ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Sunflower {KrisYeol}{รวมชอตฟิคคริสยอล}

    ลำดับตอนที่ #6 : [SF] Just Somebody {2nd}

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 56


    2nd

    When you hold my hand

     

                    ทันทีที่ก้าวออกมาจากอาคารเรียน  ฝนที่ตกโปรยปรายลงมาเกือบทั้งวันก็ทำให้ร่างสูงเพรียวชะงักปลายเท้าอยู่กับที่  ชานยอลแบะปาก หน้างอ  ผมที่อุตส่าห์เซ็ทเป็นทรงอย่างดีและมาดหล่อ  ๆ ที่รักษามาตลอดทั้งวันคงเละไม่เหลือสภาพ  มือเรียวยาวควานหาร่มในกระเป๋า ก่อนจะพบความจริงว่าเป็นอีกวันที่เขาลืมเอาร่มติดตัวมาด้วย....

                ไม่น่าเลย...

                    คิดแล้วก็ต้องหงุดหงิดใจ  สายฝนตรงหน้าไม่ได้เทลงมาหนักจนไปไหนไม่ได้  ไม่ได้มีพายุหรือฝนฟ้ากระหน่ำ  หากตกสม่ำเสมอจนรู้สึกโกรธตัวเอง...

                    เพราะว่ามันเป็นฝนที่เหมาะกับการเดินกางร่มพร้อมกับย่ำน้ำบนพื้นถนนยิ่งนัก ...  

                    ฝนแบบที่ชานยอลชอบ

                    ระหว่างจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง  เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งก็ใช้เวลาทั้งหมดในการกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อมองหาเหยื่อสักคนที่จะช่วยเขาได้ ...และนั่นก็ทำให้เขาพบกับใครบางคนที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ 

                    “คริสฮยอง....” ตะโกนออกไปแล้วก็ต้องรีบปิดปากตัวเอง  เสียงอันดังทำให้คนรอบข้างหันมามองที่เขาทันที  เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอวดฟันขาว ๆ ให้กับทุกคนเพื่อกลบเกลื่อนความอาย ก่อนรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปหาคนที่ยืนพิงผนังอยู่ข้าง ๆ บันไดที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา  

                    “นึกว่าจะไม่เห็นซะแล้ว” ร่างสูงใหญ่(กว่าเขา) เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ขณะยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าราวกับนายแบบ  ในมือถือหนังสือขนาดพอกเก็ตบุ๊คภาษาเกาหลีเล่มหนึ่ง   ใบหน้าเอียงน้อย ๆ มายังเขา พร้อมด้วยดวงตาคมกริบและทรงพลังอย่างที่ชานยอลเกือบจะคุ้นเคยแล้ว... หากก็ยังไม่ค่อยชินกับมันนัก

                    สองอาทิตย์แล้วที่รู้จักกัน.... คนตรงหน้าก็ยังไม่เลิกมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเสียที

                    สายตาที่ราวกับรู้ทุกอย่าง 

                ทุกอย่างที่เขาคิด

                    “ไม่มีที่อ่านหนังสือเหรอ  คริสฮยอง”  หนุ่มรุ่นน้องแซว  หลังจากเห็นสายตาของแทบทุกคนที่เดินผ่านคนทั้งคู่ไป  ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มชาวต่างชาติผมทองหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าเขาใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดา ๆ แบบที่ชอบใส่เสมอ  หากทุกสายตากลับจับจ้องราวกับคริสเป็นรูปสลักที่ถูกนำมาตั้งไว้ข้างหน้า   ชานยอลรู้ได้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองว่า อู๋ ฟานคงแค่ยืนสบาย ๆ ถือหนังสือด้วยมือหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างถือกระเป๋าหนังสีดำใบโปรดไว้ข้างตัว  ท่าทางเหมือนกำลังรอให้ช่างภาพกดชัตเตอร์โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยพร๊อพหรือการจัดแสงใด ๆ รัศมีที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกายนั้นมีพลังเพียงพอที่จะทำให้ทุกสายตาหยุดเคลื่อนไหวได้เลยทีเดียว....

