ลำดับตอนที่ #19
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Take #18 Part I
#18 Part I.
“พี่ต่าย”
“พี่ต่าย”
“...”
“พี่ต่าย”
“หือ”
“พี่ต่าย”
คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นจากตำราเล่มหนามองคนเรียกแต่ไม่ยอมบอกจุดประสงค์สักทีทั้งๆที่ตั้งแต่เรียกครั้งแรกต่ายก็เลิกคิ้วตอบไปแล้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นหรือต้องการเรียกแค่เพื่อเรียกร้องความสนใจกันแน่ ดวงตาตวัดมองหน้าของร่างสูงในเสื้อช๊อปเปื้อนสารเคมีแถวแขนเสื้อที่เจ้าตัวอ้างว่าได้จากการทำแล็ปเมื่อตอนกลางวันที่นั่งอยู่ข้างๆ เอนหลังพิงเก้าอี้ไม้แข็งๆในร้านกาแฟเล็กๆแถวหอพัก พาดแขนข้างหนึ่งมาหลังพนักพิงของเก้าอี้ตัวที่เขานั่ง ต่ายขยับตัวบิดไล่ความเมื่อยขบเล็กน้อยระหว่างรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร
“หน้าเครียดเชียว” บาสแซว เอื้อมมือข้างที่ว่างลูบเส้นผมนิ่มที่ตกลงมาเคลียแก้มไปทัดหู หัวเราะเบาๆเมื่อต่ายปัดมันออกอย่างรำคาญใจ
“ฮื่อ ยุ่ง” ว่าแล้วเบ้ปาก เหลือบมองอีกฝ่ายบ้าง “มีอะไร นี่อ่านไปได้ถึงครึ่งหรือยังเนี่ย”
ต่ายถามคนข้างๆที่เหมือนจะละสายตาจากชีทเรียนมาได้สักพักแล้ว
“ชีทน่าเบื่อ พี่น่ามองกว่าชีท”
“เหรอ น่ามองกว่าใบทรานสคริปต์ด้วยหรือเปล่า”
“โธ่ พี่ก็...” บาสทำหน้าเบ้ลากเสียงยาว
ต่ายมองค้อน เอนตัวพิงพนักเก้าอี้บ้าง มือใหญ่ที่พาดอยู่จึงขยับเข้ามาแตะที่ต้นแขน ต่ายร้อนวาบ ไม่รู้ว่าตัวเขาเย็นหรืออีกฝ่ายเป็นคนตัวอุ่นกันแน่แต่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวหนี มองไปรอบๆก็เห็นว่ามีทั้งลูกค้าปกติทั่วไปและนักศึกษาที่ต่างนั่งคุยกันบ้าง นั่งอ่านหนังสือบ้างเพราะใกล้เทศกาลสอบกลางภาคแล้ว สำหรับตัวต่ายเองนั้นไม่ได้มีสอบตามตารางเวลาเหมือนนักศึกษาคณะอื่น เขามีสอบย่อยเกือบทุกอาทิตย์อยู่แล้วและทบทวนสิ่งที่เรียนมาเรื่อยๆตลอดเวลา คงจะมีช่วงหลังๆนี้ที่ละเลยไปบ้างเพราะมัวแต่วุ่นวายกับคนตัวโตข้างๆ วันนี้หลังออกเวรเลยโดนอีกฝ่ายลากมานั่งร้านคาเฟ่ที่เปิด 24ชม.แถวมหาวิทยาลัยด้วยข้ออ้างที่บอกว่าอ่านหนังสืออยู่ที่หอแล้วง่วง
จริงๆก็ชอบอ้างนี่อ้างนั่นตลอด แต่เขาก็ยอมทุกที ไม่รู้ทำไม
“กาแฟเพิ่มไหมครับ ง่วงหรือเปล่า”
“ไม่เอา กินอีกคืนนี้ไม่ต้องหลับต้องนอนพอดี”
