คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [02] เจ้าของ
‘สุดอาลัย’ ปาร์ค ชานยอล ถึงคราวหลั่งน้ำตาเมื่อคุณแม่จากไปอย่างสงบ หลังเจ้าตัวเพิ่งกวาด 5 รางวัลสำคัญในฐานะนักแสดงไปได้เพียงชั่วโมงเดียว
“บ้าชะมัด”
จงอินสบถเบา ขณะที่มือหนาพลิกหนังสือพิมพ์ฉบับสุดท้ายพลางกวาดสายตามองแค่พาดหัวข่าว ก่อนโยนลงถังขยะไปอย่างไม่ไยดี ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียจากการพักไปแค่งีบเดียว และความเคร่งเครียดที่แฝงตัวอยู่ทุกพื้นที่บนใบหน้า ข่าวดังในเช้าวันนี้จากหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็คือข่าวการสูญเสียคุณแม่ของนักแสดงดาวรุ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่างปาร์ค ชานยอล ทุกพาดหัวข่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปครั้งนี้ก็จริงอยู่ หากการพร้อมใจบอกว่าชานยอลกำลังหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายอย่างโศกเศร้าหรืออะไรก็แล้วแต่นั้นล้วนแต่ทำให้เขาอยากจะสบถหยาบคายดัง ๆ ออกมา
“ไม่มีอะไรทำหรือไงนะพวกนี้ ... นั่งเทียนเขียนข่าวกันอยู่ได้ ”
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครนอกจากเขาและเจ้าที่ที่มาเคลื่อนย้ายศพมายังสถานที่จัดงานได้เห็นหน้าของชานยอล ทั้ง ๆ ที่ไม่มีนักข่าวคนไหนได้เข้ามาอยู่ในบริเวณงานเลยแท้ ๆ กลับเขียนได้เป็นตุเป็นตะราวกับว่ารู้จักชานยอลเป็นอย่างดี
หลั่งน้ำตางั้นเหรอ...
จงอินอยากจะหัวเราะ...
ถ้ามีบ้าง เขาคงจะสบายใจมากกว่านี้
ตั้งแต่สามทุ่มคืนที่ผ่านมา จนถึงสายวันนี้เกือบสิบห้าชั่วโมง จงอินยังไม่เคยเห็นน้ำตาแม้แต่หยดเดียวของชานยอลเลย
“จงอิน...”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ เนิบช้าแบบคนผ่านโลกมากและใจเย็นทำให้ร่างกำยำหันกลับไป ชายวัยกลางคนยืนนิ่งอยู่ในสูทสีดำเรียบ สีหน้าอ่อนโยน แม้จะดูออกว่ากำลังเครียดอยู่ไม่น้อยกับการทำงานเร่งด่วนตลอดคืนเพื่อตระเตรียมพิธีเช่นเดียวกับเขา แต่คนตรงหน้าก็ยังคงเป็นหลักยึดที่แข็งแกร่งให้หนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนแบบเขาได้เช่นเคย สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอของชายผู้มีผมสีเทาแทรกประปรายก็คือดวงตาแดงช้ำที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
“พ่อ ”
“แกได้พักบ้างหรือยัง... ไหวไหม”
“ได้งีบนิดหน่อยครับ พอไหว”
จงอินตอบคำถาม ก่อนตามด้วยเสียงถอนหายใจเมื่อนึกถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของผู้ตาย ชานยอลยังคงอยู่ในชุดเมื่อคืน สูทเรียบกริบราคาแพงระยับที่ใส่เพื่อขึ้นรับรางวัลด้วยความภาคภูมิใจ แต่กลับไม่สามารถนำความภาคภูมิใจนั้นกลับมาฝากผู้เป็นที่รักที่สุดได้ทันเวลา
สีหน้าของชานยอลที่ชายหนุ่มเห็นตลอดคืนนั้นเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไรกับการสูญเสีย หากนั่นก็เพียงพอมากแล้วสำหรับบุคคลที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสดใสหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด เส้นเลือดฝอยบนลูกแก้วใสในตาคู่นั้นแดงก่ำราวกับพร้อมที่จะระเบิดออกมา หากไม่มีน้ำใส ๆ ที่เอ่อออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าได้หายไปพร้อม ๆ กับวิญญาณของคนที่รักตั้งแต่เมื่อคืน
จงอินเกิดก่อนอีกฝ่ายเกือบสิบเอ็ดเดือนเต็ม และถูกเลี้ยงดูใกล้ชิดผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและน้องชายตัวน้อยมาตลอดชีวิต แม้เขาอยู่เคียงข้างชานยอลมาตั้งแต่จำความได้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนในความทรงจำที่เขาเห็นชานยอลในสภาพนี้
