ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Sunflower {KrisYeol}{รวมชอตฟิคคริสยอล}

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF] Sunflower 1/3

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 55


    มือเรียวสองข้างรวบช้อนส้อมด้วยกิริยาเชื่องช้า  ดวงตาหลุบลงต่ำเมื่อมองไปยังอาหารเช้าที่ยังเหลืออยู่เต็มจาน  แม้จะอดรู้สึกผิดกับคนทำไม่ได้   แต่ลำคอแห้งผาก และลิ้นชา ๆ ก็ดูจะไม่สามารถรับรสชาติอะไรของอาหารได้มากไปกว่านี้  แถมก้อนขม ๆ ที่อยู่ในคอเองก็คอยจะดันเอาอาหารที่กลืนลงไปกลับออกมาทุกที

                    “อิ่มเร็วจัง ... พักนี้ทานน้อยนะคะ  ไดเอทหรือเปล่าคะ” สตรีผู้มีหน้าที่ดูแลเขาโดยตรงเอ่ยขึ้นทันทีอย่างที่คิดเอาไว้  ชานยอลเงยหน้ามองหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับที่นั่งของเขาด้วยรอยยิ้มแห้งบนหน้าเจื่อน ๆ

                    “ขอโทษฮะ ... มันขมอยู่ในคอ  ทานอะไรไม่ลงเลย”

                    “ไม่สบายหรือเปล่า  เดี๋ยวน้าพาไปหาหมอดีกว่าค่ะ  ไหนเช็คดูซิ” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขัน รูปร่างท้วม หากปราดเปรียวปรี่มาทางเขาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ชานยอลจะตั้งตัว  เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อเมื่ออีกฝ่ายสะบัดมือตัวเองก่อนยื่นหลังมือมาวัดไข้กับหน้าผากของเขาเหมือนที่เคยทำ 

                    “ตายล่ะ  มีไข้รุม ๆ นะคะ ... ไม่ได้การแล้ว  วันนี้ไม่ไปมหาลัยได้ไหมคะ  น้าจะได้พาไปหาหมอตรวจเช็คอาการให้เรียบร้อย” พี่เลี้ยงร่างอวบตัดสินใจเร็ว  หากชานยอลกลับส่ายหน้าและบอกปฏิเสธแทบจะในทันที

                    “วันนี้ชานยอลมีสอบฮะ... เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วชานยอลแวะไปหาหมอที่โรงพยาบาลเองก็ได้ฮะ”

                    “แต่ว่า...”

                    “น้ามินอาฮะ... สอบตัวสำคัญด้วย  ถ้าขาดครั้งนี้ไป ชานยอลต้องติด F แน่ ๆ ”  เด็กหนุ่มมองหญิงตรงหน้าด้วยสายตาอ้อนวอน  สามปีที่อยู่ที่นี่มา ทำให้ชานยอลรู้ว่ามินอาเป็นพี่เลี้ยงที่เข้มงวด และดูแลเขาตามคำสั่งของอีกคนได้อย่างไม่มีที่ติ  หากมีอะไรที่จะกระทบกระเทือนถึงสภาพความเป็นอยู่หรือเกิดความผิดปกติทางร่างกายของเขาแม้แต่น้อย ทุกอย่างจะต้องได้รับการจัดการในทันที

                    จนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า... มันมากเกินไปหรือเปล่าสำหรับเขา?

                    “ไม่มีทาง... เดี๋ยวน้าจัดการให้ หนูก็รู้ว่าแค่คุณคริสเอ่ยปากคำเดียวก็หมดเรื่องแล้วค่ะ  ทางมหาวิทยาลัยไม่มีทางปล่อยให้คนของมิสเตอร์คริสต้องติด F หรอกค่ะ”

                    “น้ามินอา... ” ชานยอลโอดครวญ   แม้จะรู้ดีว่าบุคคลที่สามในบทสนทนาทรงอิทธิพลแค่ไหนก็ตาม   “ผมไม่อยากให้พี่ฟ่านถูกมองไม่ดีนะฮะ  ถ้าต้องทำอย่างนั้นขึ้นมา พี่ฟ่านต้องเสียผู้ใหญ่แน่ๆ ”

                       แม้จะไม่มีหัวทางด้านธุรกิจมากนัก  หากชานยอลรู้ดีว่าธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคของอีกคนนั้นใหญ่โตและมีเครือข่ายครอบคลุมมากขนาดไหน  เท่าที่รู้มาบริษัทนี้เป็นมรดกของครอบครัว  และมีเครือข่ายอยู่เกือบจะทั่วโลก  ศูนย์ใหญ่อยู่ที่จีน และแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา   แต่อู๋ อี้ฟาน พิสูจน์ตัวเองโดยใช้เวลาเพียงสามปีในการนำบริษัทเข้ามาในเกาหลี  จากบริษัทลูกที่แทบไม่มีชื่อเสียง กลายมาเป็นบริษัทที่ได้รับความเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ  จนบิดา และมารดาปล่อยมือให้ดูแลกิจการภายในประเทศด้วยตัวเอง   ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้มิสเตอร์คริส  หนุ่มจีนสัญชาติแคนาดาวัย 27 กลายเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งปี 

                    ชานยอลเม้มปากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้...   ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบและรูปร่างสูงใหญ่ราวกับนายแบบของอีกฝ่ายผุดขึ้นมาในหัว

    แถมยังติดอันดับหนุ่มในฝันของสาว ๆ ในเกาหลีซะด้วยสิ

    เขาในวัยไฮสคูลแทบไม่รู้มาก่อนเลยว่าอิทธิพลของชายหนุ่มแทรกไปแทบทุกหย่อมหญ้า  แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยที่ชานยอลอุตส่าห์ตั้งใจสอบเข้าได้ด้วยคะแนนสูงลิ่ว  เขาก็เพิ่งรู้ตอนที่ก้าวเข้าไปในนั้นว่าชื่อของคริสเป็นหนึ่งในบุคคลที่มอบทุนจำนวนมหาศาลให้กับทางมหาวิทยาลัย  แถมยังได้รับเชิญไปเสวนาในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยอยู่บ่อย ๆ

