ลำดับตอนที่ #20
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Take #18 Part II
#18 Part II.
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่มีสัญญาณตอบรับในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ The number you dialed is not available at this moment. Please try again.’
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่มีสัญญาณตอบรับในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ The number you dialed is not available at this moment. Please try again.’
โคตรเกลียดเสียงผู้หญิงคนนี้เลย... บาสหงุดหงิดเมื่อกดโทรศัพท์จนมือหงิกแต่ก็ไม่มีคนรับ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะคิดว่าพี่ต่ายกำลังเรียนหรือเข้าเวร อะไรก็ตามที่ทำให้ไม่ว่างมานั่งอ่านไลน์หรือกดรับโทรศัพท์แต่นี่ไม่ใช่ ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาเชื่อโตร้อยเปอร์เซ็นต์ โตไม่มีทางโกหก ด้วยนิสัยส่วนตัวของหมอนั่นไม่ใช่คนที่คอยยุแยงตะแคงรั่วให้ใครเข้าใจผิดกันอยู่แล้ว สีหน้าและท่าทางของมันมีแววลังเลอยู่ไม่น้อย เขารู้ว่ามันกำลังลังเลว่าควรบอกเรื่องนี้กับเขาดีไหม
'ทีแรกกูก็จะทักพี่ต่ายแล้วแต่ว่ากูเห็นเขามากับผู้หญิงอีกคนแล้วก็เดินจูงมือกันด้วย กูก็เลยสงสัยว่าเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า ตอนแรกกูก็อยากจะให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยเข้าไปทักแต่ไม้มันก็ไลน์มาเร่งให้กูกลับ บาสมึงฟังกูนะ สิ่งที่กูเห็นมันอาจจะผิด นั่นอาจจะเป็นเพื่อนพี่ต่ายเพราะกูก็ไม่รู้จักเพื่อนเขาทั้งหมด กูบอกไว้ก่อนว่ามึงอย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่กูพูดแล้วเอาไปคิดเองเป็นตุเป็นตะไป มึงรอถามพี่ต่ายดีกว่า ฟังกูนะ มึงห้ามคิดเองเออเอง กูไม่อยากให้สิ่งที่กูไม่แน่ใจมาทำให้มึงเข้าใจผิดกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าเป็นอย่างนั้นกูคงรู้สึกแย่มาก'
นั่นสินะ... ห้ามคิดเองเออเอง บาสรู้ดีแต่มันก็อดจะคิดไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่โตกลัว เขาแค่กำลังงงเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่านั้นว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไรมาอย่างไร พี่ต่ายที่ควรจะอยู่ในชั้นเรียนถึงออกมาเดินห้างเวลานี้ บาสเปลี่ยนเป้าหมาย เมื่อติดต่อพี่ต่ายไม่ได้ บุคคลที่เขานึกถึงเป็นลำดับที่สองคือพี่ปราชญ์ โชคดีเหลือเกินที่แลกเบอร์กันเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เขากดไล่รายชื่อสักครู่ก็พบ บาสไม่ลังเลที่จะกดโทรออกทันที รอสัญญาณดังสองสามครั้งพี่ปราชญ์ก็กดรับด้วยน้ำเสียงปกติ
(มีไร)
อื้อหือ เสียงเหวี่ยงมาเชียวเว้ย บาสคิดในใจก่อนที่จะกรอกเสียงตอบกลับไป “ผมบาสนะพี่ปราชญ์”
(เออ กูรู้ เบอร์มึงขึ้นหราพร้อมชื่ออยู่แล้ว โทรมามีอะไรกูจะนอน เดี๋ยวเย็นต้องไปเข้าเวรอีก)
“พี่ปราชญ์อยู่กับพี่ต่ายหรือเปล่า”
(...ไม่ มึงมีอะไรหรือเปล่า)
“ติดต่อพี่ต่ายไม่ได้ว่ะพี่ วันนี้ว่าจะไปรับหลังเข้าเวรเลยไม่รู้ว่าควรไปรอที่ไหน”
