คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [SF] Just Somebody {5th}
5th
คริสก้าวออกจากลิฟท์อย่างไม่รีบร้อนนัก ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไปตามบนพื้นหินอ่อนสวยพลางมองหาใครอีกคนที่มาด้วยกันแต่ขอตัวลงมาเดินเล่นก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีอะไรจะทำ...เขาเก็บของอยู่ไม่นานก็จริง แต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะนั่งทบทวนตัวเองอยู่ในห้องครู่ใหญ่ เพราะรู้ดีว่าเจ้าของร่างเพรียวระหงเองก็ต้องการเวลาเช่นกัน
หนุ่มชาวจีนคิดมาพักใหญ่แล้วว่าชานยอลมีอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจ... คริสแน่ใจว่าสิ่งนั้นคงสร้างรอยแผลลึกไว้ในใจชานยอลอยู่ไม่น้อย เพราะทุกวันนี้เขารับรู้ถึงความพยายามที่จะ ‘หนี’ ของเด็กหนุ่มบ่อยครั้ง เขาไม่แน่ใจในเหตุผล... แต่สิ่งที่เขามั่นใจก็คือ
ชานยอลต้องการหนีไปจากเขา
เหตุที่ทำให้คริสมั่นใจ... นอกจากการสังเกตของตัวเองแล้ว ยังมีอีกคนที่ทำให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือเด็กคนนั้น...
พยอน แพคฮยอน
เขาไม่สนิทกับเด็กหนุ่มร่างบอบบางที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม และท่าทางชอบก่อกวนคนนั้นมากนัก การได้เข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มเพื่อนสนิทของชานยอล ทำให้เขามีโอกาสคุ้นเคยกับเด็กกลุ่มนี้แทบทุกคน แต่ทั้ง ๆ ที่ทุกคนดูให้ความเป็นมิตรกับเขา แพคฮยอนกลับมีสายตาที่แปลกออกไป
แต่คริสรู้... เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายคงรู้ ว่าเพราะเหตุใดเขาทั้งคู่จึงไม่ถูกชะตากัน แม้จะไม่เคยพูดต่อหน้า แต่สายตาของแพคฮยอนบอกทุกอย่าง
แพคฮยอนรักชานยอล... เป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่คริสเห็นจากดวงตาเรียวเล็กทว่าลึกซึ้งคู่นั้น หากสิ่งที่น่าตกใจมากกว่าก็คือ สายตาของชานยอลเองก็บ่งบอกว่ารู้ถึงความรู้สึกของเพื่อนสนิท
ที่คริสตกใจไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ชานยอลรู้ว่าแพคฮยอนรัก.... แต่ท่าทีสนิทสนม แบบเพื่อนที่ ‘ไม่มีอะไรเลย’ นั่นต่างหาก
ทั้ง ๆ ที่รู้...แต่กลับทำเหมือนไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ชัดเจนขนาดนั้นชานยอลกลับตีหน้าตาย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับแพคฮยอนได้อย่างหน้าตาเฉย
“พี่หวังอะไรจากชานยอลอยู่.... ”
คริสไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับแพคฮยอนเป็นการส่วนตัวมากนัก แต่ความสัมพันธ์ในกลุ่มก็ไม่ได้แย่จนเขม่นหรือมองหน้ากันไม่ได้ โชคดีที่เด็กหนุ่มท่าทางขี้เล่นคนนั้นชอบหยอกล้อ และแซวเล่นได้แม้แต่กับเขา คริสจึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีมากไปกว่านั้น ...กระทั่งบ่ายคล้อยของไม่กี่วันก่อน เป็นวันแรกที่เขาได้มีโอกาสคุยกับแพคฮยอนโดยไม่มีใครอยู่ด้วย .. โดยเฉพาะตัวชานยอลเอง
สีหน้าของแพคฮยอนเต็มไปด้วยความท้าทาย... และบอกชัดว่า ‘ไม่ชอบเขาเท่าใดนัก’ เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยภาษาเกาหลีที่เนิบช้าราวกับตั้งใจให้เขาเข้าใจทุกคำที่พูดออกมา
“อย่างที่เราหวังล่ะมั้ง แพคฮยอน” คริสไม่ใช่คนยอมใคร ... เขาจึงไม่เปิดโอกาสให้อีกคนข่มอยู่แค่ฝ่ายเดียว คริสยิ้มบางขณะเอ่ยอย่างไม่เดือดร้อนนัก จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยประโยคต่อไป
“เลิกหวังเถอะ ...ผมเตือน ชานยอลไม่สนใจพี่หรอก”
คริสยกมือขึ้นกอดอก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน จนเด็กอายุน้อยกว่าหน้าซีดเผือดลงแทบจะทันที
“เหมือนที่นายควรจะเลิกหวัง เพราะชานยอลไม่สนใจนายเลยน่ะเหรอ”
“พี่คริส!”
