คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [SF] Just Somebody {6th}
6th
taking a chance on love
“เป็นไงบ้าง... ไม่สนุกเหรอฮะ”
คริสสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนหันไปยังต้นเสียง ใบหน้าขาวจัดและหุ่นกระทัดรัดของจุนมยอนลอยเข้ามาในสายตา คริสยิ้มกว้าง พร้อมยกขวดเบียร์ในมือขึ้นชนกับเบียร์อีกกระป๋องที่เจ้าตัวถือรอไว้
“ก็โอเค... แต่พี่ชอบอากาศเย็น ๆ เลยมานั่งคิดอะไรข้างนอกนิดหน่อย” คริสตอบ และหันกลับไปมองฟ้ากว้างและท้องทะเลสีดำสนิทที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักด้วยสายตาครุ่นคิด ลมเย็นจัดพัดเข้ามาประทะผิวกายอย่างรุนแรง ... แต่หนุ่มชาวจีน สัญชาติแคนาดาคุ้นเคยกับความเย็นจนรู้สึกสบายใจที่จะนั่งตากอากาศอยู่ที่ริมระเบียง บ้านพักตากอากาศของจุนมยอนกินพื้นที่กว้างขวาง บ้านขนาดกลาง ไม่ได้โดดเด่นหรูหรา หากกลมกลืนและเข้ากับสภาพพื้นที่โดยรวม เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างที่ชานยอลอวดเขาไว้
อู๋ฟานเคยได้ยินว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าหนึ่งปีคนนี้เป็นลูกชายคนเดียวของรัฐมนตรีคนสำคัญของเกาหลี เขาจึงไม่แปลกใจกับเฟอร์นิเจอร์หรือแม้กระทั่งรถยุโรปคันงามในโรงจอดรถที่อาจเป็นรุ่นลิมิเตดแบบที่มีไม่กี่สิบคันในโลก และเจ้าตัวก็ไม่เคยแสดงความหยิ่งยโสในฐานะตัวเอง แถมยังมีน้ำใจด้วยการขนเพื่อน ๆ โฉบไปทุกที่โดยไม่มีหวง เรื่องกินยิ่งไม่ต้องห่วง ในฐานะคนอายุมากที่สุดในกลุ่ม จุนมยองยังเป็นเจ้ามือเลี้ยงเด็กเป็นประจำ จนทุกคนยกให้เป็นคุณพ่อของกลุ่ม
“ข้างในเป็นไงบ้างล่ะ” คริสถาม ... เขาปล่อยให้ชานยอลที่ไม่ยอมคุยกับเขาตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อเย็นไว้กับเพื่อนเพื่อความสบายใจของเจ้าตัว ... คริสรู้ขีดจำกัดของชานยอลดี เด็กร่างสูงคนนั้นไม่ชอบให้ใครเข้ามารุกล้ำการตัดสินใจของตัวเอง ... สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการให้เวลา และไม่บีบคั้นชานยอลมากเกินไป
“ก็... เมาเละ ทำตัวเหมือนไม่เคยกินเหล้ากินเบียร์ ซัดไปซะหนัก ตกลงผมพาพวกมันมาทำอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ” จุนมยอนตอบยิ้ม ๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนบันไดคันเดียวกับอีกฝ่าย
“ปล่อยไปเถอะ นาน ๆ ครั้ง... เห็นว่าชานยอลบอกว่าช่วงนี้เรียนหนัก ได้มีวันหยุดบ้างก็ดีแล้ว พักผ่อนให้เต็มที่”
“เพิ่งสอบเสร็จด้วย เลยปล่อยของกันหนัก... ข้างในก็มีแต่คยองซูด้วยที่พอไว้ใจได้ ซิ่วหมินกับจงแดนี่ไม่ต้องหวัง ตอนนี้พาไคไปเปิดเหล้าขวดใหม่แล้ว”
“อือ... เดี๋ยวพี่จะเข้าไปช่วยด้วยละกัน นี่ยังไม่รู้เลยว่าปกติชานยอลเมาแล้วเป็นยังไง”
“ก็น่าห่วงอยู่นะฮะ... โดยเฉพาะถ้าจับคู่กับแพคฮยอน” ประโยคสุดท้ายของจุนมยอนแผ่วเบาอย่างน่าประหลาด คริสเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความข้องใจ
“พี่ทะเลาะกับชานยอลเหรอฮะ....” ชายหนุ่มร่างเล็กถาม
“ทำไมรู้ล่ะ”
“ก็... ดูมึนตึงกันเล็กน้อย แถมชานยอลก็ดูจะดื่มหนักเหมือนกัน... ผมก็เลยสงสัยนิดหน่อย” เจ้าของบ้านสารภาพ
“ไม่มีอะไรหรอก... ไม่ถึงทะเลาะ แค่ปรับความเข้าใจไม่ตรงกัน ...จูนกันไม่ติดน่ะ” คริสว่าง่าย ๆ และถามต่อด้วยความสนใจ “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ... เมาหรือยัง พี่จะได้พากลับห้อง “
สีหน้าของจุนมยอนเจื่อนลงเล็กน้อย
“แย่กว่าเมาอีกฮะ.... ”
“ชานยอลทำอะไร”
“พี่รู้เรื่องแพคฮยอนกับชานยอลไหมฮะ”
“เรื่องที่แพคฮยอนรักชานยอลเหรอ....”
