คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Sunflower 2/3
ภายในห้องห้องทำงานโล่งกว้าง ไม่มีเสียงอะไรดังมากไปกว่าเสียงครางแผ่วเบาของเครื่องปรับอากาศ เสียงประตูและฝีเท้าของคนที่เข้ามาจึงเด่นชัดอยู่ไม่น้อย คริสละมือจากกรอบรูป ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยขณะหมุนร่างไปหาเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งทว่าผอมบางแม้จะอยู่ในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนา
“กินข้าวแล้วเหรอ” หนุ่มชาวจีนเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจนัก เรือนกายหนาเคลื่อนมายืนอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลมันวับ นิ้วเรียวยาวไล้ไปบนสันแฟ้มที่วางอยู่และมองมันอย่างพิจารณา ขณะรับฟังคำตอบจากเสียงเบาหวิวของคนอายุน้อยกว่า
“ฮะ... ”
“ใครมาส่ง...”
“เพื่อนฮะ...”
คำตอบทำให้ดวงตาสีเข้มทอแสงแรงกล้า รอยยิ้มบางปรากฎขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม...ทว่ามันคือรอยยิ้มกึ่งประชดประชันที่ทำให้บรรยากาศกดดันคุระอุยังคงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ
“พี่รู้จักไหม...”
“.. ”
“ว่าไงล่ะ” น้ำเสียงเย็นชาทำให้ชานยอลก้มหน้างุดกว่าที่เคย... ไหล่กว้างห่อลงอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มวัยทำงานกำมือแน่นขณะมองผิวหน้าขาวซีด และจมูกแดงจัดของอีกฝ่าย
“ช่านเลี่ย... ”
“ไม่ฮะ... เพื่อนที่มหาวิทยาลัย เรียนคณะเดียวกัน ก็เลยสนิทกันฮะ”
“สนิทกันถึงขั้นพามาส่งบ้านได้เลยเหรอ”
“..... ”
อู๋ ฟานกัดฟัน.... เมื่อไม่มีคำตอบใดออกมานอกจากเสียงลมหายใจที่แรงขึ้นของชานยอล
....
ชายหนุ่มมองและคิดถึงมินอาไปด้วย ... อยู่กับพี่เลี้ยงของเขาแค่ไม่เท่าไหร่ ชานยอลก็ขโมยหัวใจสุภาพสตรีวัยกลางคนไปจนหมด มินอารู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสที่จะมีทายาทเป็นของตนเองแล้ว หากหล่อนยังปรารถนาจะได้เลี้ยงดูเด็กชายจอมซนที่สดใสร่าเริงเสมอ
ชานยอลเติมเต็มชีวิตที่ขาดของมินอาจนอาจจะเรียกได้ว่าล้นปรี่... หล่อนทั้งรักและหวงเด็กชายราวกับลูกในไส้ จนแม้แต่เขาที่เป็นเจ้าของบ้านและอยู่ในฐานะผู้ปกครองของชานยอลเองยังไม่สามารถแตะต้องได้
บางที .... ชานยอลก็ควรรับรู้ได้แล้วว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะใจอ่อนกับคนไม่รับผิดชอบเพียงเพราะทำหน้าตาน่าสงสารแบบนี้
“วันนี้วันครบรอบของโชรง ทำไมถึงไม่รีบกลับ หรือว่าติดเพื่อนซะจนลืมพี่สาวตัวเอง”
เป็นครั้งแรกในวันนี้ที่ชานยอลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาตรง ๆ ... ดวงตากลมโตหม่นลงจนแทบไม่เหมือนชานยอลที่ทุกคนรู้จัก ประกายสดใสภายในลูกแก้วดำขลับหลงเหลือเพียงร่องรอยของน้ำใส ๆ ที่เอ่อคลอรอเวลาล้นออกมาข้างนอก
คริสขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อจับจ้องตาคู่ที่กำลังทอดมองเขาคล้ายกำลังบอกอะไรบางอย่าง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้าจนคนฟังรู้สึกเหมือนคนพูดกำลังจะขาดใจ
“ขนาดพี่ยังไม่ลืมเลย... ผมจะลืมได้ยังไงล่ะฮะ”
“ว่าไงนะ... ”
“ความจริง... ผมคิดว่าพี่ไม่ว่าง ก็เลยไปเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนพี่ฟ่าน” ชานยอลอธิบายพร้อมกับยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ทั้งฝืนและบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด....จนคนมองเองก็ไม่รู้สึกอยากยิ้มไปกับเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย
“คิดแบบนั้น ก็เลยปล่อยให้พี่......ให้มินอาคอยทั้งวันอย่างนี้เหรอ? โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง”
“ขอโทษฮะ แบตหมด.. ผมก็เลยไม่รู้จะทำยังไง พอโทรเข้าเครื่องน้ามินอาก็ไม่มีใครรับสาย”
ดวงตาสีเข้มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังกะพริบถี่ ริมฝีปากสีขาวซีดสั่นระริก หากชายหนุ่มตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใจอ่อน
“คิดบ้างหรือเปล่า...ว่าถ้าเราเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา พี่จะไปตามหาได้ที่ไหน.. คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าพี่หรือมินอาเป็นอะไรขึ้นมา จะให้คนในบ้านติดต่อเรายังไง.... คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น คนที่รออยู่จะเป็นยังไง”
ชานยอลหน้าซีดลงเรื่อย ๆ
“ขอ... ขอโทษฮะ ผม... ผมไม่ทันคิด”
“ไม่ทันคิดหรือไม่เคยคิด”
“พี่ฟ่าน...”
“มัวแต่สนุกจนลืมทุกคน... พี่เป็นโชรงคงดีใจแย่”
น้ำเสียงประชดประชันและวาจาเชือดเฉือนทำให้ชานยอลสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ... ทุกคำพูดของหนุ่มรุ่นพี่ล้วนแล้วแต่เสียดแทงเข้าไปถึงข้างในใจ... ดวงตาคมไม่มีความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงประกายดุดัน กราดเกรี้ยว... ราวกับพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำของชานยอลผ่านแววตาที่แสนเย็นชาคู่นั้น
คิดไปก็พบว่านานแล้ว... ที่เขาไม่พบรอยยิ้มบนใบหน้าคมเข้มโดดเด่นนี้
นานแล้ว.. ที่สายตาคู่นั้นเบือนหลบหน้าเขาไป และไม่จ้องมองเขาตรง ๆ
ยกเว้นเวลาที่โกรธจัดอย่างเช่นเวลานี้...