แค่ยืนมองร่างสูงโปร่งนั่งเฝ้าศพเพียงลำพัง และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับหีบศพที่เย็นชืดมาตลอดทั้งคืน จงอินก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดมากมายมหาศาลนั้นได้อย่างดี แม้จะรู้ว่าตามธรรมเนียมจะต้องมีคนอยู่เฝ้าหีบศพตลอดเวลา จงอินจึงพยายามหลายครั้งที่จะเข้าไปแทนที่ แต่ชานยอลกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ นอกจากการนั่งนิ่ง
“พ่อไปจัดการเรื่องทางกฎหมายมา เสร็จงานชานยอลจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย” จงอินพยักหน้า พร้อมกับมองลึกเข้าไปในดวงตาของบิดา ความเจ็บปวดฉายชัดอยู่ไม่น้อย
ในฐานะคนที่ใกล้ชิดกับครอบครัวชานยอลมานาน ทั้งเขาและพ่อต่างก็เสียใจลึกซึ้งไม่แพ้กัน แต่ชานยอลไม่เหลือใครนอกจากพวกเขา ทุกการช่วยเหลือจึงเป็นไปอย่างเร่งด่วนและแข่งกับระยะเวลา เพราะรู้ได้ว่าชานยอลอยู่ในฐานะคนของประชาชน หากไม่รีบจัดการหลาย ๆ อย่างในช่วงเวลานี้ ชานยอลอาจต้องเหนื่อยในระยะยาวได้
“แล้วชานยอลเป็นยังไงบ้าง ” บิดาถามคำถามที่ทำให้เจ้าของผิวสีเข้มต้องส่ายหน้า และถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาใช้ทุกวิถีทางในการดึงชานยอลออกจากความโศกเศร้าที่เงียบเชียบ แต่กลับไม่มีผลตอบรับใด ๆ ออกมานอกจากรอยยิ้มบาง ๆ ที่แสนว่างเปล่านั้น
“ยังไม่ได้นอนเลยครับ... ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นยังไม่ได้แตะอะไรเลยนอกจากน้ำ ผมพยายามแล้ว แต่ก็ไม่สนใจเลย พ่อช่วยไปดูหน่อยเถอะครับ” จงอินสารภาพ
“แกนี่มันใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ เพื่อนสนิทกันแท้ ๆ แล้วนี่เกิดเป็นล้มเป็นแล้งไปจะว่ายังไง ” ผู้ให้กำเนิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ก่อนถามเรื่องสำคัญด้วยความรอบคอบ “เรื่องสื่อล่ะว่าไง ... พ่อไม่อยากให้วุ่นวาย เพราะคนที่จะลำบากใจก็คือชานยอล”
“ผมปรึกษาคุณลู่หานแล้วครับ เห็นทางนั้นจะเป็นฝ่ายจัดการเรื่องการแถลงข่าวให้ แต่เย็นนี้ชานยอลคงต้องวุ่นวายหน่อย เพราะน่าจะมีคนในวงการมาด้วย แล้วคงมีแต่คนสนิทที่ชานยอลคงปฏิเสธไม่ได้ ”
“งั้นเรื่องนี้แกจัดการไปนะ... พ่อจะไปดูชานยอลเสียหน่อย เด็กคนนั้นไม่เคยเจอเรื่องร้าย มาเจอตู้มเดียวคงทำใจลำบาก”
จงอินพยักหน้ารับคำ แต่ก่อนที่บิดาจะหันหลังตรงไปที่ห้องวางหีบศพ เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความสูญเสียก็ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“พ่อครับ... ”
“ว่าไง”
“พ่ออยู่กับชานยอลมาตั้งแต่เกิด แสดงว่าพ่อต้องรู้เรื่องนั้นใช่ไหมครับ ทำไมพ่อไม่บอกผมตั้งแต่แรก“
“เรื่องอะไร”
“...อีกคน...ที่มาเมื่อคืน”
ประโยคนั้นทำให้ชายผู้ที่แทบไม่เคยหวั่นเกรงสิ่งใดยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
“เขา...กลับมาแล้วเหรอ คนเดียวหรือเปล่า”
“คนเดียวครับ.. แต่นอกนั้นผมก็ไม่รู้ ”
“แล้วชานยอลว่าไง...”
“ไม่อะไรหรอกครับ เผอิญเรื่องมันเกิดพร้อมกัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชานยอลคิดอะไรอยู่ ... อีกอย่าง ฝ่ายนั้นเค้าก็กลับไปทันทีที่หมอออกมาบอกว่าน้าจีเฮเสียแล้ว... ถึงจะดูไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ก็เถอะ” จงอินทบทวนเหตุการณ์เท่าที่พอจำได้ ก่อนถามคนผ่านโลกมามากกว่าด้วยความจริงจัง “พ่อคิดว่ายังไงล่ะครับ”
คนอาวุโสส่ายหน้า น้ำเสียงอ่อนแรงจนจงอินผิดสังเกต
“ไม่รู้สิ ... มันกะทันหันเกินไป ถึงจีเฮจะพยายามพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วก็เถอะ”
“คุณน้าพูดเรื่องนี้?”
