คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [SF] Just Somebody {2nd}
2nd
When you hold my hand
ทันทีที่ก้าวออกมาจากอาคารเรียน ฝนที่ตกโปรยปรายลงมาเกือบทั้งวันก็ทำให้ร่างสูงเพรียวชะงักปลายเท้าอยู่กับที่ ชานยอลแบะปาก หน้างอ ผมที่อุตส่าห์เซ็ทเป็นทรงอย่างดีและมาดหล่อ ๆ ที่รักษามาตลอดทั้งวันคงเละไม่เหลือสภาพ มือเรียวยาวควานหาร่มในกระเป๋า ก่อนจะพบความจริงว่าเป็นอีกวันที่เขาลืมเอาร่มติดตัวมาด้วย....
ไม่น่าเลย...
คิดแล้วก็ต้องหงุดหงิดใจ สายฝนตรงหน้าไม่ได้เทลงมาหนักจนไปไหนไม่ได้ ไม่ได้มีพายุหรือฝนฟ้ากระหน่ำ หากตกสม่ำเสมอจนรู้สึกโกรธตัวเอง...
เพราะว่ามันเป็นฝนที่เหมาะกับการเดินกางร่มพร้อมกับย่ำน้ำบนพื้นถนนยิ่งนัก ...
ฝนแบบที่ชานยอลชอบ
ระหว่างจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งก็ใช้เวลาทั้งหมดในการกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อมองหาเหยื่อสักคนที่จะช่วยเขาได้ ...และนั่นก็ทำให้เขาพบกับใครบางคนที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“คริสฮยอง....” ตะโกนออกไปแล้วก็ต้องรีบปิดปากตัวเอง เสียงอันดังทำให้คนรอบข้างหันมามองที่เขาทันที เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอวดฟันขาว ๆ ให้กับทุกคนเพื่อกลบเกลื่อนความอาย ก่อนรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปหาคนที่ยืนพิงผนังอยู่ข้าง ๆ บันไดที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา
“นึกว่าจะไม่เห็นซะแล้ว” ร่างสูงใหญ่(กว่าเขา) เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ขณะยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าราวกับนายแบบ ในมือถือหนังสือขนาดพอกเก็ตบุ๊คภาษาเกาหลีเล่มหนึ่ง ใบหน้าเอียงน้อย ๆ มายังเขา พร้อมด้วยดวงตาคมกริบและทรงพลังอย่างที่ชานยอลเกือบจะคุ้นเคยแล้ว... หากก็ยังไม่ค่อยชินกับมันนัก
สองอาทิตย์แล้วที่รู้จักกัน.... คนตรงหน้าก็ยังไม่เลิกมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเสียที
สายตาที่ราวกับรู้ทุกอย่าง
ทุกอย่างที่เขาคิด
“ไม่มีที่อ่านหนังสือเหรอ คริสฮยอง” หนุ่มรุ่นน้องแซว หลังจากเห็นสายตาของแทบทุกคนที่เดินผ่านคนทั้งคู่ไป ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มชาวต่างชาติผมทองหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าเขาใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดา ๆ แบบที่ชอบใส่เสมอ หากทุกสายตากลับจับจ้องราวกับคริสเป็นรูปสลักที่ถูกนำมาตั้งไว้ข้างหน้า ชานยอลรู้ได้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองว่า อู๋ ฟานคงแค่ยืนสบาย ๆ ถือหนังสือด้วยมือหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างถือกระเป๋าหนังสีดำใบโปรดไว้ข้างตัว ท่าทางเหมือนกำลังรอให้ช่างภาพกดชัตเตอร์โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยพร๊อพหรือการจัดแสงใด ๆ รัศมีที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกายนั้นมีพลังเพียงพอที่จะทำให้ทุกสายตาหยุดเคลื่อนไหวได้เลยทีเดียว....