บาสเห็นคนที่นั่งข้างขยับตัวขยุกขยิก นั่งบนเก้าอี้แข็งๆอย่างนี้คงจะเมื่อยแย่แต่จะให้ทำอย่างไรเมื่อโต๊ะนั่งโซฟาถูกจับจองจนเต็ม อันที่จริงบาสก็แอบคิดในใจว่านั่งแบบนี้ก็ดีไม่น้อย เพราะจะได้เนียนเอาแขนพาดพนักพิงแบบนี้ได้ตลอด ถ้านั่งบนโซฟาก็ต้องนั่งคนละฟาก มันมีข้อดีคนละอย่างกัน การลากพี่ต่ายมาอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟวันนี้ก็เหมือนกัน ให้เอาอุดอู้อ่านหนังสือสอบในห้องนอกจากจะน่าเบื่อแล้วมันยังทำให้เขาไม่มีแรงกระตุ้นในการอ่านอีกด้วย อย่างน้อยแค่เห็นหน้าพี่ต่ายเขาก็มีแรงใจขึ้นเยอะ ถึงแม้แรงใจที่ว่านี้จะน่าดึงดูดมากกว่ากองชีทเป็นตั้งก็ตามที
เพราะช่วงสอบที่กระชั้นเข้ามาทำให้เขาโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปขับรถไปส่งพี่ต่ายที่บ้าน เจ้าตัวให้เหตุผลที่เขาเถียงไม่ออกว่าหากไปส่งแล้วเขาก็ต้องนั่งแท๊กซี่กลับหอ กว่าจะถึงก็ดึกมากแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงนี้พวกเขาสองคนจึงมีเวลาเจอกันแค่ช่วงพักกลางวันที่คนเรียนหมอจะว่างบ้าง ไม่ว่างบ้างกับหลังออกเวรเท่านั้น เขาอยากจะเอาแต่ใจมากกว่านี้ อยากจะบอกว่าตัวเองไหวแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขารู้ว่าที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงการเรียนของเขา แม้ไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด บาสก็เข้าใจ ระยะเวลาที่รู้จักกันมามันทำให้เขารู้ว่าพี่ต่ายเป็นคนแบบนี้ กึ่งบ่นกึ่งว่า แต่ท้ายแล้วจุดประสงค์คือความหวังดีที่มอบให้กับคนใกล้ชิด
นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเขาก็รู้สึกได้ถึงมือขาวๆที่ตบแปะเบาๆที่ข้างแก้มเรียกสติให้หันกลับไปอ่านหนังสือต่อ บาสยิ้มตอบแล้วค่อยขยับนั่งตัวตรง หยิบชีทที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจ่อระดับสายตา ทำเหมือนประชดจนได้ยินเสียงบ่นหงุดหงิดจากคนข้างๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากบ่นจนพอใจเขาก็เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้แว่นสายตาจ้องเขม็งไปที่หนังสือของตัวเองต่อ พี่ต่ายเป็นคนมีสมาธิดี ช่างแตกต่างจากเขานัก ที่จริง...เราก็แตกต่างกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
นอกจากเรื่องสอบที่ใกล้เข้ามา สิ่งที่กวนใจชายหนุ่มไม่แพ้กันคือเรื่องที่อีกฝ่ายชวนไปที่บ้านตัวเองหลังสอบนี้ บาสเคยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ชายแต่ได้คำตอบกึ่งจริงจังกึ่งเล่นตามประสาของเจ้าตัว มันก็ถูกที่เขาอาจจะคิดมากไปเองแต่บาสรู้สึกร้อนๆหนาวๆทุกครั้งที่คิดถึง พ่อแม่ของพี่ต่ายต้องสงสัยแน่นอนว่าทำไมเด็กรุ่นน้องต่างคณะที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้อย่างเขาถึงสนิทสนมกับลูกชายตัวเอง คิดจนจะเอาเท้าก่ายหน้าผากอยู่ทุกวันจนสุดท้ายก็คิดได้เพียงว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เขาแน่ใจในความรู้สึกของตัวเองก็พอแล้ว