“ใช่... จีเฮพูดเรื่องนี้มาได้ครึ่งปีแล้วล่ะ อยู่ ๆ เธอก็มั่นใจด้วยว่าอีกคนอยู่ที่เกาหลีด้วย แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ก็เกิดเรื่องซะก่อน”
“แปลกดีนะครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ... แถมยังกะทันหันซะด้วย แล้วชานยอลรู้เรื่องนี้มาก่อนไหมครับ ผมเห็นชานยอลตกใจตอนที่เห็นรูปกับสร้อยนั้น เลยเดาว่าน่าจะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดจะเจอในสภาพนั้น” “น่าจะใช่ ... อย่างที่พ่อบอก จีเฮพยายามที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ก็ป่วยหนักเสียก่อน อีกอย่าง ... เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบกับอีกคนแล้ว”
“แล้วก็ไม่ทันได้พบจริง ๆ ด้วยสินะครับ... ” จงอินเอ่ยเสียงเบา “ชานยอลคนที่ผมรู้จักมายี่สิบสามปี... ชานยอลคนนี้มีพี่น้องอยู่ด้วย พ่อไม่เห็นเคยพูดกับผมเรื่องนี้เลย
“ ... ขอโทษ แต่พ่อเองก็ไม่คิด” ทนายความระดับแถวหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบห้าสิบปีอย่างเขา แทบไม่เคยเสียศูนย์ให้กับเรื่องอะไรเลย ... คงมีแต่เรื่องนี้ ที่สะกิดหัวใจของเขาได้ทุกครั้งที่นึกถึง “ พ่อไม่คิดว่าจะมีวันนี้ด้วยซ้ำ นับตั้งแต่วันที่เค้าหายไป”
คิ้วเข้มของจงอินขมวดยุ่ง ... ชายหนุ่มพิจารณาสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้ให้กำเนิดด้วยความสงสัย แต่เขาเชื่อว่ามีเวลาพอที่จะรับฟังในวันเวลาที่สะดวกกว่านี้ จึงตัดประเด็นความสงสัยนั้นไปก่อน และรีบเอ่ยเรื่องที่ตัวเองสังเกตมา
“แต่แปลกนะครับ... ไม่เห็นเหมือนชานยอลเลย ถึงจะตัวสูงแล้วก็หน้าตาดีมาก ๆ เหมือนกันก็เถอะ ”
“ว่าไงนะ? ไม่... ไม่เหมือนเลยงั้นเหรอ”
“ก็ไม่เชิงว่าไม่เหมือนนะครับ ก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่องนี้ทำนองนี้ แต่ผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่พอมาเห็นจริง ๆ มันก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่ได้เหมือนขนาดนั้น ไม่ใช่แค่หน้าตานะครับ... อย่างอื่น ก็ไม่เหมือนกันเลย”
“อย่างอื่นของแกคืออะไร...” บิดาซัก จงอินจึงหลุดเข้าไปในภาพความทรงจำเมื่อวานอีกครั้ง ไม่นับใบหน้าและรูปร่าง แต่สายตาลึกล้ำแบบนั้นคงไม่ทำให้ใครลืมง่าย ๆ
“แววตา... ”
แววตาของคน ๆ นั้นมีพลังรุนแรงแฝงอยู่มากจนเขาแทบไม่อยากจะคิดว่าถ้าระเบิดออกมา จะมีใครบ้างที่ต้องพังพินาศเพราะมัน
“กำลังพูดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ ก้องกังวาน และทรงพลังทำให้สองพ่อลูกหันไปยังต้นเสียงพร้อมกัน ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มร่างสูง ประเมินจากสายตาคงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร แขนขายาว ทว่าสมส่วนอยู่ในสูทสีดำที่ส่งให้เรือนกายสูงใหญ่สง่าผ่าเผยราวกับกำลังอยู่บนแคทวอล์คและมีสปอร์ตไลท์ส่องให้โดดเด่นขึ้นไปอีก หน้าขาวจัดประดับด้วยเครื่องหน้าที่เด่นชัดและมีเอกลักษณ์ ดวงตาคมและคิ้วเข้มหนาราวกับตาของเหยี่ยว คงทำให้ใครหลาย ๆ คนเผลอหลุดเข้าไปในห้วงเสน่หาในตัวชายคนนี้ได้อย่างง่าย ๆ
“คุณ... คริส”
“เรียกผมว่าอู๋ฟานก็ได้ครับ” คริสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มคลี่บาง หากดวงตาที่ทอประกายแข็งกร้าวกลับทำให้จงอินชักสีหน้า ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่หันไปหาผู้ที่แก่กว่า และโค้งตามมายาท “อันที่จริง นับตามความอาวุโส ผมควรจะแนะนำตัวก่อนนะครับ .. ผมคริส อู๋ อี้ฟาน ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ... ”