    ชานยอลพยายามทำตัวลีบและไม่ให้ใครสังเกตได้ว่ารถนำเข้าสีดำเคร่งขรึมพร้อมคนขับท่าทางจริงจังนั้นมาจากคฤหาสน์ของมิสเตอร์คริส   แต่ก็ยากที่จะปิดบังเหลือเกินโดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนของเขาที่ใช้ความสนิทสนมสืบเสาะจนรู้ความจริงในที่สุด 

     “ชานยอลจ๊ะ ... ชานยอล”

    จมอยู่ในภวังค์ไปนานแค่ไหน เขาไม่แน่ใจนัก   ชานยอลสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพี่เลี้ยงบีบไหล่เขาเบา ๆ

    “โอเคไหมจ๊ะ  น้าจะได้เรียนคุณคริสว่าหนูไม่สบาย ต้องไปหาหมอ”

    “...นะครับน้ามินอา ... ชานยอลขอวันเดียว  จะรีบไปสอบให้เสร็จ แล้วกลับมาเลย   สัญญาฮะว่าจะยอมให้น้ามินอาจับส่งคุณหมอเลย”

    “ยอมให้คุณหมอฉีดยาด้วยใช่ไหมคะ” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้ทัน  เป็นอันรู้กันดีว่าชานยอลเกลียดการกินยาและฉีดยามากแค่ไหน  การจะจับชานยอลเข้าโรงพยาบาลยากเสียยิ่งกว่าการจับลูกหมาอาบน้ำเสียอีก   

    “น้ามินอา T_T

    ชานยอลแบะปากเหมือนจะร้องไห้ ตากลมโตใสแจ๋วกระพริบปริบ ๆ อย่างน่าสงสาร มินอารู้จักนิสัยคนที่เลี้ยงมาเป็นอย่างดี  หากหล่อนก็ยอมปล่อยเด็กขี้อ้อนไปในที่สุด 

    “ถ้างั้นกลับมาพร้อมใบรับรองแพทย์มารับรองนะคะ  ไม่งั้นน้าจะเชิญคุณหมอมาถึงบ้านเลย”

    “ได้ฮะ”  เด็กหนุ่มบอกด้วยท่าทางกระตือรือร้นเช่นเคย  ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มขณะลุกพรวดขึ้นเต็มความสูง  หญิงร่างท้วมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตั้งแต่โครงหน้าสวยไร้ที่ติราวกับเด็กผู้หญิง  โดยเฉพาะดวงตาสองชั้นกลมสวยเป็นประกาย  จมูกโด่งได้รูปโดยไม่ต้องพึ่งมือหมอ  แถมริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูอ่อนเป็นธรรมชาติ   ใบหน้าจิ้มลิ้มขัดกับรูปร่างที่สูงใหญ่และน้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับเป็นคนละคน 

    “สูงขึ้นอีกหรือเปล่าคะเนี่ย...“

    “ แค่สองเซ็นเองฮะ... คงไม่สูงมากไปกว่านี้แล้วมั้ง ผมว่าจะหยุดดื่มนมแล้ว  สูงไปกว่านี้เดี๋ยวกลายเป็นยักษ์”   เจ้าตัวว่าพลางเกาหัวแกรก ๆ  ส่วนสูงล่าสุดที่เขาวัดมาคือ 186   ต่างจากตอนที่อายุ 16 เกือบยี่สิบเซ็นติเมตร  คนที่รู้จักเขาสมัยมัธยมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาโตไวมาก อาจเพราะอาหารการกินดีแถมสบายจนเกินเหตุ ร่างกายเลยเจริญเติบโตมากจนเกินไป  

    “จะสูงเท่าคุณคริสแล้วนะคะ   ดูเผิน ๆ เหมือนฝาแฝดกันเลยค่ะ”

    “ฮะฮ่า สงสัยพี่เค้ากลัวผมสูงกว่า เดี๋ยวนี้ถึงไม่อยากเจอหน้าผมเลย ..”  ชานยอลหัวเราะร่าเริง.... ใบหน้าสดใสคล้ายไม่คิดอะไร  หากน้ำเสียงกลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

    มินอาถอนหายใจแผ่ว... และเอื้อมมือไปบีบต้นแขนอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

    “ชานยอล...”

                    “วันนี้พี่ฟ่านก็ไม่อยู่อีกแล้วสินะฮะ”

                    “คุณคริสออกไปตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ   งานยุ่งทุกวันจ้ะ  หนูต้องเข้าใจนะ”

                    “ชานยอลเข้าใจฮะ”เด็กหนุ่มรีบบอก... หากดวงตาใสกลับเบนไปมองโคมไฟคริสตัลสวยที่อยู่มุมห้องอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดของเขาได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนทุกที  

    “แค่...  ผมก็แค่...   “

                จะพูดได้อย่างไร...  อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ  แต่ไม่พบกันเกือบสองอาทิตย์แล้ว

                จนอดคิดไม่ได้ว่า...  อีกฝ่ายจงใจหรือเปล่า

    “ไม่ได้เจอพี่ฟ่านเลย...”

                    “ชานยอล”

                    “บางที... ชานยอลอาจจะเป็นภาระของพี่ฟ่านจริง ๆ ก็ได้”

                    “น้าบอกแล้วไงคะว่าอย่าพูดแบบนี้...  ถ้าคุณคริสได้ยินต้องเสียใจแน่ ๆ นะคะ”

                    ชานยอลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้ยิน... ประโยคที่ตั้งใจจะพูดออกมาถูกกลืนหายไปพร้อมๆ  กัน

    ......

                ถ้าพี่ฟ่านไม่อยากให้ชานยอลอยู่ที่นี่เมื่อไหร่ก็รีบบอกเลยนะฮะ

                ชานยอลพร้อม... พร้อมที่จะไป

    อย่าคิดมากสิคะ ถึงจะเก็กหน้าขรึมไปอย่างนั้น แต่คุณคริสทั้งรักและห่วงหนูมากนะคะ” 

    ชานยอลสบตาอีกฝ่าย  ก่อนยิ้มบาง...

