ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Reflection {Krisyeol KaiBaek & etc.}

    ลำดับตอนที่ #3 : [02] เจ้าของ

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 56


     

       สุดอาลัยปาร์ค ชานยอล ถึงคราวหลั่งน้ำตาเมื่อคุณแม่จากไปอย่างสงบ  หลังเจ้าตัวเพิ่งกวาด 5 รางวัลสำคัญในฐานะนักแสดงไปได้เพียงชั่วโมงเดียว

               

    “บ้าชะมัด”

                    จงอินสบถเบา  ขณะที่มือหนาพลิกหนังสือพิมพ์ฉบับสุดท้ายพลางกวาดสายตามองแค่พาดหัวข่าว ก่อนโยนลงถังขยะไปอย่างไม่ไยดี    ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียจากการพักไปแค่งีบเดียว และความเคร่งเครียดที่แฝงตัวอยู่ทุกพื้นที่บนใบหน้า  ข่าวดังในเช้าวันนี้จากหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็คือข่าวการสูญเสียคุณแม่ของนักแสดงดาวรุ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่างปาร์ค ชานยอล  ทุกพาดหัวข่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปครั้งนี้ก็จริงอยู่ หากการพร้อมใจบอกว่าชานยอลกำลังหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายอย่างโศกเศร้าหรืออะไรก็แล้วแต่นั้นล้วนแต่ทำให้เขาอยากจะสบถหยาบคายดัง ๆ ออกมา  

                “ไม่มีอะไรทำหรือไงนะพวกนี้  ... นั่งเทียนเขียนข่าวกันอยู่ได้ ”

                ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครนอกจากเขาและเจ้าที่ที่มาเคลื่อนย้ายศพมายังสถานที่จัดงานได้เห็นหน้าของชานยอล  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีนักข่าวคนไหนได้เข้ามาอยู่ในบริเวณงานเลยแท้ ๆ กลับเขียนได้เป็นตุเป็นตะราวกับว่ารู้จักชานยอลเป็นอย่างดี

                หลั่งน้ำตางั้นเหรอ...

                จงอินอยากจะหัวเราะ...

                ถ้ามีบ้าง เขาคงจะสบายใจมากกว่านี้

                ตั้งแต่สามทุ่มคืนที่ผ่านมา จนถึงสายวันนี้เกือบสิบห้าชั่วโมง จงอินยังไม่เคยเห็นน้ำตาแม้แต่หยดเดียวของชานยอลเลย

                “จงอิน...”

                น้ำเสียงทุ้มต่ำ เนิบช้าแบบคนผ่านโลกมากและใจเย็นทำให้ร่างกำยำหันกลับไป ชายวัยกลางคนยืนนิ่งอยู่ในสูทสีดำเรียบ  สีหน้าอ่อนโยน แม้จะดูออกว่ากำลังเครียดอยู่ไม่น้อยกับการทำงานเร่งด่วนตลอดคืนเพื่อตระเตรียมพิธีเช่นเดียวกับเขา แต่คนตรงหน้าก็ยังคงเป็นหลักยึดที่แข็งแกร่งให้หนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนแบบเขาได้เช่นเคย  สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอของชายผู้มีผมสีเทาแทรกประปรายก็คือดวงตาแดงช้ำที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา 

                    “พ่อ  ”

                “แกได้พักบ้างหรือยัง... ไหวไหม”

                    “ได้งีบนิดหน่อยครับ พอไหว”

                จงอินตอบคำถาม  ก่อนตามด้วยเสียงถอนหายใจเมื่อนึกถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของผู้ตาย  ชานยอลยังคงอยู่ในชุดเมื่อคืน  สูทเรียบกริบราคาแพงระยับที่ใส่เพื่อขึ้นรับรางวัลด้วยความภาคภูมิใจ แต่กลับไม่สามารถนำความภาคภูมิใจนั้นกลับมาฝากผู้เป็นที่รักที่สุดได้ทันเวลา  

    สีหน้าของชานยอลที่ชายหนุ่มเห็นตลอดคืนนั้นเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไรกับการสูญเสีย  หากนั่นก็เพียงพอมากแล้วสำหรับบุคคลที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสดใสหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด  เส้นเลือดฝอยบนลูกแก้วใสในตาคู่นั้นแดงก่ำราวกับพร้อมที่จะระเบิดออกมา  หากไม่มีน้ำใส ๆ ที่เอ่อออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย  ราวกับว่าได้หายไปพร้อม ๆ กับวิญญาณของคนที่รักตั้งแต่เมื่อคืน

                จงอินเกิดก่อนอีกฝ่ายเกือบสิบเอ็ดเดือนเต็ม  และถูกเลี้ยงดูใกล้ชิดผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและน้องชายตัวน้อยมาตลอดชีวิต   แม้เขาอยู่เคียงข้างชานยอลมาตั้งแต่จำความได้   แต่ไม่เคยมีครั้งไหนในความทรงจำที่เขาเห็นชานยอลในสภาพนี้  

