ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Sunflower {KrisYeol}{รวมชอตฟิคคริสยอล}

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Sunflower 2/3

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 55


     

                    ภายในห้องห้องทำงานโล่งกว้าง  ไม่มีเสียงอะไรดังมากไปกว่าเสียงครางแผ่วเบาของเครื่องปรับอากาศ   เสียงประตูและฝีเท้าของคนที่เข้ามาจึงเด่นชัดอยู่ไม่น้อย    คริสละมือจากกรอบรูป  ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยขณะหมุนร่างไปหาเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งทว่าผอมบางแม้จะอยู่ในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนา

                    “กินข้าวแล้วเหรอ” หนุ่มชาวจีนเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจนัก  เรือนกายหนาเคลื่อนมายืนอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลมันวับ   นิ้วเรียวยาวไล้ไปบนสันแฟ้มที่วางอยู่และมองมันอย่างพิจารณา  ขณะรับฟังคำตอบจากเสียงเบาหวิวของคนอายุน้อยกว่า

                    “ฮะ... ”

                    “ใครมาส่ง...”

                    “เพื่อนฮะ...”

                    คำตอบทำให้ดวงตาสีเข้มทอแสงแรงกล้า  รอยยิ้มบางปรากฎขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม...ทว่ามันคือรอยยิ้มกึ่งประชดประชันที่ทำให้บรรยากาศกดดันคุระอุยังคงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ

    “พี่รู้จักไหม...”        

                    “.. ”

                    “ว่าไงล่ะ” น้ำเสียงเย็นชาทำให้ชานยอลก้มหน้างุดกว่าที่เคย...  ไหล่กว้างห่อลงอย่างเห็นได้ชัด   หนุ่มวัยทำงานกำมือแน่นขณะมองผิวหน้าขาวซีด และจมูกแดงจัดของอีกฝ่าย 

                “ช่านเลี่ย... ”

                    “ไม่ฮะ...  เพื่อนที่มหาวิทยาลัย  เรียนคณะเดียวกัน ก็เลยสนิทกันฮะ”

                    “สนิทกันถึงขั้นพามาส่งบ้านได้เลยเหรอ”

                    “..... ”

                    อู๋ ฟานกัดฟัน.... เมื่อไม่มีคำตอบใดออกมานอกจากเสียงลมหายใจที่แรงขึ้นของชานยอล   

                    ....

                    ชายหนุ่มมองและคิดถึงมินอาไปด้วย ...   อยู่กับพี่เลี้ยงของเขาแค่ไม่เท่าไหร่  ชานยอลก็ขโมยหัวใจสุภาพสตรีวัยกลางคนไปจนหมด    มินอารู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสที่จะมีทายาทเป็นของตนเองแล้ว   หากหล่อนยังปรารถนาจะได้เลี้ยงดูเด็กชายจอมซนที่สดใสร่าเริงเสมอ

                    ชานยอลเติมเต็มชีวิตที่ขาดของมินอาจนอาจจะเรียกได้ว่าล้นปรี่...   หล่อนทั้งรักและหวงเด็กชายราวกับลูกในไส้   จนแม้แต่เขาที่เป็นเจ้าของบ้านและอยู่ในฐานะผู้ปกครองของชานยอลเองยังไม่สามารถแตะต้องได้       

                    บางที .... ชานยอลก็ควรรับรู้ได้แล้วว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะใจอ่อนกับคนไม่รับผิดชอบเพียงเพราะทำหน้าตาน่าสงสารแบบนี้

    “วันนี้วันครบรอบของโชรง   ทำไมถึงไม่รีบกลับ  หรือว่าติดเพื่อนซะจนลืมพี่สาวตัวเอง”

    เป็นครั้งแรกในวันนี้ที่ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาตรง ๆ ... ดวงตากลมโตหม่นลงจนแทบไม่เหมือนชานยอลที่ทุกคนรู้จัก   ประกายสดใสภายในลูกแก้วดำขลับหลงเหลือเพียงร่องรอยของน้ำใส ๆ ที่เอ่อคลอรอเวลาล้นออกมาข้างนอก  

    คริสขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อจับจ้องตาคู่ที่กำลังทอดมองเขาคล้ายกำลังบอกอะไรบางอย่าง  เสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้าจนคนฟังรู้สึกเหมือนคนพูดกำลังจะขาดใจ                      

                    “ขนาดพี่ยังไม่ลืมเลย... ผมจะลืมได้ยังไงล่ะฮะ”                

                    “ว่าไงนะ... ”

                     “ความจริง...  ผมคิดว่าพี่ไม่ว่าง ก็เลยไปเองดีกว่า  ไม่อยากรบกวนพี่ฟ่าน” ชานยอลอธิบายพร้อมกับยิ้มกว้าง   เป็นรอยยิ้มที่ทั้งฝืนและบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด....จนคนมองเองก็ไม่รู้สึกอยากยิ้มไปกับเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย

                    “คิดแบบนั้น ก็เลยปล่อยให้พี่......ให้มินอาคอยทั้งวันอย่างนี้เหรอ?  โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง”

                    “ขอโทษฮะ  แบตหมด.. ผมก็เลยไม่รู้จะทำยังไง  พอโทรเข้าเครื่องน้ามินอาก็ไม่มีใครรับสาย” 

                    ดวงตาสีเข้มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังกะพริบถี่   ริมฝีปากสีขาวซีดสั่นระริก  หากชายหนุ่มตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใจอ่อน 

                    “คิดบ้างหรือเปล่า...ว่าถ้าเราเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา  พี่จะไปตามหาได้ที่ไหน..  คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าพี่หรือมินอาเป็นอะไรขึ้นมา จะให้คนในบ้านติดต่อเรายังไง.... คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น  คนที่รออยู่จะเป็นยังไง”

    ชานยอลหน้าซีดลงเรื่อย ๆ  

    “ขอ... ขอโทษฮะ  ผม...   ผมไม่ทันคิด”

    “ไม่ทันคิดหรือไม่เคยคิด”

    “พี่ฟ่าน...”

