห้องสมุดในบ้านไปนานเกือบสามชั่วโมง และปล่อยให้คนทั้งบ้านออกตามหากันเกือบครึ่งค่อนวันโดยไม่มีใครเอะใจ
กว่าจะพบเขาอีกครั้งก็ตอนเวลาอาหารเย็น เมื่อชานยอลเดินออกมาจากห้องสมุดชั้นบนสุดที่ไม่ค่อยมีใครใช้พร้อมหนังสือรวมบทกวีในมือ และพบกับคริสที่ผมยุ่งเหยิงผิดวิสัยนักธุรกิจจอมเนี้ยบ สีหน้าหงุดหงิดเต็มที่
ชานยอลเห็นร่างสูงใหญ่แวดล้อมไปด้วยคนในความปกครองทั้งพี่เลี้ยง แม่บ้าน คนสวน คนขับรถ รวมไปถึงเลขาส่วนตัวอย่างคุณจงแด ทุกคนล้วนแล้วแต่จับจ้องมาที่เขาด้วยความตกใจ และโล่งอก น้ามินอาถลาเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าดีใจ หากไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร คริสก็ระเบิดเสียงลั่นใส่เขาด้วยความโกรธจัด เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถูกดุว่าอะไรไปบ้าง ... แต่มันรุนแรงเสียจนเขากลัว
และเหตุการณ์นั้น ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่ชานยอลย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ที่ทำให้เขาร้องไห้ออกมา
“ช่านเลี่ย... ตอบ!!”
เขาสะดุ้งอีกครั้ง
เสียงดุคาดคั้น ไม่ต่างกับครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย.. ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึก ริมฝีปากสั่นระริก พยายามรวบรวมสติกลับคืนมาเพื่อตอบคำถามอีกฝ่าย
“ผม...”
“กลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เถลไถลไม่รับผิดชอบ...ทำแบบนี้คิดว่าโชรงจะดีใจงั้นเหรอ ทำอะไรคิดถึงพี่สาวเราหน่อยสิ ต้องให้คนทั้งบ้านมารอแบบนี้มันใช่เรื่องไหม นี่ติดต่อก็ไม่ได้ ถ้าติดเพื่อนแบบนี้วันหลังจะไม่ยอมให้กลับเองแล้วนะ ”
“... ”
“ฟังอยู่หรือเปล่า”
“คะ. ครับ”
ชานยอลรู้สึกวูบโหวงไปทั้งตัว เขามองไปที่กระเบื้องราคาแพง ขั้นบันได ... รวมไปถึงพุ่มไม้มืด ๆ ที่อยู่ห่างออกไปอย่างตั้งใจ พยายามครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเพื่อไม่ให้หวนกลับมาคิดถึงทำนบน้ำตาที่กำลังพร้อมจะเอ่อท้นออกมาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ปากของเขาสั่นจนฟันกระทบกัน... มือที่จับชายเสื้ออยู่เบื้องล่างชื้นเหงื่อจนเหนอะหนะ
“คุณคริส...”
คิม มินอาเคลื่อนร่างท้วมมาขวางหน้าเขาและชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สุภาพสตรีผู้มีหน้าที่ดูแลคนทั้งคู่มากับมือยิ้มบางให้กับคนที่กำลังทำหน้าเครียด พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“มินอาว่า ให้น้องไปอาบน้ำ กินข้าวกินปลาก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
ชานยอลค่อย ๆ ขยับตัวไปแอบที่หลังของมินอาเพื่อหาที่พึ่งพิง... มือเรียวยาวคว้าแขนของพี่เลี้ยงอาวุโสไว้ และก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของตัวเองอย่างจริงจัง บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นทุกทีจนเขาอึดอัด เพราะดูท่าทางครั้งนี้ผู้ปกครองของเขาจะไม่ยอมง่าย ๆ
“ไม่ใช่ผมไม่เคารพมินอานะครับ... แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมควรคุยกับเค้าโดยตรง ปล่อยเอาไว้จนเลยเถิดแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”
“คุณคริสคะ...”
“มินอาเข้าข้างช่านเลี่ยมากเกินไปแล้ว...”
“ถ้าคุณคริสพูดแบบนี้ก็หมายความว่ามินอายังดูแลชานยอลไม่ดีพอ มินอาต่างหากที่สมควรถูกลงโทษ“
“มินอา!!!”