    แค่ยืนมองร่างสูงโปร่งนั่งเฝ้าศพเพียงลำพัง และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับหีบศพที่เย็นชืดมาตลอดทั้งคืน จงอินก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดมากมายมหาศาลนั้นได้อย่างดี  แม้จะรู้ว่าตามธรรมเนียมจะต้องมีคนอยู่เฝ้าหีบศพตลอดเวลา  จงอินจึงพยายามหลายครั้งที่จะเข้าไปแทนที่  แต่ชานยอลกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ นอกจากการนั่งนิ่ง       

                “พ่อไปจัดการเรื่องทางกฎหมายมา  เสร็จงานชานยอลจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”  จงอินพยักหน้า พร้อมกับมองลึกเข้าไปในดวงตาของบิดา   ความเจ็บปวดฉายชัดอยู่ไม่น้อย 

     ในฐานะคนที่ใกล้ชิดกับครอบครัวชานยอลมานาน ทั้งเขาและพ่อต่างก็เสียใจลึกซึ้งไม่แพ้กัน   แต่ชานยอลไม่เหลือใครนอกจากพวกเขา  ทุกการช่วยเหลือจึงเป็นไปอย่างเร่งด่วนและแข่งกับระยะเวลา  เพราะรู้ได้ว่าชานยอลอยู่ในฐานะคนของประชาชน  หากไม่รีบจัดการหลาย ๆ  อย่างในช่วงเวลานี้ ชานยอลอาจต้องเหนื่อยในระยะยาวได้   

                “แล้วชานยอลเป็นยังไงบ้าง ”  บิดาถามคำถามที่ทำให้เจ้าของผิวสีเข้มต้องส่ายหน้า และถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง  เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาใช้ทุกวิถีทางในการดึงชานยอลออกจากความโศกเศร้าที่เงียบเชียบ  แต่กลับไม่มีผลตอบรับใด ๆ ออกมานอกจากรอยยิ้มบาง ๆ ที่แสนว่างเปล่านั้น

                “ยังไม่ได้นอนเลยครับ...  ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นยังไม่ได้แตะอะไรเลยนอกจากน้ำ  ผมพยายามแล้ว แต่ก็ไม่สนใจเลย  พ่อช่วยไปดูหน่อยเถอะครับ”   จงอินสารภาพ

                “แกนี่มันใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ  เพื่อนสนิทกันแท้ ๆ  แล้วนี่เกิดเป็นล้มเป็นแล้งไปจะว่ายังไง ” ผู้ให้กำเนิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง  ก่อนถามเรื่องสำคัญด้วยความรอบคอบ “เรื่องสื่อล่ะว่าไง ...  พ่อไม่อยากให้วุ่นวาย  เพราะคนที่จะลำบากใจก็คือชานยอล”

                “ผมปรึกษาคุณลู่หานแล้วครับ  เห็นทางนั้นจะเป็นฝ่ายจัดการเรื่องการแถลงข่าวให้  แต่เย็นนี้ชานยอลคงต้องวุ่นวายหน่อย เพราะน่าจะมีคนในวงการมาด้วย  แล้วคงมีแต่คนสนิทที่ชานยอลคงปฏิเสธไม่ได้ ”

                “งั้นเรื่องนี้แกจัดการไปนะ... พ่อจะไปดูชานยอลเสียหน่อย   เด็กคนนั้นไม่เคยเจอเรื่องร้าย  มาเจอตู้มเดียวคงทำใจลำบาก” 

                จงอินพยักหน้ารับคำ   แต่ก่อนที่บิดาจะหันหลังตรงไปที่ห้องวางหีบศพ  เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความสูญเสียก็ผุดขึ้นมาในห้วงคิด    

                “พ่อครับ... ”

                “ว่าไง”   

    “พ่ออยู่กับชานยอลมาตั้งแต่เกิด   แสดงว่าพ่อต้องรู้เรื่องนั้นใช่ไหมครับ ทำไมพ่อไม่บอกผมตั้งแต่แรก“

    “เรื่องอะไร”

                “...อีกคน...ที่มาเมื่อคืน”

                ประโยคนั้นทำให้ชายผู้ที่แทบไม่เคยหวั่นเกรงสิ่งใดยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง

                    “เขา...กลับมาแล้วเหรอ คนเดียวหรือเปล่า”

                “คนเดียวครับ.. แต่นอกนั้นผมก็ไม่รู้ ”

                “แล้วชานยอลว่าไง...”              

                “ไม่อะไรหรอกครับ  เผอิญเรื่องมันเกิดพร้อมกัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชานยอลคิดอะไรอยู่ ...  อีกอย่าง ฝ่ายนั้นเค้าก็กลับไปทันทีที่หมอออกมาบอกว่าน้าจีเฮเสียแล้ว...  ถึงจะดูไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ก็เถอะ”  จงอินทบทวนเหตุการณ์เท่าที่พอจำได้  ก่อนถามคนผ่านโลกมามากกว่าด้วยความจริงจัง “พ่อคิดว่ายังไงล่ะครับ”

    คนอาวุโสส่ายหน้า   น้ำเสียงอ่อนแรงจนจงอินผิดสังเกต

     “ไม่รู้สิ ... มันกะทันหันเกินไป   ถึงจีเฮจะพยายามพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วก็เถอะ”

                “คุณน้าพูดเรื่องนี้?