    “มัวแต่สนุกจนลืมทุกคน...  พี่เป็นโชรงคงดีใจแย่”

                    น้ำเสียงประชดประชันและวาจาเชือดเฉือนทำให้ชานยอลสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ... ทุกคำพูดของหนุ่มรุ่นพี่ล้วนแล้วแต่เสียดแทงเข้าไปถึงข้างในใจ... ดวงตาคมไม่มีความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลย  มีเพียงประกายดุดัน กราดเกรี้ยว... ราวกับพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำของชานยอลผ่านแววตาที่แสนเย็นชาคู่นั้น

                    คิดไปก็พบว่านานแล้ว... ที่เขาไม่พบรอยยิ้มบนใบหน้าคมเข้มโดดเด่นนี้ 

                    นานแล้ว.. ที่สายตาคู่นั้นเบือนหลบหน้าเขาไป  และไม่จ้องมองเขาตรง ๆ

    ยกเว้นเวลาที่โกรธจัดอย่างเช่นเวลานี้...

    “จะเงียบแบบนี้อีกนานไหม”

                    “ขอโทษฮะ ผมขอโทษ”

                    ชานยอลก้มศีรษะลงอีก...   หากคริสกลับส่ายหน้า และเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจนัก 

                    “พี่ไม่ได้ต้องการคำขอโทษ... ”  ชายหนุ่มเปิดแฟ้มตรงหน้า ... และเลื่อนออกจากตัว  ตาสีเข้มจ้องมองคนอายุน้อยกว่าเขม็ง  “แต่พี่ต้องการคำอธิบาย  ว่าเอกสารพวกนี้คืออะไร ”

                    คนที่ถูกคาดคั้นเงยหน้ามองแค่ปราดเดียวก็รับรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการพูดถึงคือเรื่องอะไร ... สีหน้าของชานยอลเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด    

                    “พ...  พี่..  ผม”

                    “ถ้ามองไม่เห็นก็ขยับเข้ามาใกล้ ๆ ... พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่านี่มันคืออะไร  เข้ามาสิ..”

                    ชานยอลไม่แม้แต่ขยับตัว... เด็กหนุ่มมองสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้ดูพร้อมกัดริมฝีปากแน่น   ทั้งแววตาและน้ำเสียงของคนตรงหน้าล้วนแล้วแต่คมยิ่งกว่ามีด  ... ราวกับคริสกำลังถือมีดกรีดแทงและจ้วงทำร้ายเขาในทุก ๆ คำพูด

                    แต่จะโทษใครนอกจากตัวเอง....

                    ไม่ต้องมองก็รู้  เพราะมันเป็นของเขาเองทั้งหมด

                    จดหมายสมัครงาน ...  ประวัติ และเอกสารประกอบการขอทุน ...  หนังสือสัญญาการเช่าห้องพัก   ทุกสิ่งที่เขาวางแผนมาพักใหญ่ กองอยู่ตรงหน้าแล้ว

                    ชานยอลน่าจะรู้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ว่าไม่มีอะไรที่คนอย่าง พี่ฟ่าน ของเขาทำไม่ได้  

                     แม้กระทั่งทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดทรมานอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

                    “อยู่ที่นี่มันลำบากมากหรือไง ”

                    “...ผะ ”  เขาพูดไม่ออก... เด็กหนุ่มกลืนสิ่งที่ติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากลงคอ   ขณะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

                    ทว่า... ตาคู่ที่เต็มไปด้วยความผิดหวังกลับทำให้น้ำตาที่คลออยู่หยดลงมาอาบแก้มในที่สุด

                    “... เกลียดพี่เหรอ”

                    “ไม่ใช่... มันไม่ใช่นะฮะ” พูดพร้อมส่ายหน้าและถอนสะอื้น...  เด็กหนุ่มก้าวเท้ามาข้างหน้าอย่างอ่อนแรง  และอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบหวิว   

                    “ถ้าผมอยู่ด้วยตัวเองได้ ... พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับผมไงฮะ”

                “ช่านเลี่ย”

    “ผมทำให้พี่วุ่นวายมาตลอด....  มันนานมากแล้ว  อีกอย่างผมก็โตแล้ว...ควรจะอยู่ได้ด้วยตัวเองซักที”     

                    มือสั่น... น้ำตาไหล   สิ่งที่พูดออกไปล้วนแต่ถูกเก็บซ่อนไว้มานานแสนนาน  และเขาไม่เคยกล้าพูดมันออกมา

                อย่างน้อย...

                พี่จะได้ไม่ต้องลำบากใจที่เห็นหน้าผมอีก

                    “หยุดร้องไห้...  เดี๋ยวนี้!

                    เสียงทุ้มตะคอกดังลั่น   จนชานยอลตกใจและรีบยกมือขึ้นปิดปากแน่นสะกดกลั้นเสียงสะอื้นของตน  สีหน้าที่เย็นชาทำให้เขาอยากจะหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ...    

                    ร่างสูงเพรียวสั่นสะท้าน...   เด็กหนุ่มมองเห็นเพียงแค่ขายาว ๆ ของหนุ่มชาวจีนเท่านั้น... แต่ถึงกระนั้นสายตาที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างเงียบ ๆ ก็ทำให้เขามองภาพตรงหน้าไม่ชัดเอาเสียเลย

                    “ขอ.. ขอโทษฮะ...   ฮะ... ฮ่า.. ผม..”     

    ด้วยความพยายามสุดหัวใจ  ชานยอลพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนสถานการณ์ที่กำลังเคร่งเครียดในขณะนี้อย่างเต็มที่...แต่กลับไม่เป็นผลเพราะเสียงที่ออกมานั้นกลายเป็นแรงสะอื้นแทน

    ใคร ๆ ต่างมองว่าเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริง....  

                    แต่มีเพียงคนนี้...  แค่คนนี้เท่านั้น  ที่แค่มอง  น้ำตาก็พาลแต่จะไหลออกมาง่าย ๆ

                    “...”

                    ชานยอลใช้เวลาเกือบนาทีกว่าที่จะฝืนตัวเองให้เก็บเสียงสะอื้นไว้ได้ ...   ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวจึงสามารถเงยหน้าขึ้นมอง ผู้ปกครอง ของตนเองได้

                    “ผมแค่คิดว่า...ถ้าผมไม่อยู่ตรงนี้แล้ว พี่อาจจะสบายใจ.. แล้วก็ จะได้ไม่ต้องคอยหลบหน้าผมอีก”

                    “ว่าไงนะ....  ช่านเลี่ย”  คราวนี้คริสเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเองอย่างรีบร้อน   น้ำเสียงของหนุ่มชาวจีนเต็มไปด้วยความขัดข้องใจ    “พูดอะไรออกมา”

                    “พี่ไม่อยากเห็นผม...แต่ก็อยากมองคนที่อยู่ในตัวผมใช่ไหม”

                    “ช่านเลี่ย...”