(ปกติมึงรอที่ไหนก็รอที่นั่นแหละเว้ย ฮ้าว... มึงลองโทรหาโน้ตว่าอยู่กับต่ายไหมได้ความว่ายังไงก็ไลน์มาบอกกูด้วย เดี๋ยวกูนอนต่อล่ะ)
ปราชญ์กดวางสายอย่างรวดเร็ว บาสขมวดคิ้วคิดหนักแต่เขาก็คิดว่าการไปรอที่เดิมอย่างที่รุ่นพี่แนะนำท่าจะดี ชายหนุ่มมองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าโมงกว่าๆแล้ว ถ้าเอาตามเวลาที่นัดเมื่อคืนที่อีกฝ่ายบอกว่าจะออกเวรตอนหกโมงก็อีกไม่กี่สิบนาทีเท่านั้น เขาโบกเรียกวินมอเตอร์ไซริมถนน บอกจุดมุ่งหมายที่จะไปแล้วกระโดดขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเขาก็มาถึงหน้าโรงพยาบาล บาสสอดส่องสายตามองทั้งบรรดาคนไข้และญาติคนไข้ เจ้าหน้าที่ แพทย์แวรและแพทย์ประจำ รวมไปถึงบรรดานักศึกษาแพทย์ที่เดินเข้าออกก็ยังไม่เห็นร่างของบุคคลที่เขากำลังตามหา เขาตัดสินใจกดโทรหาเบอร์ของโน้ต แต่อีกฝ่ายก็ไม่รับเช่นกัน เขาถอนหายใจ ตัดสินใจเปิดโปรแกรมไลน์ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อบอกว่าเขารออยู่ที่ร้านกาแฟเจ้าเดิมที่นั่งรอเป็นประจำ เขาไม่รู้ว่าพี่ต่ายจะกดอ่านหรือไม่เพราะข้อความก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะรับรู้เลย
บาสรู้สึกอึดอัด เขากำลังว้าวุ่นจนกระวนกระวาย ใครขวางทางก็ดูจะหงุดหงิดไปหมด พนักงานที่เคาท์เตอร์ร้านกาแฟก็ดูเงอะงะเพราะเป็นพนักงานใหม่ เจ้าหล่อนถามย้ำออเดอร์เขาสามรอบก็ยังพูดผิดจนครั้งสุดท้ายเขาเผลอกระชากเสียงตอบกลับไปจนพนักงานหน้าเสียแล้วเดินมารอรับเครื่องดื่ม ถือเป็นเรื่องโชคดีเรื่องเดียวของวันนี้ที่เก้าอี้โซฟาตัวเดิมของเขายังไม่ถูกลูกค้าคนอื่นจับจองไป บาสชอบที่นั่งฝั่งนี้ เพราะมันเป็นฝั่งเดียวที่หันหน้าออกไปนอกร้าน เขาจะได้มองเห็นคนเดินผ่านไปมาได้สะดวก
บาสรู้ตัวดี เขาไม่ได้หงุดหงิดพี่ต่าย ถึงโตจะเห็นพี่ต่ายเดินจูงมือควงแขนกับผู้หญิงคนไหนเขาก็ไม่ได้หึงหรือหวงอะไร บาสแค่สงสัยมากกว่าว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่รับโทรศัพท์หรือกระทั่งไม่ตอบแชทที่เขาทักไปเลย... เขารู้ดีว่าถ้าไม่ใช่คนที่สนิทสนมกันอยู่แล้วพี่ต่ายไม่มีทางให้จับมือถือแขนหรือเข้าใกล้ขนาดที่โตกังวลหรอก ดูอย่างตอนที่เขาจีบแรกๆเป็นไร นี่ถ้าไม่บ้าอย่างเขาอย่าหวังว่าจะแหวกเส้นแบ่งนั่นไปได้หรอก! ไม่มีทาง!
“ต่ายเดี๋ยวสิ รอเราด้วย”
บาสหันขวับโดยอัตโนมัติไปตามทิศทางของเสียงแล้วก็ต้องถอนหายใจเพราะต้นเสียงนั้นคือผู้หญิงสองคนในชุดไปรเวทที่กหึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในอาคารผู้ป่วย ไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหาอยู่ เขาเหม่อมองไปยังทิศเดิมสักพักแล้วส่ายหน้าช้าๆก่อนจะชะงักกึก หรี่ตามองไกลออกไปจากจุดเดิม...
นั่นมัน...
บาสวางแก้วกาแฟที่ยังเหลืออยู่กว่าครึ่งลงบนโต๊ะ ใช้ช่วงขายาวๆของตัวเองให้เป็นประโยชน์ เพียงแค่ไม่กี่สิบก้าวเขาก็ถึงจุดหมาย ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าประชิดด้านหลังจนคนที่ยืนอยู่ชะงักตกใจ มืออุ่นสอดประสานเข้ากับมือเย็นๆของคนที่ยืนซ้อนด้านหน้า บาสเห็นใบหน้าเนียนใสตื่นตระหนก ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีเข้มวูบไหวเล็กน้อย เขายิ้มให้คนตรงหน้าบางๆ