บาสลดชีทที่ถือไว้ลงเพราะความเมื่อย แต่เมื่อมองไปด้านข้างก็เห็นพี่ต่ายมองกลับมาตาแป๋วจนสงสัย บุ้ยปากให้เขาหันกลับไปมองอีกด้านของตัวเอง เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นผู้หญิงสองคนในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเขายืนยิ้มให้ บาสเหล่ตามองคนข้างๆด้วยความสงสัยแล้วหันไปยิ้มตอบ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามขึ้น ปกติเขาไม่รู้จักผู้หญิงต่างคณะจนถึงขั้นสนิทสนมเท่าไร และสองคนตรงหน้านี้มองอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กวิศวะแน่นอน ผู้หญิงคณะเขามันต้องห่ามกว่านี้ ไม่ใช่ยืนบิดหน้าแดงเหมือนอยากเข้าห้องน้ำ เอ...จะว่าไปทางนี้ก็ไม่ใช่ทางเข้าห้องน้ำนี่นา แถมเขาก็ไม่ได้ไปนั่งขวางทางด้วย
“บาสน้องชายพี่ไบค์หรือเปล่าคะ ที่ขึ้นไปเล่นกีตาร์วันนั้น” หนึ่งในนั้นถามขึ้น บาสร้องอ๋อในใจ พยักหน้ารับ
“ใช่ครับ”
“คือเรากับเพื่อนขอแอดเฟสบุ๊คไปได้ไหม เผื่อเอาไว้คุยกัน” หล่อนบอกจุดประสงค์ บาสหัวเราะในลำคอ เหล่มองคนข้างๆที่นั่งนิ่ง
“ไม่ค่อยได้เล่นน่ะครับ แอดไปก็ไม่มีอะไร”
“ไม่เป็นไร แอดไว้เฉยๆ ถ้าไม่ค่อยได้เล่นขอไลน์ก็ได้”
นั่นไง... คิดอยู่แล้วเชียว บาสยิ้มมุมปาก “ไม่สะดวกจริงๆครับ แต่ถ้าเฟสบุ๊คก็ไม่เป็นไร ตามเอาจากพี่ไบค์ได้เลย”
“งั้นเดี๋ยวเรากับเพื่อนแอดไปเลย กดรับเลยได้หรือเปล่า”
“ขอโทษทีครับ แบตหมด เอาไว้ถ้าเห็นแล้วจะรับแล้วกันนะครับ”
“จริงดิ นี่จะเนียนไม่รับหรือเปล่าเนี่ย” เธอถามเสียงสูง
บาสไม่ได้พูดอะไร เขายิ้มบางๆตอบเท่านั้น พอพวกเธอเห็นว่าตื้อไปก็เท่านั้นก็ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป ก่อนจากไปยังย้ำเขาอีกว่าอย่าลืมกดรับเพื่อนในเฟสบุ๊คด้วย บาสส่ายหน้าขำๆ เพราะแบบนี้เขาถึงไม่ค่อยอยากไปเล่นดนตรีกับพี่ไบค์ บาสต่างจากพี่ชายตรงที่เขามักจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่เป็น ไม่เหมือนรายนั้นที่มักจะมีวิธีปฏิเสธที่ลื่นเป็นปลาไหลจนคนถูกปฏิเสธไม่ทันรู้ตัว จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกชักจูงให้ตกลงกับคำตอบที่พี่ชายเขาชี้นำไปแล้ว คารมดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ
“เอาที่ชาร์ตแบตหรือเปล่า” ต่ายถามขึ้น รู้สึกตัวว่าตัวเองพูดกระชากเสียงก็ต่อเมื่อหลุดออกไปจนจบประโยคแล้ว
“หือ” สายตาพราวระยับจ้องคนที่นั่งอยู่ด้านข้างตรงๆ หัวใจดวงน้อยพองฟู ปากลั่นคำถามที่สะท้อนตรงกับความรู้สึก “หึงเหรอพี่ต่าย”
“ใครว่า ก็เห็นว่าแบตหมดเลยจะให้ยืมสายชาร์ต คิดไปเองทุกเรื่อง” ต่ายจิ๊ปาก ตวัดตามองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคืองใจ ถามว่ารู้สึกอย่างที่อีกฝ่ายว่าไหม ต่ายบอกตัวเองได้เลยว่าน้อยมาก คิดเป็นสัดส่วนแค่สองในสิบ เพียงแต่สองส่วนนั้นที่ว่ามันแสดงออกมาในรูปแบบของอารมณ์มากไปหน่อยเท่านั้น แค่นั้นจริงๆ
“แบตจะหมดได้ไงก็ชาร์ตพาวเวอร์แบงค์อยู่ข้างๆพี่” บาสพูดกลั้วหัวเราะ นี่ถ้าสองสาวนั่นมาได้ยินคงนึกสาปแช่งเขาอยู่ในใจ
ต่ายสะดุ้ง หันไปมองข้างตัวเองอีกด้านแล้วก็นึกได้ว่าเจ้าเด็กบ้านี่ฝากเขาชาร์ตแล้ววางไว้ด้านนี้เพราะอยู่ติดกับผนัง ไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาจะได้ไม่ต้องคอยระวังตอนที่ตั้งสมาธิอ่านหนังสือ คิดในใจว่านี่เขาปล่อยไก่ไปหมดเล้าหรือยัง พอหันไปเห็นสายตากรุ้มกริ่มล้อเลียนแล้วก็ฮึดฮัด หยิบแก้วกาแฟที่เหลือกาแฟติดก้นแก้วมาดื่ม
บาสมองเห็นกิริยาท่าทางนั้นแล้วนึกขัน นี่มันหึงเขาชัดๆยังจะมาปากแข็งอีก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ก็แน่ล่ะเพราะว่าถ้าไม่เข้าเรียนเขาก็เอาเวลาส่วนใหญ่ไปเฝ้านักศึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล พออีกฝ่ายออกเวรก็ขับรถกลับไปส่งที่บ้าน กลับหอสลบเหมือด ใช้ชีวิตกับวงจรแบบนี้ตั้งแต่เริ่มจีบกันยันเป็นแฟน แต่ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่ามีพอสมควร ก็เป็นน้องชายคนดังแถมหน้าเหมือนกันอย่างกับเคาะออกมาจากบล็อกเดียวกันขนาดนี้
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นคนที่พยายามจะกระดกกาแฟที่เหลือติดก้นแก้วแทบไม่เหลือแล้วกลบเกลื่อน แก้มขาวแดงระเรื่อไม่รู้ว่าเพราะอายหรือเพราะโกรธ พอไม่รู้จะทำอะไรก็หันมามองเขาตาเขียวด้วยความขุ่นเคือง พี่ต่ายคงไม่รู้ตัว เพราะนอกจากเวลาที่พี่ต่ายยิ้มแล้วเขาชอบเวลาที่ใบหน้าสวยๆนั่นบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ จะหาว่าเป็นมาโซก็ยอม ก็ในเมื่อพี่ต่ายทำแล้วน่ารักขนาดนี้ เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ คนตัวเล็กกว่ากระเถิบเลี่ยงไปด้านข้างด้วยความตกใจ มองซ้ายขวา
“พี่ต่าย”
“อะไร!”
“อยากจูบ”
“!!!”
.
.
