ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Reflection {Krisyeol KaiBaek & etc.}

    ลำดับตอนที่ #1 : [Intro] Reflection

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 56


      

     

    Reflection

     
     

    Must there be a secret me
    I'm forced to hide
    I won't pretend that I'm someone else for all time.


    When will my reflection show
    who I am inside?

     

     

                           

     

     

     

               ในที่สุด...

                ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ...  ดวงตาสีนิลสนิทยังคงมองนิ่งอยู่ที่เป้าหมายเดิม  เหมือนที่มองมาตลอดหลายนาทีที่ผ่านมา  ร่างสูงใหญ่ยังคงยึดผนังสีขาวไว้เป็นอาณาเขตส่วนตัวและยืนกอดอกด้วยท่าทางสบาย ๆ  ปลายนิ้วสัมผัสวัตถุเย็นเยียบในอุ้งมือพร้อม ๆ กับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล

                ดวงตากลมโต ... สะท้อนร่องรอยเคร่งเครียด  ความวิตกกังวลที่ฉายอยู่บนใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้  เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มเสมอนั้นหม่นลง  ฝ่ามือทั้งสองประสานกันแน่นพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังวุ่นวายกับเล็บมือสั้นกุดราวกับตั้งใจจะถอดมันออกมาให้ครบทุกเล็บ     

                เขาจินตนาการไปถึงความคิดอันสับสนและหวาดกลัวของเจ้าของร่างโปร่งนั้น  อวัยวะภายในคงทำงานอย่างไม่เป็นระบบ  หัวใจคงเต้นแรงกว่าปกติ  ... ลมหายใจก็คงเข้าออกแบบไม่เป็นจังหวะ   ไม่มีสรรพเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูป  ชายในชุดลำลองธรรมดาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นก็ไม่ต่างกัน  ใบหน้าคมคร้ามนิ่งสงบ จับจ้องเพียงปฏิกิริยาของคนข้าง ๆ ไม่ต่างจากที่เขากำลังทำอยู่

                    ทุกคนล้วนแต่...เฝ้ารอ

                ต่อให้เป็นคนที่ชินชากับความสูญเสียแล้วก็ตาม  คงกระวนกระวายและตื่นกลัวกับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ข้างหลังประตูบานใหญ่นั้น นับประสาอะไรกับคนที่คุ้นเคยกับความสุขมาตลอดชีวิตอย่างคน ๆ นี้...

                เพียงครั้งแรกที่ได้มองเข้าไปในตาคู่นั้น... ชายหนุ่มก็รู้ในทันทีว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้เติบโตขึ้นมาในฐานะคนที่ได้รับความสุขจนเคยตัว

                ริมฝีปากที่แทบไม่เคยคลายจากรอยยิ้ม  ชีวิตที่ไม่เคยต้องพบกับความเศร้าสร้อย  หัวใจที่อาบด้วยความรักความปรารถนาดีของคนรอบข้างในตลอดชีวิต

                ดวงตาที่คงไม่เคยหลั่งน้ำตาแห่งความสูญเสียออกมา...

    เจ้าของร่างสูงโปร่งชอบยิ้ม... กลีบปากสีชมพูอ่อนคลี่ออก...  เช่นเดียวกับที่ประกายในดวงตากลมโตสะท้อนแสงไฟระยิบระยับเหมือนแสงดาวในรัตติกาลมืดมิด  

    เขาเฝ้ามองเนิ่นนาน

    มองรอยยิ้มกว้าง ๆ อวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ    มองความสดใสร่าเริงที่พร้อมจะหยิบยื่นให้กับทุกคนที่มองมา    ดูมีความสุขจนน่าอิจฉา

                อิจฉารอยยิ้มที่เหมือนไม่เคยได้พบกับความทุกข์  ราวกับเจ้าตัวได้ขโมยความสุขของคนทั้งโลกมาไว้เป็นของตัวเองแล้ว

    ซึ่งความสุขที่ว่า   อาจหมายรวมไปถึงความสุขของเขาด้วย

                “คุณ....”

                นานพอดู กว่าที่ใครอีกคนจะสังเกตเห็นการมีตัวตนของเขา  ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย  ดูเหมือนว่าหนุ่มผิวเข้มจะไม่ยอมละเลยที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเลยแม้แต่วินาทีเดียว

                    แววตาดุดันของคนทั้งสองประสานกัน...

                และนั่น...ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้การรอคอยของเขาสิ้นสุดลง

                เขายิ้มบาง  ก่อนพาขายาวก้าวตรงไปยังคนสองคน  ดูเหมือนร่างสูงโปร่งจะรู้ตัวในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น

                ตาแดงช้ำกะพริบถี่  ก่อนที่รอยยิ้มสดใสจะแย้มออกในทันทีที่เงยหน้ามองเขา   

                ยิ้ม... ที่ทำให้เขาประหลาดใจ

                แม้จะมีรอยหม่นซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย  แต่ในเวลาแบบนี้.. เขาไม่อยากเชื่อว่าคน ๆ นี้ยังจะสามารถยิ้มได้อยู่อีก?