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ผมครับ” บาสถามเสียงเรียบ มองใบหน้าตกใจของผู้หญิงในเสื้อกาวน์สีขาวตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉยแล้วค่อยมองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า พี่ต่ายไม่ได้กระเถิบหนีหรือชักมือออก ร่างเล็กกว่าแค่สะดุ้งเล็กน้อยเพราะตกใจ
“นี่... ถอยออกไปหน่อย” ต่ายเอ็ดเสียงเบา เหลือบตามองคนที่ยืนอยู่สูงกว่า
บาสยิ้มมุมปาก เขาถอยห่างออกตามที่อีกฝ่ายพูดแต่ยังคงจับมือเย็นนั้นไว้แน่น “แล้วนี่....” เขาแสร้งเหลือบตามองผู้หญิงตรงหน้าที่ดูจะรุ่นเดียวกับพี่ต่าย ไม่รู้ว่าใช่คนที่โตบอกว่าเจอเจ้าหล่อนเดินกับพี่ต่ายเมื่อตอนกลางวันไหม แต่ถึงอย่างไรบาสก็แน่ใจอย่างหนึ่งแล้วว่าเรื่องเข้าใจผิดที่ทั้งเขาและโตกลัวมันจะไม่เกิดขึ้น
ต่ายถอนหายใจเบาๆ ขมวดคิ้วมองทั้งผู้ชายรุ่นน้องตัวโตที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนและอีกคนตรงหน้า “นี่ส้ม เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน ส้มเรียนอยู่เอกกุมารแพทย์เลยไม่ค่อยเจอกัน ส้มนี่บาส เรียนอยู่วิศวะปีสาม ม.เดียวกันนี่แหละ”
“แฟนกระต่ายเหรอ” หล่อนพูดพร้อมอมยิ้ม “ได้ยินโน้ตกับปราชญ์พูดถึงบ่อยๆ พี่ชื่อส้มนะ”
“ครับ” บาสตอบรับ จะหาว่าเสียมารยาทก็ได้แต่เขาแค่ยิ้มให้ผ่านๆแล้วมองคนข้างๆ “ผมไลน์มาไม่เห็นตอบ โทรไปก็ไม่รับ”
“ก็มันพัง” ต่ายบ่นอุบอิบ “เนี่ยก็จะนัดส้มไปเอาเมื่อกลางวันไปส่งซ่อมที่ศูนย์ที่ห้างก็เลยขอออกเวรไวหน่อยเพราะมีธุระ ก็คิดว่าหกโมงก็เสร็จพอดี เป็นอะไรเนี่ยหน้ายุ่งอีกล่ะ”
“ทำไมพัง”
“ก็มันตกน่ะสิ จอแตกเลยลองเอาไปเคลมดู สรุปต้องจ่ายตังเปลี่ยนเครื่องเลยไปซ่อมร้านแทน” ต่ายบ่นพึมพำ
“ก็กระต่ายซุ่มซ่ามเอง มีที่ไหนทำมือถือลื่นตกจากมือ”
“พูดมากน่าส้ม จะไปด้วยกันไหมเนี่ย” ต่ายถาม จับมือเล็กๆของเพื่อนเอาไว้
“ต่ายมีคนไปด้วยแล้วนี่ เราไม่ไปดีกว่าเดี๋ยวเราไปหาหมิวแทน” หล่อนตอบพรัอมหัวเราะคิกคัก แกว่งมือเพื่อนไปมาจนบาสอมยิ้มกับท่าทีน่ารักของเพื่อนสองคน “เลิกจ้องพี่ได้แล้วน้องบาส พี่ไม่ได้แอบเป็นกิ๊กกับกระต่ายนะ รายนี้จู้จี้ขี้บ่นยิ่งกว่าพ่ออีก ไม่ไหวหรอก”
“ห๊ะ... เออ... ผมไม่ได้...”
“ไม่ต้องมาปฏิเสธเลย ตาขวางขนาดนี้ พี่มีแฟนแล้วจ้ะไม่ต้องห่วง นี่เดี๋ยวไปเล่าให้หมิวฟังดีกว่าแฟนต่ายหล่อกว่าแฟนเราอีก น่าอิจฉานะเนี่ย หมิวต้องอยากเจอแน่ๆ”
“เนี่ยนะหล่อ...”
“เนี่ยแหละเรียกว่าหล่อ ไปล่ะเดี๋ยวเจอกันนะน้องบาส ไปแล้วนะต่ายแล้วเดี๋ยวจะไปบ้านต่ายวันไหนไลน์มาบอกเรานะ ขอให้มือถือซ่อมเสร็จแล้วล่ะไม่ใช่ไปเก้อ”
บาสก้มหัวเบาๆเป็นเชิงลา เห็นคนข้างๆโบกมือให้เพื่อนที่เดินออกไปที่ทางออกด้านข้างจนลัยสายตา เจ้าตัวก็หันมามองเขาตาเขียว ขมวดคิ้วหน้ายุ่งแบบที่ชอบทำเวลาขัดใจ
“เป็นอะไรเนี่ย ดีนะตรงนี้คนน้อย ปล่อยมือได้แล้ว”
“พี่ต่ายไม่รับโทรศัพท์ผมนี่นา...”
“ก็มันพัง บอกไปแล้วไม่ได้ยินหรือไง”
“ไลน์ก็ไม่ตอบด้วย...”
“...”
“แล้วโตก็เห็นพี่ต่ายเดินกับผู้หญิงด้วย...”
