ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Reflection {Krisyeol KaiBaek & etc.}

    ลำดับตอนที่ #2 : [01] SuperStar

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 56


    Superstar

     

     

    ชาวเน็ตขนานนาม “ฝาแฝดของชานยอล” ให้กับ “คริส” นายแบบหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง ในภาพถ่ายแฟชั่นสนามบินครั้งล่าสุด  
     

                    ชาวเน็ตฮือฮาหลังภาพแฟชั่นสนามบินของ “คริส” หนุ่มลูกครึ่งจีน เกาหลี สัญชาติ แคนาดา นายแบบหนุ่มสุดฮอตที่ถูกจับตาจากคนในวงการว่าจะเป็นอนาคตซุปเปอร์สตาร์คนต่อไป ได้ถูกเปิดเผยจากแฟนคลับ และถูกโพสต์เปรียบเทียบกับ ปาร์ค ชานยอล  ศิลปินและนักแสดงชื่อดัง ดาวดวงใหม่แห่งวงการที่ได้รับการขนานนามว่า “ความสุขของคนทั้งประเทศ” หรือรู้จักกันในนามเจ้าชายแห่งรอยยิ้ม
     

    ภาพดังกล่าวแสดงถึงความเหมือนกันราวกับฝาแฝดของคนทั้งสอง ด้วยรูปร่างหน้าตา ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูงที่ใกล้เคียงกัน ผมสีบลอนด์ทอง รวมไปถึงสเวตเตอร์แบบเดียวกัน  และภาพที่อยู่ในมุมเดียวกัน  ส่งผลให้ชาวเน็ตต่างแสดงความเห็นเกี่ยวกับภาพดังกล่าวว่า “เหมือนฝาแฝดเลย”  บ้างกล่าว “ถ้ายืนคู่กันต้องคิดว่าเป็นฝาแฝดแน่ ๆ ”  “อยากให้สองคนนี้ร่วมงานกันจังเลย”  แสดงให้เห็นถึงความชื่นชมและสนใจในตัวนายแบบหนุ่ม  แต่ชาวเน็ตบางคนกลับแสดงความเห็นว่า “นี่มันตั้งใจเลียนแบบชัด ๆ ” “อย่ามาเลียนแบบ Happy Virus ของพวกเรานะ

     

                    .

                    .

                    “เว้ย! ไม่เห็นจะเหมือนเลย!!!  พี่ชานยอลหล่อกว่าตั้งเยอะ  ชิ  ข่าวบ้าบอพวกนี้   หมอนี่มันเลียนแบบสไตล์พี่ชานยอลแท้ ๆ ยังมาชื่นชมอีก ”

                    พยอน แพคฮยอนแยกเขี้ยวใส่หน้าจอแท็บเล็ตของตนก่อนยัดมันลงในเป้ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง  ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะอารมณ์ดีและมีความสุขทั้งวัน ให้สมกับเป็นวันของคนที่เขารักที่สุด

                    ใช่แล้ว...

                     แพคฮยอนกอดดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ในอก ก่อนก้มหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มลงบนดอกไม้สีสวยพิจารณากลีบอ่อนบางที่เขาทะนุถนอมเป็นอย่างดี  แขนบอบบางประคองช่อดอกไม้ พร้อมกับปลายนิ้วเรียวสวยที่เกี่ยวถุงใส่คุกกี้ธัญพืชครบคุณค่าทางโภชนาการที่เขาทำเองกับมือ  เครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อโปรดของพี่ชานยอล   และซองจดหมายที่ติดหน้าซองด้วยแสตมป์รูปรอยยิ้ม สัญลักษณ์ของคนที่เขาเฝ้ารอ

                    โชคร้ายที่วันนี้แพคฮยอนติดสอบวิชาสำคัญ  เขาเลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมแสดงพลังของคนรักพี่ชานยอลในเวทีประกาศรางวัลประจำปีนี้    แพคฮยอนใช้เวลาในการทำใจหลังทราบตารางสอบอยู่เป็นเดือนกว่าจะทำใจได้ว่าคงไม่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Happy Syndrome ซึ่งเป็นชื่อแฟนคลับชานยอลที่ไปรวมตัวกันส่งเสียงเชียร์ศิลปินที่เขารัก โบกแท่งไฟพร้อมกับลูกโป่งยิ้มในงานนี้  งานที่แพคฮยอนเชื่อว่าพี่ชานยอลของเขาจะเด่นที่สุดในงาน

                    หนึ่งปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีของชานยอลอย่างแท้จริง หลังจากที่ผันตัวเองจากนักร้องเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ชานยอลก็ได้ก้าวเข้าสู่การแสดงอย่างเต็มตัว  แม้ผลงานเรื่องแรกจะไม่ได้รับบทนำ  แต่บทรองที่ชายหนุ่มได้รับก็ทำให้ทุกคนในประเทศรู้จัก ปาร์ค ชานยอลชั่วข้ามคืนในฉากเปิดตัว   เพราะไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์กินขาดแม้กระทั่งพระเอกยังสู้ไม่ได้  การแสดงที่เยี่ยมยอด รวมไปถึงรอยยิ้มกินใจ ยิ้มที่มาจากหัวใจ ล้วนแต่ทำให้ทุกคนในประเทศอยากรู้จักพี่ชานยอลทั้งสิ้น 

    จากตอนแรกที่มีเพียงแฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่ติดตามมาตั้งแต่พี่ชานยอลเริ่มเข้าวงการ  ปัจจุบัน ชื่อเสียงของพี่ชานยอลของเขาอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ  ทุกคนในประเทศเกาหลีต่างรู้จักชานยอลกันในนาม เจ้าชายแห่งรอยยิ้ม  เจ้าชายแห่งความสุข หรือ Happy Virus ของแพคฮยอน