    เพียงแค่คิด  ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

                    “ต้องคิดสิฮะ... เพราะจนถึงวันนี้ชานยอลยังไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”        

     

     

     

     

                    มินอามองตามหลังของเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งไปจนกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว  ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังมองลูกชายอีกคน    แม้ว่าหล่อนจะทำหน้าที่พี่เลี้ยงของคริสมาเกือบยี่สิบปีแล้ว   แต่กับชานยอลที่ได้รับหน้าที่ดูแลใกล้ชิดมาแค่สามปี  มินอากลับรู้สึกผูกพันกับเด็กชายมากกว่า ...อาจเพราะสงสารชานยอลเป็นเด็กที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียมาตั้งแต่อายุยังน้อย  แถมเป็นเด็กที่ยังไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตัวเองเลย   

                    นึกไปถึงชายหนุ่มอีกคนที่เลี้ยงมาเองกับมือ มินอาก็อดส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจไม่ได้            

                    ไม่ไหวเลย

                    ถ้าคริสยังเป็นหนุ่มน้อยวันแรกรุ่นอยู่  มินอาคงไม่ลังเลที่จะเอื้อมมือไปบิดหูชายหนุ่มแรง ๆ สักทีเพื่อให้รู้ตัวสักทีว่ากำลังทำอะไรลงไป

                    “ปากก็บอกว่าอยากให้ช่านเลี่ยมีความสุข... แต่ขโมยรอยยิ้มน้องไปอีกแล้วนะคุณคริส ” หล่อนพึมพำ

     

     

     

     

                    “ที่นี่เหรอวะ... นี่มันบ้านหรือปราสาทเนี่ย...”

    คนข้างตัวเอ่ยอย่างตื่น ๆ  ก่อนดับรถเครื่องยนต์ลง  ชานยอลพยักหน้ารับคำเพื่อน พลางถอนหายใจแผ่วหวิวเมื่อมองผ่านกระจกออกไปยังแสงสว่างของบ้านหลังใหญ่ 

    เกือบสองทุ่มแล้ว...   ป่านนี้น้ามินอาคงจะรอแย่  เผลอ ๆ อาจจะวิ่งวุ่นโทรแจ้งตำรวจแล้วก็ไม่รู้  ชานยอลไม่เคยกลับบ้านคนเดียวในเวลามืดค่ำแบบนี้ด้วยสิ

    แต่ทำยังไงได้   ที่ ๆ เขาไปมันกับจงอินมันไกลไม่ใช่น้อยเลยนี่นา 

                    “จงอิน ...ขอบใจนะโว้ย  วันนี้เหนื่อยหลายเรื่องเลย ”

                    “ เออ ไม่เป็นไร...  ดีซะอีก  กูได้รู้จักมึงขึ้นกว่าเดิมเยอะ  ตอนแรกนึกว่าจะยิ้มเสียสติเป็นอย่างเดียวซะอีก”  จงอินยักคิ้วและเอียงหน้ากวน ๆ มาทางเขาพร้อมกับซบพวงมาลัย    ชานยอลหรี่ตาลงเล็กน้อยและย่นจมูกใส่  

    “เดี๋ยวเหอะ... กูอุตส่าห์พูดดี ๆ ด้วย”

                    เด็กหนุ่มผิวเข้มหัวเราะลั่นรถคันเก่าของตัวเอง  สีหน้าสดใสของจงอินทำให้ชานยอลยิ้มอวดฟันครบสามสิบสองซี่

                    “ไม่เป็นไร   มึงโอเคไหมวะ ยังคิดถึงพี่อยู่เหรอวะ”

                    “โอเคดี... ก็ยังคิดถึงบ้าง  กูมีพี่แค่คนเดียวนี่หว่า  แต่ไม่มีอะไรหรอก  กูเชื่อว่าพี่โชรงยังอยู่เคียงข้างกูเสมอ ตอนนี้ก็ด้วย...”

                    “ไอ้เชี่ย... มาพูดอะไรตอนมืด ๆ วะ กูยิ่งเสียว ๆ อยู่”  จงอินทำหน้าเหย  ก่อนบอกต่อไปเมื่อกวาดสายตามองกำแพงบ้านสูงใหญ่ตรงหน้า  “แต่มึงโชคดีนะ ยังเหลือญาติมีฐานะแบบนี้อยู่ด้วย อยู่สบายเลยสิ”

                    คนโชคดีรับฟังก่อนดึงกระเป๋าเป้มากอดไว้แน่น... หน้าสวยคลี่ยิ้มบาง  ดวงตาคู่ใสสะท้อนประกายลึกเมื่อเพื่อนสะกิดความคิดบางอย่างให้กวนขุ่นขึ้นมา 

                    “ใช่... โชคดีมาก...”

                    โชคดีจนต้องถามตัวเองหลายครั้งว่าทำไมเขาถึงโชคดีขนาดนี้...

                    มีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มวัย 27 ปี รับเลี้ยงดูเด็กผู้ชายอายุแค่ 19 มานานเกินกว่าสามปีแล้ว  

                    กับเด็กคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่น้อย...

                    ไม่สิ...จะว่าไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้

                    แต่ก็เป็นแค่....  น้องชายของแฟนเก่า

                แฟนเก่าที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำ

                   

                “ชานยอล... ชานยอล” 

                    ชานยอลหน้าเบ้ เด็กหนุ่มเอามือยันคนที่ตะโกนแหกปากข้างหูเขาออกห่าง เพราะเสียงทุ้มต่ำของจงอินดังลั่นจนแสบแก้วหู    

                    “ไอ้บ้า ... เรียกซะตกใจหมด”

                    “ก็มึงไม่ได้ยินนี่หว่า” จงอินบ่นอุบ ... ก่อนทำหน้ากระตือรือร้นเมื่อพูดถึงประโยคต่อมา  “เรื่องที่กูคุยกับมึงวันก่อน ตกลงว่าไงนะ”

                    “เรื่อง?... ” ชานยอลทำหน้าสงสัย  “อะ...  เอ่อ  เรื่องนั้น ”