“มากกว่านั้นล่ะฮะ....” จุนมยอนเอ่ยเบา.. สีหน้าเรียบเฉย ทว่า คริสกลับเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฎอยู่ในตาคม
อะไรบางอย่างกระแทกเข้ามาในใจของหนุ่มชาวจีน ... ก่อนที่เขาจะเอ่ยอย่างยอมแพ้ ความจริงเลวร้ายกว่าการคาดเดาของเขามากนัก
“จะบอกพี่ว่า...สองคนนั้น... มีอะไรกันแล้วงั้นเหรอ”
“...”
จุนมยอนไม่ปฏิเสธ ... คริสจึงผ่อนลมหายใจออกอย่างแรง เขากำหมัดแน่น...
“บ้าชะมัด”
“แต่ชานยอลมันคิดกับแพคฮยอนแค่เพื่อน... เท่านั้น ”
“พี่ไม่คิดว่าชานยอลจะกล้าทำแบบนั้นได้... เด็กนั่นรักเพื่อนจะตาย....”
“.แพคฮยอน... หมอนั่นรักชานยอลจริง ๆ รักจนยอมทุกอย่าง... แม้แต่เอาหัวใจตัวเองไปช่วยเยียวยาให้ชานยอลหายดี ”
“ส่วนเด็กบ้านั่นก็....” คริสส่ายหน้า... และถามกลับด้วยความสงสัย “แล้วคิดยังไงเอามาเล่าให้พี่ฟัง”
“ผมอยากให้พี่ช่วย... ช่วยทำให้ชานยอลกลับมาเป็นปกติ” จุนมยอนถอนหายใจ และเอ่ยอย่างยอมจำนน “เพราะผมรู้ว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ....คนที่เสียใจที่สุดก็คือแพคฮยอน”
“มันเกิดขึ้นบ่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เฉพาะตอนที่ชานยอลเสียศูนย์ฮะ...”
จินมยอนพูดด้วยสิ่งที่รู้กันดี ...เช่นเดียวกับที่ทุกคนในกลุ่มรู้ ชานยอลที่แสดงความร่าเริงถึงขั้นบ้าคลั่งนั้นเป็นแค่เครื่องมือปกปิดความอ่อนแอของตัวเองเท่านั้น เพราะความจริงแล้วชานยอลไม่ใช่คนแบบนั้นเลย
“หมอนั่น... จิตใจอ่อนแอ”
คริสกระดกน้ำในกระป๋องเข้าปาก .. โดยแทบไม่รับรู้รสชาติใด ๆ ของมัน เขาไม่รู้ว่าควรจัดการความรู้สึกนี้อย่างไร
เขาไม่แคร์ว่าชานยอลผ่านใครมาบ้าง... แต่เขากลับรู้สึกแย่ที่เพิ่งเป็นฝ่ายรับรู้ว่าชานยอลอ่อนแอถึงขั้นนี้
เด็กน้อยของเขาซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมายแค่ไหน รอยยิ้มที่เขาเห็น ถูกฉาบเพื่อปกป้องภาพที่อ่อนแอไว้ขนาดไหน
หัวใจบอบช้ำของชานยอล... ถูกแสดงออกมาด้วยรอยยิ้มและท่าทางสดใสร่าเริงขนาดนี้ได้อย่างไรนะ
“พี่จุนมยอน....”
ระหว่างที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงคิดของตนเอง... เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ดังขึ้น ทั้งคริสและจุนมยอนหันกลับไป ก่อนจะพบกับสีหน้าไม่สบายใจของหนุ่มรุ่นน้อง
“คยองซู...”
“มันเข้าห้องไปแล้วล่ะ ...” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยเสียงอันแหบพร่า ... บอกเล่าสิ่งที่ทำให้คริสรู้สึกเหมือนกำลังกลืนก้อนหินลงไปในคอ “เมื่อกี้นี้เอง....”