ดูเหมือนเขาจะชินกับการที่มีเด็กคอยขับรถรับส่งเสียแล้ว ต่ายคิดแล้วหน้ามุ่ยเมื่อขับรถยังไม่ทันถึงบ้านเขาก็หาววอด หนังตาหนักจนจะปิดอยู่รอมร่อทั้งๆที่ก่อนหน้านี้แม้ดึกและเหนื่อยแค่ไหนเขาก็ลากสังขารตัวเองกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ไม่ง่วงระหว่างทางเหมือนอย่างช่วงหลังๆมานี้ ดูเหมือนเจ้าเด็กวิศวะโตแต่ตัวนั่นทำให้เขาเสียนิสัยจริงๆ ต่ายอยากจะถึงบ้านเร็วๆ ล้มตัวลงนอนทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำ แต่ก็คิดว่าเวลาง่วงจัดๆแบบนี้ขับให้ช้าแต่ชัวร์คงจะดีกว่า คิดได้เช่นนั้นจึงใช้จังหวะที่รถติดไฟแดงคว้าขวดน้ำข้างๆประตูมาเทน้ำลูบใบหน้า อย่างน้อยก็ช่วยให้สดชื่นขึ้นนิดหน่อย รู้แบบนี้น่าจะเติมคาเฟอีนก่อนกลับอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ
เป็นโชคดีของเขาที่รถไม่ติดมากเขาจึงถึงบ้านอย่างรวดเร็ว เขาเดินลงไปเปิดประตูรั้ว คว้าเจ้าพิซซ่าที่โดดไปโดดมาด้วยความตื่นเต้นติดมือขึ้นมานั่งบนตักด้วยระหว่างที่ถอยรถเข้าบ้าน เขาเช็คความเรียบร้อยหน้าบ้านสองสามรอบให้แน่ใจว่าล็อกประตูและเปิดไฟที่รั้วแล้วจึงค่อยไขกุญแจเข้าไปในตัวบ้าน เขาหันซ้ายหันขวาไม่เห็นเจ้าตัวเล็กมายืนรอเข้าบ้านอย่างทุกทีจึงเรียกเบาๆสองสามครั้ง ได้ยินเสียงเห่าตอบรับเป็นเสียงครางครือในลำคอแล้วก็ต้องเดินออกไปหา นึกในใจว่ามันเจออะไรหรือเปล่าถึงไม่ยอมเข้าบ้าน แต่เปล่าเลย ต่ายเห็นเจ้าพิซซ่าวิ่งไปวิ่งมาอยู่หน้าประตูรั้วแล้วนั่งลง มองออกไปข้างนอกบ้านที่เขามองยังไงก็ไม่เห็นมีใคร
หรือมันจะเห็นผี คิดแล้วก็ขนลุกซู่ ชีวิตนี้เขาเองก็ไม่เคยเจอผี ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่มากกว่า แต่เท่าที่รู้มาปกติสุนัขเจอผีมันจะเห่าหรือหอนนี่นา ไม่ใช่นั่งจ๋องแบบนี้ ต่ายเรียกชื่อมันอีกครั้ง เห็นใบหูตกตามสายพันธุ์กระดิกเบาๆแล้ววิ่งมาหาพร้อมกับลูกบอลยางที่ตกอยู่แถวนั้น แล้วคายลงใกล้ๆเท้า เงยหน้ามอง เห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องถอนหายใจ
“คิดถึงหมอนั่นล่ะสิ” ต่ายพึมพำ ก้มลงอุ้มเจ้าหมาตัวเล็กที่สะบัดหางรอ ลูบหัวเล็กของมันเบาๆแล้วพาเดินเข้าบ้าน ไม่รู้ทำไมทั้งๆที่ก็อยู่บ้านหลังนี้คนเดียวมาตั้งหลายปี แต่สองสามวันที่ผ่านมาเขากลับรู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติ ก่อนหน้านี้เขาอยู่กับพิซซ่าก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะรู้สึกเหงาตรงไหน ทำไมกัน...
เจ้านั่นมีดีอะไรนักหนา ถึงทำให้ทั้งหมาทั้งคนรู้สึกว่าการมีอยู่ของอีกฝ่ายมันสำคัญขนาดนี้ ไม่รู้ล่ะว่าหลังจากนี้จะยังไง แต่ถ้าหายไปล่ะก็ไม่ยอมจริงๆนะ มาป่วนให้ชีวิตประจำวันยุ่งเหยิงแบบนี้ ต้องรับผิดชอบให้ตลอดเลยด้วย!
.
.