                    ไวรัสที่นำความสุขมาให้กับทุกคนที่เห็น   

    นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาชอบชานยอล  นอกจากรูปร่างสมส่วนจนกลายเป็นนายแบบที่วงการซุปเปอร์โมเดลต้องการตัวที่สุดแห่งปีแล้ว  หน้าตาของชานยอลยังเกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบไปไกลโข  ไม่ว่าจะเป็นหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตและแววตาสดใสร่าเริงที่ทำให้ทุกคนที่มองต้องเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว  จมูกโด่งสวยกลมกลึง ริมฝีปากสีชมพูสวยแบบไม่ต้องพึ่งลิปสติก ผิวขาวเนียนเหมือนน้ำนม ไม่ซีดมากจนเกินไป  เป็นใบหน้าที่เหมาะกับทุกทรงผม และที่สำคัญคือทั้งใบหน้าของชานยอลนั้นไม่ได้ถูกเสริมแต่งด้วยมีดหมอเลยแม้แต่น้อย  

    ยิ่งไปกว่านั้น... ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่ทำให้เขาหลงรักพี่ชานยอล...  แต่เพราะนิสัย และความน่ารัก โดยเฉพาะกับแฟนคลับที่ทำให้เขาหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น

    หลายเดือนที่แล้วเขาต้องห่างหายไปจากการติดตามพี่ชานยอล เพราะมีสอบปฏิบัติวิชาสำคัญ  กว่าจะหลุดพ้นจากวังวนที่แสนทรมานนั้นได้ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน  แต่การไม่ได้เจอก็ยิ่งทำให้เขาแทบจะขาดใจและอ่านหนังสือสอบไม่รู้เรื่อง   แพคฮยอนจึงตัดสินใจทิ้งการทบทวนบทเรียนหนึ่งวัน และไปยืนรอพี่ชานยอลหน้าบริษัทเหมือนเคย   ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่าที่เขาเลือกไปยืนรออยู่ห่างจากแฟนคลับกลุ่มอื่น ... และพบว่าศิลปินที่เขารักใช้วิธีหลอกล่อแฟนคลับเพื่อเข้าบริษัทในประตูอื่นพอดี

    สาบานว่าแพคฮยอนไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย...  เขาเหนื่อยที่จะไปยืนเบียดกับสาว ๆ พวกนั้น  และเพียงต้องการเสี่ยงดวงดู  แต่ไม่คิดว่าทุกอย่างจะบังเอิญขนาดนี้

    พี่ชานยอลสวมแว่นดำ  ใส่เสื้อยืดสีเทาลายจุด  และกางเกงยีนส์ตัวเก่งที่ชอบใส่บ่อย ๆ ผมสีบลอนด์ทองสลวยไม่ได้ดัดลอนเหมือนที่ชอบทำ ริมฝีปากสีชมพูสดตัดกับผิวสีน้ำนม เป็นลุคที่แพคฮยอนไม่ค่อยได้พบ และทำให้เขาช็อคไปในทันทีที่เห็น   

    หล่อ... ออร่าวิ๊งค์ ๆ  มาดแมน   และเท่ที่สุดในโลก

                    พื้นที่ว่างเปล่านั้นไม่มีใครเลยนอกจากเขา  แต่โชคร้ายที่วันนั้นเขาไม่ได้พกอะไรติดตัวไปเลย เมื่อไม่มีทั้งกล้องและของขวัญ  แพคฮยอนจึงตัดสินใจยืนมองพี่ชานยอลก้าวฉับ ๆ เคียงข้างกับผู้จัดการหน้าโหดที่ชาว Happy syndrome  ทุกคนกลัว   ความตกใจกับลุคใหม่ของพี่ชานยอลทำให้เขายืนนิ่งแทบเป็นใบ้ และมองคนร่างสูงทั้งสองผ่านไปโดยไม่ได้ทักทายหรือแสดงอาการตื่นเต้นดีใจ  แพคฮยอนต้องขอบคุณตัวเองที่นิ่งเสียจนเป็นเป้าให้พี่ชานยอลมองเห็น  และหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเขา 

                    ศิลปินที่รักของเขาไม่มีแม้แต่ความลังเลหรือเกรงใจแรงกระตุกจากผู้จัดการมาดเข้ม  ร่างสูงใหญ่ยืนสง่าผ่าเผยเบื้องหน้าของแพคฮยอน  เสียงทุ้มต่ำกระซิบถาม ด้วยรอยยิ้มสดใสแบบที่เขาเคยมองอยู่ไกล ๆ ... แต่คราวนี้มาอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ

                เรา...ชื่อแพคฮยอนใช่ไหม...

                    ‘คะ...ครับ’  เขาจำได้ถึงร่างที่แข็งทื่อของตัวเอง ....ริมฝีปากของเขาสั่นระริกจนแทบไม่มีเสียงออกมา

    ตลอดระยะเวลาที่ติดตามเป็นแฟนคลับของพี่ชานยอล เขาส่งจดหมายไปให้ชายหนุ่มแทบนับไม่ถ้วน แม้จะยื่นให้เองกับมือบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายอ่านมัน ... หรือแม้แต่จำได้ว่าเขาชื่ออะไร

                แต่พี่ชานยอลจำได้....จำหน้าตาของเขา  หรือแม้กระทั่งเนื้อหาที่เขาเขียนลงไปได้

                    ‘ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะ ... แล้วเจอกัน   พยอนแพค

    “ชานยอลฮยอง”

                    แค่คิดถึงตรงนี้ แพคฮยอนก็ต้องปิดปากตัวเอง พร้อมสะกดใจและสูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองสติแตก  พี่ชานยอลของเขามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจจนทำให้เขาต้องควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ให้เต้นแรงทุกครั้งที่คิดถึง

                    ถึงแม้จะดูประหลาดอยู่ไม่น้อยที่ผู้ชายคนหนึ่งจะชื่นชอบศิลปินที่เป็นผู้ชาย  แต่แพคฮยอนรัก และภูมิใจในตัวพี่ชานยอลเกินกว่าจะเขินอายทุกครั้งที่เขาบอกใคร ๆ ว่า

     เขาเป็น “แฟนบอย” ของพี่ชานยอล!!!