คริสสบถเป็นภาษาจีน และลุกพรวดขึ้นแทบจะในทันทีที่ได้ยิน
“เมากันทั้งสองคนเลย ... ผมละสายตาไปดูจงอินแค่แว้บเดียว ก็เข้าห้องล็อคประตูไปแล้ว ขอโทษฮะ... ”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ... สองคนนั้นต่างหากล่ะที่ ...” จุนมยอนเดินไปตบไหล่คยองซู และปลอบเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิด... เพราะเขาฝากเอ่ยปากให้อีกฝ่ายช่วยดูแลสองคนนั้น ก่อนจะเดินมาคุยกับหนุ่มชาวต่างชาติ “อีกอย่าง... มันก็เป็นเรื่องของพวกเค้าสองคนด้วย”
“เด็กบ้า... ” คริสกัดฟันแน่น... ก่อนกระแทกขวดเบียร์ลงบนขอบไม้กั้นระเบียงจนกระป๋องอลูมิเนียมบิดเบี้ยวไปตามแรงบีบ
“พี่จะเข้าไปห้ามหรือเปล่า” จุนมยอนถาม...
“นายคิดว่าพี่ควรหรือเปล่าล่ะ...” คริสมองเข้าไปในบ้านและถอนหายใจแรง ...
“ไม่รู้สิฮะ... แต่ผมเอง...ก็อยากห้ามแพคฮยอนเหมือนกัน”
เจ้าของบ้านว่าพร้อมก้มหน้าลงต่ำ.. น้ำเสียงจริงจังจนคริสเองก็เชื่อเหลือเกินว่ามันไม่ได้มาจากความรู้สึกที่อยากปกป้องเท่านั้น....เป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่สัมผัสได้
ไม่ต่างจากที่เขามีให้ชานยอล
“ชานยอล....”
แพคฮยอนเอ่ยเสียงพร่า ลมหายใจแทบหยุดลงเมื่อเจ้าของชื่อขยับออกไปนั่งก้มหน้าที่ปลายเตียง คนตัวเล็กลุกขึ้น... และขยับไปกอดแผ่นหลังเปลือยเปล่า ก่อนซบหน้าลงบนเนื้ออุ่น
“เบียร์ไหม... ฉันออกไปเอามาให้
“อยากให้ฉันเมามากนักเหรอ” มือใหญ่คว้ามือข้างหนึ่งของแพคฮยอน ก่อนที่ชานยอลจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ชานยอล...”
“ขอโทษ.. ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากทำร้ายนาย” น้ำเสียงจริงจังทำให้แพคฮยอนส่ายหน้า
“นายไม่ได้ทำร้ายฉันเลยนะ... ”
ชานยอลส่ายหน้า มือหนาจับสาบเสื้อที่แยกออกของคนตัวเล็กให้กลับเข้ามาที่เดิม...ที่ ๆ ควรจะเป็น
“ฉันหลอกใช้นาย...นี่ยังไม่ทำร้ายอีกเหรอ แค่นี้ยังไม่รู้เหรอว่าฉันใช้ประโยชน์จากนายอยู่”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเต็มใจ!!!” แพคฮยอนตะโกน หากชานยอลกลับถอยออกมา และติดกระดุมกางเกงของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าเสื้อที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ลวก ๆ
“ขอโทษ... ขอโทษแพคฮยอน ฉันทำไม่ได้”
“เพราะเขาเหรอ....”
“เปล่า... เพราะตัวฉันเอง” ร่างสูงปฏิเสธ... ขณะหันหลังให้เขา แพคฮยอนเม้มปากสนิท และสะกดน้ำตาที่กำลังเอ่อท้นให้หยุดอยู่ที่ลูกแก้วใส
“นายเป็นเพื่อนฉัน... ขอโทษที่เอาเปรียบมาตลอด... ”
แพคฮยอนมองชานยอลเดินออกไปจากห้องพร้อมกับที่น้ำใส ๆ ไหลลงมาอาบแก้ม...