คิดแล้วก็เจ็บใจ....ถิ่นเขาเองแท้ ๆ กลับถูกใครก็ไม่รู้มาดึงดูดสายตาทุกคนไปซะแล้ว!!!
“เปลี่ยนบรรยากาศไง” คนถูกเขม่นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก รอยยิ้มน้อย ๆ และดวงตาระยิบระยับทำให้ชานยอลมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้ว่าทำให้เขาแอบเคืองที่ร่างสูงใหญ่มายืนเด่นอยู่ในถิ่นของคนอื่น ยิ่งมองท่าทางแบบนั้นก็ทำให้ชานยอลหมั่นไส้เกิดความหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม
“บอกแล้วไงว่าอย่ามาแย่งคะแนนนิยมของผม... กว่าผมจะได้ป๊อปปูลาร์ที่สุดในคณะนี่ใช้เวลาเท่าไหร่รู้ไหม” ชานยอลเอ่ยพร้อมย่นจมูก
“เวลาโปรยเสน่ห์สาว ๆ เหรอ ชานยอล?”
“อย่าว่าเลย แม้แต่หนุ่ม ๆ ก็ชอบผมเถอะ แบร่ ๆ “ คนชอบโปรยเสน่ห์ตอบก่อนทำปากจู๋ใส่หนุ่มรุ่นพี่ “แล้วนี่มาทำอะไรตรงนี้ อย่าบอกนะว่าอ่านที่มหา’ลัยตัวเองไม่รู้เรื่อง เลยลงทุนมาที่มหา’ลัยคนอื่น อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องบอกนะว่าบังเอิญผ่านมา ผมไม่เชื่อ!”
ใบหน้าราวกับเทวดาที่เดินบนพื้นโลกได้กำลังยิ้มทั้งริมฝีปาก และดวงตา รอยยิ้มนิ่ง ๆ รวมไปถึงสายตาที่เปล่งประกายทำให้ชานยอลรู้สึกเคืองยิ่งกว่าเดิม....
เขารู้ดีว่าคน ๆ นี้... แค่สบตาก็รู้ทุกอย่าง และอาการ ‘รู้’ นั้นก็แสดงออกมาชัดเจนจนชานยอลรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า....
ผิดหรือไงที่เขาพยายามเรียกความเป็นตัวของตัวเองออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังลามเลียอยู่ในอก
ผิดหรือไงเล่า.... ที่เขาจะไม่รู้สึกเขินขึ้นมาอีกเพราะสายตา และเสียงทุ้ม ๆ แบบนี้
“มาหาปาร์ค ชานยอล” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชัด.... “ไม่มีเหตุผลอื่น ”
เห็นไหม.... เห็นไหมล่ะ
เพราะคริสเป็นคนแบบนี้ ชานยอลถึงได้หมดโอกาสที่จะดูแลสภาพจิตใจของตัวเองให้กลับเป็นปกติได้อย่างที่เคยเป็นมาตลอด....
สองอาทิตย์ที่ผ่านมา...เขาถึงได้ใช้ชีวิตอย่างคนไม่มีสติ ตัดสินใจเรื่องใดไม่ได้
ปฏิเสธไม่เป็น...
ปาร์ค ชานยอลรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เด็กหนุ่มชอบคุยกับคนอื่น ชอบรู้จักคนหลาย ๆ แบบ.... จึงไม่แปลกใจอะไรถ้าเขาจะเกิดความสนิทสนมกับเพื่อนชาวต่างชาติที่พูดทั้งเกาหลี จีน อังกฤษได้ปร๋ออย่างนี้ แต่มันกลับทำให้เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่แปลกขึ้นทุก ๆ วัน...
รู้ว่าแปลก.... แต่ไม่รู้ ว่าตรงไหนที่แปลก
ทั้งความรู้สึก และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“ไปหาอะไรกินกัน” ประโยคคำถามนั้นทำให้ชานยอลส่ายหน้า เจ้าของร่างผอมเพรียวและสูงโปร่งเอนตัวไปพิงผนังเคียงคู่กับอีกคนบ้าง จนคราวนี้นักศึกษาที่เพิ่งเดินออกจากห้องเรียนเริ่มมองหนักขึ้นไปกว่าเมื่อครู่...