“จะเงียบแบบนี้อีกนานไหม”
“ขอโทษฮะ ผมขอโทษ”
ชานยอลก้มศีรษะลงอีก... หากคริสกลับส่ายหน้า และเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจนัก
“พี่ไม่ได้ต้องการคำขอโทษ... ” ชายหนุ่มเปิดแฟ้มตรงหน้า ... และเลื่อนออกจากตัว ตาสีเข้มจ้องมองคนอายุน้อยกว่าเขม็ง “แต่พี่ต้องการคำอธิบาย ว่าเอกสารพวกนี้คืออะไร ”
คนที่ถูกคาดคั้นเงยหน้ามองแค่ปราดเดียวก็รับรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการพูดถึงคือเรื่องอะไร ... สีหน้าของชานยอลเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“พ... พี่.. ผม”
“ถ้ามองไม่เห็นก็ขยับเข้ามาใกล้ ๆ ... พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่านี่มันคืออะไร เข้ามาสิ..”
ชานยอลไม่แม้แต่ขยับตัว... เด็กหนุ่มมองสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้ดูพร้อมกัดริมฝีปากแน่น ทั้งแววตาและน้ำเสียงของคนตรงหน้าล้วนแล้วแต่คมยิ่งกว่ามีด ... ราวกับคริสกำลังถือมีดกรีดแทงและจ้วงทำร้ายเขาในทุก ๆ คำพูด
แต่จะโทษใครนอกจากตัวเอง....
ไม่ต้องมองก็รู้ เพราะมันเป็นของเขาเองทั้งหมด
จดหมายสมัครงาน ... ประวัติ และเอกสารประกอบการขอทุน ... หนังสือสัญญาการเช่าห้องพัก ทุกสิ่งที่เขาวางแผนมาพักใหญ่ กองอยู่ตรงหน้าแล้ว
ชานยอลน่าจะรู้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ว่าไม่มีอะไรที่คนอย่าง ‘พี่ฟ่าน’ ของเขาทำไม่ได้
แม้กระทั่งทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดทรมานอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
“อยู่ที่นี่มันลำบากมากหรือไง ”
“...ผะ ” เขาพูดไม่ออก... เด็กหนุ่มกลืนสิ่งที่ติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากลงคอ ขณะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ทว่า... ตาคู่ที่เต็มไปด้วยความผิดหวังกลับทำให้น้ำตาที่คลออยู่หยดลงมาอาบแก้มในที่สุด
“... เกลียดพี่เหรอ”
“ไม่ใช่... มันไม่ใช่นะฮะ” พูดพร้อมส่ายหน้าและถอนสะอื้น... เด็กหนุ่มก้าวเท้ามาข้างหน้าอย่างอ่อนแรง และอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบหวิว
“ถ้าผมอยู่ด้วยตัวเองได้ ... พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับผมไงฮะ”
“ช่านเลี่ย”
“ผมทำให้พี่วุ่นวายมาตลอด.... มันนานมากแล้ว อีกอย่างผมก็โตแล้ว...ควรจะอยู่ได้ด้วยตัวเองซักที”
มือสั่น... น้ำตาไหล สิ่งที่พูดออกไปล้วนแต่ถูกเก็บซ่อนไว้มานานแสนนาน และเขาไม่เคยกล้าพูดมันออกมา
อย่างน้อย...
พี่จะได้ไม่ต้องลำบากใจที่เห็นหน้าผมอีก
“หยุดร้องไห้... เดี๋ยวนี้!”
เสียงทุ้มตะคอกดังลั่น จนชานยอลตกใจและรีบยกมือขึ้นปิดปากแน่นสะกดกลั้นเสียงสะอื้นของตน สีหน้าที่เย็นชาทำให้เขาอยากจะหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ...
ร่างสูงเพรียวสั่นสะท้าน... เด็กหนุ่มมองเห็นเพียงแค่ขายาว ๆ ของหนุ่มชาวจีนเท่านั้น... แต่ถึงกระนั้นสายตาที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างเงียบ ๆ ก็ทำให้เขามองภาพตรงหน้าไม่ชัดเอาเสียเลย
“ขอ.. ขอโทษฮะ... ฮะ... ฮ่า.. ผม..”
ด้วยความพยายามสุดหัวใจ ชานยอลพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนสถานการณ์ที่กำลังเคร่งเครียดในขณะนี้อย่างเต็มที่...แต่กลับไม่เป็นผลเพราะเสียงที่ออกมานั้นกลายเป็นแรงสะอื้นแทน
ใคร ๆ ต่างมองว่าเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริง....
แต่มีเพียงคนนี้... แค่คนนี้เท่านั้น ที่แค่มอง น้ำตาก็พาลแต่จะไหลออกมาง่าย ๆ
“...”
ชานยอลใช้เวลาเกือบนาทีกว่าที่จะฝืนตัวเองให้เก็บเสียงสะอื้นไว้ได้ ... ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวจึงสามารถเงยหน้าขึ้นมอง ‘ผู้ปกครอง’ ของตนเองได้
“ผมแค่คิดว่า...ถ้าผมไม่อยู่ตรงนี้แล้ว พี่อาจจะสบายใจ.. แล้วก็ จะได้ไม่ต้องคอยหลบหน้าผมอีก”
“ว่าไงนะ.... ช่านเลี่ย” คราวนี้คริสเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเองอย่างรีบร้อน น้ำเสียงของหนุ่มชาวจีนเต็มไปด้วยความขัดข้องใจ “พูดอะไรออกมา”
“พี่ไม่อยากเห็นผม...แต่ก็อยากมองคนที่อยู่ในตัวผมใช่ไหม”
“ช่านเลี่ย...”