“ตอนไหน” ต่ายหรี่ตามองผู้ชายตัวโตที่งอแงจนน่าเหนื่อยใจ
“ก็ตอนกลางวันที่ห้าง โตมันไปจ่ายค่าโทรศัพท์ที่ศูนย์”
“ก็เอาไปส่งเคลมตอนบ่ายนี่แหละ พอรู้ว่ามันแพงเลยเอาไปซ่อมร้านแล้วมาเข้าเวร กะเลิกแล้วจะไปเอา... นี่อย่าบอกนะว่าหน้าบึ้งเพราะเรื่องนี้ ก็มันรับไม่ได้จะไปรู้ได้ยังไงว่าโทรมา”
“มันก็ไม่เชิง”
“ยังไงกัน”
บาสเห็นต่ายส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจแต่ริมฝีปากบางเจือรอยยิ้มเล็กน้อย กอดอกมองเขาด้วยสายตาจับผิดเหมือนจะรู้ว่าที่เขากังวลแต่แรกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ติดต่อไม่ได้แค่อย่างเดียว “เฮ้อ ไม่มีอะไร”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ช่วยทำหน้าให้เหมือนไม่มีอะไรจริงๆด้วย” ต่ายบ่น มองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงแล้วก็เงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าที่ยืนก้มหน้า “ไปเอาโทรศัพท์กัน เดินไปนะ มีอะไรก็พูดตอนเดินไปนี่แหละ”
บาสเดินตามหลังคนตรงหน้าต้อยๆจนพ้นเขตโรงพยาบาลไปแล้วเขาก็เห็นคนที่เดินนำหน้าหยุดยืนกอดอกมองนิ่ง
“นี่จะเดินตามตูดเป็นลูกหมาอีกนานไหมเนี่ย” มือเล็กกว่าดึงแขนเขาให้เข้าใกล้ เกาะริมเสื้อเชิ้ตแขนยาวของเขาให้เดินมาอยู่ในระนาบข้างๆกันแล้วก้าวขาช้าๆแต่สม่ำเสมอ “พูดได้ยังว่ามีอะไรอีก”
“ก็โตมันบอกว่าพี่ต่ายเดินจับมือกับผู้หญิงก็เลย คิดมากนิดหน่อย...” ...แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด บาสตอบเสียงแผ่วจงใจละวลีสุดท้ายเอาไว้ในใจ เขามองใบหน้าเนียนที่ตีหน้านิ่งเฉย มองตรงไปตามทางข้างหน้า ฟุตบาทริมถนนแถวโรงพยาบาลช่วงเวลาเย็นเต็มไปด้วยคนจำนวนมากที่เดินไปมา ทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันรวมไปถึงนักเรียนในเครื่องแบบและคนทั่วไปปะปนกัน แม้จะมีเสียงคุยกันแต่เขากลับรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด
อาจจะเพราะคนข้างๆที่ตีท่าทีเหมือนไม่ได้สนใจอะไรกำลังตั้งใจฟังเขาอยู่เงียบๆ บาสรู้สึกแบบนั้น
“แต่ก็ไม่ได้จะจับผิดหรืออะไรพี่ต่าย โตมันก็บอกว่ามันมองไม่ชัดไม่อยากให้ผมคิดไปเองแต่ก็แอบคิดไปนิดหน่อย พอติดต่อไม่ได้มันเลยยิ่งกังวล ไลน์ไปก็ไม่อ่านโทรไปก็ไม่ติด โทรหาพี่ปราชญ์ก็ไม่รู้ พี่โน้ตก็ไม่รับ”
“ก็คลำทางมาหาถูกนี่ เป็นหมาเหรอจมูกไวชะมัด” ต่ายพูดหยอก เหลือบตามองคนข้างๆที่มีสีหน้าว้าวุ่นใจ น้ำเสียงทุ้มที่เคยมั่นคงกลับฟังดูลังเลต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด “คิดอะไรไม่เข้าท่า”
“ก็มันคิดไปแล้วนี่ พี่ไม่มาเป็นผมไม่รู้หรอก” บาสหงุดหงิดตัวเองจนเผลอตะคอกเสียงดัง ชายหนุ่มทำหน้าตกใจ สำนึกผิดที่พูดเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง “ขอโทษครับ”
บาสรู้สึกผิดที่ตัวเองพูดกระแทกเสียงใส่อารมณ์กับคนข้างๆ แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อตอนนั้นเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันอึดอัดจุกอก พูดอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่งตอนที่เพื่อนเล่าให้ฟัง แม้เข้าจะเชื่อใจพี่ต่ายแต่เขาก็อดที่จะแอบคิดไม่ได้ ชายหนุ่มมองคนข้างๆที่หยุดเดิน ยืนนิ่งมองหน้าเขา บาสรู้สึกเหมือนคนลิ้นจุกปาก จะพูดแก้ตัวอะไรไปก็ไม่ทันเสียแล้ว
“เอามือถือมา”
“ห๊ะ?”
“ก็บอกว่าเอามือถือมาไง”
บาสตกใจ รีบล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงสแลคส่งให้ทันที ชายหนุ่มยืนมองคนที่กดปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์เขาอย่างรวดเร็ว หยิบนามบัตรใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีขาว บาสเห็นว่าเป็นนามบัตรของร้านซ่อมโทรศัพท์บนห้างแถวนี้ เขาเห็นนิ้วเรียวกดเบอร์ร้านที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรอย่างรวดเร็วแล้วยกโทรศัพท์แนบหู มองว่าที่คุณหมอที่ทำหน้ายุ่งปนหงุดหงิดแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“สวัสดีครับ ผมชื่อต่ายที่เอาไอโฟนไปส่งซ่อมเมื่อตอนกลางวันนะครับ เครื่องสีขาวที่จอแตก ผมไปรับเครื่องช้าหน่อยได้ไหมครับที่ร้านปิดกี่โมง... ครับๆ... ขอบคุณมากนะครับเดี๋ยวผมโทรหาอีกทีก่อนเข้าไป”
ร่างสูงมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ พี่ต่ายไม่ได้ส่งโทรศัพท์มือถือคืนเขาทันที มือเล็กข้างที่ว่างอยู่คว้ามือเขาหมับแล้วกึ่งดึงกึ่งลากกลับทางเดิม เขาจำเป็นต้องสงบปากสงบคำเดินตามอย่างช่วยไม่ได้ บาสยอมรับ... เรื่องนี้เขาผิดเองที่เผลอตะคอกใส่พี่ต่ายไปทั้งๆที่พี่ต่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเกิดจากอุบัติเหตุและความคลาดเคลื่อนของเวลาแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่ทำให้เรื่องมันลุกลามมาขนาดนี้ เขากระโตกกระตากไปเองทั้งนั้นทั้งๆที่โตย้ำนักย้ำหนาว่าให้ถามพี่ต่ายให้เข้าใจเสียก่อน
ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ แต่ความรู้สึกอัดอัดและหน่วงๆในช่วงเวลานั้นมันกู้คืนมาไม่ได้จริงๆ...