“ไร้สาระน่าแพคฮยอน... นายคงไม่คิดว่าพี่จะเลิกชอบชานยอลเพียงเพราะนายมาบอกให้เลิกชอบหรอกนะ” หนุ่มชาวจีนส่ายหน้า ก่อนหัวเราะเบาด้วยความขบขัน
“ยังไงซะพี่ว่า...คนที่น่าจะเลิกหวัง อาจจะไม่ใช่พี่นะ”
“ยะ...อย่างน้อย” ริมฝีปากของแพคฮยอนสั่นเทา คริสรู้ว่าเด็กหนุ่มคงเสียเซล์ฟไม่น้อยที่ถูกตอกกลับออกไปแบบนั้น เด็กน้อยที่ยังอยู่ในความดูแลของครอบครัวมาตลอด กับคนที่ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนแบบเขา ใครกันแน่ที่จะชนะในเกมนี้
“ ....แต่อย่างน้อยผมก็มีหวังมากกว่าพี่นะ.... เพราะ ชานยอลไม่มีวันรักคนแบบพี่ได้หรอก”
“หมายความว่ายังไง แพคฮยอน”
“ก็หมายความว่า... ต่อให้พี่มั่นใจตัวเองยังไง ชานยอลก็ไม่มีวันที่จะรักพี่หรอก... ไม่มีวันหรอก ”
“เพราะอะไร... ตอบมาสิ ...เหตุผลคือ? ”
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มทำให้เขารู้สึกโกรธ..หากน้ำเสียงของแพคฮยอนจริงจังและมั่นอกมั่นใจจนเขาเองก็หวั่นไหว ....
ชานยอลไม่มีวันรักเขา....
ไม่มีวันงั้นเหรอ
ไม่มีทาง!!
คริสชะงักเท้าอยู่ไม่ห่างจากร่างสูงเพรียวที่ต้องการพบมากนัก หน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มหวาน สีหน้าเป็นมิตร หากมีร่องรอยเคร่งเครียดจนเขารู้สึกได้ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกับหญิงสาวร่างเล็กสองคนที่ถือแผนที่ขนาดพกพาในมือด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ หากรู้ด้วยสำเนียงและประสบการณ์ว่าเป็นของประเทศใกล้เคียง ทว่าที่คริสแปลกใจมากที่สุดก็คือการพูดที่คล่องแคล่ว และสีหน้าเข้าอกเข้าใจของหญิงสาวชาวต่างชาติ
.....