“... ผมก็แค่.. แค่.... เผื่อพี่จะเห็นว่าผมไม่ใช่พี่สาว.... ไม่ใช่ ไม่ใช่คนที่พี่มองอยู่เลย” ชานยอลกลืนก้อนสะอื้นขม ๆ ลงคอ.. ร่างกายของเขาโอนเอน...ไม่มั่นคง เช่นเดียวกับสมองที่แทบจะไม่สามารถควบคุมได้ ทุกอย่างที่เคยคิดและเก็บไว้ในใจจึงพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“เราจะรู้อะไร... ช่านเลี่ย ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่าพูด... ”
“รู้สิฮะ..ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนที่พี่มองอยู่เป็นใคร ทุกวันนี้พี่มองใครอยู่ .. มองใครสักคน...ที่อยู่ในตัวผม”
“ช่านเลี่ย!!...”
“ตอนที่พี่มองผม... สายตาพี่ .. มันผิดหวัง แล้วก็คาดหวัง... ถ้าไม่ใช่พี่ที่ตาย...แต่เป็นผม พี่ก็คงมีความสุขมากกว่านี้ ..โอ๊ย!”
ชานยอลร้องด้วยความตกใจเมื่อต้นแขนทั้งสองถูกบีบแรงในวินาทีนั้น ... เขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าชายหนุ่มยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...
“พี่ฟ่าน...”
“พูดอะไรออกมารู้หรือเปล่า !!!”
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้
กี่เดือน.... หรือว่าเป็นปีแล้วก็ไม่รู้
ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้แค่นี้ ...อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่แค่จะก้าวเข้าไปอยู่เคียงข้างเขาก็ยังทำไม่ได้
“พี่บอกแล้วว่าให้คิดก่อนพูด... บอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องแบบนี้... เรื่อง... ”
“แล้วไม่จริงเหรอฮะ...” แรงบีบเพิ่มมากขึ้นราวกับกำลังจะดึงเอาเรี่ยวแรงของเขาออกไปเรื่อย ๆ เด็กหนุ่มอ่อนแรงเต็มที ... แต่ยังพูดออกไปทั้งที่กำลังสะอึกสะอื้นแทบขาดใจ
“ก็ไม่จริงน่ะสิ!!... ”
ชานยอลได้ยินเสียงตะโกน แต่เหมือนมันจะแผ่วเบาลงไปราวกับถูกปรับเสียงลง เขารู้สึกถึงไอร้อนวูบวาบที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง... หัวใจเต้นช้าลง ประสาทรับรู้ทุกอย่างคล้ายจะหยุดทำงาน
“พี่รักพี่โชรงไม่ใช่เหรอฮะ... รักมากไม่ใช่เหรอฮะ พี่ฟ่าน....”
บางที... เขาอาจจะเหนื่อยเกินไป
เหนื่อยเกินไปกับการพยายามใช้ชีวิตอยู่ด้วยการเป็นฝ่ายเฝ้ามอง... และถูกแผดเผาด้วยสายตาคู่นี้
กระทั่งอ่อนแรง... ไม่มีเหลือกระทั่งพลังที่จะยืนอยู่ได้
“..........................”
“พี่.... พี่ฟ่าน... ”
วินาทีนั้น... ชานยอลรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่กระจายเข้ามาโอบรอบทั้งตัว พร้อม ๆ กับได้ยินเสียงหัวใจที่ไม่เป็นจังหวะของตัวเอง
“ช่านเลี่ย... ได้ยินพี่หรือเปล่า”
ชานยอลปล่อยน้ำตาของตัวเองให้ไหลซึมลงไปกับผ้าเนื้อดี และอกกว้างที่แสนอบอุ่น ... ปล่อยร่างกายให้ดิ่งลงสู่หลุมอากาศว่างเปล่า มืดดำ และทิ้งความรู้สึกเหมือนกำลังร่วงคว้างจากหน้าผาลงสู่เบื้องล่างพร้อมด้วยสติที่ขาดหายไป
“ถ้า... พี่มองผมบ้าง มันก็คงจะดี”
♥
“บ้าจริง ๆ ”
เสียงทุ้มสบถเบาและกัดฟันกรอด ... ดวงตาคมเข้มทอดมองใบหน้าซีดเซียวของคนที่นอนหลับสนิทบนเตียงด้วยประกายวาววับ คริสนั่งบนเตียง ...ขณะที่สายตาพิจารณาแพขนตาหนา และเปลือกตาที่ปิดสนิทด้วยความรู้สึกผิด มือหนาที่กำแน่นตลอดระยะเวลาที่ต้องมองชานยอลถูกตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดค่อยคลายลง
นิ้วเรียวยาวเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลเข้มออกจากกรอบหน้ารูปไข่อย่างเบามือ ไอร้อนผ่าวยังคงแผ่ออกจากผิวขาวเนียนจนเขาสัมผัสได้ ชานยอลไข้ขึ้นสูงจนเขาตกใจ โชคดีที่นายแพทย์ฝีมือดีอย่างจุนมยอนยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน และไม่ได้หนักหนาขนาดที่เขากังวล คริสจึงค่อยโล่งใจ แม้จะอดโทษตัวเองไม่ได้ว่าปล่อยให้ชานยอลเป็นหนักขนาดนี้ได้อย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะ มินอาเองก็บอกเขาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะสะกิดใจได้ว่าทำไมเจ้าของร่างเพรียวบางจึงดูผิดปกติไป แถมหน้าที่ซีดเผือดนั่นอีก...
ทั้ง ๆ ที่อยู่ตรงหน้า...แต่เขากลับไม่ให้ความสำคัญกับชานยอลเท่าที่ควร ทั้งที่ควรปกป้องให้มากกว่านี้...
และดูแลให้สมกับที่รับปากโชรงเอาไว้แล้ว....
“เด็กบ้าเอ้ย” หนุ่มชาวจีนพูดเบาก่อนเลื่อนมากุมมือเรียวยาวไว้หลวม ๆ ฝ่ามือนุ่มอุ่นร้อนขึ้นเพราะพิษไข้
ชายหนุ่มกระชับมือสวยแน่นขึ้น...
