คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Take #6 {re-write} + fanart บาสเดอะโกลเด้น & พิซซ่าเดอะบีเกิ้ล
#6
เสียงเพลงดังฝ่าความเงียบสงัดภายในห้องนอนสีขาวสะอาด มือขาวที่ประกอบไปด้วยนิ้วเรียวยาวเอื้อมออกมาจากผ้าห่ม ควานหาไอโฟนรุ่นใหม่สีขาวที่ชาร์ตแบตไว้บนหัวเตียงซึ่งเป็นต้นเหตุของเสียงเพลงที่ดังลั่นไปทั้งห้อง เขาสไลด์นิ้วปิดนาฬิกาปลุกอย่างเชื่องช้า สักพักร่างโปร่งของว่าที่คุณหมอในชุดนอนเสื้อยืดกับกางเกงย้วยๆก็ค่อยๆขยับลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ดวงตายังหรี่ปรือ บิดกายซ้ายขวาไล่ความเมื่อยงบแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาสองสามครั้ง จากนั้นจึงค่อยหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม
เพิ่งจะแปดโมงเท่านั้นแถมวันนี้ยังเป็นวันอาทิตย์ที่ไม่มีเวรต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องทำรายงานส่งและไม่มีเรียน แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเขาตื่นเช้าจนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว นึกอยากจะนอนต่ออีกสักสองสามชั่วโมงแต่เพราะตัวเองเป็นคนที่ถ้านอนเลยเวลาตื่นปกติจะปวดไมเกรนไปทั้งวัน เขาจึงต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ขายาวก้าวเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาแปรงฟันไม่ถึงสิบนาทีแล้วลงบันไดมาชั้นล่าง เลี้ยวเข้าห้องครัวหาอะไรกิน คุ้ยตู้เย็นสักพักก็ได้ได้นมสดติดมือมาหนึ่งแก้วกับแซนด์วิชที่ซื้อแช่เย็นเอาไว้จากเซเว่น กำลังจะยัดเข้าปากเสียงดังหน้าบ้านก็ดังจนน่ารำคาญ ร่างโปร่งถอนใจเฮือก วางของกินลงบนเคาท์เตอร์ในครัวเดินออกไปดูหน้าบ้าน ต้นเหตุของเสียงคือเจ้าสี่ขาของบ้านที่ปกติมักจะนอนแหมะอยู่ในห้องนั่งเล่น ตอนนี้มันกลับไปกระโดดโลดเต้นอยู่ที่หน้าบ้านบริเวณรั้วอลูมิเนียมสีเงินแถมยังเห่าเสียงดังลั่น ส่วนต้นเหตุของอาการนั้นคือคนแปลกหน้าที่ยืนเกาะรั้วอยู่หน้าบ้านที่ทำให้เจ้าบ้านอ้าปากค้างตาโตเบิกโพลงเหมือนเจอผีตอนเช้า
“หมอต่าย...”
“มาที่นี่ได้ยังไงห๊ะ!” ว่าที่คุณหมอตวาดเสียงลั่นด้วยความตกใจ ร่างสูงผิวแทนของนักศึกษาวิศวะกำลังเกาะรั้วประตูบ้าน สอดใบหน้าผ่านซี่รั้วเหล็กสีเงินสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าวูบวาบ
อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแต่กลับส่งเสียงโอดครวญ “ให้ผมเข้าไปหน่อยสิครับหมอต่าย...” มือใหญ่ตบหัวเจ้าสี่ขาที่ทำเอาเจ้าของบ้านหน้านิ่ง ดูให้ดีๆแล้ว มันเหมือนจะไม่ได้เห่าเสียงดังเพราะเจอคนแปลกหน้าหรอก มันดีใจจนหางสั่นพั่บๆต่างหาก
หนอย... ไอ้หมาไม่รักดี แกไปทำตัวสนิทสนมหูตั้งหางชี้กับคนแปลกหน้าได้ยังไง!
“นายมาทำไม... ไม่สิ นายมาที่นี่ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนแอบตามกลับมาด้วย” คนตัวขาวยืนกอดอก หรี่ตามอง “ไม่รู้ล่ะว่านายมาทำไม แต่กลับไปซะ”
“หมอต่าย ...”
“ก็บอกให้กลับไปไง”
“แต่ว่า... หมอต่าย ...”