“ไอ้บ้า... มาพูดอะไรเอาตอนนี้”
แพคฮยอนครุ่นคิดถึงเรื่องระหว่างเขาและชานยอล มันเกิดขึ้นมาสามครั้ง... และแทบทุกครั้ง ชานยอลก็กำลังอ่อนแอ
เขารู้ดีแก่ใจว่าชานยอลเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันที่ปล่อยตัวมานอนกับเขา ... คนที่เป็นเพื่อนกันมานาน
“ฉันต่างหาก...ที่เอาเปรียบนาย”
ฉันต่างหาก...ที่หวังมาตลอด ว่านายจะหันกลับมามอง
ทั้ง ๆ ที่น่าจะรู้ตั้งแต่แรก...ว่าคนที่ไม่ใช่....ยังไงก็คงไม่ใช่
แพคฮยอน ...ไม่มีวันเป็นได้มากกว่าเพื่อนของชานยอลอยู่แล้ว
ร่างเพรียวออกมาจากห้องราวกับคนไม่มีสติ ... เขามองไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่ร่างสูงเด่นตระหง่านที่ยืนอยู่ กระทั่งชานยอลเดินเข้าไปชนจนถลาออกมา
ฝ่ามือหนาคว้าเอวคอดไว้ พร้อม ๆ กับที่ใบหน้าของอีกฝ่ายยื่นเข้ามาใกล้ ชานยอลชะงัก ... และดันอกคริสไว้เพื่อไม่ให้ใกล้กันมากกว่านี้
“เหม่ออะไรอยู่...หือ”
“อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“... เมื่อกี้นี้เอง”
คริสยิ้มบาง...
“ผมยังไม่ได้เมานะ ไม่ต้องมองหน้าแบบนั้น”
“รู้”
สีหน้าของคริสนิ่งเรียบจนชานยอลอึดอัด... ริมฝีปากของเขาสั่น
“ลืมรูดซิป ..เด็กเอ๋อ” คริสว่าง่าย ๆ มือเรียวยาวเลื่อนมารูดซิปกางเกงยีนส์ที่เปิดค้างไว้ขึ้น ... ชานยอลไม่ได้อาย... หากรู้สึกใจหายวาบ ก่อนมองตรงไปที่สายตาระดับเดียวกัน ... ประกายหวั่นไหวและเจ็บปวดฉายชัดอยู่ในนั้น จนเขาแทบหมดแรง
“ผม... ไม่ได้ทำอะไรนะ”
“พี่... พี่รู้”
ชานยอลกัดปาก... มองคริสนิ่งนาน กระทั่งคนอายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
เด็กหนุ่มคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายและโฉบริมฝีปากลงไปประทับบนกลีบปากร้อนผ่าว
จูบหนักกระแทกกระทั้นรุนแรงจนเขาได้กลิ่นเลือด ... หากชานยอลกลับไม่ยอมหยุด เช่นเดียวกับที่คริสบดขยี้ริมฝีปากเขากลับอย่างรุนแรงเช่นกัน คริสคว้าเอวชานยอลไว้แน่น และประคองสันกรามได้รูป เพื่อส่งเรียวลิ้นชื้นแฉะแทรกผ่านเข้าไปเกี่ยวตวัดกันอย่างโหยหา
ในวินาทีนั้น...ชานยอลแทบลืมไปแล้วว่าเพิ่งผละจากแพคฮยอนมาอย่างเลือดเย็น
“เพราะฮยอง... เพราะฮยองคนเดียว” เขาร้องไห้... ร้องออกมาราวกับคนบ้า “ผมเป็นบ้าก็เพราะฮยอง.. เป็นแบบนี้ก็เพราะพี่”
“อือ.. ”
คริสโอบชานยอลที่กำลังตะโกนลั่นเข้ามาซบที่ไหล่ ฝ่ามืออุ่นลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบประโลม ก่อนที่สายตาของใครบางคนที่อยู่ไม่ห่างจะทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย
แพคฮยอน....
ใบหน้าเล็กเรียวนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ... เด็กน้อยมองมาที่เขาครู่ใหญ่ และหันหลังไปในไม่ช้า ส่งผลให้จุนมยอนที่ยืนอยู่หน้าประตูเดินตามเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
“เข้ามาในชีวิตของผมทำไม... เข้ามาทำบ้าอะไร”
คำถามนั้นทำให้คริสหัวเราะเบา ในที่สุด... เขาก็ได้ยินคำถามนี้ คำถามที่เขาเฝ้าเตรียมคำตอบมานานมากแล้ว
“เข้ามาเพื่อรักเรายังไงล่ะ... ชานยอล”
อันที่จริง....
เขาได้คำตอบสำหรับคำถามนี้มาตั้งแต่ที่ได้พบชานยอลครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้... ไม่ง่วงเหรอ ”
คริสในชุดคลุมอาบน้ำเดินอกมาที่ระเบียง ... กลิ่นครีมอาบน้ำหอมฟุ้งจนชานยอลที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นกระเบื้องย่นจมูก สูดลมหายใจฟุดฟิด
“ไม่...” ชานยอลส่ายหน้า คริสวางมือลงบนผมสลวยที่ยังไม่แห้งสนิท และขยี้ไปมาจนแก้มใสพองลม
“สร่างเมาหรือยังอะเรา”
“เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เมา... ถ้าเมาคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
“แล้วมานั่งทำไมตรงนี้..”