    “... ผมก็แค่.. แค่.... เผื่อพี่จะเห็นว่าผมไม่ใช่พี่สาว.... ไม่ใช่    ไม่ใช่คนที่พี่มองอยู่เลย” ชานยอลกลืนก้อนสะอื้นขม ๆ ลงคอ..  ร่างกายของเขาโอนเอน...ไม่มั่นคง   เช่นเดียวกับสมองที่แทบจะไม่สามารถควบคุมได้   ทุกอย่างที่เคยคิดและเก็บไว้ในใจจึงพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้

                    “เราจะรู้อะไร... ช่านเลี่ย   ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่าพูด... ”

                    “รู้สิฮะ..ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนที่พี่มองอยู่เป็นใคร  ทุกวันนี้พี่มองใครอยู่ ..  มองใครสักคน...ที่อยู่ในตัวผม”

                    “ช่านเลี่ย!!...”

                    “ตอนที่พี่มองผม... สายตาพี่ .. มันผิดหวัง   แล้วก็คาดหวัง...   ถ้าไม่ใช่พี่ที่ตาย...แต่เป็นผม  พี่ก็คงมีความสุขมากกว่านี้ ..โอ๊ย!

                    ชานยอลร้องด้วยความตกใจเมื่อต้นแขนทั้งสองถูกบีบแรงในวินาทีนั้น ... เขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าชายหนุ่มยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...              

                    “พี่ฟ่าน...”

                “พูดอะไรออกมารู้หรือเปล่า !!!

                    นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้

                    กี่เดือน....   หรือว่าเป็นปีแล้วก็ไม่รู้

                    ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้แค่นี้ ...อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม  แต่แค่จะก้าวเข้าไปอยู่เคียงข้างเขาก็ยังทำไม่ได้

                    “พี่บอกแล้วว่าให้คิดก่อนพูด... บอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องแบบนี้... เรื่อง...   ”

                    “แล้วไม่จริงเหรอฮะ...”   แรงบีบเพิ่มมากขึ้นราวกับกำลังจะดึงเอาเรี่ยวแรงของเขาออกไปเรื่อย  ๆ  เด็กหนุ่มอ่อนแรงเต็มที  ...   แต่ยังพูดออกไปทั้งที่กำลังสะอึกสะอื้นแทบขาดใจ

                    “ก็ไม่จริงน่ะสิ!!... ”

                    ชานยอลได้ยินเสียงตะโกน แต่เหมือนมันจะแผ่วเบาลงไปราวกับถูกปรับเสียงลง    เขารู้สึกถึงไอร้อนวูบวาบที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง...    หัวใจเต้นช้าลง  ประสาทรับรู้ทุกอย่างคล้ายจะหยุดทำงาน

    “พี่รักพี่โชรงไม่ใช่เหรอฮะ... รักมากไม่ใช่เหรอฮะ  พี่ฟ่าน....”

    บางที... เขาอาจจะเหนื่อยเกินไป

                    เหนื่อยเกินไปกับการพยายามใช้ชีวิตอยู่ด้วยการเป็นฝ่ายเฝ้ามอง...  และถูกแผดเผาด้วยสายตาคู่นี้

                    กระทั่งอ่อนแรง...  ไม่มีเหลือกระทั่งพลังที่จะยืนอยู่ได้

                    “..........................”

                    “พี่.... พี่ฟ่าน...  ”

                    วินาทีนั้น...  ชานยอลรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่กระจายเข้ามาโอบรอบทั้งตัว  พร้อม ๆ กับได้ยินเสียงหัวใจที่ไม่เป็นจังหวะของตัวเอง     

                    “ช่านเลี่ย...  ได้ยินพี่หรือเปล่า”

                    ชานยอลปล่อยน้ำตาของตัวเองให้ไหลซึมลงไปกับผ้าเนื้อดี  และอกกว้างที่แสนอบอุ่น ... ปล่อยร่างกายให้ดิ่งลงสู่หลุมอากาศว่างเปล่า มืดดำ   และทิ้งความรู้สึกเหมือนกำลังร่วงคว้างจากหน้าผาลงสู่เบื้องล่างพร้อมด้วยสติที่ขาดหายไป

                “ถ้า...  พี่มองผมบ้าง  มันก็คงจะดี”

                   

     

                    “บ้าจริง ๆ ”

                    เสียงทุ้มสบถเบาและกัดฟันกรอด ...  ดวงตาคมเข้มทอดมองใบหน้าซีดเซียวของคนที่นอนหลับสนิทบนเตียงด้วยประกายวาววับ  คริสนั่งบนเตียง ...ขณะที่สายตาพิจารณาแพขนตาหนา และเปลือกตาที่ปิดสนิทด้วยความรู้สึกผิด  มือหนาที่กำแน่นตลอดระยะเวลาที่ต้องมองชานยอลถูกตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดค่อยคลายลง 

    นิ้วเรียวยาวเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลเข้มออกจากกรอบหน้ารูปไข่อย่างเบามือ  ไอร้อนผ่าวยังคงแผ่ออกจากผิวขาวเนียนจนเขาสัมผัสได้  ชานยอลไข้ขึ้นสูงจนเขาตกใจ    โชคดีที่นายแพทย์ฝีมือดีอย่างจุนมยอนยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน และไม่ได้หนักหนาขนาดที่เขากังวล   คริสจึงค่อยโล่งใจ   แม้จะอดโทษตัวเองไม่ได้ว่าปล่อยให้ชานยอลเป็นหนักขนาดนี้ได้อย่างไรก็ตาม  โดยเฉพาะ มินอาเองก็บอกเขาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะสะกิดใจได้ว่าทำไมเจ้าของร่างเพรียวบางจึงดูผิดปกติไป     แถมหน้าที่ซีดเผือดนั่นอีก...

                    ทั้ง  ๆ ที่อยู่ตรงหน้า...แต่เขากลับไม่ให้ความสำคัญกับชานยอลเท่าที่ควร  ทั้งที่ควรปกป้องให้มากกว่านี้... 

    และดูแลให้สมกับที่รับปากโชรงเอาไว้แล้ว....

                    “เด็กบ้าเอ้ย”  หนุ่มชาวจีนพูดเบาก่อนเลื่อนมากุมมือเรียวยาวไว้หลวม ๆ   ฝ่ามือนุ่มอุ่นร้อนขึ้นเพราะพิษไข้

                    ชายหนุ่มกระชับมือสวยแน่นขึ้น...