“กลับไปไง! นี่นายเป็นโรคจิตที่ชอบสะกดรอยหรือเปล่าฉันชักกลัวแล้วนะ อย่าให้ถึงขั้นต้องแจ้งตำรวจเลย ฉันจะคิดเสียว่าฉันตาฝาดไปไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นและวันนี้ก็จะเป็นวันอาทิตย์ที่สุขสงบของฉันเหมือนเดิม นายมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยดีกว่า ประสาทจะกินนะเนี่ยต้องมาโวยวายแต่เช้า” เจ้าของบ้านขู่ไล่ มองใบหน้าคมที่ยังคงส่งยิ้มสว่างไสวแข่งกับแสงแดดที่สะท้อนจากรั้วสีเงินพลางทำหน้าเบื่อหน่าย
“ผมอยากคุยกับหมอต่ายนี่ครับแต่หมอต่ายไม่ให้โอกาสผมเลย เมื่อวานเรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”
“เรางั้นเหรอ!? ฉันคุยกับนายรู้เรื่องแล้วแต่นายนั่นแหละที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง!” ว่าที่คุณหมอขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ ใบหน้าได้รูปบูดบึ้งอารมณ์ไม่ดี เขาถอนหายใจ “อยากยืนอยู่ตรงนั้นก็ยืนไป” หันหลังกลับเข้าบ้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่า
“เดี๊ยวสิครับหมอต่าย!” บาสตะโกนเสียงดังลั่น แต่ขายาวๆของอีกฝ่ายชะงักเลยสักนิด
“หมอต่าย ผมปวดฉี่!” บาสตะโกนลั่น เหมือนจะได้ผลเพราะว่าที่คุณหมอตัวขาวนั่นสะดุดเล็กน้อย
“เสาไฟฟ้าตรงหน้าปากซอยว่างนะ แต่ตอบคำถามยามที่ยืนมองอยู่เองแล้วกัน”
“โอยหมอต่าย คือมันไม่ไหวแล้วอ่ะ ผมรีบติดรถพี่ออกมายังไม่ได้เข้าห้องน้ำตั้งแต่เช้าเลยนะหมอต่าย ผมไม่ได้โกหกนะครับ หมอต่ายไม่รู้เหรอว่าถ้าผมกลั้นไว้นานๆมันจะเป็นนิ่ว เป็นหมอนะต้องรู้สิว่านี่มันไม่ดี ถ้าผมเป็นจริงๆขึ้นมาจะไม่สงสารผมงั้นเหรอครับ โอ้ย... หมอต่ายมันเหมือนจะปวดอย่างอื่นด้วย คือมันไม่ไหวแล้วจริงๆ...” โอดครวญเสียจนน่าสงสารแต่ในสายตาเขากลับเห็นว่ามันดูน่ารำคาญมากแถมเสียงยังดังลั่นไปทั้งซอยแคบๆ ที่นี่เป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลาง พื้นที่ระหว่างซอยก็แค่ให้รถสองคันสวนกันได้แบบไม่เบียดเท่านั้น แถมตอนนี้ยังเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ยังไม่มีใครออกไปข้างนอก เขาเห็นเพื่อนบ้านทยอยออกมามองคนสองคน เสียงสุนัขเห่าดังลั่นจากบ้านฝั่งตรงข้าม แถมตอนนี้ตรงหน้าบ้านเขายังมีอีกตั้งสองตัวอีกที่แข่งกันเห่าไม่เลิก
ถอนหายใจครั้งที่เท่าไรของเช้านี้ก็คร้านที่จะนับ เขาลากรองเท้าแตะเดินไปที่รั้วหน้าบ้าน หยิบกุญแจจากตู้พลาสติกไขประตูเล็กให้เจ้าของเสียงที่ทำเอาคนละแวกนั้นออกมายืนมองวิ่งพรวดเข้ามาพร้อมกับเจ้าสี่ขาที่วิ่งตามเข้าบ้าน
“ห้องน้ำหลังห้องนั่งเล่นซ้ายมือนะ!” เขาตะโกนตาม
รองเท้าไนกี้สีดำคู่ค่อนข้างเก่าถูกเจ้าตัวสะบัดไปคนละทิศคนละทาง เขาต้องมาตามเขี่ยให้เป็นที่อย่างระอาใจ ร่างโปร่งเดินเข้าบ้าน ยืนกอดอกรอหน้าประตูห้องน้ำ ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงล้างมือจากก๊อกน้ำริมประตูพร้อมๆกับที่เจ้าตัวเดินออกมา สะบัดมือเบาๆแล้วเช็ดกางเกงยีนส์ ผิวปากอารมณ์ดี
“เสร็จธุระแล้วนี่ คุยกันหน่อย” เจ้าของบ้านยืนหน้ามุ่ยกอดอกรออยู่หน้าห้องน้ำ
“ชุดนอนน่ารักอะหมอต่าย ผมนึกว่าหมอต่ายจะใส่เต็มยศเสียอีก”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง!” เสียงแหบย้อนลั่น ใบหน้าคมบูดบึ้ง “รู้ที่อยู่บ้านฉันได้ยังไง”
“แบบว่า...”