.
.
ตึกจอดรถประจำในเขตมหาวิทยาลัยตอนนี้จำนวนรถเริ่มเบาบางเพราะเลยเวลาเลิกเรียนมานานมากแล้ว ส่วนที่ยังจอดอยู่ก็พอมีประปรายเนื่องจากบางคนก็อยู่ทำกิจกรรมกันต่อหลังเลิกเรียนบ้างและเป็นรถของบรรดาอาจารย์บ้าง บาสเดินตามแรงดึงของคนตรงหน้ามายืนอยู่ข้างๆรถเบนซ์คันเดิม
ไม่รู้ว่ากลัวเป็นจุดสนใจหรืออะไร แต่พอเราเข้าใจผิดกันทีไร พี่ต่ายมักจะลากมาคุยกันที่รถทุกที
“ฉันผิดหรือเปล่า” เสียงแหบที่เอ่ยคำพูดกี่ครั้งก็ฟังนุ่มหู บาสมองใบหน้าเรียวที่เงยมองเล็กน้อย คงเพราะความสูงของเราไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร
“พี่ต่ายไม่ผิดหรอกผมผิดเอง” บาสตอบเขากุมมือข้างที่ถูกจูงมาตลอดทางแน่นขึ้น เขารู้สึกว่าฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อจนเปียก คงเพราะอากาศร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตกตลอดเวลาแบบนี้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อย
“งั้นถามอีกครั้ง ฉันเป็นต้นเหตุของความผิดของนายหรือเปล่า”
บาสถอนหายใจ รู้สึกลังเลที่จะตอบคำถามที่พุ่งตรงมา พี่ต่ายเป็นแบบนี้เสมอ บางครั้งก็ตรงไปตรงมาจนเขากลัว “ถ้าจะให้บอกก็ใช่ครับ”
“งั้นฉันควรขอโทษใช่ไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ต่ายฟังผมก่อนนะ ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษทั้งๆที่เรื่องที่ผมคิดมากเกินไป คิดเองเออเองมากเกินไป ทั้งๆที่โตมันก็เตือนแล้วตั้งแต่ตอนแรกที่มันมาเล่าให้ผมฟังว่ามันเห็นพี่เดินกับพี่ส้ม มันไม่ได้ยุยงหรือพูดให้ชวนเข้าใจผิดอะไร มันเห็นอย่างไรมันก็เล่าแบบนั้นตัวมันเองยังย้ำกับผมเลยว่าอย่าวู่วามหรือคิดไปเอง ผมไม่ได้โกรธที่พี่เดินกับผู้หญิงหรือระแวงพี่เลย ผมยอมรับว่ามันก็รู้สึกเหมือนกันแต่มาลองคิดดูแล้วมันแค่นิดหน่อยเท่านั้น ที่ผมกังวลคือพี่เป็นอะไร ทำไมพี่ไม่ตอบไลน์หรือรับโทรศัพท์ พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ตอนนั้นผมเลยคิดมากแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมโทรหาใครก็ไม่รู้ว่าพี่อยู่ไหน พี่ปราชญ์บอกให้ผมมารอที่เดิมผมเลยเดินมารอร้านกาแฟที่ผมชอบมานั่งรอพี่บ่อยๆ”
บาสรู้สึกว่าตัวเองพูดรัวจนลืมหายใจ ไม่รู้ว่าพี่ต่ายฟังทันบ้างหรือเปล่าแต่คิดว่าวันนี้เขาพูดเร็วที่สุดในชีวิตแล้ว เวลานี้สมองสั่งการหรืออย่างไรเขาพูดออกมาหมดแบบไม่หยุดคิดก่อนแล้วว่าสิ่งที่พูดออกไปนั่นมันสมควรหรือไม่ เขารู้อย่างเดียวว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาตอนนี้มีอวัยวะแทนความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าหัวใจกลั่นกรองแทนเขาเรียบร้อยแล้ว
“ตอนที่ผมเจอพี่ยืนอยู่กับผู้หญิง... อยู่กับพี่ส้มผมกลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าว่าอย่างน้อยก็เจอพี่แล้ว ผมรู้เหตุผลว่าทำไมพี่ถึงไม่ตอบกลับมาแล้วแต่พอผมรู้เหตุผลนั้นความรู้สึกอีกอย่างที่มันเก็บเอาไว้มันก็ผุดขึ้นมาแทน ผมกลับรู้สึกว่าทำไมช่วงเวลามันเหมาะเจาะอะไรแบบนี้นะ ผมสมเพชตัวเองลึกๆนะพี่ต่าย ผมกลับมีความคิดเลวๆว่าทำไมพี่ไม่เห็นพยายามจะติดต่อหรือบอกผมเลย ถ้าเกิดว่าผมไม่เจอพี่แล้วพี่ไปรับมือถือกับพี่ส้ม พี่จะลืมไปหรือเปล่าว่าผมนั่งรออยู่ตรงนั้น พี่จะลืมนัดของเราไหม พี่ติดต่อใครไม่ได้เลยหรือ ฝากบอกพี่ปราชญ์ บอกพี่โน้ตมาก็ได้ พี่อยู่กับเพื่อนพี่ก็น่าจะหาทางบอกผมหน่อย ผมคิดเยอะไป ผมเอาความรู้สึกกระวนกระวายของผมมาเปรียบเทียบกับความนิ่งเฉยของพี่ ผมเลยเผลอตะคอกพี่ไป ผมขอโทษ”