                “ใช่...  จีเฮพูดเรื่องนี้มาได้ครึ่งปีแล้วล่ะ  อยู่ ๆ เธอก็มั่นใจด้วยว่าอีกคนอยู่ที่เกาหลีด้วย  แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ก็เกิดเรื่องซะก่อน”

                “แปลกดีนะครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ... แถมยังกะทันหันซะด้วย  แล้วชานยอลรู้เรื่องนี้มาก่อนไหมครับ  ผมเห็นชานยอลตกใจตอนที่เห็นรูปกับสร้อยนั้น  เลยเดาว่าน่าจะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดจะเจอในสภาพนั้น”           “น่าจะใช่ ... อย่างที่พ่อบอก จีเฮพยายามที่จะพูดเรื่องนี้  แต่ก็ป่วยหนักเสียก่อน อีกอย่าง ... เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบกับอีกคนแล้ว”

                “แล้วก็ไม่ทันได้พบจริง ๆ ด้วยสินะครับ... ” จงอินเอ่ยเสียงเบา  “ชานยอลคนที่ผมรู้จักมายี่สิบสามปี... ชานยอลคนนี้มีพี่น้องอยู่ด้วย  พ่อไม่เห็นเคยพูดกับผมเรื่องนี้เลย

                    “ ... ขอโทษ  แต่พ่อเองก็ไม่คิด”  ทนายความระดับแถวหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบห้าสิบปีอย่างเขา แทบไม่เคยเสียศูนย์ให้กับเรื่องอะไรเลย ... คงมีแต่เรื่องนี้ ที่สะกิดหัวใจของเขาได้ทุกครั้งที่นึกถึง  “ พ่อไม่คิดว่าจะมีวันนี้ด้วยซ้ำ นับตั้งแต่วันที่เค้าหายไป”

                    คิ้วเข้มของจงอินขมวดยุ่ง ... ชายหนุ่มพิจารณาสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้ให้กำเนิดด้วยความสงสัย   แต่เขาเชื่อว่ามีเวลาพอที่จะรับฟังในวันเวลาที่สะดวกกว่านี้  จึงตัดประเด็นความสงสัยนั้นไปก่อน และรีบเอ่ยเรื่องที่ตัวเองสังเกตมา

                “แต่แปลกนะครับ... ไม่เห็นเหมือนชานยอลเลย  ถึงจะตัวสูงแล้วก็หน้าตาดีมาก ๆ เหมือนกันก็เถอะ ”

                “ว่าไงนะ?   ไม่... ไม่เหมือนเลยงั้นเหรอ”

                “ก็ไม่เชิงว่าไม่เหมือนนะครับ  ก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่องนี้ทำนองนี้  แต่ผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก  แต่พอมาเห็นจริง ๆ มันก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่ได้เหมือนขนาดนั้น  ไม่ใช่แค่หน้าตานะครับ...  อย่างอื่น ก็ไม่เหมือนกันเลย”

                    “อย่างอื่นของแกคืออะไร...”  บิดาซัก  จงอินจึงหลุดเข้าไปในภาพความทรงจำเมื่อวานอีกครั้ง  ไม่นับใบหน้าและรูปร่าง แต่สายตาลึกล้ำแบบนั้นคงไม่ทำให้ใครลืมง่าย ๆ

    “แววตา... ”

    แววตาของคน ๆ นั้นมีพลังรุนแรงแฝงอยู่มากจนเขาแทบไม่อยากจะคิดว่าถ้าระเบิดออกมา จะมีใครบ้างที่ต้องพังพินาศเพราะมัน  

                    “กำลังพูดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ”

                น้ำเสียงทุ้มต่ำ ก้องกังวาน และทรงพลังทำให้สองพ่อลูกหันไปยังต้นเสียงพร้อมกัน  ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มร่างสูง ประเมินจากสายตาคงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร  แขนขายาว ทว่าสมส่วนอยู่ในสูทสีดำที่ส่งให้เรือนกายสูงใหญ่สง่าผ่าเผยราวกับกำลังอยู่บนแคทวอล์คและมีสปอร์ตไลท์ส่องให้โดดเด่นขึ้นไปอีก  หน้าขาวจัดประดับด้วยเครื่องหน้าที่เด่นชัดและมีเอกลักษณ์  ดวงตาคมและคิ้วเข้มหนาราวกับตาของเหยี่ยว คงทำให้ใครหลาย ๆ คนเผลอหลุดเข้าไปในห้วงเสน่หาในตัวชายคนนี้ได้อย่างง่าย ๆ   

                    “คุณ... คริส”

                “เรียกผมว่าอู๋ฟานก็ได้ครับ” คริสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มคลี่บาง  หากดวงตาที่ทอประกายแข็งกร้าวกลับทำให้จงอินชักสีหน้า   ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่หันไปหาผู้ที่แก่กว่า และโค้งตามมายาท   “อันที่จริง นับตามความอาวุโส  ผมควรจะแนะนำตัวก่อนนะครับ .. ผมคริส  อู๋ อี้ฟาน ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ... ”

                “ครับ..  ผมคิม  แทฮุน   ทนายประจำตัวคุณชานยอล  อันที่จริงผมรู้จักกับครอบครัวคุณชานยอลมานาน  ถ้าจะพูดก็เป็นญาติห่าง ๆ กันก็ได้ครับ ส่วนนี่ลูกชายผม  จงอิน  ตอนนี้เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้คุณชานยอลอยู่ ”

