คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Take #2 {re-write}
#2
เสียงพูดคุยจ๊อกแจกดังไปทั่วในช่วงเวลาพักกลางวันที่โรงอาหารตึกวิศวะกรรมศาสตร์ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เพราะถึงแม้จะโวยวายเสียงดังเท่าไรก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติ เด็กวิศวะไม่ใช่พวกเรียบร้อยหงุมหงิม เรียกได้ว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นแทบจะอุดมไปด้วยบรรดาเด็กห้าวตัวแสบ ดังเช่นศึกษาสาวที่หน้าตาสะสวยแต่พูดจาวะโว้ยได้เหมือนกับพูดจาภาษาดอกไม้ทั่วไป ส่วนผู้ชายคณะนี้เองก็ดิบไม่ต่างกันเท่าไรนักหรอก
กลุ่มนักศึกษาที่จับจองโต๊ะยาวด้านในสุดนั้นดูท่าจะเป็นการรวมตัวกันของที่สุดและที่สุดแห่งคณะเพราะนอกจากจะรวมนักศึกษารุ่นพี่รุ่นน้องเกือบทุกชั้นปีเอาไว้แล้ว เสียงโหวกเหวกที่ดังที่สุดอีกด้วยยังมากจากโต๊ะนั้นด้วยและถึงแม้ภาษาที่เล็ดรอดออกมาจะอุดมไปด้วยคำหยาบคายรุ่นพ่อขุนรามคำแหง แต่ก็ถือได้ว่ารวมดาวเด่นทุกชั้นปีเอาไว้เพราะเป็นบรรดาสายรหัสคนดังทั้งสิ้น
“แล้วไงต่อ”
“ไอ้บาสน่ะเหรอ ก็ล้มอะดิ ล้มแบบพระเอกมาก ท่าสวยจนพวกกูอยากจะอัดวีดีโอเอาไว้”
“เออ คนจะล้มบ้าอะไรวะชูสองนิ้วกลิ้งสามตลบแล้วพึ่งมารู้ตัวว่าปวดข้อมือจนขยับไม่ได้จนต้องไปโรงบาลตอนสี่ทุ่ม มันล้มตั้งแต่หกโมงเย็น ข้อมือนี่ม่วงจนตกใจ”
“เออ กูก็ว่าสมควรแล้ว แล้วข้อมือขวามันเป็นแบบนั้น มันจะเรียนยังไงวะ”
“อาจารย์บอกให้มันดูเพื่อนทำงานไปก่อนพี่ แล้วแขนหายดีแล้วมาตามส่งทีหลังได้ มันเป็นลูกรักว่ะพี่”
“เออ ก็ดีแล้ว”
คนที่ถูกเอ่ยถึงไม่ได้สนใจบทสนทนา แต่กำลังอารมณ์เสียอยู่กับการตักข้าวในชาม เพราะว่าใช้มือได้แค่ข้างเดียวแถมข้างที่ไม่เจ็บยังเป็นข้างที่ไม่ถนัดเท่าไร การกินข้าวราดแกงในจานแบนจึงเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นมาก ขาก็บวม ข้อมือก็หัก คงเป็นไอ้เป๋ไอ้ง่อยแบบนี้ไปอีกเกือบเดือนเลยทีเดียว
“แล้วทำไมมันเงียบแบบนั้นวะ หมอเค้าผ่าหมาในปากมาให้มึงเป็นของแถมเหรอวะบาส โรงพยาบาลไหนวะ กูจะให้พ่อกูไปบริจาคเพราะหมอแม่งทำหน้าทีดีมาก”
“กินข้าวอยู่พี่ ทำไมถ้าผมผ่าหมาออกแล้วพี่จะไปผ่าด้วยงั้นดิ”
เถียงกลับจนเรียกเสียงหัวเราะไปทั้งกลุ่ม คนโดนย้อนยิ้มเหี้ยม “มึงเคยเห็นจานลอยได้ไหมวะบาส”
“ฮ่าๆ หมาผมยังอยู่ดีในปากไม่ได้หายไปไหนสักตัวหรอก แต่ตอนนี้ขอกูกินข้าวก่อนได้ไหมครับพี่ ไม่ได้แดกอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”
“เออ แดกไปให้เยอะๆเลยมึง ก่อนที่มึงจะไม่มีโอกาสได้แดกอีก แล้วเสื้อช๊อปมึงไปไหน ไอ้แกะขาว” เปรียบเทียบได้ดีเพราะในโต๊ะนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ใส่เสื้อนักศึกษาแขนสั้นกับกางเกงยีนส์สีเข้มที่ไม่ได้ซักเกือบเดือนแล้ว เรื่องอะไรจะซักง่ายๆ ตัวนี้ซื้อมาแพง กางเกงยีนส์นี่ยิ่งซักยิ่งผ้าเสื่อมนะ สีจะซีด ผ้าจะยืด ไม่ทนทาน ถามเด็กวิศวะได้ ยีนส์กับเรา มันเป็นของคู่กัน ..