“ลมมันเย็นดี... เห็นดาวด้วย เห็นทะเลด้วย พี่ว่ามันไม่สวยเหรอ ”
เด็กหนุ่มว่าพลางชี้ไปข้างนอก ...ความสูงบนตึกชั้นสิบเจ็ด ทำให้ภาพเบื้องล่างน่าสนใจสำหรับชานยอลอยู่ไม่น้อย ลมพัดแรง หากชานยอลกลับไม่อยากยอมแพ้ให้กับความเย็นเยียบที่คืบคลานเข้ามาโอบรอบตัว จนทิ้งภาพอันสวยงามของคืนเดือนมืดที่มีเพียงแสงดาว และแสงไฟกระจายมาจากตึกรามบ้านช่อง ฟ้าข้างบนปรากฏภาพแสงดาวเด่นชัดยิ่งกว่าที่เคย ทะเลสีดำสนิททอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา มีเพียงแสงดาวเท่านั้นที่ส่องสว่างเป็นประกายอยู่เบื้องบน ... แสงดาวที่ทำหน้าที่นำทางให้แก่ชาวประมงที่กำลังออกเดินทางอยู่กลางความมืดมิด
“มืดจะตาย... ” คนข้างตัวเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนทรุดตัวลงเคียงข้างคนที่นั่งกอดเข่ามองฟ้าด้วยแววตาที่ลึกล้ำ
“ยิ่งมืดสิยิ่งดี ดูสิ เห็นดาวโน่นไหม สว่างสุด ๆ ฮยองไม่เคยได้ยินเหรอ ...ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาวนะ”
“อืม... เห็นจริง ๆ ด้วย... ดาวสวยดีนะ”
“ดาวอยู่บนฟ้านะ มองผมทำไม? ” ชานยอลหันกลับมามองคนตัวสูงข้าง ๆ ที่จ้องเขาเขม็งด้วยความข้องใจ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้เด็กหนุ่มขยับตัวชิดบานเลื่อนกระจกโดยอัตโนมัติ...
“ ก็ตรงนี้ มีดาวอยู่ด้วยตั้งสองดวง ... ”
ชายหนุ่มมองนัยน์ตาใสแจ๋วของอีกคนที่ฉายชัดอยู่ภายใต้แสงสลัวและเอ่ยอย่างอารมณ์ดี คริสขยับยิ้มมุมปาก สรรพเสียงเงียบหายไปโดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัว ชั่วพริบตานั้นเองที่คริสขยับตัวตามสัญชาตญาณ แผ่นหลังกว้างเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบกริบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากชานยอล นอกเสียจากลมหายใจที่ขาดห้วงไป และเสียงแหบพร่าที่เอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัวนัก
“พี่... ค..คริส ”
คริสได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นจมูกชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าที่เคย ไออุ่นจากฝ่ามือเรียวบางที่เกาะกุมอยู่แน่นนั้นแผ่ซ่านเข้ามาพร้อมกับเหงื่อชื้น ๆ ที่ผุดพรายออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ สายตาคมเข้มจับจ้องที่เรียวปากอิ่มอย่างพิจารณา รูปหน้าเล็กราวกับตุ๊กตา เครื่องหน้าทั้งหมดกลมกลึงและอ่อนหวานราวใบหน้าของหญิงสาว โดยเฉพาะจมูกโด่งสวยที่โดดเด่น ลูกแก้วกลมโตสีเข้มทอประกายหวั่นไหว ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นมาสัมผัสแก้มนุ่มนิ่มพร้อมกับรอยยิ้ม ริมฝีปากของชานยอลสั่นระริกยามที่นิ้วหัวแม่มือของเขาเลื่อนไล้ผิวสีชมพูเข้มอย่างเบามือ
“รัก...”
เปลือกตาบอบบางเบิกกว้างเล็กน้อย ... ก่อนที่น้ำในดวงตาคู่สวยจะเคลื่อนไหวด้วยความตั้งใจที่จะทักท้วงด้วยความลำบากใจ
“ผมบอกแล้วไงว่า... ผม... ”
“ไม่ใช่ไม่ได้รัก... ไม่ใช่รักไม่ได้... แต่เพราะกลัวใช่หรือเปล่า”
“เปล่า”
“ปากแข็ง”
“เอ๊ะ ฮยองนี่ยังไง ก็ผมบอกแล้วว่า.....”