“ครับ.. ผมคิม แทฮุน ทนายประจำตัวคุณชานยอล อันที่จริงผมรู้จักกับครอบครัวคุณชานยอลมานาน ถ้าจะพูดก็เป็นญาติห่าง ๆ กันก็ได้ครับ ส่วนนี่ลูกชายผม จงอิน ตอนนี้เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้คุณชานยอลอยู่ ”
“อ๋อ... ครับ ” นายแบบหนุ่มยิ้มมุมปากให้กับเจ้าของผิวกายสีเข้ม ... และเอ่ยทวนความจำให้กับจงอินอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลากลับไปคิดเลย “หวังว่างานนี้ยังจะต้อนรับผมอยู่นะครับ... คุณ คิม จงอิน”
“ ขออภัยที่เสียมารยาทก่อนหน้านี้ครับ... ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณเป็นใคร” จงอินเอ่ยเสียงเรียบ แม้จะเป็นประโยคที่สุภาพ หากน้ำเสียงกลับบ่งบอกถึงความเย็นชาจนบิดาต้องสะกิดข้อศอกเขาเบา ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ... ” ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับ ก่อนที่สีหน้าที่ประดับด้วยยิ้มละไมจะเปลี่ยนไปจริงจังและรุนแรงในชั่วพริบตา
“ผมอยากพบ... น้องชายผม”
จงอินกำหมัดแน่น ... ลมหายใจติดขัด สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเองกำลังส่งสัญญาณอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ธรรมดา
“ไม่สิ... ฝาแฝดของผม ” เสียงทุ้มเอ่ยช้า ... ดังก้อง และชัดเจน
จงอินเผลอสบตากับพ่อชั่ววินาทีหนึ่ง
ฝาแฝดของชานยอล แฝดที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่สำคัญ...เขาเชื่อว่าบิดาเองก็รู้สึกได้
ว่าผู้ชายคนนี้...
อันตราย
************
จงอินเดินตามบิดา และชายร่างสูงไปยังห้องวางหีบศพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่ชายต่างวัยสองคน หากสมองกลับตั้งใจทบทวนชื่อและรายละเอียดที่ได้จากการใช้เวลาว่างกลางดึกเมื่อคืนค้นหาข้อมูลชายหนุ่มอย่างละเอียดด้วยความใคร่ครวญ
อู๋ อี้ฟาน ... หรือชื่อในวงการ “คริส” โปรไฟล์หนุ่มลูกครึ่งจีน – เกาหลี ... สัญชาติแคนาดา พูดได้สี่ภาษา
คริสเข้ามาปรากฏในหน้านิตยสารแรกเมื่อเกือบห้าเดือนที่แล้ว และได้รับความสนใจจากสื่อทุกแขนงเพราะหน้าตา รูปร่างที่โดดเด่นเหนือศิลปินและดาราเกาหลีทั่วไปที่มักจะหน้าถอดจากบล็อคเดียวกันเสียส่วนใหญ่ จนถึงบัดนี้ไม่มีหนังสือเล่มไหนในเกาหลีที่คริสไม่เคยขึ้นหน้าปก เมื่อไม่นานมานี้นายแบบหนุ่มได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัวด้วยผลงานโฆษณา และวาไรตี้โชว์ รวมไปถึงเผยความสามารถส่วนตัวด้านการแรพ ชื่อเสียงของชายหนุ่มกำลังโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับจำนวนแฟนคลับที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนอาจแซงหน้าศิลปินและดาราเกาหลีคนอื่นไปได้อย่างรวดเร็ว
การทำงานในวงการบันเทิงบันเทิงมาหลายปี ทำให้จงอินพบว่าโปรไฟล์พวกนี้สามารถดัดแปลงและสร้างขึ้นมาได้ด้วยฝีมือบริษัทต้นสังกัด โดยเฉพาะชื่อที่หลายครั้งจำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้โดดเด่น... คำว่า ‘ลูกครึ่ง’ และความสามารถทางภาษา อาจเป็นจุดดึงความสนใจของสื่อได้มากพอ ๆ กับหน้าตาของอีกฝ่าย แล้วค่อยเผยความสามารถในด้านอื่นให้รู้จักกันต่อไป จงอินจึงไม่ใส่ใจโปรไฟล์เท่ากับระยะเวลาที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้น จากข้อมูลที่ได้รับจากบิดาเมื่อครู่นี้แสดงให้เห็นว่าเป็นเวลาเดียวกับที่มารดาของชานยอลพูดถึงเรื่องนี้
หรือปาร์ค จีเฮจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว...
แปลก...
“ดูท่าทางพวกคุณยังไม่ไว้ใจผม...”