    คิดไปก็นานแล้ว  ที่เขาไม่ได้กุมมือนี้                                   

                    “ว่าตัวเองทำไมคะ คุณคริส” 

                    เจ้าของชื่อสะดุ้งกับน้ำเสียงล้อเลียนของคนที่เข้ามาใหม่   ภาษาจีนคล่องปร๋อทำให้ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมามองร่างท้วมที่ก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนนักพร้อมกับถาดผ้าและอ่างสำหรับเช็ดตัวให้คนป่วย  รอยยิ้มอ่อนหวานแต่แววตารู้ทันทำให้คริสอดถอนหายใจเบาไม่ได้  ...  คริสสบตาพี่เลี้ยงของตน และส่ายหน้า 

                    “มินอา...  ”

                    เสียงทุ้มต่ำ และสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่ายทำให้หล่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม  ก่อนเอ่ยยอมแพ้

                    “ไม่พูดก็ได้ค่ะ    มินอาให้คนไปส่งคุณหมอจุนมยอนเรียบร้อยแล้วค่ะ  คุณคริสอยากให้มินอาทำอะไรอีกไหมคะ ”

                    “ไม่ต้องครับ ขอบคุณมาก”

                    “ขยับออกมาก่อนสิคะ เดี๋ยวมินอาเช็ดตัวให้ช่านเลี่ยก่อน  เด็กบ้าของคุณคริสจะได้ไข้ลดลง”

                    “มินอา...” คริสเม้มปาก ...   แต่ไม่กล้าว่าอะไรพี่เลี้ยงที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของเขามากนัก    มินอาอยู่กับเขามานาน... ทั้งยังรู้จักเขาดี   บางครั้งก็ดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก    สายตาของมินอาที่มองเขาอย่างในตอนนี้เต็มไปด้วยความสนุก  จนบางทีเขาก็เกิดอาการ ไปไม่เป็น เอาซะดื้อ ๆ

                    “เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กอายุสิบสี่ที่เพิ่งเคยมีความรักครั้งแรกได้ไหมครับ”

                    “อ้าว คุณคริสไม่ได้มีรักครั้งแรกตอนยี่สิบสี่เหรอคะ?? มินอาพลาดไปตั้งสิบปีเลยเหรอ”   หญิงร่างท้วมเอ่ยหน้าตาเฉย

                    “มินอา... ”  คริสกัดฟันอีกครั้ง ... 

                    “มินอาล้อเล่นค่ะ อย่าซีเรียสสิคะ   เดี๋ยวหน้านิ่วคิ้วขมวด ช่านเลี่ยตื่นขึ้นมาจะตกใจสลบไปอีกรอบ”

                    “เค้าคงชินแล้วมั้ง... ”  คริสพูดเสียงเบา เพราะกลัวรบกวนคนป่วย  ก่อนหันกลับไปมองหน้าสวยที่กำลังหลับพริ้มด้วยแววตาครุ่นคิด 

                    “ก็คุณเอาแต่ทำหน้ายักษ์ให้ชานยอลดูนี่คะ... ถ้าลูกชายของมินอาไม่ทำตัวให้ชินก็คงต้องร้องไห้ทุกครั้งที่เจอแล้วล่ะค่ะ”   มินอาพูดตรงประเด็น  หล่อนเคลื่อนไปวางถาดในมือลงบนโต๊ะที่วางอยู่ไม่ห่างจากหัวเตียง และลากเก้าอี้สำหรับตัวเองมาใกล้หนุ่มวัยฉกรรจ์  พร้อมกับรอยยิ้มหวาน 

                    คริสมองอดีตพี่เลี้ยงของตนที่สถาปนาตัวเองให้เป็น แม่ ชานยอลไปแล้วด้วยความรู้สึกที่อุ่นใจ   อาจเพราะมินอาอยู่กับเขามานานเกือบเท่าอายุของเขาเอง...  คริสจึงรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้พูดคุยกับหญิงวัยกลางคนในทุกเรื่อง 

                    “ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง ... หน้าผมก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  ชานยอลเห็นมาตั้งหลายปีแล้ว  เค้าจะไม่ชินเลยเหรอ”

                    “แน่ใจเหรอคะ  มินอาว่าไม่ใช่น้า...”

                    “มินอาหมายความว่ายังไง ... ” 

                    “ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะว่าคุณเพิ่งเป็นแบบนี้ได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”

    คริสขมวดคิ้ว... หนุ่มชาวจีนแทบนึกไม่ออกว่า ตัวเองทำตัวแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

                    “แบบไหน”

                    “ก็หน้ายุ่ง  มุ่งแต่งาน ไม่ยอมทำการบ้าน...”  หญิงร่างท้วมลอยหน้าลอยตาพูดอย่างอารมณ์ดี  จนคริสเกือบลืมตัวตะโกนสุดเสียงออกไป ... โชคดีที่หล่อนรีบทำท่าจุ๊ ๆ เรียกสติเขาไว้  ชายหนุ่มจึงพ่นลมหายใจแรงออกมาเท่านั้น

                    “มินอา!!

    “มินอาหมายถึงไม่ยอมกลับบ้าน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจช่านเลี่ย แถมยังหลบหน้าหลบตาบ่อย ๆ อย่างนี้ต่างหากล่ะคะ  ช่านเลี่ยของคุณน้อยใจจะตายอยู่แล้ว...  นี่ถ้ามินอาเป็นช่านเลี่ยนะคะ  มินอาหนีออกจากบ้านไปตั้งนานแล้ว ”

    “อย่าได้เอาความคิดแบบนี้ไปใส่หัวชานยอลเด็ดขาดเลยนะมินอา... ”

    “กลัวน้องหนีไปจริง ๆ เหรอคะ...”

    “....”