เมื่อเป้าหมายเริ่มเคลื่อนไหว คริสขยับพรวดเดียวเพื่อฉกเหยื่อตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ริมฝีปากรุ่มร้อนประกบก้อนเนื้ออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายพร้อมฝ่ามือที่เคลื่อนไปยึดที่ท้ายทอยอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ขยับหนี มืออีกข้างยึดฝ่ามือเล็กไว้กับพื้นเย็นเฉียบแน่นหนา
“นะ.. นี่ อื้อ... ”
เสียงทุ้มดังหวิวอยู่ในคอ ลมหายใจร้อนผ่าวหลอมรวมกันอยู่เหนือริมฝีปาก ความร้อนลามเลียจากกลีบปากที่ถูกครอบครองไปทั่วทั้งหน้า และคงไหลเวียนไปทั้งร่างหากอีกฝ่ายยังคงไม่หยุดฉวยโอกาสจากเขาแบบนี้ ฝ่ามือแกร่งที่ประคองท้ายทอยคล้ายจะบังคับให้เขารับสัมผัสที่แสนวาบหวามนั้นอย่างเอาแต่ใจ
แม้จะรู้ตัวดีว่าถึงคริสไม่ทำเช่นนั้นชานยอลเองก็แทบไร้เรี่ยวแรงเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาคมเข้มที่กำลังร่ายมนต์สะกดไม่ให้เขาเคลื่อนไหวได้เหมือนตอนนี้ ความชื้นแฉะและรสสัมผัสที่คุ้นเคยแทรกเข้ามาผ่านริมฝีปากที่เผยอออกอย่างไม่รู้สึกตัวแทบจะทำให้ชานยอลสำลัก ทั้งผ่าวร้อน อ่อนโยนและดุดันอยู่ในที แตกต่างจากจูบอันรุนแรงบ้างคลั่งเมื่อครู่ที่แล้วโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มได้กลิ่นเลือดจาง ๆ ที่ยังซึมอยู่ในปาก แม้จะเจ็บไม่น้อย ...หากทั้งคู่เลือกจะลืมเลือนมันไปในที่สุด
ชานยอลคว้าลำคอแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเป็นที่ยึดเหนี่ยว สมองที่เคยคิดจัดการอะไรต่อมิอะไรกลับว่างเปล่า เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเบาหวิวแผ่กระจายมาจากช่องท้อง ราวกับจะลูกโป่งนับล้าน ๆ ลูกเบียดกันอยู่ภายใน...และกำลังทำให้เขาลอยได้
ชานยอลไม่รู้อะไรเลย... ไม่รู้เลยว่าอู๋ฟานจะพาเขาไปยังทิศทางใด เรียวลิ้นที่รุกคืบเข้ามาทั้งเรียกร้องและตักตวงไปราวกับไม่ต้องการที่จะหยุด
ด้วยสติที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดในขณะนี้ก็ช่างยากเหลือเกินที่จะผลักไสหนุ่มรุ่นพี่ออกไปได้... ร่างกายอ่อนยวบยินยอมให้อีกฝ่ายดันจนติดประตูกระจกโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้... ดวงตาคมแบบชาวต่างประเทศมองเขาลึกซึ้งจนไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา...
“อะ... ”
ชานยอลเจ็บเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากล่างถูกขบเบา ๆ หากสิ่งที่ทำให้เขาตกใจกลับเป็นสิ่งที่สมองรับรู้จากความคิดนั้น
ไม่ใช่... ไม่ได้
“ไม่!”
ชานยอลผลักร่างสูงใหญ่ออกห่างทันทีที่สมองกลับมาทำงานอีกครั้ง ทว่าคริสแข็งแรงเกินกว่าที่เขาจะผลักไสให้ห่างออกไปได้อย่างที่ตั้งใจ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากตัวเองพร้อมคิ้วเข้มที่ขมวดยุ่งเป็นปมระหว่างคิ้วทั้งสอง เข่าทั้งสองยกขึ้นตั้งเพื่อกางกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามารุกล้ำอาณาเขตของตัวเอง ดวงตาที่เคยสดใสเต็มไปด้วยร่องรอยตื่นตระหนก.
คริสไม่ยอมผละออกมาจากร่างผอมเพรียว แต่เคลื่อนตัวออกเพียงเล็กน้อย และจับจ้องใบหน้าแดงก่ำสลับซีดเซียวอย่างพิจารณา นัยน์ตาหวาดหวั่นของชานยอลทำให้เขารู้สึกผิด....
เปล่าเลย... เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับการกระทำเมื่อครู่นี้ เพราะรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าชานยอลไม่ได้ปฏิเสธเขาเลย หนำซ้ำยังยินดีตอบรับโดยที่ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ...
“เฮ้อ...”
คริสถอนหายใจ ...ที่เขารู้สึกผิด... คงเพราะให้ความรักกับชานยอลไม่พอจะทำให้ ‘ลืมเลือน’ เรื่องที่ฝังอยู่ในใจได้สนิทอย่างที่คาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกได้...