คนทั้งสามหยุดที่หน้าประตูห้อง เจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนรอและหันมาพร้อมกับประโยครู้เท่าทัน ...น้ำเสียงสนุกทำให้จงอินจ้องเขม็งไปที่เสี้ยวหน้าของคนตัวสูง ใบหน้าของคริสเปื้อนยิ้มก็จริง หากแววตากลับแข็งกระด้างผิดจากแฝดอีกคนอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าครับ... สถานการณ์ตอนนี้คือชานยอลไม่มีญาติที่ไหนเหลืออยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิด มีทางไหนที่พวกเราจะทำให้ชานยอลสบายใจที่สุด ผมก็คิดว่าควรทำ” ชายที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น สมกับที่เป็นทนายฝีมือดี
“โชคร้ายนะที่ผมเป็นแค่แฝดเทียม ไม่ได้แฝดแท้ ถึงเอาหน้าตามาพิสูจน์ไม่ได้” คริสเปรย ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวหันมองมาทางใบหน้าคร้ามแดด และถามย้ำ
“ใช่ไหมครับ คุณจงอิน”
“ถ้าคุณเป็นผม.. คุณคิดว่าผมควรจะทำยังไงล่ะครับ ยอมให้นายแบบลูกครึ่งจีน – เกาหลี สัญชาติแคนาดา และกำลังไปได้สวยในวงการเข้ามาบอกว่าเป็นฝาแฝดของคนที่คุณรู้จักมาตั้งแต่เกิด แถมรูปร่างหน้าตายังไม่เหมือนชานยอลเลยแม้แต่นิดเดียว คุณคิดว่าผมควรเชื่อในทันทีเลยหรือเปล่าล่ะ” คิม จงอินไม่สะทกสะท้านกับสายตานั้น ชายหนุ่มตอกกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงออกอะไรมากไปกว่าสายตาเชือดเฉือนไม่ต่างกับที่อีกฝ่ายใช้กับตน
“อ๋อ... กลัวใครที่ไหนก็ไม่รู้มาสวมรอยแทนแล้วแย่งทุกอย่างไปจากชานยอลงั้นสิ”
“ชานยอลไม่มีอะไรให้คุณแย่ง... ”จงอินแย้ง “ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็คงแย่เต็มทน”
”นั่นสิครับ ...ผมเองก็มีครบอยู่แล้ว เลยไม่เห็นความจำเป็นจะต้องมาแย่งชิงอะไรกับใคร...”คริสยักไหล่ “แล้วการที่ผมจะเข้ามาแสดงตนในฐานะคนที่อยู่ร่วมท้องเดียวกัน และเกิดมาแทบจะพร้อม ๆ กับคนที่คุณคิดว่ารู้จักมาตั้งแต่เกิด มันผิดงั้นเหรอ ”
“เปล่า... ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น” จงอินปฏิเสธ หากน้ำเสียงดุดันของคริสกลับแทรกขึ้นมาในฉับพลัน
“แต่คุณคิด... ”
ชายร่างกำยำคอแข็งขึ้นทันทีที่ได้ยิน มือแกร่งกำแน่นอยู่ข้างลำตัว ทันใดนั้นเองที่บิดาเอื้อมมือมาบีบไหล่เขาแรง... และย้ำด้วยเสียงดังชัดเจน
“จงอิน... เสียมารยาท”
คริสหัวเราะเบากับระดับความใจเย็นที่แตกต่างกันของสองพ่อลูก...
ไม่สิ...
ระดับความสามารถในการรับมือกับปัญหาต่างหาก ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นายแบบหนุ่มมองคนทั้งสองสลับกัน ... และสรุปในที่สุด
“สำหรับผม... เชื่อ หรือไม่เชื่ออยู่ที่ชานยอล”
………
จงอินหันหน้าเข้าหาผนังเพื่อระงับสติอารมณ์ของตัวเอง หลังจากบิดาก้าวเข้าไปในห้องวางหีบศพที่มีเพียงชานยอลและร่างไร้วิญญาณของปาร์ค จีเฮอยู่ในนั้นเพื่อพูดคุยคร่าว ๆ ก่อนพามาพบกับคนที่ยืนเก็กอยู่ไม่ห่างเขานักด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับไม่ได้อยู่ในงานศพ... สีหน้าของคริสเรียบเฉย ไม่แสดงอาการเสียใจหรือแม้แต่สะเทือนใจกับการตายของผู้ให้กำเนิดเลย
และนั่น ...ก็ทำให้คนตรง ๆ อย่างจงอินห้ามความสงสัยของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย
“ดูคุณไม่เสียใจเลยนะ... ที่แม่คุณตาย”
คริสขยับตัวเล็กน้อย ... สายตาเฉียบคมทอดมองเขา ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นอย่างว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกใด ๆ
“ผมควรจะแสดงออกว่าผมเสียใจงั้นเหรอ”
“... ”
“คุณคิดว่า ลูกชายที่ใช้เวลายี่สิบสามปีในการตามหาแม่ของตัวเอง ...จะเสียใจแค่ไหน ถ้าวันที่เขาเจอผู้หญิงที่ควรจะเรียกว่าแม่ เป็นวันเดียวกับที่เธอตายไป”
จงอินพูดไม่ออก ถึงอีกฝ่ายจะน่าหมั่นไส้แค่ไหน... แต่พอได้ยินคำถามแบบนั้นออกมา เขากลับสะอึกและอึ้งไปอย่างบอกไม่ถูก
“ผมเสียใจที่ผมมาช้า จนทุกอย่างเกือบสายไปแล้ว” โดยเฉพาะเมื่อนายแบบหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราวกับคนที่เผชิญกับความพ่ายแพ้มาตลอด “ไม่สิ ... สิ่งที่ผมรู้สึก ...มันมากกว่าคำว่าเสียใจไปเยอะเลยล่ะ”
“แล้วคุณต้องการอะไรจากชานยอลกันแน่... แค่มาประกาศตัวว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน...งั้นเหรอ??”