“...”
“แบบว่า... หมอต่ายรู้จักแอพพลิเคชั่นสุดล้ำที่ศาสดาแอปเปิ้ลท่านสตีฟ จอปส์ทิ้งไว้ก่อนตายอ๊ะเปล่า” บาสยิ้มแหย มองหน้าคนสวยที่แลดูจะบึ้งตึงหนักกว่าปกติ
“แอพอะไร” หมอต่ายขมวดคิ้ว คิดแล้วคิดอีกว่าแอพอะไรกันที่ทำให้เขารู้ที่อยู่ของอีกคน จะว่ากูเกิ้ลแมพก็ไม่ใช่ หรือ GPS ก็ไม่เชิง อันนั้นมันกว้างเกินไป
“แบบว่า... ใบ้ให้อีกนิดแล้วกันว่าไอโฟนผมอยู่บนรถหมอต่ายมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ”
เด็กวิศวะที่วันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อช๊อปยิ้มกว้างจนตาหยี ต่ายอ้าปากค้าง ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าแอพพลิเคชั่นค้นหาโทรศัพท์อย่าง Find My iPhone นอกจากจะให้คุณแล้วมันยังให้โทษมหาศาล อย่างน้อยก็กับเขานี่แหละคนแรกที่คิดว่าแอพนี้มันไม่เข้าท่าก็วันนี้ จะโทษเทคโนโลยีมันก็ไม่ถูกเพราะคนคิดวิธีนี้ได้มันต้องฉลาดแกมโกงปนบ้าเท่านั้น คนปกติใครเค้าจะไปคิดออกว่ามันจะเอามาใช้กระทำการณ์สะกดรอยแบบนี้ได้ ว่าที่คุณหมอนึกถึงจังหวะที่แยกกับอีกฝ่ายเมื่อคืนว่าเจ้าตัวจงใจหย่อนโทรศัพท์ของตัวเองมาตอนไหนกัน จะว่าเขาเลินเล่อหรือประมาทไปหยิบมาเองก็คงไม่ใช่แน่นอน
“คิดออกแล้วใช่ม๊า ...” บาสลากเสียงยาวเมื่อเห็นว่าที่คุณหมอขมวดคิ้ว “ก็เมื่อคืนหมอต่ายจะปิดประตูไล่ผม ผมก็เลยเอาตัวเข้าแทรกก่อน แล้วก็ใช้จังหวะนั้นแหละหยอดไอโฟนลงไปที่เบาะหลัง อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอกกะแค่ว่าเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างมาหาหมอต่ายครั้งต่อไป แต่กลับไปก็นึกได้ว่าถ้ามันเปิดจากแมคบุ๊คก็หาที่อยู่ได้ หึหึ”
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่นึกวิธีแบบนี้ได้” หมอต่ายกุมขมับ รู้สึกเส้นประสาทเต้นตุบๆอีกแล้ว เขาไม่มีโรคประจำตัวแต่คิดว่าหลังจากเจอเจ้าเด็กนี่แล้ว สงสัยต้องเช็คสุขภาพตัวเองอย่างจริงจัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “สรุปนี่คือจะจีบให้ได้เลยใช่ไหม?”