“ใจแข็ง ปากแข็ง... แล้วก็ใจร้ายด้วย”
หนุ่มรุ่นพี่ตัดพ้อสีหน้าระรื่นจนเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัดปากตัวเอง ก่อนกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความเคืองแค้น
“บ้าเอ้ย... ฮยองบ้า ผมโกรธนะ... โกรธมากด้วย”
“เราก็อย่าเอ๋อใส่ฮยองสิ”
“ฮยองต่างหากที่เอ๋อใส่ผม” น้ำตาเม็ดโตหยดแผละออกมาจากดวงตากลมโตเป็นครั้งแรก ร่างเพรียวสูงสั่นระริก ก่อนที่แรงสะอื้นจะทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นเด็กชายปาร์ค ชานยอลอายุไม่เกินสิบขวบ เสียงทุ้มปนสะอื้นพูดตะกุกตะกัก กขณะที่มองคนตรงหน้าอย่างถือโทษ “ฮยองต่างหาก... ที่ใจร้ายกับผม”
อู๋ ฟานหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนส่งมือหนาไปเกลี่ยน้ำตาให้หนุ่มรุ่นน้องอย่างเบามือ ชานยอลไม่ปัดป้องสัมผัสนั้น ไม่มีปฏิกิริยาที่แสดงออกว่ารังเกียจ หรือต้องการให้เขาออกห่าง ... หากร่างที่สั่นสะท้านและกอดตัวเองไว้แน่นนั้นกลับเหมือนแม่เล็กที่ดึงดูดให้เขาอยากขยับเข้าไปใกล้เพื่อซับน้ำตา
ท่อนแขนแข็งแกร่งวาดเพียงครั้งเดียวก็ดึงร่างเพรียวบางที่ซ่อนอยู่ในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งเข้ามาในอ้อมกอดได้สำเร็จ คนอายุน้อยกว่าดิ้นอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีก็ยอมซบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาลงบนอกกว้าง
“บ้า... ฮยองบ้า... “
ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับเรือนผมสลวยที่ยาวจนเกือบประบ่าของคนในอ้อมแขนพร้อมสูดกลิ่นแชมพูบางเบาเข้าจมูก ฝ่ามือหนาค่อยลูบผมอย่างช้า ๆ ให้คลายจากแรงสะอื้น
“ชานยอล...”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกคนที่ซบอยู่บนอกแผ่วเบา หากไม่ทันที่จะพูดสิ่งใด ชานยอลก็ถามขึ้น
“ถ้าวันนึงพี่ทิ้งผมไปอีก... ผมจะทำยังไง”
คำถามนั้นทำให้คริสชะงึกกึก... จนต้องคลายอ้อมกอด และจ้องมองใบหน้าที่อาบชุ่มไปด้วยน้ำตา ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย ตาคู่ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นและไม่มั่นใจ ก่อนส่ายหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาคมเข้มส่งความหมายที่หนักแน่นประกอบคำถามด้วย
“เชื่อพี่ไหม...”
ลมหายใจของชานยอลขาดห้วงด้วยแรงสะอื้น... แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงอย่างชัดเจนเมื่อเขาพยายามกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นดังเกินกว่าคำถามของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มพยายามหลบตา หากมือที่ยึดไว้อยู่ที่ปลายคางกลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น
“เราเชื่อ... เชื่อพี่หรือเปล่า”
ชานยอลมองตาคู่ที่เคยทำให้หัวใจเขาเต้นแรง... ดวงตาที่เขาพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้เข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจเขามาตลอด...แต่ไม่เคยทำได้
“ผมเชื่อตัวเอง...”
ชานยอลรู้ตัวดี
เขาแพ้มานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ...
สิ่งที่พยายามปฏิเสธมาตลอด... พยายามที่จะโยนมันทิ้งไปเพื่อไม่ให้มันย้อนมาสร้างรอยแผลให้กับตัวเองเหมือนที่เคยเป็นมา กลับไม่สามารถทิ้งมันไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว...