    “ผมรักพี่ครับ...”

     เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงใส ก่อนกุมหน้าเขิน และคว้าสมาร์ทโฟนขนาดพอดีมือขึ้นมาติดตามข่าวสารอีกครั้ง   เขาตัดสินใจที่จะรอฟังผลทีเดียวหลังงานจบ  จะได้ไม่ต้องตกใจหลายครั้ง นิ้วเรียวสวยเลื่อนไปมาบนหน้าจอไม่กี่ครั้ง  ตาเล็กรีก็ต้องเบิกกว้าง พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

    ผลประกาศรางวัล...

     “เจ้าชายแห่งรอยยิ้ม ปาร์ค ชานยอล ดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการแสดงกวาดรางวัล นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม  ขวัญใจชาวอินเทอร์เน็ต   ดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามากที่สุด  และ.... นักแสดงสมทบยอดเยี่ยมแห่งปี

    ริมฝีปากเขาสั่น ขณะอ่านข่าวที่ถูกเขียนบนเว็บสำนักข่าวที่เชื่อถือได้  และระเบิดเสียงของความดีใจดังลั่น

    “เย้ พี่ชานยอล... พี่ชานยอลเก่งที่สุด!!

    .

    .

    “ชานยอลอปป้า!!

    แพคฮยอนสะดุ้งสุดตัว ...เสียงกรีดร้องแว่วจากที่ไหนซักแห่งทำให้เขาผุดลุกขึ้นพร้อมกับเก็บอุปกรณ์สื่อสารในทันที  มือทั้งสองกระชับช่อดอกไม้และของขวัญในมือ สัญชาตญาณของแฟนคลับทำงานอย่างรวดเร็ว พอ ๆ กับสัญชาตญาณของตัวเอง แพคฮยอนหันซ้ายหันขวา  ตรงหน้าเขาเป็นที่จอดรถก็จริง  แต่ศิลปินส่วนใหญ่มักไม่ขึ้นรถกันแถวนี้   แพคฮยอนยืนอยู่ห่างจากแฟนคลับกลุ่มใหญ่พอสมควร   แต่อยู่ ๆ การเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างก็ทำให้เขาต้องขยับตัวและพุ่งตรงไปหลบอยู่ที่รถสีดำคันเล็ก 

    ทว่า เสียงกระซิบกระซาบกลับทำให้แพคฮยอนก้าวออกมาราวกับโดนสะกดจิต  เสียงทุ้มต่ำกำลังออดอ้อนคนข้างกายพร้อมเขย่าท่อนแขนแข็งแรงไปด้วย

    “จงอินน่า... สักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ ”

    “ไม่ได้!!! ... ”  หน้าคมหันไปตวาดพร้อมแกะมือศิลปินในความดูแลออกอย่างไม่ไยดี 

    “แต่พวกเค้ามารอตั้งนานนะ”

    “ห่วงตัวเองบ้างได้ไหม  งานคราวก่อนถูกข่วนจนเลือดซิบแล้วยังไม่เข็ดอีกเหรอปาร์ค ชานยอล!!

    “หึ....อ๊ะ ... เย้!

    เด็กหนุ่มร่างบอบบางยืนตัวแข็งอีกครั้ง เมื่อร่างสูงใหญ่หันมาสบตากับเขา    ตาสองคู่ประสานกันชั่ววินาที ก่อนที่รอยยิ้มสดใสร่าเริงจะแย้มออก พร้อม ๆ กับขายาวที่วิ่งตรงมาที่เขาแทบจะในทันที จนผู้จัดการหน้าโหดที่อยู่ข้าง ๆ สบถแรง

    “ชานยอล!!  นายนี่มัน”

     “เห็นไหมจงอินนายสับขาหลอกไม่สำเร็จหรอก  นี่น่ะแฟนพันธุ์แท้ของฉันเลย ”

    “ขึ้นรถเดี๋ยวนี้  ชานยอล!

     “แบร่ ..” ชานยอลลอยหน้าลอยตา และแลบลิ้นให้คนเสียงดุอย่างกวน ๆ  ก่อนหันกลับมาก้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อยิ้มกว้าง ๆ ให้กับคนตัวเล็กกว่า ... ขณะที่แววตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับจนแพคฮยอนรู้สึกแสบตา  ร่างสูงอยู่ในชุดสูทเรียบหรูดูดีกว่าที่เคยดูดีอยู่แล้วประมาณหนึ่งร้อยเท่า เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับคนตรงหน้าเป็นเทวดาที่มาปรากฏตัวเพราะการอธิษฐานของเขา

      “รู้ได้ไงเนี่ยว่าผมออกทางนี้ ” น้ำเสียงตื่นเต้นดังขึ้น ริมฝีปากสีชมพูสวยแย้มขึ้นอวดฟันสีน้ำนมขาวเรียงเป็นระเบียบ  ทุกอย่างสว่างสดใสราวกับแพคฮยอนกำลังยืนรับพระอาทิตย์ในยามเช้า ทั้ง ๆ ที่รอบกายนั้นมืดสลัว

    “คะคะ...คือ”  แพคฮยอนก้มหน้าก้มตามองปลายเท้าตัวเองพูดตะกุกตะกัก รู้สึกชาตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงหน้า   แต่ดอกไม้ที่ทิ่มจมูกก็ทำให้เขานึกขึ้นมาได้  คนตัวเล็กยืดตัวสูง และยื่นออกไปให้คนตรงหน้าพร้อมเสียงดังฟังชัด “เดาครับ  แล้วก็...นะ...นะนี่ครับ...  ยินดีด้วยนะครับพี่ชานยอล

                    เจ้าของร่างสูงใหญ่เบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย  ... และยกนิ้วโป้งให้ร่างบอบบางอย่างจริงใจ

    “แทบัก!!!