คริสหัวเราะทันทีที่ได้ยิน ... จงอินชักสีหน้า อารมณ์โกรธพุงขึ้นมาอีกครั้งที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“แล้วคุณคิดว่าผมต้องการอะไรจากฝาแฝดที่พลัดพรากกันไปถึงยี่สิบสามปีล่ะ”
ใช่เพียงเท่านั้น... จงอินรู้สึกหน้าชา เมื่อสายตาของคริสมองลึกเข้ามาในดวงตาราวกับกำลังอ่านความคิดของเขาอย่างถี่ถ้วน จนผู้จัดการหนุ่มต้องเบือนหน้ามองไปที่ประตูที่บิดาหายลับไป
มือกำแน่นขึ้นอีก... หนุ่มผิวเข้มพยายามใช้สมาธิและเรียกสติของตัวเองให้กลับมาอย่างเต็มที่ เพียงเพื่อไม่ให้เผลอเหวี่ยงหมัดไปกระแทกหน้าหล่อ ๆ นั้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
ประโยคที่ทำให้เขาใจหายวูบ... และต้องหันกลับมามองคนพูดอย่างไม่น่าเชื่อ
”มีคนเคยบอกคุณหรือเปล่า... ว่ายิ่งปกป้องมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเสียไปมันก็มีมากเท่านั้น คิม จงอิน”
**********
จงอินมองประตูที่บิดาหายลับเข้าไปกว่าสิบนาทีด้วยสภาวะอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก ปกติเขาก็มักเป็นลูกไล่ทางอารมณ์ให้กับชานยอลอยู่ประจำอยู่แล้ว เจ้าคนยิ้มเก่ง อารมณ์ดีมักหาเรื่องมายั่วให้เขาอารมณ์เสีย แล้วหัวเราะสะใจเสียงดังเมื่อเขาทำหน้าบูดบึ้งโต้ตอบไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่กับคนอื่นแบบนี้...
มือเขายังสั่น... แม้กระทั่งตอนที่ประตูเปิดออก ร่างสูงโปร่งของชานยอลก้าวออกมา ตามด้วยชายสูงวัยกว่าที่เดินตามออกมาด้วยท่าทางเยือกเย็น
“ชานยอล...” ชายหนุ่มเอ่ย พร้อมก้าวออกมาหวังจะพูดคุยกับศิลปินในความดูแล และเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กด้วยความห่วงใย ชานยอลไม่ได้นอนทั้งคืน จนใบหน้าซีดเซียว ดวงตาบอบช้ำ และเดินได้ไม่มั่นคงนัก
จงอินยื่นแขนออกไป... ทว่า ต้องหยุดชะงัก ...เมื่อสายตาของชานยอลไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลย
ดาราดาวรุ่งยืนมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงผนังครู่หนึ่ง สายตาสองคู่ประสานกัน ... ก่อนที่ชานยอลกลืนอะไรบางอย่างลงคอ และก้าวไปหยุดตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“คุณเป็นพี่ผมจริง ๆ หรือเปล่าครับ....”
อีกฝ่ายยิ้มบาง ... และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ แทบจะโทนเดียวกับคนที่ตัวเล็กกว่า
“ไม่คิดเหรอว่าผมจะเป็นน้อง...”
แม้ว่าส่วนสูงและแขนขาของคนทั้งสองแทบจะไล่ ๆ กัน หากนายแบบหนุ่มกลับมีเรือนกายใหญ่กำยำมากกว่านัก ไหล่ของชานยอลบอบบาง ร่างกายสูงโปร่งก็จริง แต่อาจเป็นเพราะใบหน้าที่ออกไปทางหวานเหมือนผู้หญิง ที่ทำให้สองคนที่มองอยู่เห็นว่า ชานยอลดูเด็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“คุณดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมนี่นา...” ดูเหมือนเจ้าตัวก็คิดเช่นนั้นอยู่ ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองเรือนผมที่อยู่สูงกว่าระดับสายตา และยกมือขึ้นวัดส่วนสูงของตัวเองกับคนตรงหน้า “แล้วก็... สูงกว่าผมซะอีก ”
“มั่นใจเหรอ?” ชายที่กลายเป็นพี่ในชั่วพริบตาเอ่ย “มั่นใจแล้วเหรอ ว่าผมเป็นพี่ของคุณจริง ๆ ”