                    “สวัสดีครับ”

    ปลายนิ้วเขี่ยวัตถุในมือที่แทบจะร้อนขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงสดใส  แม้จะมีร่องรอยแหบพร่า หากยังคงเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ และไม่รู้สึกถึงความเสแสร้งใด ๆ  

                    ชายหนุ่มปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่  

                เขาห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ความคิดที่ทำให้เขาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ...

                ในที่สุดก็ถึงวันนี้....

                    “ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”

                “เอ๊ะ?”

                “ตอนนี้คุณชานยอลไม่สะดวก ต้องการเวลาส่วนตัว รบกวนวันหลังนะครับ ”

                    แค่หลุดปากออกไปเพียงประโยคเดียว  หนุ่มหน้าเข้มร่างกำยำก็แทรกเข้ามาระหว่างกลางของคนทั้งสองในทันที  ฝ่ามือหนาผลักคนที่ต้องดูแลให้ขยับถอยหลัง และเผชิญหน้ากับเขาแทน  หน้าหล่อเหลา คมเข้ม เครื่องหน้าเด่นชัดและเหมาะเจาะ ทว่าบูดบึ้งราวกับพร้อมจะหาเรื่องทุกคนที่เข้ามาใกล้คนที่อยู่ข้างหลังทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย หากไม่ทำให้รอยยิ้มละไมเลือนหายไปจากเขาง่าย ๆ

                “จงอิน...” ชานยอลกระตุกแขนเสื้ออีกฝ่าย 

                    “ผมไม่ใช่แฟนคลับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ

                    “ผมรู้ว่าคุณเป็นนายแบบ...” ผู้จัดการหน้าบูดเอ่ยเสียงเรียบ   ”แต่โรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการยืนหล่อให้คนถ่ายรูปมากหรอกนะครับ”

                “ผมก็ว่างั้น ...แต่เผอิญผมไม่ได้มาถ่ายแบบ”

    “จงอิน... เสียมารยาทน่า” ชานยอลส่ายหน้า ก่อนดันตัวเองขึ้นมายืนที่เดิม  แม้จะรู้จักผู้จัดการสุดโหดของตัวเองดีก็ตาม  หนุ่มอายุเท่ากันไม่เคยปล่อยให้แฟนคลับเข้าชาร์ตเขาได้ในระยะประชิด จงอินทำหน้าที่ทั้งดูแลรักษาความปลอดภัยรวมไปถึงควบคุมตารางงานของเขาได้อย่างไม่มีที่ติ  ถึงจะถูกขนานนามจากแฟนคลับเขาว่าเมเนเจอร์หน้าโหดก็ตาม  แต่ปกติคิม จงอินไม่เคยเสียมารยาทแบบนี้กับคนในวงการ  “... ขอโทษนะครับ ผู้จัดการของผมคงจริงจังกับงานไปหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักครับ  ผมชานยอล  ปาร์ค ชานยอล”

    “ผมรู้จักคุณดี ...” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ ... ชัดเจน และก้องกังวานจนชานยอลรู้สึกแปลกใจ “ไม่สิ  ไม่มีใครในประเทศเกาหลีไม่รู้จักคุณหรอกครับ ”

    แปลก...

                ศิลปินดาวรุ่งมองคนที่อยู่ไม่ห่างด้วยความรู้สึกประหลาด   สายตาละเอียดจับจ้อง และพิจารณาชายแปลกหน้าอย่างใคร่ครวญ    อะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาเกาะกินในหัวใจ ...

                ชานยอลไม่อาจเรียกมันว่าสัญชาตญาณ ... แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไร

                    “ขอบคุณครับ”  เขาพึมพำขอบคุณ   ไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียวที่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นนายแบบ   และชานยอลเองก็เชื่อว่าอีกไม่นาน คน ๆ นี้จะโด่งดังเป็นพลุแตกแบบที่เขาเคยทำได้มาก่อน

                นอกจากรูปร่างหน้าตาที่เพอร์เฟ็คจนไม่ต้องพูดถึง ... ชายตรงหน้ายังมีคาริสม่า...   เสน่ห์ที่ไม่มีใครเหมือน รวมไปถึง... เวทย์มนต์

                สายตาคู่นั้น... ราวกับมีมนต์สะกดบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องจ้องมอง  และรับฟังอีกฝ่ายพูดอย่างเผลอไผล

                    หรือแม้กระทั่งทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายผิดปกติไป

                    “ผมให้ของคุณชานยอลได้ไหมครับ”

    ว่าแล้ว...  