    “ขึ้นรถเดี๋ยวนี้!!! ปาร์คชานยอล”

    ทันทีที่ชานยอลยื่นมือมารับของทั้งหมดไป  หนุ่มร่างใหญ่กำยำก็คว้าแขนยาวลากไปยังรถส่วนตัวอย่างรวดเร็ว   แม้ว่าชานยอลจะยังฝืนตัวไม่ยอมตามไปก็ตาม แต่ร่างกายที่แข็งแรงกว่าก็ทำให้ศิลปินที่แสนร่าเริงของแพคฮยอนถูกพาไปขึ้นรถได้ในที่สุด  ถึงกระนั้นมือขององค์ชายแห่งรอยยิ้มของเขาก็ยังคงโบกไปมาอย่างบ้าคลั่งหลังประตูรถที่ไคดันไว้ไม่ให้เปิดออก และตวาดห้ามปรามกิริยาของศิลปินในความดูแลพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึง  

    แพคฮยอนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก   กระทั่งเจ้าของใบหน้าคมคร้ามและผิวสีแทนเข้มก้าวฉับ ๆ มาหยุดตรงหน้าเขา พร้อมกับน้ำเสียงคาดโทษ

    “เธอก็ด้วย อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอสะกดรอยตามชานยอลมา  คิดว่าทำหน้าซื่อตาใสแล้วชานยอลจะใจอ่อนไม่เอาเรื่องอะไรใช่ไหม”

    “เอ๊ะ?

    “จำไว้ ...ถ้าคราวหน้าทำให้ชานยอลเดือดร้อนอีกฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่  เจ้าตัวแสบ”

    เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง... ยืนมองคนที่ใส่ร้ายเขาขึ้นรถไปด้วยความงุนงง   เป็นที่ขึ้นชื่อในหมู่แฟนคลับว่าผู้จัดการของพี่ชานยอลโหดและดุมาก ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา คำพูด รวมไปถึงการใช้กำลัง  ฝ่ามือแข็งแกร่งไม่เคยลังเลที่จะปัดป้องคนที่เข้ามาใกล้พี่ชานยอลของเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี  

    “ไอ้เมเนหน้าโหด!!!  แพคกำมือแน่น  กัดปากตัวเองและกระทืบเท้าเพื่อระบายอารมณ์ ถ้าไม่ติดว่าพี่ชานยอลอยู่ในรถนั้นด้วย เขาคงจะตะโกนด่าหมอนั่นให้เสียหมาเลยแน่ ๆ   

    รถเคลื่อนผ่านเขาไปอย่างช้า ๆ ... แพคฮยอนตั้งใจเงยหน้ามองคนที่รักแม้เพียงแวบเดียวก็ยังดี   แต่คนในรถกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะกระจกใสถูกเลื่อนลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับใบหน้าแป้นแล้นที่ยื่นออกมานอกรถและเสียงร่าเริง

    “พรุ่งนี้เจอกันนะ  พยอนแพค ... ”

    “ชานยอล!!!”  

    ชานยอลส่งท้ายเสียงตวาดของจงอินด้วยรอยยิ้มหวาน และมือที่โบกไปมา  แพคฮยอนอึ้ง และใช้เวลานานพอดูกว่าที่จะรู้ตัวว่าควรทำอะไร   แต่นั่นก็ทำให้รถสีดำเคลื่อนหายไปจากสายตาแล้ว

    พี่ชานยอล...

     “คะคะคะ คร้าบบ”  แพคฮยอนตะโกนสุดเสียง  แม้จะรู้ว่าคนที่อยากให้ฟังไม่ได้ยินก็ตามที

                    พยอนแพค....  อีกครั้ง

    ยิ่งกว่าฝัน...ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

    พี่ชานยอลจำเขาได้จริง ๆ 

                พี่ชานยอลของเขาน่ารักที่สุดในโลก

     

     

    ***************

     

                    “มากเกินไปแล้วนะ”

                    คิม จงอินกระแทกเสียงบอกคนที่กำลังสาละวนกับการขยับเบาะให้เหมาะกับขายาว ๆ ของตน    ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มหน้าบาน

                    “ช่าย... วันนี้ได้รางวัลตั้งเยอะเลย  ถ้าแบกกลับต้องลำบากแน่  ดีนะที่ท่านประธานช่วยขนถ้วยรางวัลกลับ”  ดาวรุ่งในค่ำคืนนี้เอ่ยหน้าตาเฉย จนจงอินต้องหันไปพร้อมกับแววตาดุดัน

                    “นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

                    “อ้าวเหรอ... ว้า  ก็นึกว่าคุยเรื่องเดียวกัน ”  ชานยอลบอกยิ้ม ๆ ก่อนทำท่าบิดขี้เกียจ  “นายน่ะซีเรียสเกินไป  แฟนคลับเค้าก็ต้องอยากอยู่ใกล้ศิลปินเป็นเรื่องธรรมดา  เห็นใจเค้าบ้างสิ”

                    จงอินอยากจะหัวเราะให้กับคนที่พูดราวกับตัวเองเป็นแฟนคลับเสียเอง   ชายหนุ่มถอนหายใจแรง  และบอกด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

                    “แล้วไอ้รอยแผลทั้งหลายแหล่บนตัวนายนั่นมันเกิดมาจากอะไรล่ะ  ไม่ใช่พวกแฟนคลับบ้าคลั่งพวกนั้นที่มาหยิกข่วนนายเหรอชานยอล...  ”

                    “ก็นาน ๆ ครั้ง  คุณลู่หานยังไม่ว่าเลย  ท่านบอกว่าดีเสียอีก ร่างกายมีแผลบ้างจะได้ดูเซ็กซี่สมชายชาตรี”

                    ชานยอลอมยิ้มเมื่อเอาคำของเสี่ยว ลู่หาน หรือที่พวกเขาถูกบังคับให้เรียกว่าคิม ลู่หาน หนุ่มชาวจีนที่ย้ายมาอยู่ประเทศเกาหลีเป็นการถาวรมาอ้าง  แม้จะรู้ดีว่าจงอินนั้นไม่ค่อยอยากจะฟังประธานหนุ่มคนเก่งที่หน้าเด็กเสียจนหลายคนคิดว่าเด็กม.ปลาย แต่แท้จริงแล้วอายุเกือบ ๆ สามสิบเท่าไหร่ก็ตามที

                คนแบบนั้นทำให้บริษัทนี้อยู่มาได้ยังไงกันนะ ...   