                    คิดแล้วก็เจ็บใจ....ถิ่นเขาเองแท้ ๆ กลับถูกใครก็ไม่รู้มาดึงดูดสายตาทุกคนไปซะแล้ว!!!

                    “เปลี่ยนบรรยากาศไง”  คนถูกเขม่นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก  รอยยิ้มน้อย ๆ และดวงตาระยิบระยับทำให้ชานยอลมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้ว่าทำให้เขาแอบเคืองที่ร่างสูงใหญ่มายืนเด่นอยู่ในถิ่นของคนอื่น  ยิ่งมองท่าทางแบบนั้นก็ทำให้ชานยอลหมั่นไส้เกิดความหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม  

                    “บอกแล้วไงว่าอย่ามาแย่งคะแนนนิยมของผม... กว่าผมจะได้ป๊อปปูลาร์ที่สุดในคณะนี่ใช้เวลาเท่าไหร่รู้ไหม” ชานยอลเอ่ยพร้อมย่นจมูก                

                    “เวลาโปรยเสน่ห์สาว ๆ เหรอ ชานยอล?

                    “อย่าว่าเลย แม้แต่หนุ่ม ๆ ก็ชอบผมเถอะ แบร่ ๆ “ คนชอบโปรยเสน่ห์ตอบก่อนทำปากจู๋ใส่หนุ่มรุ่นพี่   “แล้วนี่มาทำอะไรตรงนี้ อย่าบอกนะว่าอ่านที่มหาลัยตัวเองไม่รู้เรื่อง เลยลงทุนมาที่มหาลัยคนอื่น  อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องบอกนะว่าบังเอิญผ่านมา  ผมไม่เชื่อ!

                    ใบหน้าราวกับเทวดาที่เดินบนพื้นโลกได้กำลังยิ้มทั้งริมฝีปาก และดวงตา  รอยยิ้มนิ่ง ๆ  รวมไปถึงสายตาที่เปล่งประกายทำให้ชานยอลรู้สึกเคืองยิ่งกว่าเดิม....

                    เขารู้ดีว่าคน ๆ นี้... แค่สบตาก็รู้ทุกอย่าง และอาการ รู้นั้นก็แสดงออกมาชัดเจนจนชานยอลรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า....

                    ผิดหรือไงที่เขาพยายามเรียกความเป็นตัวของตัวเองออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังลามเลียอยู่ในอก

                ผิดหรือไงเล่า.... ที่เขาจะไม่รู้สึกเขินขึ้นมาอีกเพราะสายตา และเสียงทุ้ม ๆ แบบนี้

                    “มาหาปาร์ค ชานยอล”  เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชัด.... “ไม่มีเหตุผลอื่น ” 

                    เห็นไหม.... เห็นไหมล่ะ

                    เพราะคริสเป็นคนแบบนี้  ชานยอลถึงได้หมดโอกาสที่จะดูแลสภาพจิตใจของตัวเองให้กลับเป็นปกติได้อย่างที่เคยเป็นมาตลอด.... 

                    สองอาทิตย์ที่ผ่านมา...เขาถึงได้ใช้ชีวิตอย่างคนไม่มีสติ  ตัดสินใจเรื่องใดไม่ได้

                    ปฏิเสธไม่เป็น...

                    ปาร์ค ชานยอลรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี  เด็กหนุ่มชอบคุยกับคนอื่น  ชอบรู้จักคนหลาย ๆ แบบ.... จึงไม่แปลกใจอะไรถ้าเขาจะเกิดความสนิทสนมกับเพื่อนชาวต่างชาติที่พูดทั้งเกาหลี จีน อังกฤษได้ปร๋ออย่างนี้   แต่มันกลับทำให้เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่แปลกขึ้นทุก ๆ วัน...

                    รู้ว่าแปลก.... แต่ไม่รู้  ว่าตรงไหนที่แปลก

                    ทั้งความรู้สึก และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

                    “ไปหาอะไรกินกัน” ประโยคคำถามนั้นทำให้ชานยอลส่ายหน้า  เจ้าของร่างผอมเพรียวและสูงโปร่งเอนตัวไปพิงผนังเคียงคู่กับอีกคนบ้าง     จนคราวนี้นักศึกษาที่เพิ่งเดินออกจากห้องเรียนเริ่มมองหนักขึ้นไปกว่าเมื่อครู่...