คิดไปก็นานแล้ว ที่เขาไม่ได้กุมมือนี้
“ว่าตัวเองทำไมคะ คุณคริส”
เจ้าของชื่อสะดุ้งกับน้ำเสียงล้อเลียนของคนที่เข้ามาใหม่ ภาษาจีนคล่องปร๋อทำให้ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมามองร่างท้วมที่ก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนนักพร้อมกับถาดผ้าและอ่างสำหรับเช็ดตัวให้คนป่วย รอยยิ้มอ่อนหวานแต่แววตารู้ทันทำให้คริสอดถอนหายใจเบาไม่ได้ ... คริสสบตาพี่เลี้ยงของตน และส่ายหน้า
“มินอา... ”
เสียงทุ้มต่ำ และสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่ายทำให้หล่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนเอ่ยยอมแพ้
“ไม่พูดก็ได้ค่ะ มินอาให้คนไปส่งคุณหมอจุนมยอนเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณคริสอยากให้มินอาทำอะไรอีกไหมคะ ”
“ไม่ต้องครับ ขอบคุณมาก”
“ขยับออกมาก่อนสิคะ เดี๋ยวมินอาเช็ดตัวให้ช่านเลี่ยก่อน เด็กบ้าของคุณคริสจะได้ไข้ลดลง”
“มินอา...” คริสเม้มปาก ... แต่ไม่กล้าว่าอะไรพี่เลี้ยงที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของเขามากนัก มินอาอยู่กับเขามานาน... ทั้งยังรู้จักเขาดี บางครั้งก็ดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก สายตาของมินอาที่มองเขาอย่างในตอนนี้เต็มไปด้วยความสนุก จนบางทีเขาก็เกิดอาการ ‘ไปไม่เป็น’ เอาซะดื้อ ๆ
“เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กอายุสิบสี่ที่เพิ่งเคยมีความรักครั้งแรกได้ไหมครับ”
“อ้าว คุณคริสไม่ได้มีรักครั้งแรกตอนยี่สิบสี่เหรอคะ?? มินอาพลาดไปตั้งสิบปีเลยเหรอ” หญิงร่างท้วมเอ่ยหน้าตาเฉย
“มินอา... ” คริสกัดฟันอีกครั้ง ...
“มินอาล้อเล่นค่ะ อย่าซีเรียสสิคะ เดี๋ยวหน้านิ่วคิ้วขมวด ช่านเลี่ยตื่นขึ้นมาจะตกใจสลบไปอีกรอบ”
“เค้าคงชินแล้วมั้ง... ” คริสพูดเสียงเบา เพราะกลัวรบกวนคนป่วย ก่อนหันกลับไปมองหน้าสวยที่กำลังหลับพริ้มด้วยแววตาครุ่นคิด
“ก็คุณเอาแต่ทำหน้ายักษ์ให้ชานยอลดูนี่คะ... ถ้าลูกชายของมินอาไม่ทำตัวให้ชินก็คงต้องร้องไห้ทุกครั้งที่เจอแล้วล่ะค่ะ” มินอาพูดตรงประเด็น หล่อนเคลื่อนไปวางถาดในมือลงบนโต๊ะที่วางอยู่ไม่ห่างจากหัวเตียง และลากเก้าอี้สำหรับตัวเองมาใกล้หนุ่มวัยฉกรรจ์ พร้อมกับรอยยิ้มหวาน
คริสมองอดีตพี่เลี้ยงของตนที่สถาปนาตัวเองให้เป็น ‘แม่’ ชานยอลไปแล้วด้วยความรู้สึกที่อุ่นใจ อาจเพราะมินอาอยู่กับเขามานานเกือบเท่าอายุของเขาเอง... คริสจึงรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้พูดคุยกับหญิงวัยกลางคนในทุกเรื่อง
“ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง ... หน้าผมก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ชานยอลเห็นมาตั้งหลายปีแล้ว เค้าจะไม่ชินเลยเหรอ”
“แน่ใจเหรอคะ มินอาว่าไม่ใช่น้า...”
“มินอาหมายความว่ายังไง ... ”
“ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะว่าคุณเพิ่งเป็นแบบนี้ได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”
คริสขมวดคิ้ว... หนุ่มชาวจีนแทบนึกไม่ออกว่า ตัวเองทำตัวแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“แบบไหน”
“ก็หน้ายุ่ง มุ่งแต่งาน ไม่ยอมทำการบ้าน...” หญิงร่างท้วมลอยหน้าลอยตาพูดอย่างอารมณ์ดี จนคริสเกือบลืมตัวตะโกนสุดเสียงออกไป ... โชคดีที่หล่อนรีบทำท่าจุ๊ ๆ เรียกสติเขาไว้ ชายหนุ่มจึงพ่นลมหายใจแรงออกมาเท่านั้น
“มินอา!!”
“มินอาหมายถึงไม่ยอมกลับบ้าน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจช่านเลี่ย แถมยังหลบหน้าหลบตาบ่อย ๆ อย่างนี้ต่างหากล่ะคะ ช่านเลี่ยของคุณน้อยใจจะตายอยู่แล้ว... นี่ถ้ามินอาเป็นช่านเลี่ยนะคะ มินอาหนีออกจากบ้านไปตั้งนานแล้ว ”
“อย่าได้เอาความคิดแบบนี้ไปใส่หัวชานยอลเด็ดขาดเลยนะมินอา... ”
“กลัวน้องหนีไปจริง ๆ เหรอคะ...”
“....”