ต่ายอ้าปากค้าง รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับคำพูดที่รัวออกมาราวกับห่ากระสุน เขายอมรับว่ามีหลายนัดที่กระแทกเข้ามาจนเขาต้องนิ่งแล้วคิดตาม บาสมองใบหน้าเนียน เขาเห็นคนตรงหน้าอ้าปากเหมือนจะพูดเถียงอะไรสักอย่างแต่ก็ปิดปากราวกับลังเลว่าจะพูดออกมาดีไหม สมองน้อยๆที่เต็มไปด้วยรอยหยักที่มากกว่าเขานั้นคงกำลังสร้างกระบวนการทางความคิดที่ซับซ้อนจนเขาไม่อาจนึกถึงได้ ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆหนึ่งครั้ง รู้สึกถึงมือเล็กที่ขืนออกจากการเกาะกุมแน่นจนบาสรู้สึกใจหายเหมือนหัวใจจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจนเรื่องราวเลยเถิดไปไกลกว่านี้
พี่ต่าย...
“สรุปว่าฉันผิด”
“ไม่ใช่...” เขาพยายามค้าน
“ไม่ๆ ผิดก็ผิด รับได้” ต่ายส่ายหน้า พิงหลังกับกำแพงปูนเปลือยด้านหลังตรงท้ายรถ เขามองออกไปด้านนอกตึก เห็นท้องฟ้าที่กำลังมืดครึ้มเพราะเข้าช่วงเวลาหัวค่ำ อากาศเย็นจนต้องยกมือขึ้นกอดอก
“...”
“มันไม่ใช่ไม่ได้คิดนะ ไม่ใช่ว่าจะนิ่งจนไม่ได้รู้สึกอะไร”
บาสเงยหน้ามองคนที่เปิดประเด็นตรงหน้าหลังจากที่ก้มหน้ามาตลอดตั้งแต่อีกฝ่ายเงียบไป ขายาวก้าวเข้าหา เขาเห็นพี่ต่ายเหลือบตามองแล้วเสไปทางอื่นแต่ก็ไม่ได้กระเถิบตัวหนีไปไหน
“ตอนที่มือถือพังตอนนั้นอยู่กับส้มพอดีเจอกันที่โรงอาหาร อย่างที่ส้มบอกฉันซุ่มซ่ามเองที่ทำมือถือลื่นจากมือเพราะถือของเยอะเกินไปด้วย ทั้งชีททั้งหนังสือวุ่นวายไปหมด พอหยิบขึ้นมาก็เห็นว่าจอมันแตกเกือบจะละเอียดเลยแหละ แค่มีฟิล์มติดอยู่มันเลยไม่ร่วงกราวออกมาเลยตัดสินใจปิดเครื่องดีกว่าแล้วไปที่ศูนย์ โตอาจจะเห็นตอนนั้นพอดี ส่วนเรื่องเดินจูงมือกันก็คงเป็นช่วงที่ส้มดึงมือเดินไปดูร้านอื่นตอนออกจากศูนย์บริการ รายนั้นมีร้านประจำที่ไปบ่อยก็เลยพาไป ก็แค่ช่วงนั้นนั่นแหละ เพื่อนกันใครจะมาจูงมือถือแขนกันตลอดเวลา”
เสียงแหบอธิบายเรียบลื่นทั้งๆที่ดวงตายังคงมองไปยังเบื้องล่าง แสงไฟจากท้องถนนเริ่มเด่นชัดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ความมืดเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ในตัวอาคารเปิดไฟจนสว่างตลอดอยู่แล้วเขาเลยไม่ได้สังเกตว่าด้านนอกนั้นมืดขนาดนี้แล้ว
“ส่วนเรื่องที่ไม่ได้ติดต่อไป ฉันยอมรับว่าฉันผิดเองนายจะโกรธก็ได้ มันก็ถูกแล้วเพราะว่าที่นายพูดมาถ้าฉันเป็นนาย... ฉันก็คงโกรธ... มั้ง... ไม่รู้สิ เอาเป็นว่าคงจะเคืองอยู่เหมือนกันแหละ ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะให้ส้มโทรไปหาปราชญ์หรือไม่ก็โน้ตถามเบอร์นายเหมือนกันแต่คิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวเย็นนี้ก็ซ่อมเสร็จแล้วค่อยไลน์หรือโทรหาเอาก็ได้ มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไรก็แค่โทรศัพท์พัง นายก็คงเพิ่งจะเลิกสอบคงจะอยู่กับเพื่อนแล้วมาเจอกันตอนเย็นเลย คิดว่าถึงไปเอามือถือแล้วกลับมาช้านิดๆหน่อยๆไม่น่าเป็นอะไรหรอกก็นัดกันแล้ว คิดแค่นั้นจริงๆ” ดวงตากลมเบื้องหลังเลนส์แว่นตาเหลือบมองใบหน้าคมของคนที่เด็กกว่า ต่ายพูดเสียงแผ่วแม้จะเบาแต่คนที่รอฟังกลับได้ยินชัดเจน
“ขอโทษนะบาส”
ขอโทษผมทำไม...