“อื้อ” พยักหน้าตอบอย่างแข็งขัน
“รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นผู้ชาย”
“ผมตาไม่บอดนะครับ หมอไม่มีนม ใส่เครื่องแบบนักศึกษาผู้ชายแถมตัวสูงปรี๊ดจะเท่าผมแล้วเนี่ย”
“ฉันไม่ได้เป็นเกย์แต่นายคงเป็นแน่ๆใช่มั้ย?”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นหรอกจนมาเจอหมอต่ายนี่แหละ”
“บ้าหรือเปล่าเนี่ย” ตวาดลั่น รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่อย่างไรไม่รู้ “ฉันไม่ใช่เกย์แล้วก็ไม่เคยคิดจะไปพิสวาสผู้ชายที่ตัวโตกว่าตัวเองด้วย ขนลุกหมดแล้วเนี่ย”
“โอเคๆ ผมเข้าใจนะแต่ผมจีบหมอต่ายได้ใช่มั้ยครับ” พูดเสียงอ้อนตาแป๋ว แต่ผู้ชายตัวโตๆทำแบบนี้มันไม่น่าดูเลยสักนิด ยิ่งกับต่ายที่อคติมันบังตาไปหมดแล้ว ทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น
คนตัวขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่อธิบายมายืดยาวแถมไม่ให้เยื่อใยกันมันยังหน้ามึนทำไม่รู้เรื่อง “สรุปคือเอาจริงใช่ไหม?”
“ครับ ถ้าไม่จริงจังไม่ตื้อขนาดนี้หรอก”
“เออ จีบได้ก็จีบไปแต่อย่าคิดว่าจะสมหวังนะ” ดวงตากลมโตหรี่อย่างคาดโทษ “แล้วจีบทุกคนแล้วทำแบบนี้ทุกครั้งเลยหรือเปล่า? นี่มันระดับคุกคามความเป็นส่วนตัวแล้ว”
ร่างสูงผิวแทนยิ้มหวาน ส่ายหน้า “ไม่เคย ผมเพิ่งเคยจีบหมอต่ายคนแรก!”
.
.
เสียงทุ้มหัวเราะลั่นพร้อมกับเสียงเจ้าสี่ขาของบ้านที่เห่ารับเป็นที่เอ็นดูของคุณป้าบ้านข้างๆ ขวัญใจเพื่อนบ้านคนใหม่เลยได้รับขนมนมเนยทั้งไทยและเทศจากบรรดาคุณลุงคุณป้าเสียจนเต็มมือไปหมด คนตัวขาวที่ตอนนี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นนั่งอยู่ที่ชานบันไดบ้าน มองอีกคนที่อาบน้ำให้หมาของเขาจนแชมพูขึ้นฟองฟ่อดทั้งๆที่มีแค่มือเดียวก็ยังจะดันทุรังทำ ส่วนมืออีกข้างเจ้าตัวไปให้ใครที่ไหนไม่รู้แต่ก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นคุณป้าบ้านข้างๆที่เดินเอาขนมเค้กมาให้เขาสักครู่นี้พันถุงพลาสติกกันน้ำไม่ให้เข้าไปในเฝือก
มือยังไม่หายดีแต่ยังจะหาเรื่อง คิดแล้วเบ้ปาก
“พี่ต่ายๆ ดูดิ พิซซ่าโคตรน่ารักอะ ฟองเต็มเลย ฮ่าๆๆ” มือใหญ่ข้างที่ไม่เจ็บเกาขนสีน้ำตาลแซมขาว ขยี้จนขึ้นฟองฟ่อด
“ถ่ายรูปเร็วพี่ เอาไอโฟนผมๆ”
‘พี่ต่าย’ เป็นคำที่เจ้าตัวขอเรียกชื่อให้สนิทขึ้นอีกหน่อยเพราะคำว่า ‘หมอต่าย’ มันชักจะฟังดูห่างเหินเกินไป ต่ายถอนใจ ขำเหอะๆในลำคอ หยิบไอโฟนสี่สีดำเครื่องเจ้าปัญหาที่เขาค้นพบว่ามันตกอยู่ที่เบาะหลังของรถเขาจริงๆขึ้นมาเปิดหน้าจอ ก่อนหน้านี้ก็คิดอยากจะเขวี้ยงเจ้าอุปกรณ์ตัวปัญหาให้พังไปข้างแต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ไปใส่อารมณ์กับสิ่งของที่มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย เจ้าของมันนั่นแหละที่เจ้าเล่ห์นัก เขากดปุ่มโฮม หน้าจอล็อกสกรีนของอีกฝ่ายเป็นรูปสุนัขฮัสกี้ไซบีเรียนสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาจนเต็มจอดูน่าเอ็นดูไม่น้อย ใบหน้าสวยลอบยิ้มมุมปาก เหล่มองคนตัวโตที่ยกมือข้างที่ถูกห่อด้วยถุงพลาสติกหนีเจ้าหมาตัวเล็กของเขาที่พยายามจะดม กระโดดเหยงๆ คิดในใจมิน่าถึงรักสุนัข เขายกไอโฟนเป็นสัญญานบอกให้อีกฝ่ายเตรียมตัว มือใหญ่ข้างที่ยังใช้งานได้ยกเจ้าสี่ขาตัวเล็กของเขาที่เต็มไปด้วยฟองขึ้น พร้อมฉีกยิ้มกว้าง
“พิซซ่าๆ ดูกล้องที่แม่ถือเร็ว!”