“คุณคริส”
หล่อนท้วงเสียงเรียบ ดวงตาอ่อนโยนมองเขาพร้อมกับยื่นมือมาวางที่ขาของเขาอย่างนุ่มนวล คริสพูดไม่ออก ... เพราะแค่ได้ยินคำถาม เขาก็ตื้อไปหมด
นานเท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้... ตอนที่เขาดุด่าว่าชานยอลไปครั้งใหญ่เพราะว่าตามหาเกือบทั้งวันแต่ไม่พบ ดูมินอาเองก็ตกใจ นับประสาอะไรกับคนถูกต่อว่า... นอกจากวันที่โชรงตาย คริสมีโอกาสเห็นชานยอลต้องร้องไห้ก็ตอนนั้น ไม่สิ...วันนี้ด้วย
แม้จะไม่อยากยอมรับ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเขากลัวอย่างที่มินอาพูดจริง ๆ
“เค้าคิดได้ยังไงว่าผมเบื่อเค้า... มินอา... เค้าคิดได้ยังไงว่าผม... ผมไม่เคยมองเค้าเลย”
“... ชานยอลยังเด็กนะคะ” มินอาแย้ง “ เลยยังคิดอะไรเด็ก ๆ อยู่บ้าง คุณเองก็เล่นไม่แสดงออกเลย ชานยอลจะไม่คิดมากได้ยังไงล่ะคะ ”
“ก็เพราะเด็กน่ะสิ.. เพราะเด็ก ผมถึงได้....” คริสกัดฟันกรอด ... และถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เขาเองก็จำไม่ได้ “บ้าชะมัด... แล้วเค้าไม่คิดหรือไงว่าผมต้องทนมากแค่ไหน.... ”
“มินอารู้ค่ะ มินอารู้” หญิงร่างท้วมบอกอย่างใจเย็น ก่อนถามกลับ “ ... แต่ช่วยคิดกลับได้ไหมคะ ว่าที่คุณคริสต้องทนมาจนถึงทุกวันนี้เพื่ออะไร”
“มินอา... หมายถึง”
“มินอาไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหมคะ ว่าที่คุณทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อ ‘ความสุข’ ของชานยอล ”
“ใช่... ผมถึงได้เป็นแบบนี้ไงล่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อชานยอล ...ป่านนี้.... ” คริสอึกอัก... ชายหนุ่มไม่เคยพลาดเรื่องการทำงาน ... ชีวิตของเขาราบรื่นแทบทุกอย่างมาตลอด คงมีแต่เรื่องนี้ที่ทำให้เขาคิดไม่ตกและแก้ไขไม่ได้เสียที
“เฮ้อ...พูดไปก็เท่านั้น ...ยังไงชานยอลก็ยังเด็ก”
“ชานยอลก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้นแล้วนะคะ” มินอาแย้งอีก และนั่นก็ทำให้คริสขมวดคิ้วยุ่ง
“ไหนเมื่อกี้มินอายังบอกผมอยู่เลยว่าชานยอลยัง...”
อู๋ อี้ฟานเอ่ยด้วยน้ำเสียงงุนงง หากหล่อนโต้กลับก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“เด็กในความคิดของมินอา...กับเด็กในโลกแห่งความเป็นจริงมันแตกต่างกันนะคะ”
“ยังไง”
“วันนี้ชานยอลอายุครบยี่สิบปีแล้วนะคะ .... ผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะแล้วด้วย แถมดูเหมือนจะคอแข็งใช่ย่อย” มินอาพูดพร้อมกอดอก และยืดตัวตรง สายตาที่มองคนป่วยเต็มไปด้วยความรักความผูกพันราวกับกำลังมองลูกชายจริง ๆ ... ปล่อยให้ชายหนุ่มใช้เวลานั้นคิดตามไปด้วยความเคร่งเครียด
“คุณเองก็เห็นว่าชานยอลโตขึ้นทุกวัน แล้วคุณยังจะยอมให้ชานยอลถูกคนอื่นคาบไปต่อหน้าต่อตาเหรอคะ อย่างเด็กคนที่มาส่งชานยอลวันนี้ก็ดู...”
“ไม่มีทาง!!!” คริสสวนในทันควัน รวดเร็วจนเขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่หลุดปากออกไป ...
นึกภาพเด็กชายผิวเข้ม ท่าทางแข็งแรงกระตุกยิ้มมุมปาก และขยับไปหอมแก้มชานยอลเหมือนอย่างที่เขาเห็นไปเมื่อเย็นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะแล้ว มาตรวัดความโกรธของเขาก็ดูจะพุ่งขึ้นสูงแบบหยุดไม่ได้ ... โชคดีที่เขายังเห็นว่าชานยอลดูไม่เต็มใจ เพราะคนของเขาผลักอีกฝ่ายเสียจนกระเด็นก่อนจะหนีออกมาจากรถทันก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ระงับอารมณ์ไม่ได้ด้วยการทำอะไรสักอย่างกับเจ้าเด็กหน้ากวนอารมณ์นั่น
“อือ... ”
เสียงครางแผ่วของชานยอลและมือที่กระตุกเบาทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปหาคนป่วย ร่างเพรียวบางกำลังพลิกตัว...และกระสับกระส่ายราวกับกำลังฝันร้าย หากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ก็ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าจุนมยอนให้ยานอนหลับชานยอลไปในปริมาณที่พอสมควร และย้ำกับเขาว่าเด็กหนุ่มไม่น่าจะตื่นขึ้นมาก่อนเช้าวันพรุ่งนี้
คริสบีบมือเรียวเบา ๆ และรอคอยจนกระทั่งชานยอลนิ่งสงบได้อีกครั้ง ... จึงหันกลับมาหาคนที่นั่งยิ้มแก้มปริอยู่เหมือนเดิม
“ผมจะไม่ดูเห็นแก่ตัวเกินไปเหรอ มินอา....อย่างน้อยชานยอลก็ควรจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองมากกว่านี้”
“แล้วทนได้เหรอคะ” มินอาปล่อยหมัดเนิบ ๆ เช่นเคย... แต่เป็นหมัดที่เสยปลายคางจนคริสน็อคลงไปคาเวที
“คุณคริสเคยเห็นดอกทานตะวันไหมคะ ...”
“ครับ...”