คราวนี้เสียงทุ้มต่ำสองเสียงประสานกันด้วยความตกใจ เมื่อคนสูงวัยกว่าเอ่ยโทษตนเอง ชานยอลบีบมืออีกฝ่ายแรงและแบะปาก... น้ำตารื้นออกมาจนคลอเบ้า
“คุณคริสเป็นผู้ปกครองของคุณชานยอลก็จริง แต่คุณได้มอบหน้าที่ผู้ดดูแลคุณชานยอลให้มินอาแล้ว แล้วตอนนี้คุณชานยอลเพิ่งกลับมาบ้าน มินอาก็ควรทำหน้าที่ของผู้ดูแลก่อนไม่ใช่เหรอคะ เมื่อดูแลเสร็จแล้ว คุณคริสจะว่ากล่าวสั่งสอนคุณชานยอลยังไงก็ได้ มินอาไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะหน้าที่ของมินอาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ”
“....”
“นะคะ... ”
น้ำเสียงของมินอาอ่อนหวาน...หากฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่ากำลังคาดคั้นให้อีกฝ่ายตอบตกลงในที่สุด หญิงร่างท้วมยิ้มบางขณะมองหน้าชายร่างสูงที่รู้จักมาเกือบตลอดชีวิตด้วยสีหน้าท้าทาย
อู๋ ฟานพึมพำอะไรบางอย่างท่าทางหงุดหงิด ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าทีแรก
“ชานเลี่ย...”
“ฮ....ฮะ”
“ให้มินอาดูแลเรียบร้อยแล้วก็ตามพี่ขึ้นมาที่ห้องทำงานด้วย”
“ฮะ”
น้ำเสียงประชดประชันทำให้มินอายิ้มกว้างกว่าเดิม ชายหนุ่มหมุนตัวกลับเข้าบ้านไปอย่างคนอารมณ์ไม่ดีนัก เขาก้าวฉับ ๆ และจากไปอย่างรวดเร็ว
“ชานยอลขอโทษครับ...”
หญิงพี่เลี้ยงหันมาส่ายหน้าให้กับเจ้าของเสียงสั่น ๆ และใบหน้าซีดเผือด ฝ่ามืออบอุ่นยื่นขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของเขาให้อย่างอ่อนโยน สีหน้าและเสียงปลอบประโลมแทบจะทำให้ชานยอลสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอไม่ได้
“ไม่เป็นไรนะคะคนดี... นี่ไปหาหมอหรือยังลูก ดูหน้าซีดเชียว”
“ยังครับ... ผะ.. ผม... ”
“นี่ไงล่ะคะ... วันนี้ได้ถูกคุณหมอฉีดก้นแน่ ๆ ” มินอาว่าขำ ๆ พลางดึงแก้มนิ่มเบามือ และสอดแขนเข้ากับเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง เอวบอบบางอย่างไม่น่าเชื่อผิดกับเสื้อตัวโคร่งที่ใส่อยู่ทำให้พี่เลี้ยงต้องเอ่ย “ตัวก็โตแต่ทำไมผอมได้ขนาดนี้คะเนี่ย... อย่างนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะคะ เดี๋ยวมินอาทำของโปรดของหนูให้ทาน ทานเสร็จแล้วจะได้ทานยานะคะ ”
“ฮะ... ”
ชานยอลยิ้มทั้งน้ำตาให้กับคนเดียวที่เข้าใจเขาเสมอ ร่างสูงเก้งก้างเดินเกาะที่พึ่งสุดท้ายของตัวเองขึ้นบันไดไปอย่างว่าง่าย แม้ว่าหัวใจจะเจ็บและทรมานแค่ไหนก็ตามที
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองไปยังหน้าต่างห้องทำงานของเจ้าของบ้านที่กำลังเปิดไฟสว่างจ้า ... ป่านนี้เจ้าตัวคงกำลังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้ดุเขาอย่างที่ควรจะเป็น
เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด...
.... คน ๆ นั้น... ไม่เคยเลย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา... อี้ฟานไม่เคยมองเขาเลย
ทำแบบนี้คิดว่าโชรงจะดีใจงั้นเหรอ ทำอะไรคิดถึงพี่สาวเราหน่อยสิ
อีกครั้ง...และอีกครั้ง
ชานยอลตระหนักดีว่า ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนปาร์ค โชรง ก็ยังเป็นหนึ่งเดียวในใจของอู๋ อี้ฟานอยู่เสมอ
ไม่ใช่เขา...