“แล้วคุณไม่ใช่เหรอ?” ชานยอลถามกลับ .. หน้าซีดเซียวเอียงเล็กน้อยราวกับเด็กน้อยขี้สงสัย ดวงตากลมโตที่ดูอ่อนเพลียจ้องเขม็งมาที่เขา จนคริสอยากจะหัวเราะออกมา
“ไม่คิดเหรอว่าผมจะมาหลอกคุณ”
“ถ้าคุณบอกว่าใช่...ผมก็จะเชื่อ” หนุ่มอารมณ์ดีพูดอย่างสบาย ๆ
“ชานยอล...”จงอินท้วง แต่ดูเหมือนชานยอลจะไม่ได้ยิน ...หรือไม่ ก็แสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน
คริสลอบมองสีหน้าของผู้จัดการอารมณ์ไม่คงที่ สลับกับมองหน้าเด็กหนุ่มร่างสูง หนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถสบตาเขาได้ในระดับเดียวกันได้ ดวงตาใสแจ๋วแดงก่ำ... สีหน้าซีดเซียวแต่ก็ยังดูเหมือนปกติ หากเขารู้ได้ในทันทีว่าร่างกายนี้คงจะหมดแรงในไม่ช้า
“มันไม่ได้อยู่ที่ว่า... ผมบอกว่าใช่หรือเปล่า มันอยู่ที่คุณต่างหากล่ะ”
“ถ้าผมคิดว่าใช่... คุณก็จะเป็นพี่ผม ใช่ไหม” น้ำเสียงสดใสเอ่ยกลับแทบจะในทันที
“หน้าตาเราไม่เหมือนกัน... ”
ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึก...ก่อนยกฝ่ามือเรียวยาวขึ้นวางบนโครงหน้าอันเด่นชัดของอีกฝ่าย ... ใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่ยาวกว่าเล็กน้อย ดวงตาและคิ้วก็คมกว่าเขา จมูกโด่งโดดเด่น...ดูคมคาย ดึงดูดสายตายิ่งกว่าเขา เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวระต้นคอ ตัดเป็นทรงเดียวกับที่เขาเป็นอยู่ เครื่องหน้าของชายหนุ่มดูไม่เหมือนเขาก็จริง... หากอะไรบางอย่างที่ชานยอลไม่สามารถอธิบายได้ กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังส่องกระจกมองตัวเอง
“ผมรู้ว่าเหมือน... นี่ไง.. เค้าบอกว่าฝาแฝดจะมีสื่อสัมพันธ์กัน... พี่ย้อมสีผมแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ เหมือนผมเลยใช่ไหมล่ะ... ที่สำคัญ ผมกับพี่หน้าตาดีเหมือนกัน ” แม้ท้ายประโยคจะติดตลก ... หากเสียงของชานยอลกลับสั่น ... หยดน้ำที่ไหลออกมาตากลมโตแทบจะในทันที
“อย่าเถียงนะ ... ผมรู้... พี่เป็นแฝดของผมแน่ ๆ ”
ก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว ชานยอลโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น... แขนเรียวยาวสองข้างโอบบนบ่ากว้าง หน้าที่อาบชุ่มด้วยน้ำตาซุกอยู่ใต้เรือนผมของคนสูงกว่า “ขอบคุณ ที่บอกผม... ขอบคุณที่กลับมา ..ผมรอพี่มาตลอดเลย”
คริสไม่ได้เตรียมพร้อมมาเพื่อรับมือกับกอดแน่นหนานี้... ชายหนุ่มยืนนิ่งครู่ใหญ่ กว่าจะรู้ว่าอุ่นไอที่โอบรอบตัวเขานี้คืออะไร
แรงสะอื้นของชานยอลทำให้แผ่นอกกว้างสะท้านไม่เป็นจังหวะ
“ขอโทษ... ที่หาพี่ไม่เจอ ”
คริสไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ยามที่ยกมือขึ้นโอบแผ่นหลังของชานยอลจนแน่น... และกัดฟันแน่น ไม่ให้ความรู้สึกที่ทนเก็บกักเอาไว้เนิ่นนานต้องล้นทะลัก...
ทว่า... อ้อมกอดนี้กลับอุ่นเสียจนอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความฝัน
“อย่าเพิ่งไปไหนนะ...” อี้ฟานกระซิบ.... “อยู่ตรงนี้นะ... อยู่ตรงนี้ ”
ความฝันเลือนราง...ที่เขาพยายามไขว่คว้ามานาน
อุ่นเหลือเกิน...
**************
“พ่อ..”