                    “โหย...  กูซีเรียสนะนี่  เกิดมากูยังไม่เคยหน้าด้านขอใครคบแบบนี้มาก่อนเลยนะ  อย่ามาทำหน้างงได้ปะชานยอล”

                    “ก็มึงล้อเล่นไม่ใช่เหรอวะ” คนถูกขอคบทำหน้าตื่น ... ให้ตายเถอะ   ใครจะไปรู้ว่าไอ้หน้ายิ้ม ๆ ตากรุ้มกริ่มอารมณ์ดี แถมยังเจ้าเล่ห์แบบนั้นจะพูดจริง

                    จงอินเป็นเพื่อนคนแรกที่รู้จักในมหาวิทยาลัย  ถึงคบกันไม่กี่เดือนแต่ความสนิทสนมก็มากพอสมควร   อาจจะมากกว่าเพื่อนหลาย ๆ คนของชานยอลที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถมด้วยซ้ำไป   หมอนี่ชอบพูดจาขวานผ่าซาก... ทำหน้ากวนส้นเท้าตลอดเวลา  แถมยังชอบล้อเล่นอยู่เรื่อย

    แล้วไอ้ประโยคคำถามที่ว่า มึงมีแฟนหรือยัง   ที่เขาส่ายหน้าปฏิเสธไป และประโยคต่อมาที่ว่า   ...ถ้าไม่มี งั้นก็มาเป็นแฟนกูดิ

                    ประโยคพวกนี้...  พอคนหน้านิ่ง ๆ อมยิ้มบาง ๆ พูด มันเลยไม่ได้ทำให้ชานยอลรู้สึกถึงความจริงจังแม้แต่น้อย

                    กระทั่งชานยอลเห็นจงอินทำหน้าเซ็ง เขาจึงยอมเชื่อในที่สุด

    “ถ้าพูดเล่นกูจะถามมึงอีกรอบเหรอ”  คนถามเอ่ยด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ “มึงนี่มันไม่โรแมนติกเลยเหอะชานยอล”

    “กูเป็นผู้ชาย...” เด็กหนุ่มตอบนิ่ง ๆ  รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย 

    “แล้วมึงไม่ได้ชอบผู้ชายหรือไงวะ ”

    ชานยอลสะดุ้ง   ก่อนร้องเสียงหลง “กูไม่ใช่เกย์!!!

     “กูก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...  อีกอย่างกูไม่ได้ชอบที่มึงเป็นเกย์นี่หว่า  กูให้เวลามึงไปคิดอีกสามวันแล้วกัน  ถ้ามึงปฏิเสธกูก็ไม่ว่า กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้“  จงอินพูดง่าย ๆ โดยไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าฝ่ายคนถูกสารภาพรักแสดงสีหน้าอย่างไร

    ชานยอลปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับท่าทางสบาย ๆ เหลือเกินของอีกฝ่าย ...

                    “นี่มึงจริงจังบ้างปะ”

                    “จริงจังดิ  มึงไปคิดมาดี ๆ แล้วกัน... แต่เรียนปานกลาง  กีฬาเด่น หน้าตาดี มีรถใช้แบบกูหาไม่ได้ง่าย ๆ นะโว้ย”

                    หน้าสวยวาดยิ้มกว้าง  เขาขำพรืดกับคำบรรยายสรรพคุณของเจ้าของรถ

    “รถบุโรทั่งนี่นะ  น่าสนใจตาย”  ชานยอลแลบลิ้นให้คนขี้อวด  แต่จงอินกลับยักไหล่และอวดต่อ

    “เก่าแต่คุณภาพดีนะน้อง ”

    ชานยอลยิ้มจนแก้มปริ...  จงอินมีดีตรงนี้  อยู่ด้วยเมื่อไหร่ก็ทำให้รู้สึกสบายใจได้เสมอ   ถึงจะตลกไม่เข้าท่าและเสี่ยวไปบ้าง  แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาลำบากใจเลยที่จะคบหาด้วย

    แล้วเขาก็เชื่อด้วยว่าจงอินคงไม่ว่าอะไรหากเขาจะปฏิเสธสิ่งที่จงอินเสนอมาให้

    “เออ... งั้นกูไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”   

    เจ้าของร่างสูงโปร่งขยับตัวลุกออกจากเบาะรถหลังเปิดประตูแล้ว   หากไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกจากรถ ... อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมา 

                    “เดี๋ยว....”

                    “หื...... อะ”

                    ชานยอลหันกลับไปยังต้นเสียง...  และพบกับใบหน้าคมคร้ามที่เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว

    ชั่ววินาทีนั้นเองที่ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับบนแก้มนิ่ม  เนิบช้า เบาหวิว... ทว่าทำให้ชานยอลรู้สึกราวกับอีกฝ่ายวางถ่าoไฟร้อน ๆ ลงบนผิวหน้า   เสียงกระซิบแผ่วเบาของจงอินทำให้เขาลืมว่าตัวเองก้าวพรวดลงมาจากรถตั้งแต่เมื่อไหร่          

    “จะรอนะ..”

                   

     

                    “กั๊มจงเอ้ย!!

    ชานยอลสบถเบาเมื่อมองตามรถคันเก่าเคลื่อนจากไปพร้อมปล่อยควันโขมงตามไปด้วย   รอยอุ่นบางเบายังคลอเคลียอยู่บนแก้มฟู... นิ้วเรียวยาวแตะแผ่วผิวที่ถูกสัมผัสและถอนหายใจ

                “ช่านเลี่ย!

                    เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ร่างสูงโปร่งสะดุ้งสุดตัว...ชานยอลไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อยขณะหมุนตัวกลับไปยังต้นเสียง

                    เขาแทบหยุดหายใจ

                ภาพตรงหน้าราวกับความฝัน

                ชายร่างสูงใหญ่ ... ยืนกอดอกอยู่หน้าบันไดทางเข้าบ้าน   ใบหน้าเรียบเฉย... ดวงตาคมเข้มมองตรงมาราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง              

                    อู๋ อี้ฟานพูดกับเขาเป็นภาษาเกาหลี  หากน้ำเสียงทุ้มต่ำกลับชอบที่จะเอ่ยชื่อเขาด้วยสำเนียงจีน  

                    ช่านเลี่ย...  มีเพียงคนเดียวในโลกที่เรียกเขาแบบนี้ 

                    “พี่ฟ่าน...”