หนุ่มร่างสูงใหญ่รออยู่ไม่ถึงห้านาที หลังจากชานยอลโบกมือและยิ้มกว้างให้กับนักท่องเที่ยวทั้งสองที่โค้งขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความโล่งใจ คริสจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่เห็นเคยบอกพี่มาก่อนเลยว่าเราพูดญี่ปุ่นได้”
“ฮยอง... มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกใจหมด ” ชานยอลทำหน้ายุ่ง ก่อนที่ร่องรอยไม่สบายใจที่เขาเห็นก่อนหน้านี้จะถูกซ่อนอย่างรวดเร็วภายใต้รอยยิ้มสดใส “ ไหนบอกว่าจะนอนพักก่อนไงฮะ ”
“ตอบคำถามพี่ก่อน พูดเก่งขนาดนี้ทำไมไม่บอกกันบ้างเลย ”
“รู้ได้ไงว่าผมพูดเก่ง พี่ฟังรู้เรื่องเหรอ ผมก็มั่ว ๆ ไปตามประสา น้ำหน้าอย่างผมจะไปรู้เรื่องอะไร” ชานยอลปฏิเสธเสียงสูง ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่าและเบาลงอย่างน่าประหลาด
“เก่งสิ ถ้าไม่เก่ง ผู้หญิงสองคนนั้นจะยิ้มแป้นขนาดนั้นเหรอ”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าเค้าอาจจะยิ้มมีความสุขกับความหน้าตาดีของผม ... ฮิฮิ”
“ชานยอล...” คริสกดเสียงต่ำ ...สีหน้าจริงจังอย่างที่ชานยอลรู้และคุ้นเคยว่าเขากำลังอยู่ในโหมดเคร่งเครียด เด็กหนุ่มร่างสูงแบะปากเล็กน้อย ก่อนทรุดลงบนเก้าอี้และหันไปมองภาพข้างนอก
“ก็...พูดได้นิดหน่อยน่ะครับ... ไม่ได้มีอะไรมาก เรียนมาสองปีกว่า ๆ ”
“สองปี? ... จริงจังเลยเหรอ” คริสตกใจเล็กน้อย เขารู้จักชานยอลดีระดับหนึ่ง... ชานยอลไม่ใช่คนทำอะไรฉาบฉวย แม้จะดูเหมือนคนที่มีความสุขและสนุกกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่คริสรู้ดีว่าเวลาทำงานชานยอลตั้งใจมากแค่ไหน ความจริงจังและเอาจริงกับทุกเรื่องที่ทำเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตกหลุมรักเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าคนนี้จนไม่อยากตัดใจง่าย ๆ
“ก็... สอบได้ระดับสองอะ ถือว่าจริงจังไหมล่ะ ? ” น้ำเสียงของชานยอลคล้ายประชดประชัน ... คริสขมวดคิ้วยุ่ง เขามีเพื่อนชาวต่างชาติที่เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่หลายคน และพอทราบว่าการสอบถึงขั้นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
“แล้วทำไมไม่เรียนต่อ พี่ว่าต่ออีกนิดแล้วก็สอบให้ได้ระดับหนึ่งเลยไม่ดีกว่าเหรอ? ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไปทำงานประจำเลยยังได้ ”
คริสพูดตามประสาคนที่เคยทำงานพิเศษด้านที่ต้องใช้ภาษามาพอสมควร หากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชานยอลกลับทำให้เขาแทบลืมว่าจะพูดอะไร.. สายตาของชานยอลไหวระริกขณะมองไปยังทิวทัศน์ของทะเลสีส้มในยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตก
“ผม...เคยคิดว่าจะไปอยู่ที่นั่น” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือ... ขณะอธิบายช้า ๆ “คิดไปเองว่า...จะอยู่ได้ แต่มันทำไม่ได้ ก็เลยเลิก.. ไม่อยากเรียนอีกแล้ว”
“ชานยอล... ”
“ผมเพิ่งรู้...ว่าถึงพูดได้... ฟังรู้เรื่อง แต่ยังไงผมก็ไม่มีวันเข้าใจมัน ... ไม่มีวันเข้าใจ ผมไม่มีวันรู้หรอกว่ามันลำบากแค่ไหนที่จะต้องใช้ชีวิตกับคนต่างบ้านต่างเมือง”
“.... ”
“โอ๊ะ ... ลืมอีกแล้ว ลืมไปว่าพี่ก็เป็นคนต่างชาติ ผมนี่เพ้อเจ้อทุกทีเลย” ชานยอลเกาหัวแกร่ก ๆ ก่อนลุกยืนขึ้นด้วยความรวดเร็วตามประสาคนไฮเปอร์ “เออ...ผมลืมบอกพี่ไปว่าแพคฮยอนนัดไว้ตอนหกโมง นี่จะสายแล้ว บ้านพักของพี่จุนมยอนอยู่ห่างจากโรงแรมแค่สิบนาทีเอง เดินไปด้วยกันนะ พวกนั้นเตรียมของปาร์ตี้ไว้ วันนี้ไม่เมาไม่หลับ!”