ภายในห้องที่มีเพียงชายสองคนที่เป็นสายเลือดเดียวกัน จงอินใช้เวลานานพอสมควรกับการต่อสู้กับความเงียบงัน ...และเปิดปากพูดสิ่งที่ต้องการขึ้นมา
“พ่อรักน้าจีเฮขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผู้จัดการหนุ่มมองไปที่รูปหญิงวัยกลางคน หากรอยยิ้มหวานสวย และใบหน้าที่อ่อนเยาว์กลับทำให้เขารู้สึกว่าเธออายุเพิ่มขึ้นจากวันที่เขาเป็นเด็กชายตัวน้อย
ฝ่ามือนุ่มนวล ...และน้ำเสียงอ่อนหวาน บอกให้เขาเล่นกับเด็กชายอีกคนดี ๆ ไม่วิ่งเล่นซุกซน และไม่ทะเลาะกัน
ผู้หญิงที่เป็นยิ่งกว่าน้า ...แต่เหมือนแม่
ผู้หญิงที่อยู่ในสายตาของพ่อมานานจนจงอินคิดไม่ออกว่าพ่อเคยรักใครอีกนอกจากน้าจีเฮ... เพราะแม้แต่แม่ที่เสียไปแล้วของเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ความรู้สึกนั้นไป
“ว่าไงนะ”
“ที่ผ่านมา... พ่อเลี้ยงผมมาให้แทนคน ๆ นี้หรือเปล่า”
“ทำไมแกคิดอย่างนั้น” ทนายคิม จองกุกหันหน้ามองลูกชายที่จับจ้องเพียงรูปของหญิงที่กำลังนอนสงบอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม ความรู้สึกหนักหน่วงกดทับจนรู้สึกแน่นอยู่ในอก เมื่อพบกับสายตาของลูกชายคนเดียวที่เหลียวกลับมา
“เปล่าครับ.. ผมก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
ดวงตาที่มองเผิน ๆ แล้วว่างเปล่า...แต่ลึก ๆ ข้างในนั้นกลับซุกซ่อนความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้จนซ่อนไม่อยู่
“แกก็รู้ว่าพ่อไม่เคยปฏิเสธว่ารักจีเฮ... แต่พ่อก็ไม่เคยรักแกน้อยกว่าใคร” เจ้าของเรือนผมสีเทาประปรายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จนจงอินรู้ตัวในที่สุด
หนุ่มวัยฉกรรจ์กำหมัดแน่น... ก่อนโค้งศีรษะให้กับบิดาและเอ่ยคำขอโทษ
“ขอโทษครับพ่อ... ผมพาลไปหน่อย”
“แกนี่... โตแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่นอยู่ได้”
“ผม... ” จงอินพูดไม่ออก... ไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกมากกว่านั้น
สูญเสีย....
เขากำลังเสียพื้นที่ที่คิดว่าเป็นของตัวเองมาตลอด
พื้นที่ที่เคยเป็นของเขาและไม่เคยแบ่งปันมันให้ใคร
ไม่สิ... มันเป็นแค่ความรู้สึกของเขาเองฝ่ายเดียว เป็นแค่การคิดไปเองว่าเป็นของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่มีตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะพื้นที่ของพี่ชาย....
...
หรือแม้แต่สถานะที่เขาพยายามห้ามใจไม่ให้คิดมาตลอด
ชั่วระยะเวลาที่จงอินมองเห็นชานยอลก้าวผ่านหน้าเขาไปหาใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ... ราวกับว่าเขาได้ขึ้นไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปเมื่อในอดีต ตอนที่กำลังมองสุนัขตัวน้อยที่เขาเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด วิ่งไปหาชานยอลตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า
หางน้อย ๆ ส่ายไปมาอย่างร่าเริงพร้อมกับใบหูที่กระดิกอย่างมีชีวิตชีวาในอ้อมกอดของชานยอล เสียงร้องหงุงหงิงออดอ้อนทำให้คนอุ้มหัวเราะเสียงดัง
ซึ่งต่างจากท่าทางสงบนิ่งตอนที่อยู่กับเขามากเหลือเกิน
หวนคิดไปถึงสายตาของชานยอลที่ดูเหมือนจะจะอ่อนล้า หากร่องรอยสดใสในลูกแก้มสีดำขลับมีชีวิตชีวามากกว่าที่เขาคิดไว้มาก เพียงแค่อีกคนก้าวเข้ามา... ความเสียใจจากการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ชานยอลต้องเผชิญอยู่ก็ค่อยทุเลาลง
ฝ่ามือหนาที่โอบประคองชานยอลไว้ .... อ้อมกอดที่ชานยอลกอดไว้เต็มสองแขน เสียงสะอื้น หรือแม้กระทั่งน้ำตาที่เขาแทบไม่เคยเห็น
“ผมก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้...ว่าทำไมเจ้ามงกูถึงได้ติดชานยอลนัก ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนดูแลมันตลอดแท้ ๆ ”
เจ้าหมาที่เขาดูแลอยู่นั้นไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเจ้าของ... หากเป็นแค่เพื่อนเล่นคลายเหงา และผู้ดูแลที่แสนทุ่มเทเพียงเท่านั้น
จงอินเคยอ่านพบว่า ไม่ใช่เจ้าของหรอกที่เลือกสัตว์เลี้ยง... แต่เป็นสัตว์เลี้ยงต่างหากที่เลือกเจ้าของของมันเอง
“เพราะว่าความจริง... มันได้เจอเจ้าของที่แท้จริงของมันแล้ว”
และเมื่อมันเลือกเจ้าของได้แล้ว...
สัตว์เลี้ยงตัวนั้น...
จะไม่มีวันละสายตาไปจากเจ้าของของมันเลย
“และเจ้าของของมัน...ก็ไม่ใช่ผมซะด้วยสิ”
*************
TBC
ความคิดเห็น