                    ชานยอลรู้สึกเหมือนตาร้อนผ่าว .... ยามเมื่อพิจารณาใบหน้าที่ไม่ได้พบนานเหลือเกิน

                    คล้ำขึ้นหรือเปล่านะ...  ผมยาวขึ้น... ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย   คงเพราะนิสัยที่ชอบเอามือเสยผมขึ้นเวลาหงุดหงิดหรือร้อนขึ้นมา   

                    “ทำไม... พี่...ยืนตรงนี้”

    “ไปไหนมา”  น้ำเสียงของคริสดูหงุดหงิด... ชายหนุ่มเสยผมสีทองขึ้นอีกครั้ง  และพ่นลมหายใจแรงออกมา     

    “คือ... ”

    “พี่ ถาม ว่า ไป ไหน มา  แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

    ชานยอลก้มหน้างุด  ลมหายใจติดขัดเมื่อได้ยินประโยคคาดคั้นที่แสนจริงจังและดุดันนั้น    เด็กหนุ่มชาวูบไปทั้งตัว ...

                    จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ก็คือหนึ่งปีก่อน ตอนที่เขาหามุมนั่งอ่านหนังสือและเผลอหลับไปที่ระเบียงห้องสมุดในบ้านไปนานเกือบสามชั่วโมง และปล่อยให้คนทั้งบ้านออกตามหากันเกือบครึ่งค่อนวันโดยไม่มีใครเอะใจ  

    กว่าจะพบเขาอีกครั้งก็ตอนเวลาอาหารเย็น เมื่อชานยอลเดินออกมาจากห้องสมุดชั้นบนสุดที่ไม่ค่อยมีใครใช้พร้อมหนังสือรวมบทกวีในมือ   และพบกับคริสที่ผมยุ่งเหยิงผิดวิสัยนักธุรกิจจอมเนี้ยบ  สีหน้าหงุดหงิดเต็มที่ 

    ชานยอลเห็นร่างสูงใหญ่แวดล้อมไปด้วยคนในความปกครองทั้งพี่เลี้ยง แม่บ้าน  คนสวน คนขับรถ  รวมไปถึงเลขาส่วนตัวอย่างคุณจงแด   ทุกคนล้วนแล้วแต่จับจ้องมาที่เขาด้วยความตกใจ และโล่งอก    น้ามินอาถลาเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าดีใจ   หากไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร  คริสก็ระเบิดเสียงลั่นใส่เขาด้วยความโกรธจัด    เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถูกดุว่าอะไรไปบ้าง ... แต่มันรุนแรงเสียจนเขากลัว     

    และเหตุการณ์นั้น ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่ชานยอลย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ที่ทำให้เขาร้องไห้ออกมา 

     “ช่านเลี่ย... ตอบ!!

    เขาสะดุ้งอีกครั้ง 

    เสียงดุคาดคั้น   ไม่ต่างกับครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย.. ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึก  ริมฝีปากสั่นระริก  พยายามรวบรวมสติกลับคืนมาเพื่อตอบคำถามอีกฝ่าย

    “ผม...”

    “กลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่   เถลไถลไม่รับผิดชอบ...ทำแบบนี้คิดว่าโชรงจะดีใจงั้นเหรอ ทำอะไรคิดถึงพี่สาวเราหน่อยสิ  ต้องให้คนทั้งบ้านมารอแบบนี้มันใช่เรื่องไหม   นี่ติดต่อก็ไม่ได้  ถ้าติดเพื่อนแบบนี้วันหลังจะไม่ยอมให้กลับเองแล้วนะ  ”

    “... ”

    “ฟังอยู่หรือเปล่า”

    “คะ. ครับ”

    ชานยอลรู้สึกวูบโหวงไปทั้งตัว   เขามองไปที่กระเบื้องราคาแพง  ขั้นบันได ... รวมไปถึงพุ่มไม้มืด ๆ  ที่อยู่ห่างออกไปอย่างตั้งใจ   พยายามครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเพื่อไม่ให้หวนกลับมาคิดถึงทำนบน้ำตาที่กำลังพร้อมจะเอ่อท้นออกมาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

    ปากของเขาสั่นจนฟันกระทบกัน...  มือที่จับชายเสื้ออยู่เบื้องล่างชื้นเหงื่อจนเหนอะหนะ

    “คุณคริส...”

                    คิม มินอาเคลื่อนร่างท้วมมาขวางหน้าเขาและชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว   สุภาพสตรีผู้มีหน้าที่ดูแลคนทั้งคู่มากับมือยิ้มบางให้กับคนที่กำลังทำหน้าเครียด พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

    “มินอาว่า ให้น้องไปอาบน้ำ กินข้าวกินปลาก่อนนะคะ  เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

                    ชานยอลค่อย ๆ ขยับตัวไปแอบที่หลังของมินอาเพื่อหาที่พึ่งพิง... มือเรียวยาวคว้าแขนของพี่เลี้ยงอาวุโสไว้ และก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของตัวเองอย่างจริงจัง  บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นทุกทีจนเขาอึดอัด   เพราะดูท่าทางครั้งนี้ผู้ปกครองของเขาจะไม่ยอมง่าย ๆ

    “ไม่ใช่ผมไม่เคารพมินอานะครับ... แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมควรคุยกับเค้าโดยตรง  ปล่อยเอาไว้จนเลยเถิดแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”

    “คุณคริสคะ...”

    “มินอาเข้าข้างช่านเลี่ยมากเกินไปแล้ว...”

    “ถ้าคุณคริสพูดแบบนี้ก็หมายความว่ามินอายังดูแลชานยอลไม่ดีพอ   มินอาต่างหากที่สมควรถูกลงโทษ“

    “มินอา!!!

