คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [Intro] Reflection
Reflection
Must there be a secret me
I'm forced to hide
I won't pretend that I'm someone else for all time.
When will my reflection show
who I am inside?
ในที่สุด...
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ... ดวงตาสีนิลสนิทยังคงมองนิ่งอยู่ที่เป้าหมายเดิม เหมือนที่มองมาตลอดหลายนาทีที่ผ่านมา ร่างสูงใหญ่ยังคงยึดผนังสีขาวไว้เป็นอาณาเขตส่วนตัวและยืนกอดอกด้วยท่าทางสบาย ๆ ปลายนิ้วสัมผัสวัตถุเย็นเยียบในอุ้งมือพร้อม ๆ กับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ดวงตากลมโต ... สะท้อนร่องรอยเคร่งเครียด ความวิตกกังวลที่ฉายอยู่บนใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มเสมอนั้นหม่นลง ฝ่ามือทั้งสองประสานกันแน่นพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังวุ่นวายกับเล็บมือสั้นกุดราวกับตั้งใจจะถอดมันออกมาให้ครบทุกเล็บ
เขาจินตนาการไปถึงความคิดอันสับสนและหวาดกลัวของเจ้าของร่างโปร่งนั้น อวัยวะภายในคงทำงานอย่างไม่เป็นระบบ หัวใจคงเต้นแรงกว่าปกติ ... ลมหายใจก็คงเข้าออกแบบไม่เป็นจังหวะ ไม่มีสรรพเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูป ชายในชุดลำลองธรรมดาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นก็ไม่ต่างกัน ใบหน้าคมคร้ามนิ่งสงบ จับจ้องเพียงปฏิกิริยาของคนข้าง ๆ ไม่ต่างจากที่เขากำลังทำอยู่
ทุกคนล้วนแต่...เฝ้ารอ
ต่อให้เป็นคนที่ชินชากับความสูญเสียแล้วก็ตาม คงกระวนกระวายและตื่นกลัวกับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ข้างหลังประตูบานใหญ่นั้น นับประสาอะไรกับคนที่คุ้นเคยกับความสุขมาตลอดชีวิตอย่างคน ๆ นี้...
เพียงครั้งแรกที่ได้มองเข้าไปในตาคู่นั้น... ชายหนุ่มก็รู้ในทันทีว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้เติบโตขึ้นมาในฐานะคนที่ได้รับความสุขจนเคยตัว
ริมฝีปากที่แทบไม่เคยคลายจากรอยยิ้ม ชีวิตที่ไม่เคยต้องพบกับความเศร้าสร้อย หัวใจที่อาบด้วยความรักความปรารถนาดีของคนรอบข้างในตลอดชีวิต
ดวงตาที่คงไม่เคยหลั่งน้ำตาแห่งความสูญเสียออกมา...
เจ้าของร่างสูงโปร่งชอบยิ้ม... กลีบปากสีชมพูอ่อนคลี่ออก... เช่นเดียวกับที่ประกายในดวงตากลมโตสะท้อนแสงไฟระยิบระยับเหมือนแสงดาวในรัตติกาลมืดมิด
เขาเฝ้ามองเนิ่นนาน
มองรอยยิ้มกว้าง ๆ อวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ มองความสดใสร่าเริงที่พร้อมจะหยิบยื่นให้กับทุกคนที่มองมา ดูมีความสุขจนน่าอิจฉา
อิจฉารอยยิ้มที่เหมือนไม่เคยได้พบกับความทุกข์ ราวกับเจ้าตัวได้ขโมยความสุขของคนทั้งโลกมาไว้เป็นของตัวเองแล้ว
ซึ่งความสุขที่ว่า อาจหมายรวมไปถึงความสุขของเขาด้วย
“คุณ....”
นานพอดู กว่าที่ใครอีกคนจะสังเกตเห็นการมีตัวตนของเขา ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหนุ่มผิวเข้มจะไม่ยอมละเลยที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเลยแม้แต่วินาทีเดียว
แววตาดุดันของคนทั้งสองประสานกัน...
และนั่น...ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้การรอคอยของเขาสิ้นสุดลง
เขายิ้มบาง ก่อนพาขายาวก้าวตรงไปยังคนสองคน ดูเหมือนร่างสูงโปร่งจะรู้ตัวในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น
ตาแดงช้ำกะพริบถี่ ก่อนที่รอยยิ้มสดใสจะแย้มออกในทันทีที่เงยหน้ามองเขา
ยิ้ม... ที่ทำให้เขาประหลาดใจ
แม้จะมีรอยหม่นซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย แต่ในเวลาแบบนี้.. เขาไม่อยากเชื่อว่าคน ๆ นี้ยังจะสามารถยิ้มได้อยู่อีก?