                    จงอินบ่นอุบเสมอทุกครั้งที่ได้รับคำสั่งจากคนหน้าเด็ก ที่มักบอกเสมอว่า ไม่ต้องคิดมากน่า สบาย ๆ เข้าไว้  

    ชานยอลเองก็เคยสงสัยเช่นเดียวกับจงอินว่าชายคนนั้นบริหารงานมาอย่างไร  บริษัทต้นสังกัดของเขาจึงกลายเป็นต้นสังกัดศิลปินที่มีผลกำไรสูงสุดต่อเนื่องกันมากเกินกว่าสามปีแล้ว  ทั้ง ๆ ที่เจ้าของนั้นติดนิสัยรักสบาย ไม่ค่อยสนใจแข่งขันทางธุรกิจ หรือผลกำไรมากเท่าไหร่ 

    “นายยังจะเชื่อผู้ชายที่เอาแต่พูดจาภาษาดอกไม้ วัน ๆ วิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นตลอดเวลานั่นอยู่เหรอ ” จงอินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “แต่นายต้องระวังนะ เดี๋ยวนี้ซาแซงแฟนน่ากลัวจะตาย  อุบัติเหตุเมื่อเช้านั่นก็...”

    “จงอิน!”  ชานยอลขัด  เอามือปิดหูและทำหน้ามุ่ย  “เลิกบ่นซะทีเหอะ   อุบัติเหตุทางรถยนต์มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ... ไม่เกี่ยวกับแฟนคลับของฉันหรอกน่า”

    “จะต้องให้ฉันลงไปชี้เลยไหมว่าแฟนคลับคนไหนที่แอบตามเฝ้านายอยู่หน้าบ้านจนถึงในโรงพยาบาล  แล้วคนที่อยู่ในรถคันที่เบียดรถพวกเราจนเกือบเป็นศพกันทั้งคันนั่นเป็นใคร   นายจะได้ตาสว่างซักทีว่าแฟนคลับนายเป็นคนดีใสซื่อมีเจตนาบริสุทธิ์เหมือนนายไปทุกคน”

      จงอินพูดแบบโกรธ ๆ  อุบัติเหตุเมื่อเช้าทำให้เขาโกรธจนแทบอยากฆ่าคน  อยู่ ๆ แท็กซี่คันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตีคู่รถของเขาด้วยความเร็วสูง  มิหนำซ้ำภายในรถคันนั้นยังมีใครสักคนยกกล้องถ่ายพวกเขาอย่างจงใจ 

    ผู้ชายตัวเล็ก ... ผมสั้น  หน้าตาเหมือนเด็กมัธยม 

    เนื่องจากพยายามบังคับรถเต็มที่ ผู้จัดการหนุ่มจึงสังเกตได้เพียงเท่านี้  และหลังจากนั้นไม่นาน จงอินก็ไม่สามารถควบคุมพวงมาลัยได้ จนต้องปล่อยให้รถเสยฟุตบาธ  ก่อนที่แท็กซี่เจ้าปัญหาจะขับหนีไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่เขาไม่ทันแม้แต่จะดูเลขทะเบียน

    โชคดีที่เข็มขัดนิรภัยทำงานได้อย่างดี  และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ  ที่สำคัญไม่มีตำรวจหรือแม้แต่แฟนคลับคนใดที่อยู่ในเหตุการณ์   ส่วนชานยอลผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองคือไม่ต้องการให้พื้นที่ข่าวมีแต่เรื่องส่วนตัวมากไปกว่าผลงาน ไม่อยากให้สื่อ  หรือแม้แต่ลู่หานเองก็ตามรู้เรื่องนี้  ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์จึงไม่มีพาดหัวถึงอุบัติเหตุดังกล่าว

    “นายก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป  ตอนนี้ฉันก็ไม่เป็นอะไรซักหน่อย  ”

    “แล้วถ้ามันเป็นขึ้นมาล่ะ”

    “ก็คงเพราะฉันดวงซวยเองล่ะมั้ง  เงียบเหอะน่าจงอิน  เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว  ฉันไม่อยากอารมณ์เสียตอนไปเจอคุณแม่หรอกนะ ... ”

    “หึ... Happy Virus อารมณ์เสียเป็นด้วยเหรอ” จงอินเลิกคิ้ว และถามพลางกลั้นหัวเราะ

    “เป็นเพราะนายนั่นแหละ กัมจง”  ชานยอลเรียกอีกฝ่ายด้วยฉายาที่ใช้เรียกกันมานานปี  และย่นจมูกให้กับคนขับ

    “ขอบใจที่ทำให้รู้ ”  ไคเคาะนิ้วกับพวงมาลัย ก่อนขยับไปหมุนโวลลุ่มเปิดเพลงเบา ๆ ที่ชานยอลชอบฟังตอนนั่งรถให้อย่างรู้ใจ    “หลับก่อนก็ได้นะ  ถึงแล้วจะเรียก”