    “คุณคริส” 

    หล่อนท้วงเสียงเรียบ   ดวงตาอ่อนโยนมองเขาพร้อมกับยื่นมือมาวางที่ขาของเขาอย่างนุ่มนวล  คริสพูดไม่ออก ...  เพราะแค่ได้ยินคำถาม   เขาก็ตื้อไปหมด

    นานเท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้...   ตอนที่เขาดุด่าว่าชานยอลไปครั้งใหญ่เพราะว่าตามหาเกือบทั้งวันแต่ไม่พบ  ดูมินอาเองก็ตกใจ  นับประสาอะไรกับคนถูกต่อว่า...   นอกจากวันที่โชรงตาย  คริสมีโอกาสเห็นชานยอลต้องร้องไห้ก็ตอนนั้น  ไม่สิ...วันนี้ด้วย

    แม้จะไม่อยากยอมรับ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเขากลัวอย่างที่มินอาพูดจริง  ๆ  

    “เค้าคิดได้ยังไงว่าผมเบื่อเค้า...  มินอา...   เค้าคิดได้ยังไงว่าผม... ผมไม่เคยมองเค้าเลย”

                    “... ชานยอลยังเด็กนะคะ” มินอาแย้ง  “ เลยยังคิดอะไรเด็ก ๆ อยู่บ้าง   คุณเองก็เล่นไม่แสดงออกเลย ชานยอลจะไม่คิดมากได้ยังไงล่ะคะ ”

                    “ก็เพราะเด็กน่ะสิ..  เพราะเด็ก   ผมถึงได้....”  คริสกัดฟันกรอด ... และถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เขาเองก็จำไม่ได้ “บ้าชะมัด...   แล้วเค้าไม่คิดหรือไงว่าผมต้องทนมากแค่ไหน.... ”

                    “มินอารู้ค่ะ มินอารู้”  หญิงร่างท้วมบอกอย่างใจเย็น  ก่อนถามกลับ “ ... แต่ช่วยคิดกลับได้ไหมคะ ว่าที่คุณคริสต้องทนมาจนถึงทุกวันนี้เพื่ออะไร”

                    “มินอา... หมายถึง”

                    “มินอาไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหมคะ ว่าที่คุณทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อ ความสุข ของชานยอล ”

                    “ใช่...   ผมถึงได้เป็นแบบนี้ไงล่ะ   ถ้าไม่ใช่เพื่อชานยอล ...ป่านนี้.... ”  คริสอึกอัก...  ชายหนุ่มไม่เคยพลาดเรื่องการทำงาน ... ชีวิตของเขาราบรื่นแทบทุกอย่างมาตลอด   คงมีแต่เรื่องนี้ที่ทำให้เขาคิดไม่ตกและแก้ไขไม่ได้เสียที

    “เฮ้อ...พูดไปก็เท่านั้น ...ยังไงชานยอลก็ยังเด็ก”

                    “ชานยอลก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้นแล้วนะคะ” มินอาแย้งอีก  และนั่นก็ทำให้คริสขมวดคิ้วยุ่ง 

                    “ไหนเมื่อกี้มินอายังบอกผมอยู่เลยว่าชานยอลยัง...”

                    อู๋ อี้ฟานเอ่ยด้วยน้ำเสียงงุนงง  หากหล่อนโต้กลับก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ

                    “เด็กในความคิดของมินอา...กับเด็กในโลกแห่งความเป็นจริงมันแตกต่างกันนะคะ”

                    “ยังไง”

    “วันนี้ชานยอลอายุครบยี่สิบปีแล้วนะคะ .... ผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะแล้วด้วย  แถมดูเหมือนจะคอแข็งใช่ย่อย”  มินอาพูดพร้อมกอดอก และยืดตัวตรง  สายตาที่มองคนป่วยเต็มไปด้วยความรักความผูกพันราวกับกำลังมองลูกชายจริง ๆ  ...   ปล่อยให้ชายหนุ่มใช้เวลานั้นคิดตามไปด้วยความเคร่งเครียด 

     “คุณเองก็เห็นว่าชานยอลโตขึ้นทุกวัน   แล้วคุณยังจะยอมให้ชานยอลถูกคนอื่นคาบไปต่อหน้าต่อตาเหรอคะ   อย่างเด็กคนที่มาส่งชานยอลวันนี้ก็ดู...”

    “ไม่มีทาง!!!” คริสสวนในทันควัน   รวดเร็วจนเขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่หลุดปากออกไป  ...

    นึกภาพเด็กชายผิวเข้ม ท่าทางแข็งแรงกระตุกยิ้มมุมปาก  และขยับไปหอมแก้มชานยอลเหมือนอย่างที่เขาเห็นไปเมื่อเย็นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะแล้ว   มาตรวัดความโกรธของเขาก็ดูจะพุ่งขึ้นสูงแบบหยุดไม่ได้ ... โชคดีที่เขายังเห็นว่าชานยอลดูไม่เต็มใจ เพราะคนของเขาผลักอีกฝ่ายเสียจนกระเด็นก่อนจะหนีออกมาจากรถทันก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ระงับอารมณ์ไม่ได้ด้วยการทำอะไรสักอย่างกับเจ้าเด็กหน้ากวนอารมณ์นั่น

                    “อือ... ”

     เสียงครางแผ่วของชานยอลและมือที่กระตุกเบาทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปหาคนป่วย   ร่างเพรียวบางกำลังพลิกตัว...และกระสับกระส่ายราวกับกำลังฝันร้าย  หากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ก็ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าจุนมยอนให้ยานอนหลับชานยอลไปในปริมาณที่พอสมควร  และย้ำกับเขาว่าเด็กหนุ่มไม่น่าจะตื่นขึ้นมาก่อนเช้าวันพรุ่งนี้  

    คริสบีบมือเรียวเบา ๆ  และรอคอยจนกระทั่งชานยอลนิ่งสงบได้อีกครั้ง ... จึงหันกลับมาหาคนที่นั่งยิ้มแก้มปริอยู่เหมือนเดิม

                    “ผมจะไม่ดูเห็นแก่ตัวเกินไปเหรอ มินอา....อย่างน้อยชานยอลก็ควรจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองมากกว่านี้”

                    “แล้วทนได้เหรอคะ”  มินอาปล่อยหมัดเนิบ ๆ เช่นเคย... แต่เป็นหมัดที่เสยปลายคางจนคริสน็อคลงไปคาเวที

     “คุณคริสเคยเห็นดอกทานตะวันไหมคะ ...”

    “ครับ...”