“อะไรนะ” ว่าที่คุณหมอหรี่ตาอย่างคาดโทษอีกครั้ง นี่ได้ยินชัดเจนนะถึงจะนั่งอยู่ไกล
“ผมบอกให้พิซซ่ามองกล้อง พี่ต่ายก็ แหม...”
กดถ่ายส่งๆไปสองสามรูปแล้วค่อยยื่นหน้าจอให้เจ้าตัวดู เมื่อเจ้าของพยักหน้าอย่างพอใจแล้วก็วางลงที่เดิม ร่างโปร่งเอนพิงเสาหน้าบ้าน วันอาทิตย์ลมเย็นๆแบบนี้น่าแอบงีบกลางวัน รู้สึกผ่อนคลายหลังจากเครียดมาตลอดช่วงเช้าเมื่อรุ่นน้องต่างคณะตัวโตยังดันทุรังจะจีบอย่างที่ว่าจริง ว่าที่คุณหมอตาโตก็ต้องปลง ปล่อยให้คนที่เสนอตัวจีบอยากจะทำอะไรก็ทำ เขาคิดว่าเมื่ออีกฝ่ายเบื่อเดี๋ยวก็เลิกไปเองและวันนั้นชีวิตเขาคงกลับสู่สภาวะปกติเสียที ตอนนี้ก็คิดคิดเสียว่ามีน้องชายนอกไส้จอมวุ่นวายแถมมีดีกรีกวนตีนโผล่เข้ามาในชีวิตอีกหนึ่งคนแล้วกัน
เขาไม่เชื่อในรักแรกพบ ความโรแมนติกแบบนั้นมันช่างขัดกับเหตุผลของโลกใบนี้มากมายนัก คนเราจะรักกันชอบกันได้อย่างไรเมื่อไม่เคยคุยกันมาก่อนหน้า ไม่เคยได้ใกล้ชิดกัน สนิทกัน เขาเป็นพวกสัจนิยม ทุกสิ่งต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เขาจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ และการเรียนแพทย์นั้นก็ตอบสนองความคิดและความสงสัยเขาได้ดีที่สุด
ทุกอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์มีเหตุผลเสมอแล้วทำไมเจ้าเด็กวิศวะที่เรียนทั้งสองสายวิชานี้มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยวะ
.
.
“วันหลังก็ไม่ต้องซื้อแล้วชาเขียวสตาร์บัคอะ เสียดายเงิน ไม่ได้ชอบกินขนาดนั้น” เสียงแหบเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเช็ดขนเจ้าหมาตัวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เจ้าพิซซ่าสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลนั่งนิ่งมองเจ้าของตัวเองที่กำลังเช็ดขนให้ หมอบนอนลงอย่างเพลิดเพลิน
“ทำไมอยู่กับพี่ต่ายมันไม่เห็นซนเลยอะ ปกติหมาพันธุ์นี้ซนนรกเลยนะเนี่ย” บาสถามอย่างประหลาดใจ เพราะตามลักษณะนิสัยของสุนัขพันธุ์นี้นั้นมักจะอยู่ไม่นิ่ง แถมยังชอบขุดทำลายข้าวของไปทั่ว แต่พอสังเกตไปรอบๆบ้าน นอกจากลูกบอลที่เละไม่เป็นชิ้นดีกับตุ๊กตาของเล่นแล้ว มันก็ไม่เห็นจะสร้างความเสียหายอื่นใดผิดกับที่ได้เห็นตัวอื่นที่เขาเคยเจอมา
“ก็พูดกับมันสิ มันก็ฟังรู้เรื่อง... แต่คนแถวนี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง” ประโยคหลังแอบบ่นอุบอิบในลำคอ แต่ยังไงอีกคนก็คงได้ยินอยู่แล้ว ก็อยู่ใกล้กันเสียขนาดนี้
“ฟังรู้เรื่องสิครับ แหม พี่ต่ายบอกไม่ต้องซื้อแล้วชาเขียวอะ ไม่บอกผมแต่ทีแรกล่ะ ทิ้งแบบนั้นเสียดายแย่ เพื่อนผมมันยังบอกเลยว่าถ้าพี่ต่ายทิ้งอีกให้บอก มันจะไปรอเก็บจากถังขยะ” พูดติดตลก