“ลืมไว้ที่โรง’บาล” ตอบสั้นๆ ไม่ใส่ใจ
“ลืมหรือทิ้งไว้อ่อยใครที่โรงบาลวะ ช๊อปไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้านะเว้ย”
ไม่ตอบ ก้มหน้าลงพุ้ยข้าวเข้าปาก คิ้วขมวดเมื่อคิดถึงเสื้อช๊อปของตัวเองบนร่างของใครอีกคนที่นอนคอพับคออ่อนอยู่ที่ล็อบบี้โรงพยาบาลเมื่อวานนี้ โรงพยาบาลที่เขาไปเมื่อวานเป็นของมหาวิทยาลัย เขาใช้ความมนุษยสัมพันธุ์ดีของตัวเองแอบถามเภสัชกรห้องจ่ายยาถึงข้อมูลเล็กน้อยคุณหมอหน้าอ่อนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้คอพับคออ่อน แม้ไม่ได้ข้อมูลที่เยอะเท่าที่ใจอยากรู้ แต่ก็ช่วยได้เยอะ อย่างน้อยก็รู้ว่าคุณหมอกระต่ายนั้นยังเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่
แก่กว่านิดนึง แต่ก็ดี เขาก็ไม่ได้ชอบเด็กง๊องแง๊งน่ารำคาญอยู่แล้ว พี่หมอต่ายเป็นคนที่ซื่อและนิ่งแต่ไม่ใช่ไม่ทันคนเพราะทุกครั้งที่เขาพูดจากวนๆใส่ จะถูกมองด้วยหางตา สายตาที่เหมือนจะตำหนิและรู้ทันแต่ไม่ได้พูดตอบโต้ ดวงตาเรียวมีแพขนตาหนาและยาวล้อมกรอบดวงตา ประกอบเข้ากับหน้าสวยๆ ปากนิด จมูกหน่อย ถามว่าชอบไหมเขากล้าตอบเลยว่าถูกใจเพราะใบหน้าเรียวสวยนั่นแต่เขาเองก็ไม่ได้เป็นประเภทนั้นและหมอต่ายเองก็ดูไม่น่าใช่ด้วยเหมือนกัน ว่าที่คุณหมอตัวสูงพอๆกันกับเขาด้วยซ้ำ ไม่ได้ตัวเล็กบอบบางท่าทีอ้อนแอ้นและดูกระเดียดออกสาวเลยสักนิด แต่ดูเนี้ยบ สะอาดสะอ้าน และท่าทางเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง สงสัยเรียนจบไปจะเป็นคุณหมอในอุดมคติของใครหลายคนแน่
บาสไม่ยอมรับว่าจะจีบจริงจังแต่ยอมรับว่าสนใจมากจนถึงกับต้อง ‘อ่อย’ โดยการทิ้งเสื้อช๊อปที่เป็นสัญลักษณ์ของคณะเอาไว้ ถึงไม่เอามาคืนก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่าเราไม่มีกรรมต่อกัน ส่วนเสื้อช๊อปนั้นแค่เดินไปซื้อที่สหกรณ์ใหม่ก็ได้ ถึงอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยเขาก็ไม่คิดมาก แค่อยากลองครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้น หึ! เรื่องนี้มันน่าท้าทายจะตายไป!
.
.