และคงไม่มีวันใช่
♥
หนุ่มร่างสูงอมยิ้มขณะมองเด็กชายร่างเพรียวอุ้มตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เดินไปมาระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องตัวเอง เพื่อขนสมุด และหนังสือตั้งใหญ่มานั่งจมปุ๊กอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นข้างหน้าเขา แก้มยิ้มอมลมจนแก้มป่องขณะขนของมาทีละอย่างสองอย่าง จนคนมองอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเจ้าตัวจึงไม่ปล่อยตุ๊กตาหมีและขนทุกอย่างมาในรอบเดียว
ถึงจะหน้าตาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงก็เถอะ ... แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าโชรงเลี้ยงมายังไงถึงทำให้เด็กผู้ชายอายุเกือบ16 แล้วแต่ยังติดตุ๊กตาหมีอยู่
“พี่รอก่อนนะ พี่โชรงยังไม่กลับเลย กินไรมะ ผมทอดไข่ได้นะ”
“ทอดเป็นแต่ไข่เหรอ”
“โหย... ดูถูก” เด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มโอดครวญ แก้มใสปรากฎลักยิ้มเล็ก ๆ ชวนมอง คริสหัวเราะเบาและเอ่ยอย่างรู้ทัน
“แล้วถูกไหมล่ะ”
“พี่โชรงขายผมอีกแล้วสินะ ...”
หนุ่มชาวจีนยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงโชรงอีกครั้ง ... สมแล้วที่อยู่ด้วยกันแค่สองคนพี่น้องมาตั้งหลายปี เท่าที่รู้มาพ่อแม่ของชานยอลกับโชรงเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุไปเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นชานยอลยังไม่จบประถมด้วยซ้ำ โชคดีที่โชรงบรรลุนิติภาวะแล้ว และเงินประกันชีวิตของทั้งสองมีมากพอที่จะทำให้โชรงมีโอกาสเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ แม้โชรงจะเป็นแค่นักศึกษาปีสอง แต่หล่อนก็มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะเรียนให้จบโดยเร็วเพื่อดูแลน้องชายคนเดียวอย่างสุดความสามารถ
อู๋ ฟานเป็นเพื่อนกับโชรงตอนมาเรียนภาษาเกาหลีที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาอายุมากกว่าโชรงหนึ่งปี แต่สาวเจ้ากลับนับอายุตัวเองเป็นแบบเกาหลี และนับอายุของเขาแบบสากลเพื่อให้อายุเท่ากับเขา
ชายหนุ่มกล้าพูดว่าโชรงคือเพื่อนชาวเกาหลีที่เขาสนิทด้วยที่สุดในขณะนี้ สนิทจนเข้าบ้านอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องเกรงใจ ...
ไม่เกรงใจแม้กระทั่งเด็กชายตาแป๋วที่เข้ากับคนง่ายเสียเหลือเกินคนนี้ พบปะพูดคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งเขาและชานยอลก็แทบจะตบหัวเล่นได้อยู่แล้ว
“เปล่าซะหน่อย โชรงออกจะรักจะหลงน้องชายคนเดียว ... วันไหนไม่พูดถึงชานยอลลี่นี่นึกว่าตัวปลอม”
เจ้าเด็กตาใสยิ้มกว้างอวดฟันสามสิบสองซี่ให้เขาทันทีที่ได้ยิน
“ก็แน่อยู่แล้ว พี่น้องหน้าตาดีแบบเราสองคนหาที่ไหนไม่ได้แล้วล่ะ ”
“หลงตัวเองทั้งคู่ด้วยนะเรา...”
คริสว่า พลางยื่นมือไปโยกหัวทุยสวยอย่างหมั่นไส้ ผมสีดำสลวยตัดเข้ารูปกับศีรษะเหมือนเห็ดน้อย ๆ ผมที่ยาวระต้นคอ ทำให้ดูเผิน ๆ คล้ายกับเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะจุกกลางศีรษะที่ถูกมัดไว้เหมือนน้ำพลุนั่น... ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าโชรงทั้งรักและหลงน้องชายตัวเองมากแค่ไหน เพราะพบกันทีไรคริสก็จะพบว่าชานยอลถูกจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตา แถมยังใช้แฟชั่นเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ มาทำให้หน้าสวย ๆ ของชานยอลดูหวานขึ้นไปอีก ที่สำคัญตุ๊กตามีชีวิตของโชรงก็ทั้งรักและเทิดทูนพี่สาวเสียจนยอมให้ทำทุกอย่างที่ต้องการ
คริสยิ่งออกแรงขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงจนอีกฝ่ายเบ้ปาก มือเล็กปัดป่ายเขาอย่างสุดกำลัง ริมฝีปากสีชมพูหวานยื่นใส่เขาอย่างน่ารัก และเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิด
“ผมจะฟ้องพี่โชรง... พี่โชรงไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนมาแตะเนื้อต้องตัวผมง่าย ๆ หรอกนะ”
“แตะไปแล้วล่ะ ทำไงดี พี่ต้องรับผิดชอบด้วยการขอแต่งงานไหม?”