วิธีการมากมายถูกนำมาใช้เพื่อหลบเลี่ยง...และแบกรับความรู้สึกที่อัดแน่นพวกนั้นภายใต้รอยยิ้มและความสดใสของตัวเอง
ครั้งนี้... ชานยอลตัดสินใจมาด้วยความรอบคอบ เ ขาตั้งใจมาเพื่อทดสอบหัวใจตัวเอง... ตั้งใจมาพิสูจน์ว่าตัวเองได้ถลำลึกลงไปมาแค่ไหนแล้ว จะได้หาทางกลับมาสู่สภาวะปรกติของตัวเองได้ถูก ชานยอลเดิมพันด้วยหัวใจตัวเองว่า...หากความรู้สึกของเขายังคงปรกติดี...และพบว่ามันเป็นแค่ความหวั่นไหวชั่วครั้งคราว ชานยอลคงหาวิธีการปฏิเสธแบบที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจได้ แต่หากมันเป็นความรู้สึกอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น เด็กหนุ่มก็พร้อมที่จะตัดใจ และปฏิเสธอีกฝ่ายให้เด็ดขาด
ทว่า... เหตุการณ์ตรงหน้ากลับทำให้ชานยอลรู้จักตัวเองกว่าที่เคยรู้
เขาไม่ได้เข้มแข็งเลยสักนิด.... เขาไม่ได้กล้าเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะยืมมือแพคฮยอนและเพื่อน ๆ มาช่วย แม้จะตั้งใจปฏิเสธคริสอย่างจริงจังแค่ไหน และแม้ว่าเขาจะวิ่งหนีผู้ชายคนนี้ต่อไปเขาก็ไม่มีทางชนะ
“ผมไม่อยากเชื่อใครอีกแล้ว“
“ชานยอล”
“ผมเชื่อตัวเอง...มาตลอด... “
ไม่มีทางเลย...ยิ่งพยายามหนี ก็เหมือนยิ่งติดกับ...และถูกฉุดเข้าไปในวังวนของคริสลึกลงไปอีก
ใบหน้าของคริสเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครา... ลมหายใจรุ่มร้อนแทรกผ่านอากาศหนาวเย็นมากระทบที่ริมฝีปากบางเบา ชานยอลสั่นระริก...
ยามที่เห็นแพขนตายาวหนาของอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ระยะลมหายใจ เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าเขายินดีบอกกับทุกคนบนโลกนี้ว่าเขาเกลียดคริส
“แล้วตอนนี้ล่ะ? ...”
เกลียดพอ ๆ กับที่เกลียดหัวใจตัวเอง!
ชานยอลสบถกับตัวเองอยู่ในใจ ขณะปล่อยให้ตัวเองอ่อนระทวยยิ่งกว่าเก่าเพราะถูกครอบครองอีกครั้งด้วยริมฝีปากที่แสนเอาแต่ใจของคนที่กำลังกอดเขาแน่น เป็นจูบที่นุ่มนวล และอ่อนหวานจนเพิ่มอุณหภูมิให้หัวใจของตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก
“พี่เข้าใจเรานะ ...” ชายหนุ่มกระซิบเบาที่ข้างหู ... กัดใบหูที่แดงก่ำอย่างหมั่นเขี้ยว มือทั้งสองกระชับร่างเพรียวบางในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก
“พี่ไม่เข้าใจหรอก” ชานยอลแย้ง
“พี่เข้าใจนะว่าทำไมเราถึงปฏิเสธพี่” เขารีบอธิบายเพิ่ม
“ไม่...พี่ไม่เข้าใจผม ไม่เข้าใจหรอก”
คริสยิ้มอยู่บนบ่าของคนตัวเล็กกว่า ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง..
“กลัวพี่ทิ้งไปขนาดนั้นเลยเหรอ หือ...”
ชานยอลสั่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้น แขนเรียวเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอของมิสเตอร์อู๋ฟาน
“แล้วจะทิ้งไหม?”
เป็นคำถามที่ทำให้หัวใจของคริสเกือบหยุดเต้น... สีหน้าของชานยอลจริงจังและเคร่งเครียดกว่าที่เคยเห็น ริมฝีปากนุ่มหวานที่เขาต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแค่คนเดียวเม้มสนิท
ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่หวาน ก่อนจูบเบาที่พวงแก้มยุ้ย และเลื่อนลงมาบดเบียดเนื้อนิ่มที่เหมือนกับรอเขาอยู่แล้ว
“ไม่... ไม่มีวัน”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา... เป็นภาษาเกาหลีที่คิดว่าเขาพูดได้ชัดเจนที่สุด
“พี่รักชานยอล”
คริสไม่ได้ยินคำตอบรับจากคนในอ้อมแขน... หากสิ่งที่ชานยอลแสดงให้เขาได้รับรู้กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว เรียวลิ้นชื้นแฉะตอบรับเขาอย่างไม่มั่นใจนัก เรียวแขนที่ยึดร่างเขาไว้แน่เป็นภาษารักที่ชัดเจนที่สุดของชานยอลเช่นกัน
“คนใจร้าย... ฮยอง... คนใจร้าย ”
รัก...
“ทำแบบนี้... ผมจะหยุดรักพี่ได้ยังไง ”
TBC.
ความคิดเห็น