                    “เคยเห็นดอกทานตะวันหันหน้าไปหาอย่างอื่นนอกจากพระอาทิตย์ไหมคะ  ... ”

                    “ไม่... ไม่เคย”

                    “นั่นล่ะค่ะ ชานยอล  ...ต้องบอกไหมคะว่าใครคือพระอาทิตย์ของชานยอล”

                    คริสอึ้ง  ลมหายใจกระตุก พร้อม ๆ กับหัวใจที่เต้นแรง

                    “แล้วถ้าคุณปลูกต้นทานตะวันแต่ไม่ยอมให้มันเห็นพระอาทิตย์  คุณคิดว่ามันจะยังมีดอกทานตะวันที่สวยงามได้ไหมคะ”

                    “มินอา”

                    หญิงร่างท้วมยืนขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม   พลางบิดตัวไปมาและอ้าปากหาว    อดีตพี่เลี้ยงของคริสวางมือบนบ่ากว้าง และเอ่ยเป็นภาษาเกาหลีที่ชัดไม่แพ้กับภาษาจีน

                    “ดึกแล้ว .. มินอาชักง่วงแล้วล่ะค่ะ  ฝากเช็ดตัวให้ชานยอลด้วยคงไม่ว่าอะไรมินอาใช่ไหมคะ”

                    ชายหนุ่มมองตาค้างกับประโยคนั้น   และปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะในเวลาต่อมา 

                    “ไม่หวงลูกชายเลยนะครับ”

                    “โอ๊ย มินอามีสิทธิแค่ห่วงเท่านั้นล่ะค่ะ คุณคริส ”

                    หล่อนยกมือขึ้นป้องปาก  และพยักเพยิดไปที่ร่างเพรียวบางที่จมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาด้วยดวงตาระยิบระยับ

                     “ที่มินอาไม่กล้าหวง...  ก็เพราะช่านเลี่ยเป็นของคุณคริสตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ

                    คริสยิ้มมุมปาก ขณะมองตามร่างท้วมเดินนวยนาดไปที่ประตู  และแทรกตัวเองออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแทบปั้นหน้าไม่ถูกก็คือเสียงกดล็อคประตูที่บอกให้รู้ว่านอกจากคนถือกุญแจอย่างมินอาแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถเปิดประตูห้องนี้จากข้างนอกได้ ....

                    คริสรู้ดีว่ามินอาไม่ค่อยถูกกับเลขาส่วนตัวของเขาเท่าไหร่นัก  เพราะบริษัทของเขามีเครือข่ายอยู่เกือบทั่วโลก และจงแดก็ทำงานคุ้มค่าจ้างด้วยการทำตัวเป็นเลขาบ้างานที่สนใจแต่งานจนแทบจะไม่เคยดูเวลาเลย   บ่อยครั้งที่หนุ่มร่างเล็กเดินไปปลุกเขาถึงเตียงนอนเพื่อให้เซ็นเอกสารสำคัญ หรือเข้าร่วมประชุมทางไกลในกลางดึก  จนมินอาแทบจะขอให้ยามปิดประตูไม่ให้จงแดเข้าบ้านในกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง 

                    สงสัยคราวนี้คงกลัวเขาถูกขัดจังหวะ!     

                    หนุ่มชาวจีนยิ้มบาง ... ขณะมองใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามราวกับไม่ได้เป็นของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบหมาด ๆ   ใบหน้าของชานยอลกับพี่สาวแทบไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย  ใบหน้าสวยได้รูป... เครื่องหน้าที่ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะดึงดูดสายตาเขาตั้งแต่วันแรกที่พบ ...        

                    “ทานตะวันเหรอ... ”

                    นิ้วหัวแม่มือเคลื่อนช้าไปยังริมฝีปากอิ่มที่ซีดเซียว ... แม้จะแห้งแตกและไม่อิ่มน้ำเหมือนเคย  แต่กลีบปากทั้งบนและล่างยังนุ่มนิ่ม กลับดูยั่วเย้าอยู่ในทีอย่างน่าประหลาด

                    หากเป็นอย่างที่มินอาพูด  คริสเองก็พอเข้าใจว่าชานยอลรู้สึกเช่นไร

                    เพราะตัวเขาเอง... ก็ ทำได้แค่มองมานานไม่ต่างกัน

                    “จริงหรือเปล่า....  บอกพี่ทีสิ”

                    ริมฝีปากร้อนแนบลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา  เนื้อนิ่มบดเบียดเชื่องช้า ก่อนเคลื่อนรุกเข้าไปสัมผัสและครอบครองพื้นที่ภายในโพรงปากแสนหวานและน่าค้นหาของคนที่กำลังหลับสนิท    

                    เขาคิดมาตลอดว่าชานยอลยังเด็ก  ยังเด็กมากเกินกว่าที่เขาจะแตะต้อง  จนเกือบลืมมองไปว่าชานยอลอายุเท่าไหร่แล้ว

                    ทั้ง ๆ ที่เขาต้องการปกป้อง และทะนุถนอมชานยอลเอาไว้ให้มากที่สุด... 

    แต่ทุกคนกลับ...

                    “หวงก็ได้นะมินอา..ถ้าไม่หวงบ้างเลย ช่านเลี่ยจะแย่เอานะ”

                   

     

     

     

                    ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่เหนือริมฝีปากทำให้ตาคู่สวยลืมขึ้น ก่อนที่ชานยอลจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบกับใบหน้าคุ้นตาอยู่ห่างไม่ถึงคืบ.... ไม่สิ   ใกล้จนเห็นชัดแม้แต่แพขนตาหนาและประกายลึกในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

                “พี่ฟ่าน!!

                    เด็กหนุ่มถอยกรูดทันที ... หากดูเหมือนจะเป็นการพาตัวเองไปติดกับอะไรบางอย่าง  เพราะแผ่นหลังของเขาสัมผัสได้ถึงผนังแข็ง ๆ เย็นเฉียบ   มือเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากโดยอัตโนมัติ.. รอยอุ่นยังคงอาบไล้ให้รู้สึกได้ชัดเจน   ชานยอลเม้มปากแน่น เมื่อรับรู้ไดว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องถามอีกฝ่าย

                โดยเฉพาะเมื่อคนอายุมากกว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

                “ขอโทษ... ”

                “พี่ทำแบบนี้ทำไม....”  ชานยอลตะโกนสุดเสียง  “พี่ชอบพี่โชรงไม่ใช่เหรอ”

                “พี่ไม่เคยพูดนะว่าชอบโชรง” คริสปฏิเสธ  

                “แต่... ที่ผ่านมา... ”

                “คนที่พี่มองมาตลอด...ก็คือช่านเลี่ยต่างหากล่ะ”

                “แล้วพี่โชรง...”

                “ยัยนั่นสนใจพี่ซะที่ไหน  .... ” คริสบอกหน้าตาเฉย ... ภาษาเกาหลีเขายังไม่ดีมากขนาดสื่อสารได้ทุกสิ่งที่คิด   ชายหนุ่มจึงไม่รู้จะใช้คำพูดอ้อมค้อมไปเพื่ออะไร “ก็...พี่มาจีบน้องชายโชรงอยู่นี่นา   ใครที่ไหนจะชอบ”

                !!!