การเป็นคนป่วยแขนหักมันดีแบบนี้เอง เขาเดินผิวปากฮัมรอลิฟท์ลงจากตึกเรียนด้วยความอารมณ์ดีจนเพื่อนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันหมั่นไส้ เพราะนอกจากที่อาจารย์จะละเว้นการบ้านเขาเป็นพิเศษแล้ว ยังได้สิทธิพิเศษอีกหลายๆอย่างเช่นเวลาเข้าแล็บก็ให้เพื่อนช่วยงานได้ ไม่ต้องลงมือทำเองขอแค่เข้าห้องเรียนครบตามเวลาที่กำหนดก็พอแล้ว
“หมอนัดอีกทีเมื่อไรวะ”
“อีกหนึ่งอาทิตย์มั้ง ไม่แน่ใจว่ะ ใบนัดอยู่ที่ห้อง”
“เออดี แล้วนี่มึงจะไปไหน เดี๋ยวพวกกูจะไปลานเกียร์ มึงจะกลับหอไปนอนมั้ย เดี๋ยวให้ไอ้ปันไปส่ง”
“ไม่อะ ไปกับพวกมึงอะ กลับหอก็ไม่มีอะไรทำ” เขาตอบส่งๆ
ลงลิฟท์และเดินออกมานอกอาคารเรียนไม่เกี่ก้าวนั้นก็เข้าเขตลานกิจกรรมของคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือที่เรียกกันง่ายๆจากรุ่นสู่รุ่นว่าลานเกียร์ โต๊ะหินเรียงรายอยู่ล้อมรอบถูกจับจองโดยบรรดานักศึกษาที่นั่งเล่นบ้าง ทำงานบ้าง ลานเกียร์วันนี้ไม่ได้คึกคักเท่าไร ผ่านพ้นช่วงรับน้องไปแล้วแต่ก็ยังมีพี่ว้ากบางคนที่ไล่เบี้ยกับรุ่นน้องอยู่บ้าง บรรดารุ่นน้องปีหนึ่งที่รุ่นพี่รหัสสั่งให้ทำนั่นทำนี่บ้าง เรื่องที่ทำอาจะเป็นเรื่องจริงจังหรือตลกโปกฮาก็ได้ ซึ่งหากเข้าสู่คณะก็ต้องเข้าสู่ระบบนี้เป็นปกติและเด็กวิศวะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จริงจังมาก รุ่นน้องต้องเคารพและเชื่อฟังรุ่นพี่เสมอ เขาคิดถึงตอนปีสองที่เพื่อนสองคนเป็นหัวหน้าพี่ว้ากและรองหังหน้าประจำคณะ แต่ตัวเขาเองกลับไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้นเท่าไร หน้าเป็นเกินไปมันก็ไม่ดีแบบเพราะรุ่นน้องไม่กลัว ตำแหน่งพี่สันธนาการแผนกปลอบใจที่ดูตุ๊ดที่สุดในวิศวะเลยตกเป็นของเขา ร่างสูงเดินกะเผลกตรงไปที่โต๊ะนั่งประจำ เพื่อนอีกสองคนเดินตามหลังเพราะกลัวคนเจ็บจะสะดุดลงไปให้ได้อายแต่เจ้าตัวยังไม่วายเจ๊าะแจ๊ะทักทายรุ่นพี่รุ่นน้องตามประสาคนอารมณ์ดีพอเป็นกระษัย
“แดกเหล้ามั้ยมึง วันนี้พวกพี้โก้นัดกันที่เดิม” เพื่อนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วบอกขึ้นทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะหินอ่อน
“ดูก่อนว่ะ ช่วงนี้เบื่อๆ แดกยาแล้วแม่งง่วงด้วย”
“แล้วมึงจะกลับไปเอาเสื้อมั้ยวะ พรุ่งนี้คาบแล็บอ.บดินทร์ ดุชิบหายเลยนะเว้ยไม่ใส่ช๊อปอ่ะ ไปลืมทิ้งไว้ได้ไง”