    “ป่านนี้คุณแม่จะหลับหรือยังน้า ... ” ชานยอลเปรย  ก่อนหลับตาลงตามที่ผู้จัดการสุดโหดของแฟนคลับเขาเสนอ   เจ้าของร่างสูงโปร่งหดขาตัวเองขึ้นมาอยู่บนเบาะ และขดตัวราวกับเด็กน้อย 

    “คงนั่งดูข่าวตอนนายได้รางวัลแล้วอวดคุณพยาบาลอยู่ล่ะมั้ง”

                    “ฮ่า ๆ  นั่นสินะ ...แต่คุณแม่ต้องงอนแน่ที่ไม่ได้เอาถ้วยรางวัลไปให้ดู  เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปหาคุณลู่หานแต่เช้าแล้วไปโรงพยาบาลกันเนอะ  พรุ่งนี้นายต้องตื่นเช้า ๆ  แล้วมารับฉันด้วยนะ ... เอ๊ะ หรือจะไปค้างบ้านนายดี”

                    “ตามสบายเถอะคร้าบ”  จงอินตามใจ  ก่อนตวัดเสื้อคลุมตัวใหญ่ใกล้มือไปคลุมอีกฝ่าย เพื่อไม่ให้ฝูงชนที่ยืนห้อมล้อมอยู่ข้างนอกทางออกเห็น   ผู้จัดการหนุ่มเคลื่อนรถออกมาอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต   เพราะบางครั้งจะมีแฟนคลับบางกลุ่มหรือบางคนที่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองเอาเสียเลยมาขวางรถ  แม้กระทั่งเข้ามาเคาะกระจกรถเพื่อเรียกศิลปินโดยไม่สนใจมารยาท หรือแม้แต่ความปลอดภัยของตนเอง      

                    “นี่”

    ชานยอลหันมองเจ้าของผิวสีเข้ม  และดึงเสื้อขึ้นมาจนถึงจมูก ... เหลือเพียงดวงตากลมโตใสแจ๋วที่จับจ้องไปยังสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด

    “หือ”

    “ฉันว่า การมีตัวตนอยู่ในชีวิตใครสักคนมันเป็นเรื่องดีนะ ... โดยเฉพาะคนที่รักเราแบบไม่มีข้อแม้น่ะ นายไม่คิดว่างั้นเหรอ....ไค”

                    เจ้าของชื่อหันขวับไปยังต้นเสียง  ดวงตายิ้มได้มองมาที่เขา

                    “บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกชื่อนี้”

                    “ทำไม มีปัญหาเหรอครับเมเนเจอร์อปป้า” ชานยอลหัวเราะสดใส ล้อเลียนด้วยน้ำเสียงคล้ายกับที่แฟนคลับสาว ๆ ของเขามักเรียกอีกฝ่ายเสมอ  “แล้วระหว่างแฟนคลับกับแอนตี้แฟนนายเลือกอย่างไหนล่ะ”

                    “นายก็มองโลกในแง่ดีอยู่เรื่อย ... “

                    “มองโลกในแง่ดี จะได้เห็นแต่อะไรดี ๆ ไง... นายมองโลกในแง่ร้าย เห็นแต่อะไรร้าย ๆ ก็เลยไม่มีความสุขซะที ” ชานยอลอธิบาย

                    “มีความสุขเกินไปก็ไม่ดีนะ ...” จงอินแย้งพร้อมกับส่ายหน้า “ถ้าวันนึง นายต้องเจอความทุกข์...นายจะรับมือกับมันลำบาก”

                    ดาราดาวรุ่งเลิกคิ้ว ... ฝ่ามือหนาดึงเสื้อคลุมลงมาคลุมแค่คอ 

                    “แย่จัง... ไหนทุกคนบอกว่าฉันเป็นแฮปปี้ไวรัสยังไงล่ะ ... ทำไมกับนายฉันถึงทำให้ยิ้มไม่ได้ซะทีนะ ” เจ้าตัวบ่นอุบ 

                    “พยายามต่อไปนะ Happy Virus

                    ชานยอลฟังแล้วอมลมจนแก้มป่อง ... ก่อนเอ่ย

                    “แม่ฉันบอกว่า  ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของฉันแล้วไม่หลงรักหรอก ... นายว่าจริงไหม”

                    จงอินเลิกคิ้ว ...  พลางนึกถึงน้ำเสียงเย็น ๆ และสายตาอ่อนหวานของหญิงวัยกลางคนท่าทางอ่อนแอและน่าทะนุถนอมที่เฝ้าบอกให้ลูกชายคิดแต่แง่ดี   ทุกสิ่งบนโลกในสายตาของชานยอลจึงล้วนแล้วแต่สวยงามและน่าสนใจทั้งสิ้น แต่นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชานยอลกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีไปพร้อม ๆ กับความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างรุนแรงด้วย...  

    พูดกันตรง ๆ ก็คือคนหลงตัวเองนั่นเอง   

                    “จริงมั้ง..” จงอินแค่นหัวเราะ...

                    “แล้วแม่ก็บอกว่า ใครที่ได้หลงรักฉันนะ ไม่มีใครหรอกที่จะไม่มีความสุข  นายว่าจริงไหม?

                    “อือ... น่าจะจริง” คนเป็นผู้จัดการตอบส่ง ๆ  อย่างไม่ใส่ใจนัก  ก่อนที่จะแตะเบรกจนแทบหัวทิ่มไปทั้งสองคนเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของคนข้างกาย 

                    “ถ้างั้น... นายมาหลงรักฉันเอาไหม”

                “ปาร์ค ชานยอล!!!!