ขอโทษกับความเห็นแก่ตัวของผมทำไมกันพี่ต่าย... พี่ไม่ผิดเลย...
บาสรู้สึกตัวเองมือเท้าอ่อนเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ เขามองใบหน้าพี่ต่ายด้วยแววตารู้สึกผิดท่วมท้น พี่ต่ายกำลังทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่งี่เง่าที่สุดในโลก เขาไม่เคยกังวลกับเรื่องอื่นมากขนาดนี้ พอเป็นเรื่องของพี่ต่ายทีไรเขารู้สึกตัวเองเหมือนคนบ้า
บ้า...ที่คิดเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งว่าพี่ต่ายต้องมาคิดแบบเดียวกัน ทั้งๆที่พี่ต่ายเองก็คิดไม่ต่างกับเขาเลย
แค่การกระทำของเราแสดงออกมาแตกต่างกันเท่านั้น
บาสยกแขนของตัวเองที่มันดูหนักหนาเหลือเกินในความรู้สึกของเขา ใช้มือแตะที่ท้องแขนของร่างเล็กกว่าแผ่วเบา คนตรงหน้าไม่ได้ขยับตัวไปไหน ยืนนิ่งทั้งๆที่ยังกอดอกแน่น เสียงเอี๊ยดอ๊าดของล้อรถที่เบียดพื้นปูนซีเมนต์ดังก้องทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เหลือบตามองรถยนต์ที่กำลังขับผ่านไปจนลับสายตาแล้วจึงหันมามองใบหน้าขาวที่ยังคงมีสีหน้าลำบากใจ
“พี่...”
เสียงทุ้มหยุดชะงัก บาสรู้สึกตัวเองควานหาลิ้นไม่เจอ ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อจู่ๆคนที่ยืนกอดอกอยู่โผเข้ามากอดแน่นไม่ทันตั้งตัว อ้อมแขนเล็กแคบโอบรอบตัวของเขาแน่น ชายหนุ่มตกใจทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางมือที่ตกอยู่ข้างลำตัวของตัวเองไว้ตรงไหนเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
“หายโกรธหรือยัง”
เสียงแหบถามอู้อี้ออกมาจากช่วงบ่า บาสเหลือบมองใบหน้าที่เคยขาวตอนนี้กลับเจือสีชมพูเพราะความร้อนที่แล่นริ้วไปทั่วพวงแก้มเนียนจนถึงใบหู เห็นแล้วใจอ่อนยวบ เขาเคยโกรธพี่ต่ายที่ไหนกัน... ชายหนุ่มโอบร่างคนที่กอดเขาอยู่แน่น ซบหน้าผากลงที่ลาดไหล่แคบกว่า เกลือกกลิ้งไปมาจนอีกฝ่ายยักไหล่ย่นคอด้วยความจั๊กจี้
“ไม่...”
“ฮื่อ” คนในอ้อมกอดส่งเสียงประท้วง
“ผมไม่เคยโกรธพี่ต่าย ไม่มีวัน”
“ก็อารมณ์ไม่ดีเพราะฉัน”
“ผมอารมณ์เสียตัวเอง” บาสสูดลมหายใจ กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกจนอีกฝ่ายดิ้นขลุกขลัก เขาเอียงหน้าเข้าหาทั้งๆที่ยังซบอยู่ที่บ่าของอีกฝ่าย “ผมสัญญาผมจะไม่งี่เง่าอีก”
“อย่าสัญญาเลย” ต่ายพูดแทรก “ฉันก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต่อไปฉันจะทำอะไรให้นายไม่พอใจอีกหรือเปล่า บางทีต่อไปฉันก็อาจจะเป็นฝ่ายที่งี่เง่าบ้างก็ได้ใครจะรู้ เอาเป็นว่าเราก็จำวันนี้เอาไว้เป็นบทเรียน นายไม่ชอบอะไรฉันจะพยายามจำเอาไว้ นายก็จำเอาไว้ล่ะว่าบางเรื่องฉันเองก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น ฉันถนัดกับการคิดเองแล้วก็ตีความไปว่ามันคงไม่เป็นไรแต่หลังจากนี้ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก แบบนี้ดีกว่าไหม”
บาสพยักหน้าหงึกหงัก เขารู้สึกถึงแรงขืนตัวจากคนในอ้อมกอดจนต้องคลายวงแขนไว้หลวมๆแทน มือเย็นๆสองข้างแนบเข้าที่แก้มของเขาจนต้องมองตรงไปยังใบหน้าของคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเพียงเล็กน้อย
“วันหลังชอบไม่ชอบอะไรก็บอกล่ะอย่าเงียบแล้วเอาไปคิดเองเออเอง ฉันไม่ใช่หมอดูนะจะได้รู้ว่านายพอใจหรือไม่พอใจอะไรบ้าง” ต่ายเตือนเสียงแผ่ว พอเห็นบาสหยักหน้ารับรู้เจือรอยยิ้มแล้วก็ยิ้มตาม “ดีมาก”