                    ผู้จัดการหนุ่มลอบแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย

                ความจริงหมอนี่อาจจะเป็นซาแซงแฟนในรูปแบบของนายแบบหน้าใหม่ก็ได้

                หรือไม่...ที่เลวร้ายกว่านั้นก็อาจจะเป็นแค่วิธีการหาทางเข้าหาศิลปินที่มีชื่อเสียงติดลมบนแล้ว เพื่ออาศัยชื่อนั้นพาตัวเองไปสู่ระดับแถวหน้าของวงการ

    “ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าชานยอลยังไม่พร้อมที่จะรับของ ถ้าได้ร่วมงานกันคงมีโอกาสได้รู้จักกันมากกว่านี้  ขอตัวนะครับ”

                    จงอินตัดบท พร้อมก้าวเข้ามาขวางระหว่างคนทั้งสองอีกครั้งตามหน้าที่   รัศมีความไม่ปลอดภัยพุ่งเข้ามาในความคิดของเขาอย่างห้ามไม่ได้   แม้จะยอมรับในหน้าตาที่ราวกับถูกสลักเสลาด้วยช่างฝีมือระดับเทวดา  และรูปร่างที่สมบูรณ์แบบไม่ต่างจากคนที่เขาดูแลอยู่เลย  แต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยออร่าสีดำขุ่นมัวคล้ายกับจะอาบไล้อยู่เหนือร่างสูงใหญ่  ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย   แตกต่างจากออร่าความสุขสงบและบริสุทธิ์สดใสของชานยอลจนดูราวกับแสงสว่างและเงามืด               

    นอกจากสายตาไม่น่าไว้วางใจแล้ว ... สิ่งที่ห่อหุ้มร่างกายของนายแบบหนุ่ม ก็สะกิดใจเขาเช่นเดียวกัน

    ดูท่าทางชานยอลจะยังไม่ได้สังเกตอะไร  แต่จงอินกลับเห็นรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

    บนโลกใบนี้ มีคนที่แต่งตัวเหมือนกันก็มาก ...ทำสีผมเหมือนกันก็ไม่ใช่น้อย ๆ   แต่การที่จะทำตัวเหมือนใครสักคนตั้งแต่หัวจรดเท้า ... คงไม่ใช่เรื่องธรรมดานัก

    จงอินรู้สึกราวกับ... อีกฝ่ายกำลังจงใจทำอะไรบางอย่างที่เขาคาดเดาไม่ได้

                “ไม่เป็นไรครับ  แต่ถ้าตอนนี้ไม่สะดวก  ก็ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายยังคงยิ้มบาง น้ำเสียงบ่งบอกถึงการตัดใจ ... หากคนข้างตัวกลับเลือกวิธีที่ทำให้จงอินต้องกัดปากตัวเองด้วยความขัดใจ

     “ผมรับได้ครับ”

                    “ชานยอล!!”   จงอินพูดเสียงลอดไรฟัน  พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ...

                 “ขอโทษนะครับ... ที่ไม่ได้ห่อมาด้วย” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ  สีหน้าดีใจ  จนชานยอลยิ้มกว้างอีกครั้ง

                อยู่ ๆ เสียงหวาน ๆ ของสตรีที่สวยที่สุดในโลกของเขาก็ดังขึ้นมาในหัว 

                    รอยยิ้มของลูกจะทำให้ทุก ๆ คนมีความสุข เหมือนอย่างที่แม่มีมาตลอดชีวิต

                ไม่เป็นไร...  ถ้ารอยยิ้มของเขาทำให้คนอื่นมีความสุข  เขาก็พร้อมที่จะยิ้มต่อไป

                “ไม่เป็นไรครับ... ขอบคุณนะครับ คุณ.... ”

                ชานยอลตั้งใจจะถามชื่ออีกฝ่าย ... หากต้องหยุดชะงักในทันที  เมื่อก้มลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้   กระดาษเก่าสีซีดจนเหลืองดูผ่านระยะเวลาเนิ่นนานเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้า  มือเรียวยาวรับมันมา  ก่อนที่หัวใจจะเต้นไม่เป็นส่ำ  เมื่อพลิกอีกด้านหนึ่งให้ปรากฏต่อสายตา

    “และนี่...ของที่คู่กัน”

    ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ลมหายใจขาดห้วง  เมื่อมองไปที่สร้อยคอสีเงินเส้นเล็ก ประดับด้วยจี้เพชรสะท้อนแสงไฟสว่างวูบวาบจนแสบตา  

                “คนที่ให้ผม  เขาบอกว่าของสองอย่างนี้มีคู่ของมันอยู่...  ผมก็เลยคิดมาตลอด... ว่าคงดี ถ้ามันอยู่ที่คุณด้วย”

    สายตาของอีกฝ่ายราวกับจะพูดตามไปกับเสียงที่เขาได้ยิน  ชานยอลรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงเข้าไปอยู่ในตาลึกล้ำคู่นั้น คำพูดของคนตรงหน้าช้า  ชัด  และดังก้องจนเขาแทบไม่ได้ยินอะไรอื่น  แม้กระทั่งเสียงของผู้จัดการที่ดังขึ้น  

     “... ชานยอล คุณหมอ”

     

     

    ดวงตาของชานยอลพร่ามัว ... ร่างโปร่งบางโอนเอน คล้ายกับโลกกำลังเคลื่อนไหว  พื้นข้างใต้ก็ดูเหมือนจะไม่มั่นคง

     

    “แล้วก็คงจะดีกว่า ...ถ้าคุณช่วยมองผมสักครั้ง”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×