แต่แคร์ซะที่ไหนล่ะ
“วันนี้ผมมีซ้อมดนตรีนะ... ไม่ว่างหรอก” เด็กหนุ่มปฏิเสธ
“หลังซ้อมก็ได้ ”
“เย็นเลยนะ ... พี่หาคนอื่นกินด้วยก็ได้นี่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผม ”
“จำเป็นสิ... ก็พี่อยากกินกับชานยอลนี่” อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉย
ชานยอลเอียงหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาด...
“พี่ดูว่างมากนะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม”
“ก็เราบอกเองนี่ ถ้าว่างเมื่อไหร่ให้พี่มาหาได้ตลอดเวลา... หรือว่าไม่ชอบ ต่อไปจะได้ไม่มาอีก”
“ใช่อย่างนั้นซะที่ไหนเล่า”
เด็กหนุ่มจิ๊ปาก เมื่อมองคนที่กำลังเลิกคิ้วให้เขาอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่รู้ว่าทำไมชอบพูดเหมือนว่าเขารังเกียจ... แต่พอชานยอลปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ถืออภิสิทธิ์นั้นในการเดินเข้ามาอยู่เคียงข้างโดยไม่ถามความสมัครใจ....
อาจเพราะชานยอลไม่เคยปฏิเสธใคร... หรือไม่ ก็เพราะคุ้นเคยกับการถูกเพื่อนชวนไปทางโน้นที ทางนี้ทีอย่างที่เป็นมาตลอดก็เป็นไปได้ ร่างสูงเพรียวบางจึงไม่เคยมีโอกาสได้ปฏิเสธทุกคำเชิญชวนของชายหนุ่มที่อายุห่างจากเขาถึงสองปี และแทบไม่มีธุระอะไรจำเป็นจนถึงขนาดต้องมาหาเขาทุก ๆ วัน ถ้าเป็นคนอื่น ชานยอลคงรู้สึกรำคาญอยู่ไม่ใช่น้อย แต่กับคน ๆ นี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป เด็กหนุ่มเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เช่นเดียวกันที่ยอมให้คนตัวสูงกว่ามายืนอยู่เคียงข้างได้แบบนี้ และชานยอลก็หาคำตอบให้กับตัวเองว่า
คงเป็นเพราะความประทับใจแรกเห็นนั้นเอง...ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
เด็กหนุ่มแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเหงาเพราะห่างไกลบ้าน สายตาของชานยอลก็ไม่เคยพบร่องรอยของความรู้สึกนั้นในดวงตาทั้งคู่ จะว่าคริสต้องการมีเพื่อน... เขาก็เป็นฝ่ายรับรู้เองว่าเพื่อนของอีกฝ่ายทั้งคนเกาหลีและคนต่างชาติมีมากมายเท่าไร เหตุผลที่สามารถนำมาพูดได้ก็คือ คริสมีเวลาว่างเสียจนไม่มีอะไรทำ
จะว่าไป สิ่งที่คริสบอกเขาก็เป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย เหมือนคริสเลือกแล้วที่จะมาหาเขาก็เท่านั้นเอง...
เหมือนวันนั้น...ที่เป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักทายเขาเอง
“พี่แค่อยากมา....”
ความมั่นใจแบบคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชาติตะวันตกมาเกือบตลอดชีวิต ผสมกับการเอาแต่ใจตัวเองของผู้ชายที่ชื่ออู๋ฟาน ทำให้ชานยอลต้องครุ่นคิดอย่างหนักทุกครั้งที่พบว่า... ควรปฏิเสธความสัมพันธ์ที่น่าสับสนไป หรือเลือกที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของเขาเหมือนในตอนนี้....
ตอนที่เขาคุ้นเคยเสียแล้วกับการมีร่างสูงใหญ่และแผ่นหลังกว้างๆ อยู่เคียงข้าง
“ตกลงยังไงบอกพี่ด้วยนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยช้า ก่อนหยิบหนังสือในมือขึ้นมาอ่านราวกับรอให้เขาตัดสินใจ จนชานยอลแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้
ใบหน้ายิ้ม ๆ และสายตาคู่นั้นบอกเขาทุกครั้งว่าเขามีสิทธิปฏิเสธ
“งั้นก็รอไปเถอะ! ผมไปก่อนล่ะ” นักศึกษาปีหนึ่งบอก พร้อมกับหันหลังให้อย่างไม่ง้อ มือเรียวยาวควานหาหูฟังและเปิดเพลงฮิปฮอปสุดโปรดกรอกหูระหว่างครุ่นคิด
ชานยอลถามตัวเองเสมอ...ว่าทำไม ... ทำไมถึงไม่เคยควบคุมตัวเองได้ทุกครั้งที่อยู่กับคน ๆ นี้
แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ...มีเพียงประโยคคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาเรื่อย ๆ ทีละน้อย ๆ ...เหมือนน้ำที่ซึมอยู่ในบ่อทราย ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่
พอรู้ตัวอีกที.... ทุกอย่างก็ล้นปรี่... จนบางที ก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายเทมันไปเก็บไว้ตรงส่วนไหนได้อีก
ขายาว ๆ ก้าวมาจนถึงจุดสิ้นสุดของอาคารเรียน สายฝนที่ร่วงโปรยปรายตรงหน้าทำให้ชานยอลชะงึกกึก.... เกือบลืมว่าตอนนี้ฝนกำลังตก
“เดี๋ยวไม่สบายนะ” ร่างสูงใหญ่ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังใช้เวลาไม่เกินเสี้ยววินาทีเพื่อก้าวตามเขามาให้ทัน ชานยอลกัดริมฝีปาก ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายถือร่มคันใหญ่ในมือด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกวน ๆ
“เป็นโดเรม่อนหรือไง มิสเตอร์อู๋ฟาน” เขาประชด หากอีกคนกลับทำท่าเหมือนไม่รู้สึกว่าทำให้เขาหมั่นไส้
“ลืมเอาร่มมาไม่ใช่เหรอ”
“รู้ได้ไง”
“ก็ร่มของเราอยู่ที่พี่” ชายหนุ่มเฉลย... ชานยอลต้องหันควับไปหา และเบิกตากว้าง สายตาที่มองเขาเป็นประกายระยิบระยับ ความสนุกฉายวาบเข้ามาในดวงตา จนทำให้เขาอยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้ มิสเตอร์อู๋ ฟานยิ้มบาง ก่อนยกมือขึ้นโอบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ เด็กหนุ่มขืนตัวไว้เล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาไหม ผมอยากกางร่มเหยียบน้ำฝน”
“ไม่ได้เอามา... ”
“อ้าว! ชิ...” ชานยอลเบ้ปาก และมองคนให้ความหวังอย่างเคือง ๆ หากอีกฝ่ายมองเขากลับราวกับไม่รู้สึกอะไร ทั้งยังส่งวิงค์ใส่ตาเขาให้รู้สึกอยากกระทืบเท้าแรง ๆ ด้วยซ้ำ
“มีอยู่คันเดียวนี่แหละ....โอเคไหม”