“เมื่อวานหมอบอกให้เอ็กซเรย์ทั้งแขนจนถึงหัวไหล่มันเลยต้องถอดออก แล้วคงพาดๆไว้กับตัวคงหล่นระหว่างทางแหละ แต่ตอนกูเดินไปรับยากับมึงยังอยู่เลยนี่หว่า หรือหล่นแถวนั้นตรงแถวเก้าอี้ กูเห็นมึงอยู่บนรถเข็นแล้วก็กะเผลกไปรับยาแล้วก็ไปนั่ง ส่วนพวกกูยืนรอใบรับรองให้มึงเนี่ย”
“ว่าไงจะไปเอาคืนมั้ย กูไปเอาให้ก็ได้” ปันเสนอขึ้นด้วยความใจดี จริงๆทั้งกลุ่มนี่ก็มีมันนี่ล่ะที่ใจดีสุดๆแล้ว คนอื่นอย่าหวังอะไรกับพวกมันเลย
บาสมองนาฬิกาข้อมือ เห็นเป็นเวลาสี่โมงกว่าแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่ต้องอะมึง กลับไปเอาก็ไม่รู้จะไปตามกับใคร ไม่รู้เขาเก็บไว้ให้หรือเปล่าด้วยหรือเอาไปเช็ดพื้นแล้วก็ไม่รู้ นึกว่าผ้าขี้ริ้วไรงิ” เขาพูดติดตลก “ไปซื้อใหม่เหอะ สหกรณ์ยังเปิดอยู่ไหมวะ”
“งั้นเดี๋ยวพวกกูไปดูให้แล้วกัน อาร์มมันจะไปซื้อของทำงานพอดี ตังค์อะ” แบมือขอ บาสล้วงเงินในกระเป๋าเงินส่งไปให้เพื่อนที่รับไปแล้วเดินออกไปจากโต๊ะม้าหิน
เสียงพูดคุยโวยวายที่ดังไปทั่วลานกิจกรรมของวิศวะจู่ๆก็ค่อยๆเงียบลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนข้อมือหักสนใจอะไร เจ้าตัวกำลังหงุดหงิดอยู่กับมือตัวเอง รู้สึกยิ่งทำอะไรลำบากจนอารมณ์เสีย เขามัวแต่ก้มมองข้อมือที่ถูกห้อยอยู่กับคอ พยายามขยับด้วยความหงุดหงิดโดยที่ไม่ได้เอะใจที่เสียงโวยวายกลายเป็นเสียงคุยกันกระซิบมาเป็นทอดๆ
เสียงรองเท้าหนังที่กระทบกับพื้นซีเมนต์ส่งเสียงที่แปลกประหลาดเพราะมันก้องกังวาลกว่ารองเท้าผ้าใบหลายเท่า จนคนที่ก้มหน้าอยู่อดจะเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้เมื่อเห็นขากางเกงผ้านักศึกษาแบบถูกระเบียบเป๊ะ ไม่ใช่ทรงขาเดปหรือยีนส์ แถมรองเท้าหนังสีดำถูกขัดจนขึ้นเงาแบบเรียบร้อยไม่ใช่ตามแฟชั่นแบบที่นิยมยิ่งแปลกตาจนต้องเงยหน้ามอง เมื่อไล่สายตาขึ้นไปเรื่อย ใบหน้าคมค่อยเผยยิ้มกว้าง และยิ่งหน้าบานมากกว่าเดิมเห็นมือที่ถือถุงใส่เสื้อช๊อปสีน้ำเงินเข้ม คนถือคือเจ้าของใบหน้าหวานเชิด แว่นกรอบสีดำแบบเว้นขอบบนประดับอยู่บนใบหน้าเนียน ดวงตาสวยนิ่งเฉยเหล่มองคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่าอย่างถือตัวแต่ทำไมเขากลับรู้ว่าอีกฝ่ายประหม่าน้อยๆเพราะดวงตานั้นไหววูบ ผมเส้นเล็กสีน้ำตาลเข้มเกือบดำธรรมชาติถูกเซตเปิดข้าง ใบหน้าดูอ่อนดูสดใสขึ้นเมื่อเห็นภายใต้แสงแดดยามเย็นตามธรรมชาติ บาสรู้สึกว่าตัวเองต้องทำหน้าที่เจ้าถิ่นที่ดีด้วยการเอ่ยทักก่อน
“สวัสดีครับหมอต่าย”
ความคิดเห็น