“เคยเห็นดอกทานตะวันหันหน้าไปหาอย่างอื่นนอกจากพระอาทิตย์ไหมคะ ... ”
“ไม่... ไม่เคย”
“นั่นล่ะค่ะ ชานยอล ...ต้องบอกไหมคะว่าใครคือพระอาทิตย์ของชานยอล”
คริสอึ้ง ลมหายใจกระตุก พร้อม ๆ กับหัวใจที่เต้นแรง
“แล้วถ้าคุณปลูกต้นทานตะวันแต่ไม่ยอมให้มันเห็นพระอาทิตย์ คุณคิดว่ามันจะยังมีดอกทานตะวันที่สวยงามได้ไหมคะ”
“มินอา”
หญิงร่างท้วมยืนขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พลางบิดตัวไปมาและอ้าปากหาว อดีตพี่เลี้ยงของคริสวางมือบนบ่ากว้าง และเอ่ยเป็นภาษาเกาหลีที่ชัดไม่แพ้กับภาษาจีน
“ดึกแล้ว .. มินอาชักง่วงแล้วล่ะค่ะ ฝากเช็ดตัวให้ชานยอลด้วยคงไม่ว่าอะไรมินอาใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มมองตาค้างกับประโยคนั้น และปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะในเวลาต่อมา
“ไม่หวงลูกชายเลยนะครับ”
“โอ๊ย มินอามีสิทธิแค่ห่วงเท่านั้นล่ะค่ะ คุณคริส ”
หล่อนยกมือขึ้นป้องปาก และพยักเพยิดไปที่ร่างเพรียวบางที่จมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาด้วยดวงตาระยิบระยับ
“ที่มินอาไม่กล้าหวง... ก็เพราะช่านเลี่ยเป็นของคุณคริสตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ”
คริสยิ้มมุมปาก ขณะมองตามร่างท้วมเดินนวยนาดไปที่ประตู และแทรกตัวเองออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแทบปั้นหน้าไม่ถูกก็คือเสียงกดล็อคประตูที่บอกให้รู้ว่านอกจากคนถือกุญแจอย่างมินอาแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถเปิดประตูห้องนี้จากข้างนอกได้ ....
คริสรู้ดีว่ามินอาไม่ค่อยถูกกับเลขาส่วนตัวของเขาเท่าไหร่นัก เพราะบริษัทของเขามีเครือข่ายอยู่เกือบทั่วโลก และจงแดก็ทำงานคุ้มค่าจ้างด้วยการทำตัวเป็นเลขาบ้างานที่สนใจแต่งานจนแทบจะไม่เคยดูเวลาเลย บ่อยครั้งที่หนุ่มร่างเล็กเดินไปปลุกเขาถึงเตียงนอนเพื่อให้เซ็นเอกสารสำคัญ หรือเข้าร่วมประชุมทางไกลในกลางดึก จนมินอาแทบจะขอให้ยามปิดประตูไม่ให้จงแดเข้าบ้านในกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง
สงสัยคราวนี้คงกลัวเขาถูกขัดจังหวะ!
หนุ่มชาวจีนยิ้มบาง ... ขณะมองใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามราวกับไม่ได้เป็นของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบหมาด ๆ ใบหน้าของชานยอลกับพี่สาวแทบไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าสวยได้รูป... เครื่องหน้าที่ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะดึงดูดสายตาเขาตั้งแต่วันแรกที่พบ ...
“ทานตะวันเหรอ... ”
นิ้วหัวแม่มือเคลื่อนช้าไปยังริมฝีปากอิ่มที่ซีดเซียว ... แม้จะแห้งแตกและไม่อิ่มน้ำเหมือนเคย แต่กลีบปากทั้งบนและล่างยังนุ่มนิ่ม กลับดูยั่วเย้าอยู่ในทีอย่างน่าประหลาด
หากเป็นอย่างที่มินอาพูด คริสเองก็พอเข้าใจว่าชานยอลรู้สึกเช่นไร
เพราะตัวเขาเอง... ก็ ทำได้แค่มองมานานไม่ต่างกัน
“จริงหรือเปล่า.... บอกพี่ทีสิ”
ริมฝีปากร้อนแนบลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา เนื้อนิ่มบดเบียดเชื่องช้า ก่อนเคลื่อนรุกเข้าไปสัมผัสและครอบครองพื้นที่ภายในโพรงปากแสนหวานและน่าค้นหาของคนที่กำลังหลับสนิท
เขาคิดมาตลอดว่าชานยอลยังเด็ก ยังเด็กมากเกินกว่าที่เขาจะแตะต้อง จนเกือบลืมมองไปว่าชานยอลอายุเท่าไหร่แล้ว
ทั้ง ๆ ที่เขาต้องการปกป้อง และทะนุถนอมชานยอลเอาไว้ให้มากที่สุด...
แต่ทุกคนกลับ...
“หวงก็ได้นะมินอา..ถ้าไม่หวงบ้างเลย ช่านเลี่ยจะแย่เอานะ”
♥
ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่เหนือริมฝีปากทำให้ตาคู่สวยลืมขึ้น ก่อนที่ชานยอลจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบกับใบหน้าคุ้นตาอยู่ห่างไม่ถึงคืบ.... ไม่สิ ใกล้จนเห็นชัดแม้แต่แพขนตาหนาและประกายลึกในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
“พี่ฟ่าน!!”
เด็กหนุ่มถอยกรูดทันที ... หากดูเหมือนจะเป็นการพาตัวเองไปติดกับอะไรบางอย่าง เพราะแผ่นหลังของเขาสัมผัสได้ถึงผนังแข็ง ๆ เย็นเฉียบ มือเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากโดยอัตโนมัติ.. รอยอุ่นยังคงอาบไล้ให้รู้สึกได้ชัดเจน ชานยอลเม้มปากแน่น เมื่อรับรู้ไดว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องถามอีกฝ่าย
โดยเฉพาะเมื่อคนอายุมากกว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษ... ”
“พี่ทำแบบนี้ทำไม....” ชานยอลตะโกนสุดเสียง “พี่ชอบพี่โชรงไม่ใช่เหรอ”
“พี่ไม่เคยพูดนะว่าชอบโชรง” คริสปฏิเสธ
“แต่... ที่ผ่านมา... ”
“คนที่พี่มองมาตลอด...ก็คือช่านเลี่ยต่างหากล่ะ”
“แล้วพี่โชรง...”
“ยัยนั่นสนใจพี่ซะที่ไหน .... ” คริสบอกหน้าตาเฉย ... ภาษาเกาหลีเขายังไม่ดีมากขนาดสื่อสารได้ทุกสิ่งที่คิด ชายหนุ่มจึงไม่รู้จะใช้คำพูดอ้อมค้อมไปเพื่ออะไร “ก็...พี่มาจีบน้องชายโชรงอยู่นี่นา ใครที่ไหนจะชอบ”
!!!