“สวัสดีครับ”
ปลายนิ้วเขี่ยวัตถุในมือที่แทบจะร้อนขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงสดใส แม้จะมีร่องรอยแหบพร่า หากยังคงเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ และไม่รู้สึกถึงความเสแสร้งใด ๆ
ชายหนุ่มปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่
เขาห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ความคิดที่ทำให้เขาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ...
ในที่สุดก็ถึงวันนี้....
“ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
“เอ๊ะ?”
“ตอนนี้คุณชานยอลไม่สะดวก ต้องการเวลาส่วนตัว รบกวนวันหลังนะครับ ”
แค่หลุดปากออกไปเพียงประโยคเดียว หนุ่มหน้าเข้มร่างกำยำก็แทรกเข้ามาระหว่างกลางของคนทั้งสองในทันที ฝ่ามือหนาผลักคนที่ต้องดูแลให้ขยับถอยหลัง และเผชิญหน้ากับเขาแทน หน้าหล่อเหลา คมเข้ม เครื่องหน้าเด่นชัดและเหมาะเจาะ ทว่าบูดบึ้งราวกับพร้อมจะหาเรื่องทุกคนที่เข้ามาใกล้คนที่อยู่ข้างหลังทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย หากไม่ทำให้รอยยิ้มละไมเลือนหายไปจากเขาง่าย ๆ
“จงอิน...” ชานยอลกระตุกแขนเสื้ออีกฝ่าย
“ผมไม่ใช่แฟนคลับ” ชายหนุ่มปฏิเสธ
“ผมรู้ว่าคุณเป็นนายแบบ...” ผู้จัดการหน้าบูดเอ่ยเสียงเรียบ ”แต่โรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการยืนหล่อให้คนถ่ายรูปมากหรอกนะครับ”
“ผมก็ว่างั้น ...แต่เผอิญผมไม่ได้มาถ่ายแบบ”
“จงอิน... เสียมารยาทน่า” ชานยอลส่ายหน้า ก่อนดันตัวเองขึ้นมายืนที่เดิม แม้จะรู้จักผู้จัดการสุดโหดของตัวเองดีก็ตาม หนุ่มอายุเท่ากันไม่เคยปล่อยให้แฟนคลับเข้าชาร์ตเขาได้ในระยะประชิด จงอินทำหน้าที่ทั้งดูแลรักษาความปลอดภัยรวมไปถึงควบคุมตารางงานของเขาได้อย่างไม่มีที่ติ ถึงจะถูกขนานนามจากแฟนคลับเขาว่าเมเนเจอร์หน้าโหดก็ตาม แต่ปกติคิม จงอินไม่เคยเสียมารยาทแบบนี้กับคนในวงการ “... ขอโทษนะครับ ผู้จัดการของผมคงจริงจังกับงานไปหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชานยอล ปาร์ค ชานยอล”
“ผมรู้จักคุณดี ...” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ ... ชัดเจน และก้องกังวานจนชานยอลรู้สึกแปลกใจ “ไม่สิ ไม่มีใครในประเทศเกาหลีไม่รู้จักคุณหรอกครับ ”
แปลก...
ศิลปินดาวรุ่งมองคนที่อยู่ไม่ห่างด้วยความรู้สึกประหลาด สายตาละเอียดจับจ้อง และพิจารณาชายแปลกหน้าอย่างใคร่ครวญ อะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาเกาะกินในหัวใจ ...
ชานยอลไม่อาจเรียกมันว่าสัญชาตญาณ ... แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไร
“ขอบคุณครับ” เขาพึมพำขอบคุณ ไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียวที่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นนายแบบ และชานยอลเองก็เชื่อว่าอีกไม่นาน คน ๆ นี้จะโด่งดังเป็นพลุแตกแบบที่เขาเคยทำได้มาก่อน
นอกจากรูปร่างหน้าตาที่เพอร์เฟ็คจนไม่ต้องพูดถึง ... ชายตรงหน้ายังมีคาริสม่า... เสน่ห์ที่ไม่มีใครเหมือน รวมไปถึง... เวทย์มนต์
สายตาคู่นั้น... ราวกับมีมนต์สะกดบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องจ้องมอง และรับฟังอีกฝ่ายพูดอย่างเผลอไผล
หรือแม้กระทั่งทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายผิดปกติไป
“ผมให้ของคุณชานยอลได้ไหมครับ”
ว่าแล้ว...