    คราวนี้เสียงทุ้มต่ำสองเสียงประสานกันด้วยความตกใจ เมื่อคนสูงวัยกว่าเอ่ยโทษตนเอง  ชานยอลบีบมืออีกฝ่ายแรงและแบะปาก... น้ำตารื้นออกมาจนคลอเบ้า

    “คุณคริสเป็นผู้ปกครองของคุณชานยอลก็จริง  แต่คุณได้มอบหน้าที่ผู้ดดูแลคุณชานยอลให้มินอาแล้ว   แล้วตอนนี้คุณชานยอลเพิ่งกลับมาบ้าน มินอาก็ควรทำหน้าที่ของผู้ดูแลก่อนไม่ใช่เหรอคะ  เมื่อดูแลเสร็จแล้ว คุณคริสจะว่ากล่าวสั่งสอนคุณชานยอลยังไงก็ได้ มินอาไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะหน้าที่ของมินอาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ”

    “....”

    “นะคะ... ”

    น้ำเสียงของมินอาอ่อนหวาน...หากฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่ากำลังคาดคั้นให้อีกฝ่ายตอบตกลงในที่สุด    หญิงร่างท้วมยิ้มบางขณะมองหน้าชายร่างสูงที่รู้จักมาเกือบตลอดชีวิตด้วยสีหน้าท้าทาย 

    อู๋ ฟานพึมพำอะไรบางอย่างท่าทางหงุดหงิด  ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าทีแรก

    “ชานเลี่ย...”

    “ฮ....ฮะ”

                    “ให้มินอาดูแลเรียบร้อยแล้วก็ตามพี่ขึ้นมาที่ห้องทำงานด้วย”

                    “ฮะ”

                    น้ำเสียงประชดประชันทำให้มินอายิ้มกว้างกว่าเดิม   ชายหนุ่มหมุนตัวกลับเข้าบ้านไปอย่างคนอารมณ์ไม่ดีนัก  เขาก้าวฉับ ๆ และจากไปอย่างรวดเร็ว

                    “ชานยอลขอโทษครับ...”

                    หญิงพี่เลี้ยงหันมาส่ายหน้าให้กับเจ้าของเสียงสั่น ๆ และใบหน้าซีดเผือด   ฝ่ามืออบอุ่นยื่นขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของเขาให้อย่างอ่อนโยน  สีหน้าและเสียงปลอบประโลมแทบจะทำให้ชานยอลสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอไม่ได้

                    “ไม่เป็นไรนะคะคนดี... นี่ไปหาหมอหรือยังลูก ดูหน้าซีดเชียว” 

                    “ยังครับ... ผะ.. ผม... ”

                    “นี่ไงล่ะคะ... วันนี้ได้ถูกคุณหมอฉีดก้นแน่ ๆ ” มินอาว่าขำ ๆ พลางดึงแก้มนิ่มเบามือ และสอดแขนเข้ากับเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง  เอวบอบบางอย่างไม่น่าเชื่อผิดกับเสื้อตัวโคร่งที่ใส่อยู่ทำให้พี่เลี้ยงต้องเอ่ย “ตัวก็โตแต่ทำไมผอมได้ขนาดนี้คะเนี่ย... อย่างนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะคะ เดี๋ยวมินอาทำของโปรดของหนูให้ทาน ทานเสร็จแล้วจะได้ทานยานะคะ ” 

                    “ฮะ... ”

                    ชานยอลยิ้มทั้งน้ำตาให้กับคนเดียวที่เข้าใจเขาเสมอ ร่างสูงเก้งก้างเดินเกาะที่พึ่งสุดท้ายของตัวเองขึ้นบันไดไปอย่างว่าง่าย    แม้ว่าหัวใจจะเจ็บและทรมานแค่ไหนก็ตามที

                    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองไปยังหน้าต่างห้องทำงานของเจ้าของบ้านที่กำลังเปิดไฟสว่างจ้า ... ป่านนี้เจ้าตัวคงกำลังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้ดุเขาอย่างที่ควรจะเป็น

    เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด...

                    ....  คน ๆ นั้น...  ไม่เคยเลย

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา...  อี้ฟานไม่เคยมองเขาเลย

     

    ทำแบบนี้คิดว่าโชรงจะดีใจงั้นเหรอ ทำอะไรคิดถึงพี่สาวเราหน่อยสิ

                   

    อีกครั้ง...และอีกครั้ง

                    ชานยอลตระหนักดีว่า ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนปาร์ค โชรง ก็ยังเป็นหนึ่งเดียวในใจของอู๋ อี้ฟานอยู่เสมอ

                    ไม่ใช่เขา...

    และคงไม่มีวันใช่

     

     

     

     

                   

                หนุ่มร่างสูงอมยิ้มขณะมองเด็กชายร่างเพรียวอุ้มตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เดินไปมาระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องตัวเอง เพื่อขนสมุด และหนังสือตั้งใหญ่มานั่งจมปุ๊กอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นข้างหน้าเขา แก้มยิ้มอมลมจนแก้มป่องขณะขนของมาทีละอย่างสองอย่าง  จนคนมองอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเจ้าตัวจึงไม่ปล่อยตุ๊กตาหมีและขนทุกอย่างมาในรอบเดียว

                ถึงจะหน้าตาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงก็เถอะ ... แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าโชรงเลี้ยงมายังไงถึงทำให้เด็กผู้ชายอายุเกือบ16 แล้วแต่ยังติดตุ๊กตาหมีอยู่

                “พี่รอก่อนนะ  พี่โชรงยังไม่กลับเลย   กินไรมะ  ผมทอดไข่ได้นะ”

    “ทอดเป็นแต่ไข่เหรอ”

                “โหย... ดูถูก”  เด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มโอดครวญ  แก้มใสปรากฎลักยิ้มเล็ก ๆ ชวนมอง    คริสหัวเราะเบาและเอ่ยอย่างรู้ทัน

                “แล้วถูกไหมล่ะ”  

                “พี่โชรงขายผมอีกแล้วสินะ ...”  