                    ตาคู่ที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีกจนคริสอดขำไม่ได้ ... เด็กน้อยมองเขาหน้าตาตื่น ตัวแข็งทื่อ  ท่าทางตกใจ

                “กะจะบอกตั้งนานแล้ว... แต่เรามัวแต่เข้าใจพี่ผิดอยู่นั่นแหละ”

                “ไม่จริง!!

                    “เอ้า  พูดจริงก็บอกว่าโกหก...  ต้องให้โชรงมายืนยันไหมจะได้รู้ว่าพี่ไม่ได้โกหก”

                “ไม่นะ... ”เด็กน้อยตะโกนเสียงหลงอีก ... “ผมเป็นผู้ชายนะ” พูดแล้วฟันสวยเรียงเป็นระเบียบก็กัดปากตัวเองแน่นจนแทบห้อเลือด 

                “พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นผู้หญิงนี่นา... ” คริสหัวเราะ  ดวงตาเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสนุกสนาน  หากชานยอลชักสีหน้า  และผลักอกคนตัวสูงเต็มแรง 

                “ตลกมากปะ ....ตลกมากไหมพี่ฟ่าน”  

                “ไม่ตลก... ”

                “แล้วทำแบบนี้ต้องการอะไร .. รู้ว่าผมเข้าใจผิด แต่ก็ยังสนุกที่เห็นผมเข้าใจผิดงั้นเหรอ” 

                “อย่าเพิ่งโวยวายสิช่านเลี่ย”

                “ออกไปเลย   ...โอ๊ย ทำไมเค้กมาวางไว้อยู่ตรงนี้”เด็กชายวัย 16 ปีโวยวายลั่นอีกครั้งเมื่อมือปัดไปโดนเค้กก้อนโตที่วางอยู่ข้าง ๆ  หน้ายุ่งบูดบึ้งเมื่อยกมือขึ้นมาและพบกับครีมเค้กสุดอร่อยที่เขาชอบติดขึ้นมาด้วย ...

                ชานยอลมองเค้กวันเกิดของตัวเองตาละห้อย..  และหันมาต่อว่าคนต้นเรื่องเสียงดัง

                “ไอ้พี่ฟ่านบ้า... เอาเค้กมาวางไว้ตรงนี้ทำไมเนี่ย!!! ถ้าพี่โชรงกลับมาจะทำยังไง!!!  หา”

                “เอ้า  ก็เราบอกให้พี่เอาเค้กออกมาวางแต่ดันหนีมาหลับไง  ...  พี่ถึงบอกไงว่าอย่าเพิ่งโวยวาย  ... เอาน่า  พี่จำได้ว่ามีเค้กอยู่สองก้อน  เดี๋ยวโชรงกลับมาเราเอาก้อนในตู้เย็นมาฉลอง”

                “แต่ก้อนนั้นผมกะว่าจะเอาไว้กินพรุ่งนี้นะ”

                    “หมูอ้วน!

                    “อย่ามาว่านะ...  ”  ชานยอลเม้มปากอีกรอบ ... ตามองเค้กสลับกับหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแว้บเข้ามาในหัว

                “นี่!!

                มือเรียวยื่นไปปาดเค้กที่เละไปครึ่งก้อนอีกครั้ง  และตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อจะแก้แค้นคนที่ทำให้เขาว้าวุ่น(?)   แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองอยู่นานแล้ว    มือแกร่งจึงคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ได้ก่อนที่นิ้วยาว ๆ ยื่นมาถึงเป้าหมาย มือแกร่งบิดข้อมือเล็กน้อยและพาเอามือเล็กหันกลับไปแปะครีมเค้กบนแก้มยุ้ย  และริมฝีปากสวยของเจ้าตัว

                “พี่ฟ่าน!!!

                    “เด็กน้อย... อย่าเล่นน่า โชรงจะโกรธเอานะ” คริสพูดนิ่ง ๆ ... มองหน้าที่เปื้อนเค้กเป็นวงกว้างแล้วพยายามกลั้นหัวเราะ    

                “ปล่อย”

                “ช่านเลี่ย... อย่าดื้อน่า”

    เด็กชายส่ายหน้าแรง  พยายามจะดันตัวเองไปแก้แค้นอีกฝ่ายให้ได้  แม้ว่าหนุ่มชาวจีนจะคว้าแขนทั้งสองข้างไว้แน่นก็ตาม  .... ตาคู่สวยเต็มไปด้วยความแค้นเคือง  ขาเรียวพยายามคุกเข่าขึ้นเพื่อดันตัวเองไปทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้แค้นอีกฝ่าย  ชานยอลที่ปากเปรอะเค้กลงทุนดันให้ปากยื่นไปข้างหน้าเพื่อให้เค้กที่ติดอยู่เลอะอีกฝ่ายจนได้

                คริสตกใจไม่น้อยกับความพยายามของชานยอล  ... โดยเฉพาะเมื่อริมฝีปากนิ่มฉกวูบมาบนแก้มเขาในทันทีที่เขาคลายมือออกจากข้อมือบาง... ร่างเล็กโผเข้ามาและตกอยู่ในในอ้อมกอดของเขาในเวลาต่อมา    

    ครีมสีขาวติดอยู่บนแก้ม หากสิ่งที่ฝังลึกอยู่ กลับเป็นไออุ่นบาง ๆ ที่ได้รับจากกลีบปากบางเฉียบ  รวมไปถึงกลิ่นแป้งเด็กจาง ๆ ที่ติดจมูก... 

                ท่อนแขนใหญ่ตวัดรอบเอวบอบบางและกระชับแน่นจนคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนออกจากวงแขนกว้างได้เลยแม้แต่น้อย  มือใหญ่ยึดร่างชานยอลขยับไม่ได้  และทำให้ดูเหมือนชานยอลเป็นฝ่ายกระโจนไปนั่งบนตักของคนตัวสูงเอง           

                “เอ่อ...ปล่อย”

                “อย่ายั่วพี่ได้ไหม ช่านเลี่ย” คริสกระซิบข้างใบหูที่กำลังขึ้นสีแดงจัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ...

    เด็กดื้อ....