“ไอ้พี่คริสบ้า“ ชานยอลแยกเขี้ยวใส่เขา และล้มลงไปกอดตุ๊กตาหมีสีขาว “ อือ...ผมว่าจะถามตั้งนานแล้วว่าทำไมพี่ถึงได้พูดเกาหลีเก่งจัง ไหนพี่โชรงบอกว่าพี่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ไง”
“พี่เลี้ยงของพี่เป็นคนเกาหลีไง... สอนพี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ” คริสอธิบาย “พี่เกิดที่จีน แต่ไปโตที่แคนาดา ทีนี้พี่เลี้ยงที่พ่อกับแม่หามาเป็นคนเกาหลี ก็เลยขอให้สอนเกาหลีให้”
“โหย...งี้พี่ก็พูดได้ทั้งจีน อังกฤษ เกาหลี เก่งขนาดนี้ก็ไปเที่ยวรอบโลกได้น่ะสิ”
“อือ ได้... แล้วเราอยากไปเที่ยวรอบโลกเหรอ”
ชานยอลพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายวิ้งวับทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้
“ช่าย...ผมสัญญากับพี่ไว้แล้วว่าจะรีบเรียนให้จบเร็ว ๆ ทำงานเก็บเงิน แล้วก็ไปเที่ยวรอบโลกกันสักสองรอบเลย”
“แต่ก่อนอื่นต้องเรียนให้เก่ง ๆ ก่อนนะ”
พอพูดถึงเรื่องเรียนปุ๊บ ท่าทางตื่นเต้นก็กลายเป็นห่อเหี่ยวทันที ร่างเพรียวบางล้มตัวลงบนตุ๊กตาหมีสีขาวและซุกหน้าลงบนพุงกลม ๆ ของหมีตัวใหญ่
“แล้วนี่ไม่อ่านหนังสือเหรอ... ” คำถามของเขาถูกตอบรับด้วยใบหน้าที่ส่ายไปมาอยู่บนพุงหมี เจ้าตัวเล็กทำตาปรือเหมือนจะหลับทั้งอย่างนั้น ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“ชื่อจีนของพี่อ่านว่ายังไงอะ”
คริสเลิกคิ้ว..
“หือ... อู๋ อี้ฟาน... อู๋ ฟานก็ได้”
“อู๋ ฟาน... เท่ดีออก... งั้นผมเรียกพี่ว่าพี่ฟ่านแล้วกันนะ เบื่อชื่อคริสแล้ว”
“เดี๋ยวเหอะตัวเล็ก...”
ชานยอลเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ร่างเล็กลุกพรวดขึ้น และทำหน้างอ
“ผมไม่ตัวเล็กน้า... คอยดูเหอะ เดี๋ยวจะตัวเท่าพี่ให้ดู”
“ให้มันจริงเถอะ... ”
“นี่... พี่ฟ่าน แล้วชื่อผมล่ะ ถ้าอ่านเป็นภาษาจีนต้องอ่านว่ายังไง...อ่านว่าชานยอลได้ปะ ” เด็กชายถามตาแป๋ว น้ำเสียงตื่นเต้นอยากรู้ หนุ่มชาวจีนมองอย่างเอ็นดู ก่อนทำท่าครุ่นคิด
“เอ่อ...ชานยอล.. ไม่ได้มั้ง... ลิ้นคนจีนไม่เหมือนลิ้นคนเกาหลีนี่นา... แต่ถ้าเป็น ชาน... ช่านเลี่ย... น่าจะได้“
“ว้าว... ชอบอะ ช่านเลี่ย... เขียนยังไงฮะ ”
เจ้าตัวเล็กดูกระตือรือร้นขึ้นทันที ชานยอลใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีคว้ากระดาษและปากกาจากโต๊ะญี่ปุ่นพุ่งตรงมาหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยดวงตาเป็นประกายของความตื่นเต้น
“อือ... แบบนี้นะ ”
ชายหนุ่มตวัดเส้นปากกาอย่างคล่องแคล่ว ชั่วพริบตาก็ปรากฎตัวอักษรจีนที่ไม่คุ้นตาชานยอลขึ้น...