                “อ๋อ... ครับ ” นายแบบหนุ่มยิ้มมุมปากให้กับเจ้าของผิวกายสีเข้ม ...  และเอ่ยทวนความจำให้กับจงอินอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลากลับไปคิดเลย   “หวังว่างานนี้ยังจะต้อนรับผมอยู่นะครับ... คุณ คิม จงอิน”

                    “ ขออภัยที่เสียมารยาทก่อนหน้านี้ครับ... ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณเป็นใคร”  จงอินเอ่ยเสียงเรียบ  แม้จะเป็นประโยคที่สุภาพ หากน้ำเสียงกลับบ่งบอกถึงความเย็นชาจนบิดาต้องสะกิดข้อศอกเขาเบา ๆ

                    “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ... ”  ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับ   ก่อนที่สีหน้าที่ประดับด้วยยิ้มละไมจะเปลี่ยนไปจริงจังและรุนแรงในชั่วพริบตา

                    “ผมอยากพบ... น้องชายผม”

                จงอินกำหมัดแน่น ... ลมหายใจติดขัด   สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเองกำลังส่งสัญญาณอย่างบ้าคลั่ง

                ไม่ธรรมดา

                “ไม่สิ... ฝาแฝดของผม ” เสียงทุ้มเอ่ยช้า ... ดังก้อง  และชัดเจน

                   

                จงอินเผลอสบตากับพ่อชั่ววินาทีหนึ่ง

                ฝาแฝดของชานยอล   แฝดที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว

                    ที่สำคัญ...เขาเชื่อว่าบิดาเองก็รู้สึกได้

     

    ว่าผู้ชายคนนี้...

    อันตราย

     

     

    ************

     

     

                จงอินเดินตามบิดา และชายร่างสูงไปยังห้องวางหีบศพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  แม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่ชายต่างวัยสองคน  หากสมองกลับตั้งใจทบทวนชื่อและรายละเอียดที่ได้จากการใช้เวลาว่างกลางดึกเมื่อคืนค้นหาข้อมูลชายหนุ่มอย่างละเอียดด้วยความใคร่ครวญ  

                อู๋ อี้ฟาน ... หรือชื่อในวงการ “คริส” โปรไฟล์หนุ่มลูกครึ่งจีน เกาหลี ... สัญชาติแคนาดา พูดได้สี่ภาษา 

     คริสเข้ามาปรากฏในหน้านิตยสารแรกเมื่อเกือบห้าเดือนที่แล้ว และได้รับความสนใจจากสื่อทุกแขนงเพราะหน้าตา รูปร่างที่โดดเด่นเหนือศิลปินและดาราเกาหลีทั่วไปที่มักจะหน้าถอดจากบล็อคเดียวกันเสียส่วนใหญ่ จนถึงบัดนี้ไม่มีหนังสือเล่มไหนในเกาหลีที่คริสไม่เคยขึ้นหน้าปก  เมื่อไม่นานมานี้นายแบบหนุ่มได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัวด้วยผลงานโฆษณา และวาไรตี้โชว์  รวมไปถึงเผยความสามารถส่วนตัวด้านการแรพ  ชื่อเสียงของชายหนุ่มกำลังโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับจำนวนแฟนคลับที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนอาจแซงหน้าศิลปินและดาราเกาหลีคนอื่นไปได้อย่างรวดเร็ว

    การทำงานในวงการบันเทิงบันเทิงมาหลายปี ทำให้จงอินพบว่าโปรไฟล์พวกนี้สามารถดัดแปลงและสร้างขึ้นมาได้ด้วยฝีมือบริษัทต้นสังกัด  โดยเฉพาะชื่อที่หลายครั้งจำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้โดดเด่น... คำว่า ลูกครึ่งและความสามารถทางภาษา อาจเป็นจุดดึงความสนใจของสื่อได้มากพอ ๆ กับหน้าตาของอีกฝ่าย  แล้วค่อยเผยความสามารถในด้านอื่นให้รู้จักกันต่อไป    จงอินจึงไม่ใส่ใจโปรไฟล์เท่ากับระยะเวลาที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้น  จากข้อมูลที่ได้รับจากบิดาเมื่อครู่นี้แสดงให้เห็นว่าเป็นเวลาเดียวกับที่มารดาของชานยอลพูดถึงเรื่องนี้

                หรือปาร์ค จีเฮจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว...

                แปลก...

                “ดูท่าทางพวกคุณยังไม่ไว้ใจผม...” 