                    แต่แคร์ซะที่ไหนล่ะ

                    “วันนี้ผมมีซ้อมดนตรีนะ... ไม่ว่างหรอก”  เด็กหนุ่มปฏิเสธ 

                    “หลังซ้อมก็ได้ ”

                    “เย็นเลยนะ ... พี่หาคนอื่นกินด้วยก็ได้นี่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผม ”

                    “จำเป็นสิ... ก็พี่อยากกินกับชานยอลนี่” อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉย

                    ชานยอลเอียงหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาด...

                    “พี่ดูว่างมากนะ  เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม”

                    “ก็เราบอกเองนี่ ถ้าว่างเมื่อไหร่ให้พี่มาหาได้ตลอดเวลา... หรือว่าไม่ชอบ ต่อไปจะได้ไม่มาอีก”

                    “ใช่อย่างนั้นซะที่ไหนเล่า”

                    เด็กหนุ่มจิ๊ปาก  เมื่อมองคนที่กำลังเลิกคิ้วให้เขาอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก   ไม่รู้ว่าทำไมชอบพูดเหมือนว่าเขารังเกียจ... แต่พอชานยอลปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ถืออภิสิทธิ์นั้นในการเดินเข้ามาอยู่เคียงข้างโดยไม่ถามความสมัครใจ....

                    อาจเพราะชานยอลไม่เคยปฏิเสธใคร... หรือไม่ ก็เพราะคุ้นเคยกับการถูกเพื่อนชวนไปทางโน้นที ทางนี้ทีอย่างที่เป็นมาตลอดก็เป็นไปได้  ร่างสูงเพรียวบางจึงไม่เคยมีโอกาสได้ปฏิเสธทุกคำเชิญชวนของชายหนุ่มที่อายุห่างจากเขาถึงสองปี   และแทบไม่มีธุระอะไรจำเป็นจนถึงขนาดต้องมาหาเขาทุก ๆ  วัน   ถ้าเป็นคนอื่น ชานยอลคงรู้สึกรำคาญอยู่ไม่ใช่น้อย   แต่กับคน ๆ นี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป  เด็กหนุ่มเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เช่นเดียวกันที่ยอมให้คนตัวสูงกว่ามายืนอยู่เคียงข้างได้แบบนี้    และชานยอลก็หาคำตอบให้กับตัวเองว่า

                    คงเป็นเพราะความประทับใจแรกเห็นนั้นเอง...ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

                     เด็กหนุ่มแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเหงาเพราะห่างไกลบ้าน  สายตาของชานยอลก็ไม่เคยพบร่องรอยของความรู้สึกนั้นในดวงตาทั้งคู่  จะว่าคริสต้องการมีเพื่อน... เขาก็เป็นฝ่ายรับรู้เองว่าเพื่อนของอีกฝ่ายทั้งคนเกาหลีและคนต่างชาติมีมากมายเท่าไร  เหตุผลที่สามารถนำมาพูดได้ก็คือ คริสมีเวลาว่างเสียจนไม่มีอะไรทำ

                    จะว่าไป สิ่งที่คริสบอกเขาก็เป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย เหมือนคริสเลือกแล้วที่จะมาหาเขาก็เท่านั้นเอง... 

                    เหมือนวันนั้น...ที่เป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักทายเขาเอง 

                “พี่แค่อยากมา....”  

                    ความมั่นใจแบบคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชาติตะวันตกมาเกือบตลอดชีวิต ผสมกับการเอาแต่ใจตัวเองของผู้ชายที่ชื่ออู๋ฟาน ทำให้ชานยอลต้องครุ่นคิดอย่างหนักทุกครั้งที่พบว่า... ควรปฏิเสธความสัมพันธ์ที่น่าสับสนไป  หรือเลือกที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของเขาเหมือนในตอนนี้....

                    ตอนที่เขาคุ้นเคยเสียแล้วกับการมีร่างสูงใหญ่และแผ่นหลังกว้างๆ  อยู่เคียงข้าง

                    “ตกลงยังไงบอกพี่ด้วยนะ”

                    ชายหนุ่มเอ่ยช้า  ก่อนหยิบหนังสือในมือขึ้นมาอ่านราวกับรอให้เขาตัดสินใจ   จนชานยอลแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้

                    ใบหน้ายิ้ม ๆ และสายตาคู่นั้นบอกเขาทุกครั้งว่าเขามีสิทธิปฏิเสธ

                    “งั้นก็รอไปเถอะ! ผมไปก่อนล่ะ”  นักศึกษาปีหนึ่งบอก พร้อมกับหันหลังให้อย่างไม่ง้อ    มือเรียวยาวควานหาหูฟังและเปิดเพลงฮิปฮอปสุดโปรดกรอกหูระหว่างครุ่นคิด    

                    ชานยอลถามตัวเองเสมอ...ว่าทำไม  ... ทำไมถึงไม่เคยควบคุมตัวเองได้ทุกครั้งที่อยู่กับคน ๆ นี้

                    แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ...มีเพียงประโยคคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาเรื่อย ๆ  ทีละน้อย ๆ ...เหมือนน้ำที่ซึมอยู่ในบ่อทราย  ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่

                    พอรู้ตัวอีกที.... ทุกอย่างก็ล้นปรี่... จนบางที ก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายเทมันไปเก็บไว้ตรงส่วนไหนได้อีก

                    ขายาว ๆ ก้าวมาจนถึงจุดสิ้นสุดของอาคารเรียน  สายฝนที่ร่วงโปรยปรายตรงหน้าทำให้ชานยอลชะงึกกึก.... เกือบลืมว่าตอนนี้ฝนกำลังตก  

                    “เดี๋ยวไม่สบายนะ” ร่างสูงใหญ่ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังใช้เวลาไม่เกินเสี้ยววินาทีเพื่อก้าวตามเขามาให้ทัน  ชานยอลกัดริมฝีปาก  ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายถือร่มคันใหญ่ในมือด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกวน ๆ 

                    “เป็นโดเรม่อนหรือไง มิสเตอร์อู๋ฟาน” เขาประชด  หากอีกคนกลับทำท่าเหมือนไม่รู้สึกว่าทำให้เขาหมั่นไส้

                    “ลืมเอาร่มมาไม่ใช่เหรอ”

                    “รู้ได้ไง”

                    “ก็ร่มของเราอยู่ที่พี่” ชายหนุ่มเฉลย... ชานยอลต้องหันควับไปหา และเบิกตากว้าง สายตาที่มองเขาเป็นประกายระยิบระยับ  ความสนุกฉายวาบเข้ามาในดวงตา จนทำให้เขาอยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้  มิสเตอร์อู๋ ฟานยิ้มบาง ก่อนยกมือขึ้นโอบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ เด็กหนุ่มขืนตัวไว้เล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

                    “ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาไหม ผมอยากกางร่มเหยียบน้ำฝน”

                    “ไม่ได้เอามา... ”

                    “อ้าว! ชิ...” ชานยอลเบ้ปาก  และมองคนให้ความหวังอย่างเคือง ๆ  หากอีกฝ่ายมองเขากลับราวกับไม่รู้สึกอะไร ทั้งยังส่งวิงค์ใส่ตาเขาให้รู้สึกอยากกระทืบเท้าแรง ๆ ด้วยซ้ำ

                    “มีอยู่คันเดียวนี่แหละ....โอเคไหม”

                    ชานยอลมองฝนตรงหน้า สลับกับมองร่มคันใหญ่ในมือของอีกคนอย่างชั่งใจ  ถึงร่มจะคันไม่ใช่น้อย...แต่ผู้ชายที่ส่วนสูงเกือบ 190 เซนติเมตรถึงสองคนก็ดูท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่ใช่น้อย

                    “เปียกแน่ ๆ”