ตาคู่ที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีกจนคริสอดขำไม่ได้ ... เด็กน้อยมองเขาหน้าตาตื่น ตัวแข็งทื่อ ท่าทางตกใจ
“กะจะบอกตั้งนานแล้ว... แต่เรามัวแต่เข้าใจพี่ผิดอยู่นั่นแหละ”
“ไม่จริง!!”
“เอ้า พูดจริงก็บอกว่าโกหก... ต้องให้โชรงมายืนยันไหมจะได้รู้ว่าพี่ไม่ได้โกหก”
“ไม่นะ... ”เด็กน้อยตะโกนเสียงหลงอีก ... “ผมเป็นผู้ชายนะ” พูดแล้วฟันสวยเรียงเป็นระเบียบก็กัดปากตัวเองแน่นจนแทบห้อเลือด
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นผู้หญิงนี่นา... ” คริสหัวเราะ ดวงตาเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสนุกสนาน หากชานยอลชักสีหน้า และผลักอกคนตัวสูงเต็มแรง
“ตลกมากปะ ....ตลกมากไหมพี่ฟ่าน”
“ไม่ตลก... ”
“แล้วทำแบบนี้ต้องการอะไร .. รู้ว่าผมเข้าใจผิด แต่ก็ยังสนุกที่เห็นผมเข้าใจผิดงั้นเหรอ”
“อย่าเพิ่งโวยวายสิช่านเลี่ย”
“ออกไปเลย ...โอ๊ย ทำไมเค้กมาวางไว้อยู่ตรงนี้”เด็กชายวัย 16 ปีโวยวายลั่นอีกครั้งเมื่อมือปัดไปโดนเค้กก้อนโตที่วางอยู่ข้าง ๆ หน้ายุ่งบูดบึ้งเมื่อยกมือขึ้นมาและพบกับครีมเค้กสุดอร่อยที่เขาชอบติดขึ้นมาด้วย ...
ชานยอลมองเค้กวันเกิดของตัวเองตาละห้อย.. และหันมาต่อว่าคนต้นเรื่องเสียงดัง
“ไอ้พี่ฟ่านบ้า... เอาเค้กมาวางไว้ตรงนี้ทำไมเนี่ย!!! ถ้าพี่โชรงกลับมาจะทำยังไง!!! หา”
“เอ้า ก็เราบอกให้พี่เอาเค้กออกมาวางแต่ดันหนีมาหลับไง ... พี่ถึงบอกไงว่าอย่าเพิ่งโวยวาย ... เอาน่า พี่จำได้ว่ามีเค้กอยู่สองก้อน เดี๋ยวโชรงกลับมาเราเอาก้อนในตู้เย็นมาฉลอง”
“แต่ก้อนนั้นผมกะว่าจะเอาไว้กินพรุ่งนี้นะ”
“หมูอ้วน!”
“อย่ามาว่านะ... ” ชานยอลเม้มปากอีกรอบ ... ตามองเค้กสลับกับหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแว้บเข้ามาในหัว
“นี่!!”
มือเรียวยื่นไปปาดเค้กที่เละไปครึ่งก้อนอีกครั้ง และตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อจะแก้แค้นคนที่ทำให้เขาว้าวุ่น(?) แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองอยู่นานแล้ว มือแกร่งจึงคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ได้ก่อนที่นิ้วยาว ๆ ยื่นมาถึงเป้าหมาย มือแกร่งบิดข้อมือเล็กน้อยและพาเอามือเล็กหันกลับไปแปะครีมเค้กบนแก้มยุ้ย และริมฝีปากสวยของเจ้าตัว
“พี่ฟ่าน!!!”
“เด็กน้อย... อย่าเล่นน่า โชรงจะโกรธเอานะ” คริสพูดนิ่ง ๆ ... มองหน้าที่เปื้อนเค้กเป็นวงกว้างแล้วพยายามกลั้นหัวเราะ
“ปล่อย”
“ช่านเลี่ย... อย่าดื้อน่า”
เด็กชายส่ายหน้าแรง พยายามจะดันตัวเองไปแก้แค้นอีกฝ่ายให้ได้ แม้ว่าหนุ่มชาวจีนจะคว้าแขนทั้งสองข้างไว้แน่นก็ตาม .... ตาคู่สวยเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ขาเรียวพยายามคุกเข่าขึ้นเพื่อดันตัวเองไปทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้แค้นอีกฝ่าย ชานยอลที่ปากเปรอะเค้กลงทุนดันให้ปากยื่นไปข้างหน้าเพื่อให้เค้กที่ติดอยู่เลอะอีกฝ่ายจนได้
คริสตกใจไม่น้อยกับความพยายามของชานยอล ... โดยเฉพาะเมื่อริมฝีปากนิ่มฉกวูบมาบนแก้มเขาในทันทีที่เขาคลายมือออกจากข้อมือบาง... ร่างเล็กโผเข้ามาและตกอยู่ในในอ้อมกอดของเขาในเวลาต่อมา
ครีมสีขาวติดอยู่บนแก้ม หากสิ่งที่ฝังลึกอยู่ กลับเป็นไออุ่นบาง ๆ ที่ได้รับจากกลีบปากบางเฉียบ รวมไปถึงกลิ่นแป้งเด็กจาง ๆ ที่ติดจมูก...
ท่อนแขนใหญ่ตวัดรอบเอวบอบบางและกระชับแน่นจนคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนออกจากวงแขนกว้างได้เลยแม้แต่น้อย มือใหญ่ยึดร่างชานยอลขยับไม่ได้ และทำให้ดูเหมือนชานยอลเป็นฝ่ายกระโจนไปนั่งบนตักของคนตัวสูงเอง
“เอ่อ...ปล่อย”
“อย่ายั่วพี่ได้ไหม ช่านเลี่ย” คริสกระซิบข้างใบหูที่กำลังขึ้นสีแดงจัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ...
เด็กดื้อ....