                หนุ่มชาวจีนยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงโชรงอีกครั้ง ... สมแล้วที่อยู่ด้วยกันแค่สองคนพี่น้องมาตั้งหลายปี  เท่าที่รู้มาพ่อแม่ของชานยอลกับโชรงเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุไปเมื่อสี่ปีก่อน  ตอนนั้นชานยอลยังไม่จบประถมด้วยซ้ำ โชคดีที่โชรงบรรลุนิติภาวะแล้ว  และเงินประกันชีวิตของทั้งสองมีมากพอที่จะทำให้โชรงมีโอกาสเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ แม้โชรงจะเป็นแค่นักศึกษาปีสอง แต่หล่อนก็มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะเรียนให้จบโดยเร็วเพื่อดูแลน้องชายคนเดียวอย่างสุดความสามารถ      

                อู๋ ฟานเป็นเพื่อนกับโชรงตอนมาเรียนภาษาเกาหลีที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาอายุมากกว่าโชรงหนึ่งปี  แต่สาวเจ้ากลับนับอายุตัวเองเป็นแบบเกาหลี และนับอายุของเขาแบบสากลเพื่อให้อายุเท่ากับเขา

                ชายหนุ่มกล้าพูดว่าโชรงคือเพื่อนชาวเกาหลีที่เขาสนิทด้วยที่สุดในขณะนี้  สนิทจนเข้าบ้านอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องเกรงใจ ...

                ไม่เกรงใจแม้กระทั่งเด็กชายตาแป๋วที่เข้ากับคนง่ายเสียเหลือเกินคนนี้   พบปะพูดคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งเขาและชานยอลก็แทบจะตบหัวเล่นได้อยู่แล้ว

    “เปล่าซะหน่อย  โชรงออกจะรักจะหลงน้องชายคนเดียว ... วันไหนไม่พูดถึงชานยอลลี่นี่นึกว่าตัวปลอม”

    เจ้าเด็กตาใสยิ้มกว้างอวดฟันสามสิบสองซี่ให้เขาทันทีที่ได้ยิน 

    “ก็แน่อยู่แล้ว พี่น้องหน้าตาดีแบบเราสองคนหาที่ไหนไม่ได้แล้วล่ะ ”

    “หลงตัวเองทั้งคู่ด้วยนะเรา...”

    คริสว่า พลางยื่นมือไปโยกหัวทุยสวยอย่างหมั่นไส้   ผมสีดำสลวยตัดเข้ารูปกับศีรษะเหมือนเห็ดน้อย ๆ  ผมที่ยาวระต้นคอ ทำให้ดูเผิน ๆ คล้ายกับเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะจุกกลางศีรษะที่ถูกมัดไว้เหมือนน้ำพลุนั่น... ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย   เขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าโชรงทั้งรักและหลงน้องชายตัวเองมากแค่ไหน  เพราะพบกันทีไรคริสก็จะพบว่าชานยอลถูกจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตา  แถมยังใช้แฟชั่นเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ มาทำให้หน้าสวย ๆ ของชานยอลดูหวานขึ้นไปอีก   ที่สำคัญตุ๊กตามีชีวิตของโชรงก็ทั้งรักและเทิดทูนพี่สาวเสียจนยอมให้ทำทุกอย่างที่ต้องการ  

    คริสยิ่งออกแรงขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงจนอีกฝ่ายเบ้ปาก มือเล็กปัดป่ายเขาอย่างสุดกำลัง ริมฝีปากสีชมพูหวานยื่นใส่เขาอย่างน่ารัก และเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิด

    “ผมจะฟ้องพี่โชรง... พี่โชรงไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนมาแตะเนื้อต้องตัวผมง่าย ๆ หรอกนะ”

    “แตะไปแล้วล่ะ ทำไงดี  พี่ต้องรับผิดชอบด้วยการขอแต่งงานไหม?

    “ไอ้พี่คริสบ้า“ ชานยอลแยกเขี้ยวใส่เขา และล้มลงไปกอดตุ๊กตาหมีสีขาว  “ อือ...ผมว่าจะถามตั้งนานแล้วว่าทำไมพี่ถึงได้พูดเกาหลีเก่งจัง  ไหนพี่โชรงบอกว่าพี่เพิ่งมาอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ไง”

                “พี่เลี้ยงของพี่เป็นคนเกาหลีไง... สอนพี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ” คริสอธิบาย “พี่เกิดที่จีน  แต่ไปโตที่แคนาดา  ทีนี้พี่เลี้ยงที่พ่อกับแม่หามาเป็นคนเกาหลี  ก็เลยขอให้สอนเกาหลีให้”

                “โหย...งี้พี่ก็พูดได้ทั้งจีน อังกฤษ เกาหลี   เก่งขนาดนี้ก็ไปเที่ยวรอบโลกได้น่ะสิ”

                “อือ ได้... แล้วเราอยากไปเที่ยวรอบโลกเหรอ”

                ชานยอลพยักหน้า  ดวงตาเป็นประกายวิ้งวับทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้

                “ช่าย...ผมสัญญากับพี่ไว้แล้วว่าจะรีบเรียนให้จบเร็ว ๆ ทำงานเก็บเงิน แล้วก็ไปเที่ยวรอบโลกกันสักสองรอบเลย”

                “แต่ก่อนอื่นต้องเรียนให้เก่ง ๆ ก่อนนะ”

    พอพูดถึงเรื่องเรียนปุ๊บ ท่าทางตื่นเต้นก็กลายเป็นห่อเหี่ยวทันที   ร่างเพรียวบางล้มตัวลงบนตุ๊กตาหมีสีขาวและซุกหน้าลงบนพุงกลม ๆ ของหมีตัวใหญ่ 

    “แล้วนี่ไม่อ่านหนังสือเหรอ... ”  คำถามของเขาถูกตอบรับด้วยใบหน้าที่ส่ายไปมาอยู่บนพุงหมี  เจ้าตัวเล็กทำตาปรือเหมือนจะหลับทั้งอย่างนั้น  ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่

    “ชื่อจีนของพี่อ่านว่ายังไงอะ”

    คริสเลิกคิ้ว..

                    “หือ... อู๋ อี้ฟาน... อู๋ ฟานก็ได้”

                “อู๋ ฟาน... เท่ดีออก... งั้นผมเรียกพี่ว่าพี่ฟ่านแล้วกันนะ เบื่อชื่อคริสแล้ว”

                “เดี๋ยวเหอะตัวเล็ก...”