บาสรู้สึกว่ามือเล็กๆนั้นออกจะรุนแรงไปสักหน่อยเมื่อใบหน้าเขาถูกดึงจนยืดออก ชายหนุ่มประท้วงเสียงอู้อี้แต่คนทำนั้นหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างชั่วร้าย ต่ายปล่อยมือออก เห็นร่างสูงหน้ามุ่ยโอดโอยด้วยความเจ็บแล้วก็ต้องยิ้มเต็มแก้ม ไม่ได้ดึงแรงขนาดนั้นเสียหน่อยสำออยไปได้ ว่าที่คุณหมออมยิ้มกริ่ม ใช้มือข้างหนึ่งรั้งลำคอของคนตัวโตให้ก้มลงมาใกล้แล้วหอมเข้าที่แก้มของคนที่ถูกดึงแผ่วเบาราวกับจะปลอบ คนถูกจู่โจมอ้าปากค้างตกใจ จะคว้าร่างไว้ตัวการก็เผ่นหนีขึ้นไปนั่งบนรถเบนซ์ฝั่งที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้วเรียกเขาเสียงดัง
“มาเร็ว ขับไปจอดที่ห้างเลย เดี๋ยวร้านมือถือปิดแล้วไม่มีใช้ คนแถวนี้จะโวยวายคิดไปเองอีก หิวข้าวแล้วด้วย”
บาสส่ายหน้าช้าๆทั้งๆที่ริมฝีปากยังแย้มรอยยิ้มกว้าง เขาเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่ง เห็นคนข้างสตาร์ทรถให้เรียบร้อยแล้วแต่ยังเอี้ยวตัวไปจัดกองหนังสือที่ระเกะระกะอยู่ที่เบาะหลังจนมันเป็นระเบียบนิดหน่อยแล้วค่อยขยับมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม ดึงเซฟตี้เบลท์มาคาดเรียบร้อยแล้วมองหน้าสารถีที่จ้องมองตาแป๋ว
“มองอะไร ขับไปสิ...อื้อ”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงแหบครางเครือประท้วงในลำคอเมื่อเข้าโน้มตัวเข้าหาและกดริมฝีปากจูบหนักๆลงไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากพี่ต่ายเย็นชืดจนเขาอยากถ่ายความร้อนของอุณหภูมิร่างกายให้คนตรงหน้านัก บาสรู้ตัวว่าตัวเองกำลังหอบหายใจหนักและอีกฝ่ายก็ไม่แพ้กัน จูบครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้านี้นัก อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่ยังคุกกรุ่นอยู่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาบดเบียดริมฝีปากลงไปหนักหน่วงกว่าครั้งไหนๆ ปลายลิ้นร้อนชอนไชเข้าไปสัมผัสเกี่ยวกับลิ้นนุ่มๆของคนตรงหน้า เหมือนพี่ต่ายจะสัมผัสได้ เจ้าตัวไม่ประท้วงหรือหลบเลี่ยงให้เขาหยุด ริมฝีปากบางสีสดกับปลายลิ้นเงอะงะที่ขยับตามการชักจูงของเขาจึงสั่นกระตุกแผ่วเบา ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกคนที่ถูกบดจูบจึงอ้าปากสูดลมหายใจราวกับคนขาดออกซิเจน
ดูเอาเถอะ...พี่ต่ายของเขาแค่จูบยังเหมือนคนทำอะไรไม่เป็น แค่แตะริมฝีปากกดเบาๆที่แก้มเรื่อยไปถึงหลังหูเจ้าตัวยังนั่งแข็งสะดุ้งทุกครั้งที่เขาแนบความร้อนทาบทับกับผิวเนื้อเย็นเฉียบ
...เข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงไม่หึงเรื่องที่พี่ต่ายไปเดินกับผู้หญิงแต่กลับไปกังวลเรื่องอย่างการที่อีกฝ่ายไม่ติดต่อกลับมามากกว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการนอกใจ
คนเถรตรงแถมบริสุทธิ์ไปทั้งตัวอย่างที่ต่ายไม่มีวันได้สัมผัสหรือได้รับสัมผัสจากใครนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น!
.
.
-----------------------------------------------------------------
BGM - ไม่มีตรงกลาง - เอ๊ะ จิรากร
-----------------------------------------------------------------
แจ้งข่าวนิดนึงค่ะ ว่า Paint Your Love แต่งแต้มเติมรักที่เป็นตอนของไบค์พีคนั้นจะไม่ลงจนกว่าลงเสื้อกาวน์ฯจบแล้วนะคะ ซึ่งก็ตอนหน้าแล้วเช่นกัน และจะแบ่งออกเป็น 2 Part เหมือนกันกับตอนที่ 18 นี้ค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น