                    “ดูนายทำหน้าสิ ฮ่าๆๆๆ” ชานยอลหัวเราะลั่น  “นายจะได้มีความสุขไง อุตส่าห์หวังดี“

                    “สนุกมากหรือไง ” จงอินถามด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน

     ดาราดาวรุ่งตีขาตัวเองและระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่ห่วงภาพพจน์ตัวเอง       

                    “สนุกสิ  ...ตลกดีจังเลย จงอินอปป้า”

                    จงอินนึกอยากจะโกรธคนที่ชอบล้อเลียนเขานัก ... แต่สุดท้ายก็โกรธไม่ลงเมื่อเห็นตาคู่ใสที่เต็มไปด้วยประกายวาววับ ไร้เดียงสาของอีกฝ่าย 

                    “แต่ช้าแต่จงอินอปป้า... อย่าโกรธน้า”

                    “พักผ่อนซะ... ถึงโรงพยาบาลแล้วจะบอก”

                    “คร้าบ”  ดาราหนุ่มยิ้มกว้างสดใสให้เขาอีกครั้ง และทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้ที่ปรับให้เอนลงโดยไม่เกี่ยงงอน  เวลาพักผ่อนของชานยอลมีค่ามาก  แม้จะห้านาทีหรือสิบนาทีบนรถเขาก็จำเป็นต้องใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่งานจะเลิกและได้พักจริง ๆ

                    .......

                    เสียงครางของแอร์ดังแผ่วเบาพอ ๆ กับเสียงลมหายใจของชานยอล

                    สายตาดุดันในดวงตาคมอ่อนลง เมื่อเหลือบมองไปยังคนที่หลับตาปี๋แต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มละไมอยู่บนใบหน้า  

                    จงอินรู้สึกอยากขอบคุณคุณแม่ของชานยอลที่ได้ให้กำเนิดคนที่นอนขดอยู่ข้าง ๆ  และเลี้ยงมาด้วยความรัก จนกระทั่งชานยอลกลายมาเป็น Happy Virus ผู้ที่ส่งความสุขให้กับทุก ๆ คนที่เห็นจนถึงตอนนี้

                    หญิงวัยกลางคนพูดถูก

    รอยยิ้มของชานยอลทำให้ทุกคนหลงรัก  และคนที่หลงรักชานยอลก็ไม่มีใครที่จะไม่มีความสุข

    “คิดถึงเตียงนอนจังเลยเนอะ... ” เสียงทุ้มต่ำบ่นงึมงำ  จนจงอินส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนใจกับพฤติกรรมราวกับเด็กสามขวบ

                    “คืนนี้นอนบ้านฉันก็ได้”

                    “แทบัก!”  เด็กสามขวบร่างยักษ์ร้องอย่างดีใจ .. และหลับตาพริ้มภายใต้เสื้อคลุมตัวโต

                   

                    ปล่อยให้จงอินมองภาพนั้นด้วยสายตาที่ทอประกายลึกซึ้ง

     

                    แล้วใครบอกล่ะ...ว่าอยู่กับนายแล้วฉันไม่มีความสุข

                    ชานยอล

     

     

    *************

     

     

    ชานยอลรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในโลกที่มีเพียงแค่สีขาวและปุยนุ่น   ปลายเท้าของเขาแตะลงบนพื้นที่อ่อนนุ่ม    พร้อม ๆ  กับรอยยิ้มของสตรีคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาในสายตา    

    แม่ครับ...

    ชานยอลขยับตัว  และรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้  เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้  และมองมารดาที่เอนหลังบนเตียง พร้อมกับยิ้มบาง   ฝ่ามือหนาโอบรอบนิ้วเรียวสวยบอบบางของหญิงวัยกลาง  ก่อนเอียงหน้าซบกับฝ่ามือขาวสะอาดนุ่มนิ่มนั้นเหมือนเคย

     “ไหนยิ้มให้แม่ดูอีกทีซิ”

                    “ผมก็ยิ้มให้แม่ดูทุกวันอยู่แล้วนี่ฮะ” เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาคำถาม

                    “ก็แม่อยากเห็นอีกนี่นา ...”น้ำเสียงเย็น ๆ เอ่ยช้า  แม้จะแหบพร่า หากชัดเจนและทำให้ชานยอลหัวเราะเบา ก่อนยิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันทุกซี่

                    แม่อยากให้ชานยอลยิ้ม อยากเห็นชานยอลมีความสุขไปทุกวัน”

                    “แค่อยู่กับแม่ ผมก็มีความสุขแล้วฮะ  ...”

                    “ชานยอล..”

                    “ฮะ”

    "ยิ้มเข้าไว้นะชานยอล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกต้องเข้มเข็งและยิ้มเข้าไว้

                    ยิ้มของเขาคลายลงเล็กน้อย   ... ดวงตาคู่สวยของมารดาทอดมองประสานกับเขาลึกซึ้ง    ชานยอลลุกขึ้นโผเข้ากอดเอวเล็กบางในชุดโรงพยาบาลและซุกหน้าลงบนอกนิ่มราวกับเด็กน้อย  

                    “เมื่อคืนแม่เข้าไปอ่านในอินเตอร์เน็ต ... เค้าบอกว่ารอยยิ้มของลูกแม่เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าประทานมาให้”

                    “คราวหน้าผมจะบอกทุกคนว่าพระเจ้าคนนั้นก็คือแม่นั่นเอง”  เด็กน้อยบอกด้วยใบหน้าแป้นแล้น   จนมารดายิ้มกว้างไม่ต่างกัน   หญิงร่างบางโอบตัวลูกชายไว้ พร้อมกับกระซิบแผ่วเบา 

                    “ต้องมีความสุขนะลูก... ต้องมีความสุขให้มาก ๆ  มีความสุขเผื่อเด็กคนนั้นด้วย”         

    “ฮะ?   ชานยอลขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

    “จำได้ไหม... เรื่องที่แม่เคยบอกลูกไปเมื่อคราวก่อน”

    ชายหนุ่มขยับตัวออกจากอ้อมกอด ...  ความนัยจากประโยคนั้นของมารดาทำให้เขาแตะวัตถุที่ห้อยอยู่บนคออย่างเผลอไผล    สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม  หญิงวัยกลางคนแย้มยิ้มบาง และพยักหน้า   

    “ใช่จ้ะ”

    ชานยอลกลืนน้ำลายที่แห้งจนเหนียวลงคออย่างยากลำบาก  ความรู้สึกอึดอัดแทรกผ่านเข้ามาอัดทับกันอยู่ในอก   ริมฝีปากได้รูปสั่นเล็กน้อยขณะเอ่ยเบา  

    “คงดีนะฮะ ถ้าเขา... ”

                    “ยิ้มไว้นะลูก...  ยิ้มเผื่อเขาด้วยนะ”

                    “ฮะแม่...”