“แล้วรู้ได้ไงว่าทิ้งทุกครั้งที่ได้ ... นี่สะกดรอยตามทุกอย่างเลยหรือไง ชักกลัวจริงๆแล้วนะ”
“ผมไม่ได้ตามเองหรอกพี่ต่ายก็ ในโรงบาลเนี่ยพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ผมจะเข้าไปดูได้ยังไง ใครเอาไปให้พี่เค้าก็มาบอกผมเองแหล่ะ” เขาแก้ตัว มองว่าที่คุณหมอหน้าสวยที่หรี่ตามองอย่างคาดโทษ
“อ้อ รู้แล้วว่าควรไปไล่เบี้ยกับใคร ติดสินบนอะไรพี่เดือนไว้ล่ะ”
“หมอต่ายว่าผมหล่อไหมอะ” บาสถามเสียงทะเล้น ทำหน้าเก๊กหล่อเต็มที่
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” ต่ายถลึงตา
“โธ่ ผมก็กำลังจะบอกนี่ไงว่าผมใช้ความหล่อของตัวเองติดสินบนเจ๊เค้าเอาไว้ไงพี่” พูดพร้อมยิ้มกว้าง ต่ายมองหน้าอีกฝ่าแล้วทำท่าโก่งคอจะอ้วก ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน
“งั้นก็ใช้ความหล่อเท่าที่มีของนาย ไปจีบผู้หญิงดีกว่าไหมล่ะ?”
“พี่ต่าย ผมถามอะไรอย่างดิ” ร่างสูงเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“อย่างเดียวนะ” ย้อนกลับอย่างว่องไว
“โอ้ย มันเป็นประโยคคำถามแบบยกตัวอย่างนะพี่ งั้นเปลี่ยนเป็นผมขอถามอะไรหลายๆอย่างหน่อยได้ไหมครับพี่ต่าย” บาสโอดครวญ คนตัวโตนอนเอนบนพื้น แทบจะลงไปเกือกกลิ้งกับเจ้าพิซซ่า คนตัวบางกว่าเลยมองนิ่งๆ พลางคิดในใจว่าพื้นยังไม่ได้ถู ก็มีคนอาสาเอาตัวลงไปถูให้นี่มันดีจริงๆ
“ให้อย่างเดียว” เขายื่นคำขาด “ไม่พอใจก็ไม่ต้องถามอะไรอีกเลย”
“ก็ได้ ก็ได้ครับ ผู้ชายนี่จีบยากอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าวะเนี่ย” ประโยคหลังแอบพึมพำทำปากขมุบขมิบ หมอต่ายมองหน้า
“อย่างเดียวนี่มันยากนะ ผมมีเรื่องที่อยากรู้เต็มไปหมดเลย อย่างเช่นพี่ต่ายชอบกินอะไรนอกจากชาเขียว ชอบทำอะไรในวันหยุด มีเพื่อนกี่คน เป็นลูกคนที่เท่าไร เคยมีแฟนไหม หรืออย่างเรียนหมอหนักไหม ยากหรือเปล่า พี่เหนื่อยไหมต้องทั้งเรียนและเข้าเวรไปพร้อมๆกัน พี่ว่างตอนไหนบ้าง ผมไม่เคยมีเพื่อนสนิทเรียนหมอสักคนมีแต่เพื่อนร่วมห้องสมัยม.ปลาย กลุ่มผมมันก็เถือกๆนี้แหละ วิดวะบ้าง ศิลป์กรรมบ้าง แต่ก่อนผมว่าคนเรียนหมอนี่มันต้องพราวอะพี่ แบบข้าภูมิใจที่ข้าสูงส่งกว่าคนอื่นเพราะเด็กหมอแม่งชอบมองคนอื่นเหยียดๆอะไรแบบนั้น”
พูดเสียยืดยาวจนว่าที่คุณหมอนึกขำ ส่ายหน้าเล็กน้อย “คิดอะไรแปลกๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาคิดแบบนี้เหมือนนายทุกคนหรือเปล่า แต่ถ้าคนเป็นหมอคิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่น ดูถูกคนอื่น ถ้าหมอคนไหนคิดแบบนี้ก็ไม่ควรรักษาคนไข้ ลองคิดดูนะ ถ้าเป็นนายเจอคนที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงมากๆ นายจะอยากอยู่ใกล้เขามั้ย?”