ชานยอลมองฝนตรงหน้า สลับกับมองร่มคันใหญ่ในมือของอีกคนอย่างชั่งใจ ถึงร่มจะคันไม่ใช่น้อย...แต่ผู้ชายที่ส่วนสูงเกือบ 190 เซนติเมตรถึงสองคนก็ดูท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่ใช่น้อย
“เปียกแน่ ๆ”
“แค่หัวไม่เปียกก็พอแล้ว” คริสพูดอย่างสบาย ๆ พลางกระชับมือที่โอบอยู่บนไหล่เขาขึ้นอีกนิด .... ชานยอลลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนยิ้มให้กับสายฝนตรงหน้า
ผู้ชายตัวสูงสองคน....ในร่มคันเดียวกัน
ประหลาดพิลึก
“ฝนเย็นดีจัง...” เอ่ยเสียงอ่อย... ขณะที่มองสายฝนโปรยปรายอยู่นอกตัวร่ม ละอองฝนเย็น ๆ มากระทบผิวหน้าจนรู้สึกอยากสะบัดร่มทิ้งและวิ่งเล่นน้ำฝนเหมือนตอนเด็ก ๆ
“อยากเล่นเหรอ”
“อือ... แต่เปียกแน่ ๆ เลย เดี๋ยวต้องไปห้องซ้อมอีก”
“ห้องพี่อยู่ใกล้ ๆ เองนะ... ใกล้กว่าห้องซ้อมเราอีก” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ.... จนชานยอลหันควับมาจ้องตาคนพูด
“อย่าตามใจผมนักสิ”
เคยห้ามอะไรกันบ้างไหม.. ผู้ชายคนนี้
สายตายิ้มได้ทอดมองมาที่เขาครู่ใหญ่ สายฝนร่วงหล่นลงมาและซึมผ่านเนื้อผ้าจนรู้สึกเย็นทีละน้อย ร่มถูกหุบเก็บ พร้อมกับคำอนุญาต
“ห้านาทีพอ เดี๋ยวไม่สบาย”
ชานยอลยิ้มกว้างให้กับประโยคคำสั่ง ก่อนกระโดดแรง ๆ และหมุนไปรอบ ๆ พลางส่งเสียงร้องด้วยความสนุกราวกับเด็กชายตัวเล็ก
“วู้ปี้!”
ร่างสูงใหญ่นิ่งอยู่เหมือนเดิม ไม่มีคำพูดอะไรอะไรนอกจากรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนมุมปากขณะเดินตามคนที่กำลังเริงร่ากับสายฝนอยู่ด้วยมาดราวกับนายแบบ เด็กชายชานยอลกระโดดโลดเต้นอย่างไม่อายสายตาใครอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะหันกลับมาพบกับสายตาคม ๆ ที่มองอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มร่างสูงหัวเราะลั่น ก่อนเดินตรงมาและจูงมือคนตัวโตกว่าเพื่อตรงมายังบริเวณที่เขากำลังย่ำน้ำที่ขังอยู่ มือเล็ก ๆ โอบรอบข้อมือของอีกฝ่ายพร้อมกับแกว่งไปมา ก่อนจงใจกระทืบน้ำให้กระทบกับอีกฝ่าย
ชานยอลหัวเราะลั่นเมื่อพบกับสีหน้าประหลาดยามที่มิสเตอร์อู๋ฟานเปียกโชกไปทั้งตัว มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้ถือกระเป๋าและร่มเสยผมเปียก ๆ ขึ้นไม่ให้
“เด็กน้อย”
ชานยอลหัวเราะคิก ยิ้มเริงร่าอวดฟันขาวสะอาดของตัวเองด้วยความสนุกสนาน ยามที่อีกฝ่ายขยับมาโอบเขาและก้าวเดินไปด้วยกันพร้อมกับความชุ่มฉ่ำของหยาดฝนโดยไม่สนใจสายตาของใครต่อใคร ที่มองมายังคนทั้งสองด้วยความประหลาดใจ
ไม่เห็นแปลก....
ก็แค่ผู้ชายตัวสูงสองคนเดินเล่นน้ำฝนทั้ง ๆ ที่มีร่มอยู่ในมือ...
และส่งยิ้มให้กันราวกับโลกนี้มีแค่สองคนก็เท่านั้นเอง
TBC.
ความคิดเห็น