หนุ่มน้อยอารมณ์ดีหันกลับมาให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวางดังเช่นทุกที หนุ่มอายุมากกว่ามองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มลึกล้ำเพื่อค้นหาคำตอบของสิ่งที่เขาสงสัย ...
และเหมือนทุกครั้ง.... สายตาของชานยอลตอบคำถามของเขาได้ทุกเรื่อง ... ไม่สิ คริสหาคำตอบได้ทุกครั้งที่มอง ชายหนุ่มเห็นริมฝีปากของเด็กหนุ่มที่คลายลง ... จมูกแดงจัดทำให้เขาส่ายหน้าเล็กน้อย
คริสไม่แคร์สายตาของใครต่อใครที่ผ่านไปมา ... เขาคว้าร่างเพรียวเข้ามากอดแน่นเต็มสองแขน เสียงสะอื้นตามมาในระยะเวลาไม่นาน แผ่นหลังกว้างหากบอบบางกำลังสั่นสะท้าน ความเจ็บปวดที่ซ่อนเก็บไว้มาเนิ่นนานคงกำลังหลั่งรินออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลทะลักจากดวงตาทั้งสอง
“สามปีก่อน...ผมคิดว่าเรารักกัน... ตลอดระยะเวลาที่เค้าอยู่ที่นี่.. เราสองคนรักกัน ”
คริสมั่นใจว่าความรักของเขามีมากพอที่จะเยียวยาบาดแผลของชานยอลได้
บาดแผลที่ถูกทำร้ายมาอย่างหนักหน่วง
และแม้จะผ่านระยะเวลายาวนานจนกลายเป็นรอยแผลเป็นที่ภายนอกดูปกติ แต่กลับทิ้งร่องรอยบอบช้ำและกลัดหนองอยู่ภายในเอาไว้ไม่น้อย
“ชานยอลทนถูกทิ้งเป็นครั้งที่สองไม่ได้หรอก” แพคฮยอนระเบิดเสียงออกมา สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแทนเพื่อนที่รักที่สุด
“พี่ไม่มีวันทิ้งชานยอล” คริสตอบอย่างมั่นใจ .. .หากอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า
“ผมไม่เชื่อ...แล้วผมก็รู้ว่า ชานยอลก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”
“นายดูมั่นใจจริงนะ”
“แล้วถ้าพี่กลับไปประเทศตัวเอง พี่คิดว่าคนที่อยู่ทางนี้จะเป็นยังไง”
“นายต้องการบอกอะไร”
“คนที่เจ็บปวดที่สุดน่ะ ไม่ใช่คนที่ทิ้งไปหรอกนะ แต่เป็นคนที่ถูกทิ้งต่างหาก” แพคฮยอนหวนคิดถึงอดีตที่โหดร้ายของชานยอลด้วยความเจ็บปวด... น้ำเสียงโกรธแค้นขณะเอ่ยถึงใครบางคนที่สร้างรอยแผลให้คนที่มีรอยยิ้มสดใสที่สุดคนนั้น
“ถ้าพี่เห็นชานยอลตอนนั้น... พี่จะรู้... ว่าคนที่น่าสงสารที่สุดไม่ใช่คนที่ร้องไห้ฟูมฟาย... แต่เป็นคนที่ยิ้มทั้ง ๆ ที่ข้างในกำลังร้องไห้ต่างหาก”
“เค้าสัญญาจะกลับมา ... แต่สุดท้ายมันก็ว่างเปล่า....” เด็กหนุ่มสะอื้นจนตัวโยน คริสโอบกอดร่างที่สั่นสะท้านเอาไว้แน่น รับฟังเสียงปนสะอื้นแผ่วหวิวนั้นอย่างเงียบ ๆ
“ผมบ้าพอจะบินไปหาเค้าคนเดียว... แล้วสุดท้าย... สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือคำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเพราะเค้าเหงา”