ผู้จัดการหนุ่มลอบแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย
ความจริงหมอนี่อาจจะเป็นซาแซงแฟนในรูปแบบของนายแบบหน้าใหม่ก็ได้
หรือไม่...ที่เลวร้ายกว่านั้นก็อาจจะเป็นแค่วิธีการหาทางเข้าหาศิลปินที่มีชื่อเสียงติดลมบนแล้ว เพื่ออาศัยชื่อนั้นพาตัวเองไปสู่ระดับแถวหน้าของวงการ
“ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าชานยอลยังไม่พร้อมที่จะรับของ ถ้าได้ร่วมงานกันคงมีโอกาสได้รู้จักกันมากกว่านี้ ขอตัวนะครับ”
จงอินตัดบท พร้อมก้าวเข้ามาขวางระหว่างคนทั้งสองอีกครั้งตามหน้าที่ รัศมีความไม่ปลอดภัยพุ่งเข้ามาในความคิดของเขาอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะยอมรับในหน้าตาที่ราวกับถูกสลักเสลาด้วยช่างฝีมือระดับเทวดา และรูปร่างที่สมบูรณ์แบบไม่ต่างจากคนที่เขาดูแลอยู่เลย แต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยออร่าสีดำขุ่นมัวคล้ายกับจะอาบไล้อยู่เหนือร่างสูงใหญ่ ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย แตกต่างจากออร่าความสุขสงบและบริสุทธิ์สดใสของชานยอลจนดูราวกับแสงสว่างและเงามืด
นอกจากสายตาไม่น่าไว้วางใจแล้ว ... สิ่งที่ห่อหุ้มร่างกายของนายแบบหนุ่ม ก็สะกิดใจเขาเช่นเดียวกัน
ดูท่าทางชานยอลจะยังไม่ได้สังเกตอะไร แต่จงอินกลับเห็นรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
บนโลกใบนี้ มีคนที่แต่งตัวเหมือนกันก็มาก ...ทำสีผมเหมือนกันก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่การที่จะทำตัวเหมือนใครสักคนตั้งแต่หัวจรดเท้า ... คงไม่ใช่เรื่องธรรมดานัก
จงอินรู้สึกราวกับ... อีกฝ่ายกำลังจงใจทำอะไรบางอย่างที่เขาคาดเดาไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าตอนนี้ไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายยังคงยิ้มบาง น้ำเสียงบ่งบอกถึงการตัดใจ ... หากคนข้างตัวกลับเลือกวิธีที่ทำให้จงอินต้องกัดปากตัวเองด้วยความขัดใจ
“ผมรับได้ครับ”
“ชานยอล!!” จงอินพูดเสียงลอดไรฟัน พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ...
“ขอโทษนะครับ... ที่ไม่ได้ห่อมาด้วย” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ สีหน้าดีใจ จนชานยอลยิ้มกว้างอีกครั้ง
อยู่ ๆ เสียงหวาน ๆ ของสตรีที่สวยที่สุดในโลกของเขาก็ดังขึ้นมาในหัว
‘รอยยิ้มของลูกจะทำให้ทุก ๆ คนมีความสุข เหมือนอย่างที่แม่มีมาตลอดชีวิต’
ไม่เป็นไร... ถ้ารอยยิ้มของเขาทำให้คนอื่นมีความสุข เขาก็พร้อมที่จะยิ้มต่อไป
“ไม่เป็นไรครับ... ขอบคุณนะครับ คุณ.... ”
ชานยอลตั้งใจจะถามชื่ออีกฝ่าย ... หากต้องหยุดชะงักในทันที เมื่อก้มลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ กระดาษเก่าสีซีดจนเหลืองดูผ่านระยะเวลาเนิ่นนานเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือเรียวยาวรับมันมา ก่อนที่หัวใจจะเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อพลิกอีกด้านหนึ่งให้ปรากฏต่อสายตา
“และนี่...ของที่คู่กัน”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ลมหายใจขาดห้วง เมื่อมองไปที่สร้อยคอสีเงินเส้นเล็ก ประดับด้วยจี้เพชรสะท้อนแสงไฟสว่างวูบวาบจนแสบตา
“คนที่ให้ผม เขาบอกว่าของสองอย่างนี้มีคู่ของมันอยู่... ผมก็เลยคิดมาตลอด... ว่าคงดี ถ้ามันอยู่ที่คุณด้วย”
สายตาของอีกฝ่ายราวกับจะพูดตามไปกับเสียงที่เขาได้ยิน ชานยอลรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงเข้าไปอยู่ในตาลึกล้ำคู่นั้น คำพูดของคนตรงหน้าช้า ชัด และดังก้องจนเขาแทบไม่ได้ยินอะไรอื่น แม้กระทั่งเสียงของผู้จัดการที่ดังขึ้น
“... ชานยอล คุณหมอ”
ดวงตาของชานยอลพร่ามัว ... ร่างโปร่งบางโอนเอน คล้ายกับโลกกำลังเคลื่อนไหว พื้นข้างใต้ก็ดูเหมือนจะไม่มั่นคง
“แล้วก็คงจะดีกว่า ...ถ้าคุณช่วยมองผมสักครั้ง”
ความคิดเห็น