燦烈
เด็กชายเบ้ปาก... มองเส้นสิบกว่าเส้นที่พาดทับกันไปมาบนกระดาษด้วยสายตาแหยง ๆ
“นี่มันตัวอะไรเนี่ยพี่ ทำไมขยุกขยุยขนาดนี้...”
“ชื่อเรานั่นแหละ”
“ เขียนยังไงอะฮะ... อย่าเขียนเร็วสิ ขอตั้งแต่เส้นแรกเลย ” เจ้าตัวเล็กโผเข้ามาจ้องกระดาษสีขาวของอีกฝ่ายตาแป๋ว พร้อมกับลากปากกาอีกด้ามไปบนกระดาษของตน... พยายามเลียนแบบให้เหมือนที่สุด หากเจ้าของแบบกลับมองขำ ๆ ก่อนขยับมือมาช่วยอีกฝ่ายควบคุมทิศทางของเส้นให้ถูกต้อง มือใหญ่กว่าช่วยประคองมือเล็กอย่างใจเย็น มือที่เย็นและนิ่มอย่างไม่น่าเชื่อค่อยเคลื่อนไปตามแรงส่งของเขาทีละน้อย
“นี่ ๆ ลากมาอย่างนี้... แบบนี้ต่างหาก”
“ยากอะ”
“อย่าใจร้อนสิ...มีสมาธิหน่อย”
燦烈
คริสอมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กดูท่าทางถูกอกถูกใจกับการเขียนเหลือเกิน... เรือนกายสูงใหญ่เคลื่อนไปอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายเพื่อให้ง่ายต่อการช่วยดูสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษสีขาว ร่างของชานยอลดูเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขา... แผ่นหลังบอบบางไม่ต่างกับพี่สาว ผิวขาวใสกระจ่างตาไปเสียทุกส่วน ถ้าโชรงไม่ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าชานยอลเป็นน้องชาย เขาก็พร้อมจะคิดว่าคนตัวเล็กเป็นน้องสาวไปซะแล้ว
“นี่พี่ฟ่าน... พี่ชอบพี่โชรงจริง ๆ เหรอ?”
“อะ... เอ๋... เอ๊ะ”
“อย่าปฏิเสธนะ”
“อ้าว...งั้นจะถามทำไม” คริสหัวเราะร่วน “... แล้วรู้ได้ไงว่าพี่ชอบพี่สาวเรา บางทีพี่... อาจจะมาจีบเราก็ได้”
“ขนลุกน่า ... เอาเป็นว่าผมดูออกเหอะ”
“ดูออกจริงเหรอ?” ประโยคซื่อ ๆ แฝงความจริงจังของเจ้าตัวเล็ก ชักจะทำให้คริสเสียเซลฟ์ขึ้นมาซะแล้ว
“ถ้าไม่ชอบพี่จะมาหาพี่สาวผมทุกวันทำไมล่ะ จริงไหม ...”เด็กชายตอบพร้อมยักคิ้วให้
“... ก็... น่าจะจริง มั้ง ...ทำไม หวงพี่เหรอตัวเล็ก” คริสวางมือหนาลงบนศีรษะทุยสวย ขยี้ผมนุ่มสลวยเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู... หากอีกฝ่ายกลับไม่ปัดป้องหรือ
“เปล่าซะหน่อย ถ้าเป็นพี่...ผมไม่หวงหรอก”
“ไหนโชรงบอกว่าชานยอลหวงตัวเองมาก”
“พี่เป็นคนดี น่าจะทำให้พี่สาวมีความสุขได้” เด็กติดพี่ว่า แต่ทันที่ที่เห็นสีหน้าข้องใจของคนอาวุโสกว่า ชานยอลจึงรีบพูด “ จริง ๆ นะ...ถ้าเป็นพี่ผมก็ไม่ว่าหรอก ... แต่ห้ามทำให้พี่สาวเสียใจก็พอแล้ว”
“พี่ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่าเจ้าตัวเล็ก ”
คริสมองแก้มขาว ก่อนหัวเราะ เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา
“แล้วโชรงก็ไม่มีทางเสียใจเพราะพี่ไปได้หรอก ช่านเลี่ย... ”
♥
ความคิดเห็น