                    คนทั้งสามหยุดที่หน้าประตูห้อง  เจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนรอและหันมาพร้อมกับประโยครู้เท่าทัน ...น้ำเสียงสนุกทำให้จงอินจ้องเขม็งไปที่เสี้ยวหน้าของคนตัวสูง   ใบหน้าของคริสเปื้อนยิ้มก็จริง หากแววตากลับแข็งกระด้างผิดจากแฝดอีกคนอย่างเห็นได้ชัด   

                “เปล่าครับ... สถานการณ์ตอนนี้คือชานยอลไม่มีญาติที่ไหนเหลืออยู่แล้ว  ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิด มีทางไหนที่พวกเราจะทำให้ชานยอลสบายใจที่สุด ผมก็คิดว่าควรทำ” ชายที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น  สมกับที่เป็นทนายฝีมือดี            

                “โชคร้ายนะที่ผมเป็นแค่แฝดเทียม ไม่ได้แฝดแท้  ถึงเอาหน้าตามาพิสูจน์ไม่ได้” คริสเปรย ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวหันมองมาทางใบหน้าคร้ามแดด และถามย้ำ

                “ใช่ไหมครับ คุณจงอิน”

                “ถ้าคุณเป็นผม.. คุณคิดว่าผมควรจะทำยังไงล่ะครับ  ยอมให้นายแบบลูกครึ่งจีน เกาหลี สัญชาติแคนาดา และกำลังไปได้สวยในวงการเข้ามาบอกว่าเป็นฝาแฝดของคนที่คุณรู้จักมาตั้งแต่เกิด แถมรูปร่างหน้าตายังไม่เหมือนชานยอลเลยแม้แต่นิดเดียว  คุณคิดว่าผมควรเชื่อในทันทีเลยหรือเปล่าล่ะ”  คิม จงอินไม่สะทกสะท้านกับสายตานั้น   ชายหนุ่มตอกกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ไม่แสดงออกอะไรมากไปกว่าสายตาเชือดเฉือนไม่ต่างกับที่อีกฝ่ายใช้กับตน

                “อ๋อ... กลัวใครที่ไหนก็ไม่รู้มาสวมรอยแทนแล้วแย่งทุกอย่างไปจากชานยอลงั้นสิ”

    “ชานยอลไม่มีอะไรให้คุณแย่ง... ”จงอินแย้ง   “ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็คงแย่เต็มทน”

    ”นั่นสิครับ ...ผมเองก็มีครบอยู่แล้ว   เลยไม่เห็นความจำเป็นจะต้องมาแย่งชิงอะไรกับใคร...”คริสยักไหล่   “แล้วการที่ผมจะเข้ามาแสดงตนในฐานะคนที่อยู่ร่วมท้องเดียวกัน และเกิดมาแทบจะพร้อม ๆ กับคนที่คุณคิดว่ารู้จักมาตั้งแต่เกิด มันผิดงั้นเหรอ ”

    “เปล่า... ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น” จงอินปฏิเสธ หากน้ำเสียงดุดันของคริสกลับแทรกขึ้นมาในฉับพลัน  

    “แต่คุณคิด... ”

    ชายร่างกำยำคอแข็งขึ้นทันทีที่ได้ยิน  มือแกร่งกำแน่นอยู่ข้างลำตัว   ทันใดนั้นเองที่บิดาเอื้อมมือมาบีบไหล่เขาแรง... และย้ำด้วยเสียงดังชัดเจน 

     “จงอิน...  เสียมารยาท

    คริสหัวเราะเบากับระดับความใจเย็นที่แตกต่างกันของสองพ่อลูก...

     ไม่สิ...

    ระดับความสามารถในการรับมือกับปัญหาต่างหาก  ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    นายแบบหนุ่มมองคนทั้งสองสลับกัน ... และสรุปในที่สุด

    “สำหรับผม... เชื่อ  หรือไม่เชื่ออยู่ที่ชานยอล”

     

    ………

    จงอินหันหน้าเข้าหาผนังเพื่อระงับสติอารมณ์ของตัวเอง หลังจากบิดาก้าวเข้าไปในห้องวางหีบศพที่มีเพียงชานยอลและร่างไร้วิญญาณของปาร์ค จีเฮอยู่ในนั้นเพื่อพูดคุยคร่าว ๆ ก่อนพามาพบกับคนที่ยืนเก็กอยู่ไม่ห่างเขานักด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับไม่ได้อยู่ในงานศพ... สีหน้าของคริสเรียบเฉย ไม่แสดงอาการเสียใจหรือแม้แต่สะเทือนใจกับการตายของผู้ให้กำเนิดเลย   

    และนั่น ...ก็ทำให้คนตรง  ๆ อย่างจงอินห้ามความสงสัยของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย  

    “ดูคุณไม่เสียใจเลยนะ... ที่แม่คุณตาย”

    คริสขยับตัวเล็กน้อย ... สายตาเฉียบคมทอดมองเขา ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นอย่างว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกใด ๆ

    “ผมควรจะแสดงออกว่าผมเสียใจงั้นเหรอ”

    “... ”  

    “คุณคิดว่า ลูกชายที่ใช้เวลายี่สิบสามปีในการตามหาแม่ของตัวเอง ...จะเสียใจแค่ไหน ถ้าวันที่เขาเจอผู้หญิงที่ควรจะเรียกว่าแม่ เป็นวันเดียวกับที่เธอตายไป”

    จงอินพูดไม่ออก  ถึงอีกฝ่ายจะน่าหมั่นไส้แค่ไหน...  แต่พอได้ยินคำถามแบบนั้นออกมา เขากลับสะอึกและอึ้งไปอย่างบอกไม่ถูก

    “ผมเสียใจที่ผมมาช้า  จนทุกอย่างเกือบสายไปแล้ว”  โดยเฉพาะเมื่อนายแบบหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราวกับคนที่เผชิญกับความพ่ายแพ้มาตลอด “ไม่สิ ... สิ่งที่ผมรู้สึก ...มันมากกว่าคำว่าเสียใจไปเยอะเลยล่ะ”

                “แล้วคุณต้องการอะไรจากชานยอลกันแน่... แค่มาประกาศตัวว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน...งั้นเหรอ??