                ชานยอลเบิกตากว้างขึ้นมาทันที  ร่างเล็กลุกพรวดขึ้น และทำหน้างอ

                “ผมไม่ตัวเล็กน้า... คอยดูเหอะ เดี๋ยวจะตัวเท่าพี่ให้ดู”

                “ให้มันจริงเถอะ... ”

    “นี่... พี่ฟ่าน แล้วชื่อผมล่ะ ถ้าอ่านเป็นภาษาจีนต้องอ่านว่ายังไง...อ่านว่าชานยอลได้ปะ  ”  เด็กชายถามตาแป๋ว  น้ำเสียงตื่นเต้นอยากรู้  หนุ่มชาวจีนมองอย่างเอ็นดู  ก่อนทำท่าครุ่นคิด  

                “เอ่อ...ชานยอล.. ไม่ได้มั้ง... ลิ้นคนจีนไม่เหมือนลิ้นคนเกาหลีนี่นา...  แต่ถ้าเป็น  ชาน...   ช่านเลี่ย... น่าจะได้“

                “ว้าว... ชอบอะ  ช่านเลี่ย... เขียนยังไงฮะ ”

                เจ้าตัวเล็กดูกระตือรือร้นขึ้นทันที  ชานยอลใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีคว้ากระดาษและปากกาจากโต๊ะญี่ปุ่นพุ่งตรงมาหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยดวงตาเป็นประกายของความตื่นเต้น

                “อือ...  แบบนี้นะ ”

                ชายหนุ่มตวัดเส้นปากกาอย่างคล่องแคล่ว  ชั่วพริบตาก็ปรากฎตัวอักษรจีนที่ไม่คุ้นตาชานยอลขึ้น...

                燦烈

                เด็กชายเบ้ปาก... มองเส้นสิบกว่าเส้นที่พาดทับกันไปมาบนกระดาษด้วยสายตาแหยง ๆ

                “นี่มันตัวอะไรเนี่ยพี่  ทำไมขยุกขยุยขนาดนี้...”

                “ชื่อเรานั่นแหละ”

    “ เขียนยังไงอะฮะ... อย่าเขียนเร็วสิ  ขอตั้งแต่เส้นแรกเลย ”  เจ้าตัวเล็กโผเข้ามาจ้องกระดาษสีขาวของอีกฝ่ายตาแป๋ว พร้อมกับลากปากกาอีกด้ามไปบนกระดาษของตน... พยายามเลียนแบบให้เหมือนที่สุด  หากเจ้าของแบบกลับมองขำ ๆ ก่อนขยับมือมาช่วยอีกฝ่ายควบคุมทิศทางของเส้นให้ถูกต้อง  มือใหญ่กว่าช่วยประคองมือเล็กอย่างใจเย็น   มือที่เย็นและนิ่มอย่างไม่น่าเชื่อค่อยเคลื่อนไปตามแรงส่งของเขาทีละน้อย

    “นี่ ๆ ลากมาอย่างนี้...   แบบนี้ต่างหาก”

    “ยากอะ”

    “อย่าใจร้อนสิ...มีสมาธิหน่อย”

    燦烈 

                คริสอมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กดูท่าทางถูกอกถูกใจกับการเขียนเหลือเกิน... เรือนกายสูงใหญ่เคลื่อนไปอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายเพื่อให้ง่ายต่อการช่วยดูสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษสีขาว  ร่างของชานยอลดูเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขา... แผ่นหลังบอบบางไม่ต่างกับพี่สาว  ผิวขาวใสกระจ่างตาไปเสียทุกส่วน  ถ้าโชรงไม่ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าชานยอลเป็นน้องชาย  เขาก็พร้อมจะคิดว่าคนตัวเล็กเป็นน้องสาวไปซะแล้ว  

                “นี่พี่ฟ่าน... พี่ชอบพี่โชรงจริง ๆ เหรอ?

                    “อะ... เอ๋... เอ๊ะ”   

                “อย่าปฏิเสธนะ”

    “อ้าว...งั้นจะถามทำไม”  คริสหัวเราะร่วน “... แล้วรู้ได้ไงว่าพี่ชอบพี่สาวเรา บางทีพี่... อาจจะมาจีบเราก็ได้”

    “ขนลุกน่า ... เอาเป็นว่าผมดูออกเหอะ”

                “ดูออกจริงเหรอ?” ประโยคซื่อ ๆ แฝงความจริงจังของเจ้าตัวเล็ก ชักจะทำให้คริสเสียเซลฟ์ขึ้นมาซะแล้ว

                “ถ้าไม่ชอบพี่จะมาหาพี่สาวผมทุกวันทำไมล่ะ  จริงไหม ...”เด็กชายตอบพร้อมยักคิ้วให้

                    “... ก็... น่าจะจริง  มั้ง ...ทำไม  หวงพี่เหรอตัวเล็ก”  คริสวางมือหนาลงบนศีรษะทุยสวย  ขยี้ผมนุ่มสลวยเบา ๆ  ด้วยความเอ็นดู... หากอีกฝ่ายกลับไม่ปัดป้องหรือ

                    “เปล่าซะหน่อย ถ้าเป็นพี่...ผมไม่หวงหรอก”

                “ไหนโชรงบอกว่าชานยอลหวงตัวเองมาก”

    “พี่เป็นคนดี  น่าจะทำให้พี่สาวมีความสุขได้” เด็กติดพี่ว่า  แต่ทันที่ที่เห็นสีหน้าข้องใจของคนอาวุโสกว่า  ชานยอลจึงรีบพูด “ จริง ๆ นะ...ถ้าเป็นพี่ผมก็ไม่ว่าหรอก ... แต่ห้ามทำให้พี่สาวเสียใจก็พอแล้ว”

    “พี่ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่าเจ้าตัวเล็ก ”

                คริสมองแก้มขาว ก่อนหัวเราะ  เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา

                “แล้วโชรงก็ไม่มีทางเสียใจเพราะพี่ไปได้หรอก  ช่านเลี่ย... ”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×