                    “ถ้ามีโอกาส... ถ้าลูกมีโอกาส ... แม่ฝากให้ลูกนำความสุขไปให้เขาด้วยนะ  ชานยอล”

                    มือเรียวบางลูบศีรษะของเขาอย่างนุ่มนวล ... รอยยิ้มอ่อนหวานทำให้ชานยอลซุกตัวกอดมารดาอีกครั้ง... อ้อมกอดอบอุ่นทำให้เขาอยากจะหลับตา...

                    และจมอยู่ในห้วงนิทราไปให้นานที่สุด

                    “ได้.... ได้ฮะ ผมจะพยายามฮะ”

     

                    .

                    .

     

                    .

                    “ได้ครับ....ครับ  ฝากด้วยนะครับ”

                    ชานยอลขยับตัวอย่างไม่ค่อยสบายตัว   เปลือกตาของเขาค่อย ๆ เปิดออก ...ได้ยินเสียงจงอินกระซิบเบาราวกับกลัวว่าเขาจะได้ยิน   ถึงกระนั้นก็ตามด้วยหน้าที่การงานได้ทำให้ชานยอลกลายเป็นคนหลับง่าย และตื่นง่ายโดยแทบไม่รู้สึกงัวเงียอะไรเลย

                    “จงอิน... “

                    “อ๊ะ ... แค่นี้นะครับ ” ผู้จัดการหนุ่มวางโทรศัพท์ลง และหันมาหาคนตัวสูงที่กำลังบิดขี้เกียจด้วยหน้าตื่น ๆ

                    “ถึงนานหรือยัง..ทำไมไม่ปลุกล่ะ”

                    “เพิ่งถึงเมื่อกี้.. กำลังจะปลุกพอดี  โอเคหรือยัง...น้ำหน่อยไหม” คิม จงอินเอื้อมไปหยิบขวดน้ำมายื่นให้คนที่เพิ่งตื่นเหมือนที่เคย   ใบหน้าที่รอยยิ้มไม่เคยจางหายหันมาที่เขาพร้อมกับดวงตาสดใส       

                    “ขอบใจ”มือเรียวยื่นมือไปรับน้ำมาเปิดดื่มในทันที  ชั่วอึดใจน้ำทั้งขวดก็หมดลงอย่างเรียบร้อย  ชานยอลมองรอบ ๆ ตัวและพบว่าทั้งสองกำลังอยู่ในที่จอดรถของโรงพยาบาล  

    “กี่โมงแล้วเนี่ย...ป่านนี้คุณแม่หลับไปแล้วมั้ง   โทรหาคุณพยาบาลก่อนไหมว่าคุณแม่หลับหรือยัง ถ้าหลับแล้วเราก็กลับบ้านก่อนดีกว่าเนอะ” ชายหนุ่มยกนาฬิกาในมือขึ้นดู และครุ่นคิด หากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจงอินกลับทำให้เขา

                    “มีอะไรหรือเปล่า...  ”

                    “ฉัน... โทรถามแล้วล่ะ”

    “อา.. ดีเลย” ชานยอลพยักหน้าเมื่อได้ยิน  เขาไม่แปลกใจนักกับคำบอกนั้น  เพราะรู้ดีว่าจงอินรู้ใจเขาแทบจะทุกอย่าง   หากสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจของเขากระตุกอย่างไม่มีสาเหตุ

                    ...

                    “เกิดอะไรขึ้น...”

                    จงอินโกหกคนไม่เก่งเช่นเดียวกับเขา...  ชานยอลรู้จักคนที่กำลังนั่งนิ่ง ก้มหน้ามองโทรศัพท์ของตัวเองมาตลอดชีวิต  ... ดาวรุ่งในค่ำคืนนี้แบะปาก ... สูดลมหายใจเข้าไปในปอดอย่างยากลำบาก  

                    เนิ่นนานกว่าที่จงอินจะเอ่ยปาก...   นานพอดูกว่าที่ชานยอลจะรู้ว่าตัวเองกำลังกลั้นลมหายใจของตัวเองเอาไว้

                    “ไค.. ”

                    “คุณน้าอยู่ในห้องไอซียู”      

                    ......         

                    ...

    “แล้วก็...ทำใจไว้หน่อยก็ดี...”

                   

     

    ***************

     

     

     

     

                    ในที่สุด...

                    ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ...  ดวงตาสีนิลสนิทยังคงมองนิ่งอยู่ที่เป้าหมายเดิม  เหมือนที่มองมาตลอดหลายนาทีที่ผ่านมา  ร่างสูงใหญ่ยังคงยึดผนังสีขาวไว้เป็นอาณาเขตส่วนตัวและยืนกอดอกด้วยท่าทางสบาย ๆ  ปลายนิ้วสัมผัสวัตถุเย็นเยียบในอุ้งมือพร้อม ๆ กับจ้องมองไปในดวงตาของใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล

                   

                    เช่นเดียวกับความจริง... ที่อยู่ไม่ไกล

     

                    เขาเตรียมพร้อมมาตลอด... รอมาตลอด...

                    รอเวลาที่จะได้พูดคำนี้

                   

    “ไม่คิดบ้างหรอ ว่าทำไมเราถึงคล้ายกันขนาดนี้

     

    คุณก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ...

    ปาร์ค จีเฮ

     

    ***********

     
               TBC.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×