“เพื่อนกันยังไม่อยากใกล้เลยพี่” คนตอบทำท่าขนลุกขนพอง
“แต่คนเป็นหมอไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็ต้องรักษา ต้องอยู่ใกล้ ต้องให้กำลังใจคนไข้ให้เขาสู้กับโรคนั้นๆได้ ต้องไม่รังเกียจคนไข้ ไม่ว่าเขาจะรวยหรือจนเราก็ต้องให้การรักษาแบบเท่าเทียมกัน เคยเจอหมอคนไหนเห็นคนไข้เจ็บป่วยมาแล้วมองคนไข้อย่างเหยียดหยามเหมือนอย่างที่นายคิดหรือเปล่าล่ะ?”
บาสคิดในใจแล้วส่ายหน้า “ก็ไม่มีนะพี่”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าคนเรียนหมอหรือคนเป็นหมออยู่เหนือกว่าคนอื่น เราอยู่ใต้คนอื่นด้วยซ้ำเพราะไม่ว่าจะป่วยแค่ไหน จะจนหรือรวย หน้าที่ของเราคือต้องรักษาเขาให้หาย เราทำงานกัน 24 ชม.ไม่มีวันหยุดไม่เหมือนอนาคตนายช่างใหญ่อย่างนายหรอก เข้างานแปดโมง ห้าโมงเลิกงานตั้งวงเหล้า” แอบกัดให้เจ็บน้อยๆ เห็นอีกคนหัวเราะร่าอย่างยอมรับข้อกล่าวหาโดยดี
“เด็กวิดวะ ไม่มีเหล้างานไม่เดินนะพี่ สมองไม่แล่น มันจะหงุดหงิดจิตงุดเงี้ยว” พูดให้คล้องจองติดตลกพอเป็นพิธี พอเห็นคนหน้าสวยหัวเราะในลำคอแล้วก็ยิ้มตาม
“ผมว่าผมชอบพี่จริงๆอะแหละ” โพล่งขึ้นมากลางปล้องอย่างไม่มีเหตุผล “พี่ไม่เหมือนคนอื่น ผมอยู่ใกล้แล้วแฮปปี้มีความสุข ผมชอบที่พี่ยิ้มนะพี่ยิ้มสวยมาก ผมอยากให้พี่ยิ้มเยอะๆดีกว่าขมวดคิ้วตั้งเยอะ”
“ฉันก็ไม่ได้หน้าบึ้งเป็นปกติอย่างที่นายเห็น มันเป็นเพราะปวดประสาทกับนายนั่นแหละ”
“พี่ต่ายใจดีด้วย”
“เห็นคนแถวนี้เจอกันกี่ครั้งก็บอกว่าใจร้าย”
“พี่จำได้ด้วย” บาสผุดลุกขึ้นนั่ง เจ้าหมาน้อยเห็นคนรู้จักของเจ้านายลุกขึ้นนั่งแล้วก็คิดจะชวนตัวเองเล่นด้วย กระโดดโลดเต้นสะบัดหางไปมารอบๆ ไม่รู้ทำไมแต่เขารู้สึกว่าเขากำลังเห็นภาพทับซ้อนเป็นหมาสองตัวที่หูกระดิกสะบัดหางพร้อมๆกัน
“ความจำไม่ได้เสื่อมนี่” เขาตอบ มือขาวรวบอุปกรณ์เช็ดตัวสุนัขที่กองเต็มชานบันไดหน้าบ้านรวบเข้าหากันลวกๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งสุนัขสองตัวเกลือกกลิ้งอยู่ที่เดิม เสียงทุ้มหัวเราะลั่น
“พิซซ่า พี่ต่ายโคตรน่ารักอะ!”
Fanart บาสเดอะโกลเด้น & พิซซ่าเดอะบีเกิ้ล
credit to Narutan ♥
ความคิดเห็น