    คริสหัวเราะทันทีที่ได้ยิน ... จงอินชักสีหน้า อารมณ์โกรธพุงขึ้นมาอีกครั้งที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย

    “แล้วคุณคิดว่าผมต้องการอะไรจากฝาแฝดที่พลัดพรากกันไปถึงยี่สิบสามปีล่ะ”

    ใช่เพียงเท่านั้น... จงอินรู้สึกหน้าชา  เมื่อสายตาของคริสมองลึกเข้ามาในดวงตาราวกับกำลังอ่านความคิดของเขาอย่างถี่ถ้วน  จนผู้จัดการหนุ่มต้องเบือนหน้ามองไปที่ประตูที่บิดาหายลับไป

                มือกำแน่นขึ้นอีก...   หนุ่มผิวเข้มพยายามใช้สมาธิและเรียกสติของตัวเองให้กลับมาอย่างเต็มที่ เพียงเพื่อไม่ให้เผลอเหวี่ยงหมัดไปกระแทกหน้าหล่อ  ๆ นั้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

                    โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

                ประโยคที่ทำให้เขาใจหายวูบ... และต้องหันกลับมามองคนพูดอย่างไม่น่าเชื่อ

    ”มีคนเคยบอกคุณหรือเปล่า... ว่ายิ่งปกป้องมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเสียไปมันก็มีมากเท่านั้น คิม จงอิน”

     

     

    **********

     

    จงอินมองประตูที่บิดาหายลับเข้าไปกว่าสิบนาทีด้วยสภาวะอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก   ปกติเขาก็มักเป็นลูกไล่ทางอารมณ์ให้กับชานยอลอยู่ประจำอยู่แล้ว  เจ้าคนยิ้มเก่ง อารมณ์ดีมักหาเรื่องมายั่วให้เขาอารมณ์เสีย แล้วหัวเราะสะใจเสียงดังเมื่อเขาทำหน้าบูดบึ้งโต้ตอบไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่กับคนอื่นแบบนี้...

    มือเขายังสั่น... แม้กระทั่งตอนที่ประตูเปิดออก ร่างสูงโปร่งของชานยอลก้าวออกมา ตามด้วยชายสูงวัยกว่าที่เดินตามออกมาด้วยท่าทางเยือกเย็น

    “ชานยอล...” ชายหนุ่มเอ่ย พร้อมก้าวออกมาหวังจะพูดคุยกับศิลปินในความดูแล และเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กด้วยความห่วงใย ชานยอลไม่ได้นอนทั้งคืน จนใบหน้าซีดเซียว  ดวงตาบอบช้ำ  และเดินได้ไม่มั่นคงนัก  

    จงอินยื่นแขนออกไป...  ทว่า ต้องหยุดชะงัก  ...เมื่อสายตาของชานยอลไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลย

                ดาราดาวรุ่งยืนมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงผนังครู่หนึ่ง   สายตาสองคู่ประสานกัน ... ก่อนที่ชานยอลกลืนอะไรบางอย่างลงคอ และก้าวไปหยุดตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้น

    “คุณเป็นพี่ผมจริง ๆ หรือเปล่าครับ....”

    อีกฝ่ายยิ้มบาง ... และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ แทบจะโทนเดียวกับคนที่ตัวเล็กกว่า  

    “ไม่คิดเหรอว่าผมจะเป็นน้อง...”   

    แม้ว่าส่วนสูงและแขนขาของคนทั้งสองแทบจะไล่ ๆ กัน หากนายแบบหนุ่มกลับมีเรือนกายใหญ่กำยำมากกว่านัก  ไหล่ของชานยอลบอบบาง  ร่างกายสูงโปร่งก็จริง แต่อาจเป็นเพราะใบหน้าที่ออกไปทางหวานเหมือนผู้หญิง ที่ทำให้สองคนที่มองอยู่เห็นว่า ชานยอลดูเด็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด 

    “คุณดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมนี่นา...” ดูเหมือนเจ้าตัวก็คิดเช่นนั้นอยู่  ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองเรือนผมที่อยู่สูงกว่าระดับสายตา และยกมือขึ้นวัดส่วนสูงของตัวเองกับคนตรงหน้า  “แล้วก็... สูงกว่าผมซะอีก  ”

    “มั่นใจเหรอ?” ชายที่กลายเป็นพี่ในชั่วพริบตาเอ่ย  “มั่นใจแล้วเหรอ ว่าผมเป็นพี่ของคุณจริง ๆ ”

    “แล้วคุณไม่ใช่เหรอ?  ชานยอลถามกลับ .. หน้าซีดเซียวเอียงเล็กน้อยราวกับเด็กน้อยขี้สงสัย  ดวงตากลมโตที่ดูอ่อนเพลียจ้องเขม็งมาที่เขา  จนคริสอยากจะหัวเราะออกมา