“...อือ... ”
“ผมกลายเป็นไอ้เด็กงั่งที่บูชาความรักจนไม่ได้มองความเป็นจริง ... กลายเป็นคนผิด ที่คิดไปเองว่าความรักของเราสองคนเป็นเรื่องจริงจัง หนึ่งปีที่คบกัน มีแต่ผมที่โง่จริง ๆ ... โง่จนมองไม่ออกว่าที่ผ่านมามันก็แค่เรื่องขำ ๆ ”
ชานยอลสะอื้นแรงจนคริสรู้สึกทรมานไม่แพ้กัน ... หัวใจของเขาเต้นช้าลงจนแทบไม่ได้ยิน ชายหนุ่มรู้สึกถึงน้ำเย็น ๆ ที่ไหลซึมออกมา แต่เขากลับไม่ต้องการที่จะเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงฝ่ามือที่ลูบเรือนผมสลวยลงอย่างช้า ๆ เพื่อปลอบประโลมให้คนที่กำลังพยายามปรับสภาพจากการร้องไห้ให้เข้าสู่สภาวะปกติ
“ชานยอล... ฟังพี่” คริสกระซิบเบาอยู่ใกล้ใบหูที่แดงจัด “ พี่จะไม่เป็นแบบนั้น ... เชื่อใจพี่...จะได้หรือเปล่า”
เด็กหนุ่มชะงักไปในทันที แรงสะอื้นค่อยผ่อนลงช้า ๆ ... ก่อนที่คริสจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก
“รักพี่ได้ไหม... รักพี่ได้ไหมชานยอล” หนุ่มชาวจีนกระซิบเบา ... “คนอย่างพี่... พอจะทำให้เรารักได้ไหม”
ชานยอลดันตัวออกมาจากอกกว้าง ... ใบหน้าอาบน้ำตาทำให้คริสยกนิ้วขึ้นเกลี่ยแก้มใส ดวงตากลมโตแดงช้ำ พอ ๆ กับปลายจมูก
“ได้สิ... ได้สิฮะ”
“ชานยอล...” หัวใจของคริสพองโตขึ้นอย่างน่าประหลาด เขาแทบจะเก็บกลั้นความดีใจไว้ไม่มิด หากประโยคต่อมาที่ชานยอลพูดกลับทำให้เขาแทบทรุด
“หมายความว่า... ถ้าพี่เป็นคนเกาหลี”
รอยยิ้มของชานยอลสดใสเสมอ .... เช่นเดียวกับในขณะนี้ กลีบปากอิ่มคลี่ออกกว้าง อวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบให้เขาเห็น ดวงตาใสทอประกายระริก...
เป็นรอยยิ้มเหมือนที่คริสพบอยู่เสมอ... รอยยิ้มที่ทำให้เขาแทบจะทิ้งทุกอย่างได้ เพื่อสิ่งนี้
ทว่า... ครั้งนี้ กลับเป็นรอยยิ้ม ที่ทำให้คริสรู้สึกว่า เจ็บปวดที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยเห็นมา
“พี่คงเข้าใจผมใช่ไหม” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มคาดหวัง ... ริมฝีปากสีอ่อนสั่นระริก ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปานขาดใจ
“ผมทำไม่ได้”
ชานยอลส่ายหน้าแรง... ก่อนเบือนหน้าหนีสายตาตัดพ้อของอีกฝ่าย
รักไม่ได้หรอก....
ไม่มีวันรักได้อีกแล้ว
“ผมทำไม่ได้... ผมทนเจ็บไม่ได้อีกแล้ว”
ใช่... เขารักคริสไม่ได้ รักไม่ได้
....
ชานยอลตะโกนประโยคนี้เพื่อเตือนตัวเองอยู่ในใจ ... แม้ในความเป็นจริงมันจะช้าไปแล้วก็ตามที
“ผมรักพี่ไม่ได้...”
แม้ว่าจะ....รักหมดใจไปแล้วก็ตาม
ความคิดเห็น