                    “แค่หัวไม่เปียกก็พอแล้ว”  คริสพูดอย่างสบาย ๆ พลางกระชับมือที่โอบอยู่บนไหล่เขาขึ้นอีกนิด .... ชานยอลลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนยิ้มให้กับสายฝนตรงหน้า

                    ผู้ชายตัวสูงสองคน....ในร่มคันเดียวกัน

                    ประหลาดพิลึก

                    “ฝนเย็นดีจัง...” เอ่ยเสียงอ่อย... ขณะที่มองสายฝนโปรยปรายอยู่นอกตัวร่ม  ละอองฝนเย็น ๆ มากระทบผิวหน้าจนรู้สึกอยากสะบัดร่มทิ้งและวิ่งเล่นน้ำฝนเหมือนตอนเด็ก ๆ

                    “อยากเล่นเหรอ”

                    “อือ... แต่เปียกแน่ ๆ เลย เดี๋ยวต้องไปห้องซ้อมอีก”

                    “ห้องพี่อยู่ใกล้ ๆ เองนะ... ใกล้กว่าห้องซ้อมเราอีก” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ.... จนชานยอลหันควับมาจ้องตาคนพูด 

                    “อย่าตามใจผมนักสิ”

                    เคยห้ามอะไรกันบ้างไหม.. ผู้ชายคนนี้

                    สายตายิ้มได้ทอดมองมาที่เขาครู่ใหญ่  สายฝนร่วงหล่นลงมาและซึมผ่านเนื้อผ้าจนรู้สึกเย็นทีละน้อย  ร่มถูกหุบเก็บ พร้อมกับคำอนุญาต 

                    “ห้านาทีพอ  เดี๋ยวไม่สบาย”

                    ชานยอลยิ้มกว้างให้กับประโยคคำสั่ง  ก่อนกระโดดแรง ๆ และหมุนไปรอบ ๆ พลางส่งเสียงร้องด้วยความสนุกราวกับเด็กชายตัวเล็ก
     

                    “วู้ปี้!

                    ร่างสูงใหญ่นิ่งอยู่เหมือนเดิม  ไม่มีคำพูดอะไรอะไรนอกจากรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนมุมปากขณะเดินตามคนที่กำลังเริงร่ากับสายฝนอยู่ด้วยมาดราวกับนายแบบ   เด็กชายชานยอลกระโดดโลดเต้นอย่างไม่อายสายตาใครอยู่พักใหญ่  ก่อนที่จะหันกลับมาพบกับสายตาคม ๆ ที่มองอยู่ก่อนแล้ว  เด็กหนุ่มร่างสูงหัวเราะลั่น  ก่อนเดินตรงมาและจูงมือคนตัวโตกว่าเพื่อตรงมายังบริเวณที่เขากำลังย่ำน้ำที่ขังอยู่ มือเล็ก ๆ โอบรอบข้อมือของอีกฝ่ายพร้อมกับแกว่งไปมา  ก่อนจงใจกระทืบน้ำให้กระทบกับอีกฝ่าย 

                    ชานยอลหัวเราะลั่นเมื่อพบกับสีหน้าประหลาดยามที่มิสเตอร์อู๋ฟานเปียกโชกไปทั้งตัว  มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้ถือกระเป๋าและร่มเสยผมเปียก ๆ ขึ้นไม่ให้

                    “เด็กน้อย”

                    ชานยอลหัวเราะคิก ยิ้มเริงร่าอวดฟันขาวสะอาดของตัวเองด้วยความสนุกสนาน  ยามที่อีกฝ่ายขยับมาโอบเขาและก้าวเดินไปด้วยกันพร้อมกับความชุ่มฉ่ำของหยาดฝนโดยไม่สนใจสายตาของใครต่อใคร ที่มองมายังคนทั้งสองด้วยความประหลาดใจ

     

                    ไม่เห็นแปลก....

                    ก็แค่ผู้ชายตัวสูงสองคนเดินเล่นน้ำฝนทั้ง ๆ ที่มีร่มอยู่ในมือ...

                และส่งยิ้มให้กันราวกับโลกนี้มีแค่สองคนก็เท่านั้นเอง

     







    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×