                “ผมไม่ได้ยั่วสักหน่อย...” เจ้าตัวเล็กปฏิเสธเสียงสั่น   มือบางพยายามดันอกกว้างออกสุดแรง  

                “แบบนี้แหละ เค้าเรียกยั่ว”

                “เปล่านะ”

                “ไม่เปล่าล่ะ” 

                “พี่ฟ่าน! ” ชานยอลระเบิดเสียง แต่ไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น ...เพราะอู๋ อี้ฟานคลายอ้อมกอดออกพร้อมกับริมฝีปากที่ประกบลงบนเนื้อนิ่มในวินาทีต่อมา

                ชานยอลรับรสหวานมันของเค้กผ่านปลายลิ้นที่รุกล้ำเข้ามาอย่างจาบจ้วง หากอ่อนหวานยั่วเย้า และชักชวนให้เด็กหนุ่มเตลิดไปไกลกว่าที่คิดไว้ได้   ร่างกายของเขาเบาหวิว... และหนักหน่วงเกินกว่าจะบังคับให้ต่อต้านอีกฝ่ายได้อย่างใจคิด

                “อะ... อือ”

                คริสถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ... เขาจูบชานยอลเนิ่นนานจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหากไม่หยุดตอนนี้  เขาจะสามารถหักห้ามใจไม่ให้ทำอะไรมากกว่านี้ได้หรือเปล่า  ร่างเล็กในอ้อมกอดหายใจหอบ  ริมฝีปากแดงช้ำและสั่นระริกเพราะแรงบดขยี้ของเขา    

                ดวงตาคู่สวยปรือขึ้น  ประกายตื่นกลัวและสับสนทำให้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยบางที่กลีบปากบอบช้ำ  

                “ไม่ขอโทษนะ....”   

                “... ”

    “โกรธพี่เหรอ”

                “โกรธ”  เสียงแหบพร่าเอ่ยเบาหวิว...   ดวงตาแดงก่ำหลุบลงมองพื้นกระเบื้องเบื้องล่าง

                “แต่ไม่ได้เกลียดใช่ไหม”

                “..... ”

                “ถ้าเกลียด ถ้าไม่ชอบก็บอกมา...พี่จะได้ไม่ทำอีก... แล้วก็จะไม่มาอีก”

                คริสเอ่ย  ก่อนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับรอคำตอบ  .... หากชานยอลไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมามองเขา   

                “ถ้าไม่พูด พี่จะถือว่าเราอยากให้พี่อยู่ด้วย”

                “ใครอยากให้อยู่... ” 

                คริสยิ้มบาง ...  

                “ถ้างั้นพี่จะไม่มาอีก...  แล้วก็จะไม่มาเจอเราอีกตลอดชีวิต”

                ชานยอลหันขวับเมื่อได้ยินประโยคนั้น ... เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันจนอธิบายไม่ได้  ทั้งสับสน และผิดหวัง               

    “พี่ต้องการอะไร” ร่างบอบบางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา   “... รู้ไหมว่าผม...สับสน    เข้ามาวุ่นวายในชีวิตผม   เข้ามาทำให้คิดว่าพี่ชอบพี่โชรง... มาอยู่ใกล้ ๆ  แล้วก็มา..  ทำแบบนี้   ... อยู่ ๆ ก็บอกว่าจะไม่มาเจออีก... คิดอะไรอยู่  คิดว่าผมเป็นเด็กที่ปั่นหัวง่ายหรือไง”

    คริสส่ายหน้า  ก่อนค่อยคว้ามือเรียวบางมาไว้ในอุ้งมือของตน

                “เปล่าซะหน่อย .. พี่ก็แค่อยากบอกให้รู้เราว่าหลายเดือนที่ผ่านมา  พี่ไม่ได้มาเพราะโชรง...   ที่มาที่นี่ ที่ไปหาที่โรงเรียน  ที่ทำทุกอย่าง.... ก็เพราะเรา”

                ชานยอลเบือนหน้าหนี...   คริสที่กุมมือเล็กไว้บีบเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสนใจ

                “ช่านเลี่ย....  ฟังพี่หน่อยได้ไหม”

                “ก็ฟังอยู่”

                ปากช้ำอิ่มสวยบอกเย็นชา ก่อนเม้มสนิท ขณะที่พวงแก้มยุ้ยเต็มไปด้วยเลือดฝาด   คริสแทบห้ามใจไม่ไหวให้หยุดมองหน้าสวย ๆ นั้น  คิ้วบางได้รูปขมวดยุ่ง  หากยังไม่มีส่วนไหนบนใบหน้าที่ทำให้เขาหลงรักนั้นดูด้อยลงไปแม้แต่น้อย

                “พี่รู้ว่าเรายังเด็ก...”  

    “ผมไม่ใช่เด็ก”  ชานยอลสวนกลับ

    “ก็ดี... เพราะไม่เด็กแล้วพี่จะได้ไม่หยุดอยู่แค่จูบ”  คนแก่กว่าว่าหน้าตาเฉย

    “พะ... ไอ้พี่ฟ่าน“

    คริสวางมืออีกข้างลงบนฝ่ามือเล็ก... ดวงตาเข้มมองลูกแก้ววาววับที่กำลังกล่าวโทษเขาและยิ้มใส่ตาคู่นั้น         

                “พี่รับปากโชรงไว้แล้วว่าจะไม่รีบ  ไม่เร่งรัด  แล้วก็จะไม่บีบบังคับถ้าเราไม่เต็มใจ”

                “หมายความว่ายังไง” 

                “เอาหูมานี่สิ”

                เจ้าตัวเล็กหน้าบูดเล็กน้อย  เพราะตัวเองก็นั่งอยู่บนตักอีกฝ่ายอยู่แล้ว ไม่ได้ห่างอะไรเลย แถมทั้งห้อง ยังไม่มีใครนอกจากทั้งสองคน   แต่ด้วยความอยากรู้  ชานยอลจึงยอมเอียงหน้าไปให้อีกฝ่ายกระซิบ

                “ถ้า....”

                แก้มยุ้ยแดงเรื่อชัดขึ้นทุกประโยคที่ได้เสียงกระซิบอ่อนหวานดังที่ข้างหู ... แม้จะเบาแต่กลับชัดเจนทุกคำพูด

      

     

                แต่นั่น...เกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะถูกลบเลือนไปหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น....

                เสียงที่เปลี่ยนชีวิตชานยอลไปในเวลาต่อมา...

     



    TBC.


    ขอแบ่งเป็นสามตอนนะคะ ;)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×