    “ไม่คิดเหรอว่าผมจะมาหลอกคุณ”

    “ถ้าคุณบอกว่าใช่...ผมก็จะเชื่อ” หนุ่มอารมณ์ดีพูดอย่างสบาย ๆ

    “ชานยอล...”จงอินท้วง  แต่ดูเหมือนชานยอลจะไม่ได้ยิน ...หรือไม่  ก็แสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน

    คริสลอบมองสีหน้าของผู้จัดการอารมณ์ไม่คงที่ สลับกับมองหน้าเด็กหนุ่มร่างสูง  หนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถสบตาเขาได้ในระดับเดียวกันได้  ดวงตาใสแจ๋วแดงก่ำ...  สีหน้าซีดเซียวแต่ก็ยังดูเหมือนปกติ  หากเขารู้ได้ในทันทีว่าร่างกายนี้คงจะหมดแรงในไม่ช้า

    “มันไม่ได้อยู่ที่ว่า... ผมบอกว่าใช่หรือเปล่า  มันอยู่ที่คุณต่างหากล่ะ”

    “ถ้าผมคิดว่าใช่... คุณก็จะเป็นพี่ผม ใช่ไหม”  น้ำเสียงสดใสเอ่ยกลับแทบจะในทันที 

    “หน้าตาเราไม่เหมือนกัน... ”

    ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึก...ก่อนยกฝ่ามือเรียวยาวขึ้นวางบนโครงหน้าอันเด่นชัดของอีกฝ่าย ... ใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่ยาวกว่าเล็กน้อย ดวงตาและคิ้วก็คมกว่าเขา  จมูกโด่งโดดเด่น...ดูคมคาย ดึงดูดสายตายิ่งกว่าเขา   เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวระต้นคอ ตัดเป็นทรงเดียวกับที่เขาเป็นอยู่ เครื่องหน้าของชายหนุ่มดูไม่เหมือนเขาก็จริง... หากอะไรบางอย่างที่ชานยอลไม่สามารถอธิบายได้ กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังส่องกระจกมองตัวเอง

    “ผมรู้ว่าเหมือน...  นี่ไง..   เค้าบอกว่าฝาแฝดจะมีสื่อสัมพันธ์กัน... พี่ย้อมสีผมแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ เหมือนผมเลยใช่ไหมล่ะ... ที่สำคัญ  ผมกับพี่หน้าตาดีเหมือนกัน ” แม้ท้ายประโยคจะติดตลก ... หากเสียงของชานยอลกลับสั่น ... หยดน้ำที่ไหลออกมาตากลมโตแทบจะในทันที   

    “อย่าเถียงนะ ... ผมรู้... พี่เป็นแฝดของผมแน่ ๆ ”

    ก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว ชานยอลโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น...   แขนเรียวยาวสองข้างโอบบนบ่ากว้าง หน้าที่อาบชุ่มด้วยน้ำตาซุกอยู่ใต้เรือนผมของคนสูงกว่า “ขอบคุณ ที่บอกผม...  ขอบคุณที่กลับมา  ..ผมรอพี่มาตลอดเลย”          

    คริสไม่ได้เตรียมพร้อมมาเพื่อรับมือกับกอดแน่นหนานี้... ชายหนุ่มยืนนิ่งครู่ใหญ่  กว่าจะรู้ว่าอุ่นไอที่โอบรอบตัวเขานี้คืออะไร    

    แรงสะอื้นของชานยอลทำให้แผ่นอกกว้างสะท้านไม่เป็นจังหวะ     

    “ขอโทษ... ที่หาพี่ไม่เจอ  ”

    คริสไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ  ยามที่ยกมือขึ้นโอบแผ่นหลังของชานยอลจนแน่น... และกัดฟันแน่น ไม่ให้ความรู้สึกที่ทนเก็บกักเอาไว้เนิ่นนานต้องล้นทะลัก...

    ทว่า... อ้อมกอดนี้กลับอุ่นเสียจนอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความฝัน

     “อย่าเพิ่งไปไหนนะ...” อี้ฟานกระซิบ....  “อยู่ตรงนี้นะ... อยู่ตรงนี้ ”

    ความฝันเลือนราง...ที่เขาพยายามไขว่คว้ามานาน

    อุ่นเหลือเกิน...

     

     

    **************

     

    “พ่อ..”

    ภายในห้องที่มีเพียงชายสองคนที่เป็นสายเลือดเดียวกัน  จงอินใช้เวลานานพอสมควรกับการต่อสู้กับความเงียบงัน ...และเปิดปากพูดสิ่งที่ต้องการขึ้นมา   

    “พ่อรักน้าจีเฮขนาดนั้นเลยเหรอ”

    ผู้จัดการหนุ่มมองไปที่รูปหญิงวัยกลางคน หากรอยยิ้มหวานสวย และใบหน้าที่อ่อนเยาว์กลับทำให้เขารู้สึกว่าเธออายุเพิ่มขึ้นจากวันที่เขาเป็นเด็กชายตัวน้อย   

                ฝ่ามือนุ่มนวล ...และน้ำเสียงอ่อนหวาน บอกให้เขาเล่นกับเด็กชายอีกคนดี ๆ ไม่วิ่งเล่นซุกซน  และไม่ทะเลาะกัน