“ผมไม่ได้ยั่วสักหน่อย...” เจ้าตัวเล็กปฏิเสธเสียงสั่น มือบางพยายามดันอกกว้างออกสุดแรง
“แบบนี้แหละ เค้าเรียกยั่ว”
“เปล่านะ”
“ไม่เปล่าล่ะ”
“พี่ฟ่าน! ” ชานยอลระเบิดเสียง แต่ไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น ...เพราะอู๋ อี้ฟานคลายอ้อมกอดออกพร้อมกับริมฝีปากที่ประกบลงบนเนื้อนิ่มในวินาทีต่อมา
ชานยอลรับรสหวานมันของเค้กผ่านปลายลิ้นที่รุกล้ำเข้ามาอย่างจาบจ้วง หากอ่อนหวานยั่วเย้า และชักชวนให้เด็กหนุ่มเตลิดไปไกลกว่าที่คิดไว้ได้ ร่างกายของเขาเบาหวิว... และหนักหน่วงเกินกว่าจะบังคับให้ต่อต้านอีกฝ่ายได้อย่างใจคิด
“อะ... อือ”
คริสถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ... เขาจูบชานยอลเนิ่นนานจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหากไม่หยุดตอนนี้ เขาจะสามารถหักห้ามใจไม่ให้ทำอะไรมากกว่านี้ได้หรือเปล่า ร่างเล็กในอ้อมกอดหายใจหอบ ริมฝีปากแดงช้ำและสั่นระริกเพราะแรงบดขยี้ของเขา
ดวงตาคู่สวยปรือขึ้น ประกายตื่นกลัวและสับสนทำให้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยบางที่กลีบปากบอบช้ำ
“ไม่ขอโทษนะ....”
“... ”
“โกรธพี่เหรอ”
“โกรธ” เสียงแหบพร่าเอ่ยเบาหวิว... ดวงตาแดงก่ำหลุบลงมองพื้นกระเบื้องเบื้องล่าง
“แต่ไม่ได้เกลียดใช่ไหม”
“..... ”
“ถ้าเกลียด ถ้าไม่ชอบก็บอกมา...พี่จะได้ไม่ทำอีก... แล้วก็จะไม่มาอีก”
คริสเอ่ย ก่อนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับรอคำตอบ .... หากชานยอลไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“ถ้าไม่พูด พี่จะถือว่าเราอยากให้พี่อยู่ด้วย”
“ใครอยากให้อยู่... ”
คริสยิ้มบาง ...
“ถ้างั้นพี่จะไม่มาอีก... แล้วก็จะไม่มาเจอเราอีกตลอดชีวิต”
ชานยอลหันขวับเมื่อได้ยินประโยคนั้น ... เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันจนอธิบายไม่ได้ ทั้งสับสน และผิดหวัง
“พี่ต้องการอะไร” ร่างบอบบางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “... รู้ไหมว่าผม...สับสน เข้ามาวุ่นวายในชีวิตผม เข้ามาทำให้คิดว่าพี่ชอบพี่โชรง... มาอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็มา.. ทำแบบนี้ ... อยู่ ๆ ก็บอกว่าจะไม่มาเจออีก... คิดอะไรอยู่ คิดว่าผมเป็นเด็กที่ปั่นหัวง่ายหรือไง”
คริสส่ายหน้า ก่อนค่อยคว้ามือเรียวบางมาไว้ในอุ้งมือของตน
“เปล่าซะหน่อย .. พี่ก็แค่อยากบอกให้รู้เราว่าหลายเดือนที่ผ่านมา พี่ไม่ได้มาเพราะโชรง... ที่มาที่นี่ ที่ไปหาที่โรงเรียน ที่ทำทุกอย่าง.... ก็เพราะเรา”
ชานยอลเบือนหน้าหนี... คริสที่กุมมือเล็กไว้บีบเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสนใจ
“ช่านเลี่ย.... ฟังพี่หน่อยได้ไหม”
“ก็ฟังอยู่”
ปากช้ำอิ่มสวยบอกเย็นชา ก่อนเม้มสนิท ขณะที่พวงแก้มยุ้ยเต็มไปด้วยเลือดฝาด คริสแทบห้ามใจไม่ไหวให้หยุดมองหน้าสวย ๆ นั้น คิ้วบางได้รูปขมวดยุ่ง หากยังไม่มีส่วนไหนบนใบหน้าที่ทำให้เขาหลงรักนั้นดูด้อยลงไปแม้แต่น้อย
“พี่รู้ว่าเรายังเด็ก...”
“ผมไม่ใช่เด็ก” ชานยอลสวนกลับ
“ก็ดี... เพราะไม่เด็กแล้วพี่จะได้ไม่หยุดอยู่แค่จูบ” คนแก่กว่าว่าหน้าตาเฉย
“พะ... ไอ้พี่ฟ่าน“
คริสวางมืออีกข้างลงบนฝ่ามือเล็ก... ดวงตาเข้มมองลูกแก้ววาววับที่กำลังกล่าวโทษเขาและยิ้มใส่ตาคู่นั้น
“พี่รับปากโชรงไว้แล้วว่าจะไม่รีบ ไม่เร่งรัด แล้วก็จะไม่บีบบังคับถ้าเราไม่เต็มใจ”
“หมายความว่ายังไง”
“เอาหูมานี่สิ”
เจ้าตัวเล็กหน้าบูดเล็กน้อย เพราะตัวเองก็นั่งอยู่บนตักอีกฝ่ายอยู่แล้ว ไม่ได้ห่างอะไรเลย แถมทั้งห้อง ยังไม่มีใครนอกจากทั้งสองคน แต่ด้วยความอยากรู้ ชานยอลจึงยอมเอียงหน้าไปให้อีกฝ่ายกระซิบ
“ถ้า....”
แก้มยุ้ยแดงเรื่อชัดขึ้นทุกประโยคที่ได้เสียงกระซิบอ่อนหวานดังที่ข้างหู ... แม้จะเบาแต่กลับชัดเจนทุกคำพูด
แต่นั่น...เกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะถูกลบเลือนไปหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น....
เสียงที่เปลี่ยนชีวิตชานยอลไปในเวลาต่อมา...
TBC.
ขอแบ่งเป็นสามตอนนะคะ ;)
ความคิดเห็น