    ผู้หญิงที่เป็นยิ่งกว่าน้า  ...แต่เหมือนแม่

    ผู้หญิงที่อยู่ในสายตาของพ่อมานานจนจงอินคิดไม่ออกว่าพ่อเคยรักใครอีกนอกจากน้าจีเฮ... เพราะแม้แต่แม่ที่เสียไปแล้วของเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ความรู้สึกนั้นไป

    “ว่าไงนะ”                                           

    “ที่ผ่านมา... พ่อเลี้ยงผมมาให้แทนคน ๆ นี้หรือเปล่า”

    “ทำไมแกคิดอย่างนั้น” ทนายคิม จองกุกหันหน้ามองลูกชายที่จับจ้องเพียงรูปของหญิงที่กำลังนอนสงบอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม   ความรู้สึกหนักหน่วงกดทับจนรู้สึกแน่นอยู่ในอก เมื่อพบกับสายตาของลูกชายคนเดียวที่เหลียวกลับมา

    “เปล่าครับ.. ผมก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

                    ดวงตาที่มองเผิน ๆ แล้วว่างเปล่า...แต่ลึก ๆ ข้างในนั้นกลับซุกซ่อนความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้จนซ่อนไม่อยู่

    “แกก็รู้ว่าพ่อไม่เคยปฏิเสธว่ารักจีเฮ... แต่พ่อก็ไม่เคยรักแกน้อยกว่าใคร” เจ้าของเรือนผมสีเทาประปรายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย   จนจงอินรู้ตัวในที่สุด

    หนุ่มวัยฉกรรจ์กำหมัดแน่น... ก่อนโค้งศีรษะให้กับบิดาและเอ่ยคำขอโทษ

    “ขอโทษครับพ่อ... ผมพาลไปหน่อย”

                “แกนี่... โตแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่นอยู่ได้”

    “ผม... ” จงอินพูดไม่ออก...  ไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกมากกว่านั้น

    สูญเสีย....

    เขากำลังเสียพื้นที่ที่คิดว่าเป็นของตัวเองมาตลอด

    พื้นที่ที่เคยเป็นของเขาและไม่เคยแบ่งปันมันให้ใคร

    ไม่สิ... มันเป็นแค่ความรู้สึกของเขาเองฝ่ายเดียว  เป็นแค่การคิดไปเองว่าเป็นของตัวเอง

    ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่มีตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ

    ไม่ว่าจะพื้นที่ของพี่ชาย....

                ...

    หรือแม้แต่สถานะที่เขาพยายามห้ามใจไม่ให้คิดมาตลอด

    ชั่วระยะเวลาที่จงอินมองเห็นชานยอลก้าวผ่านหน้าเขาไปหาใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ... ราวกับว่าเขาได้ขึ้นไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปเมื่อในอดีต   ตอนที่กำลังมองสุนัขตัวน้อยที่เขาเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด วิ่งไปหาชานยอลตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า

                หางน้อย ๆ ส่ายไปมาอย่างร่าเริงพร้อมกับใบหูที่กระดิกอย่างมีชีวิตชีวาในอ้อมกอดของชานยอล เสียงร้องหงุงหงิงออดอ้อนทำให้คนอุ้มหัวเราะเสียงดัง  

    ซึ่งต่างจากท่าทางสงบนิ่งตอนที่อยู่กับเขามากเหลือเกิน

    หวนคิดไปถึงสายตาของชานยอลที่ดูเหมือนจะจะอ่อนล้า  หากร่องรอยสดใสในลูกแก้มสีดำขลับมีชีวิตชีวามากกว่าที่เขาคิดไว้มาก  เพียงแค่อีกคนก้าวเข้ามา... ความเสียใจจากการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ชานยอลต้องเผชิญอยู่ก็ค่อยทุเลาลง

    ฝ่ามือหนาที่โอบประคองชานยอลไว้ .... อ้อมกอดที่ชานยอลกอดไว้เต็มสองแขน  เสียงสะอื้น  หรือแม้กระทั่งน้ำตาที่เขาแทบไม่เคยเห็น

    “ผมก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้...ว่าทำไมเจ้ามงกูถึงได้ติดชานยอลนัก  ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนดูแลมันตลอดแท้ ๆ ”

    เจ้าหมาที่เขาดูแลอยู่นั้นไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเจ้าของ... หากเป็นแค่เพื่อนเล่นคลายเหงา และผู้ดูแลที่แสนทุ่มเทเพียงเท่านั้น

    จงอินเคยอ่านพบว่า ไม่ใช่เจ้าของหรอกที่เลือกสัตว์เลี้ยง... แต่เป็นสัตว์เลี้ยงต่างหากที่เลือกเจ้าของของมันเอง

    “เพราะว่าความจริง...  มันได้เจอเจ้าของที่แท้จริงของมันแล้ว”

    และเมื่อมันเลือกเจ้าของได้แล้ว...

    สัตว์เลี้ยงตัวนั้น...

    จะไม่มีวันละสายตาไปจากเจ้าของของมันเลย

    “และเจ้าของของมัน...ก็ไม่ใช่ผมซะด้วยสิ”

     

    *************

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×