ช่วงเวลาหฤโหดแห่งการสอบเริ่มต้นและจบลงอย่างรวดเร็ว ที่ว่าเร็วนี่เพราะว่าเขารู้สึกเหมือนไม่ได้ทำข้อสอบเลยด้วยซ้ำ กลุ่มสามแยกฯเลยนั่งเหือดราวกับจะระเหยตัวเองไปเป็นไอในอากาศ ไม่อยากคิดถึงผลสอบที่ออกมาแม้จะมั่นใจว่าตัวเองไม่ตกแน่นอนก็ตาม แต่ก็การันตีไม่ได้ว่าตัวเองจะผ่านมีนมาได้เท่าไร บาสรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้เก่งเลอเลิศแต่ก็ไม่ได้โง่ เขาประคองการเรียนให้อยู่ในขั้นที่ดีมาตลอด อย่างน้อยจีพีเอก็ไม่เคยตกต่ำกว่าเกรดสาม ปันกับนพก็เหมือนกัน ส่วนเจ้าคนที่เก่งไม่เข้ากับหน้าตาคือโต เกรดดีแซงหน้านักเรียนทุนบางคนเสียด้วยซ้ำ โชคดีที่เจ้านั่นเรียนคนละเอก ไม่งั้นลำพังคะแนนมันคนเดียวจะพาค่ามีนสูงขึ้นไปอีกเยอะ
บาสนั่งแผ่อยู่บนเก้าอี้ม้าหินที่รายล้อมรอบลานเกียร์ซึ่งนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ที่นั่งอยู่นั้นมีสภาพไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายและดันเป็นวิชาหินเสียด้วย หลายคนที่เดินออกมาจากห้องสอบจึงแย่พอๆกัน ถ้าไม่มีสัญญาณกริ่งเตือนว่าหมดเวลา ทั้งห้องสอบก็ไม่มีคนยอมลุกจากที่นั่ง รีดเค้นกันจนหยดสุดท้ายจริงๆ!
แต่เด็กวิศวะยังไงก็ยังเป็นเด็กวิศวะวันยังค่ำ เครียดกับข้อสอบได้ไม่นานกรุ๊ปไลน์รุ่นก็เด้งสัญญาณเตือนระรัวชักชวนให้ไปสังสรรค์ บาสปรายตามองปันกับนพที่ตกลงไปทันที เพื่อนสองคนชักชวนให้เขาไปด้วยกัน เขาชะงักคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไว้คราวหน้าเถอะ รอบนี้กูขอผ่านจริงๆ”
“ไปหาพี่หมอล่ะสิ” ปันแซวแล้วยักคิ้วให้ บาสหัวเราะในลำคอ เอื้อมมือตบหัวเพื่อนเบาๆข้อหารู้ทันตลอดเวลา
“ตัวติดกันอย่างนี้โคตรน่าหมั่นไส้” นพบ่นปิดแปด “เออ แต่กูก็พอเข้าใจว่ะ เพิ่งรู้ว่าหมอมันเรียนหนักขนาดนี้ วันหยุดไม่มี ไม่สบายขึ้นมายังไม่รู้จะลาได้ไหม กูไปถามเพื่อนมาน้องมันเรียนหมอเหมือนกัน มันยังบอกเลยว่าป่วยยังไงก็ต้องถ่อไปเข้าเวร สุดยอดเลยว่ะ”
“มึงไม่กลัวพี่หมอจะไปติดพยาบาลหรือเพื่อนที่เป็นหมอด้วยกันบ้างเหรอวะ อย่างพี่ปราชญ์...”
“พี่ปราชญ์เป็นคนเดียวที่กูไม่ระแวงเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เหอะๆ” บาสตอบเพื่อน ครั้งแรกเขายอมรับว่าเขาไม่ค่อยชอบสายตาที่เพื่อนพี่ต่ายคนนั้นมองมาเท่าไร แต่พอรู้จักกันลึกๆแล้ว เขาก็รู้ว่าพี่ปราชญ์แค่เป็นห่วงเพื่อนเท่านั้น
"เออ กูก็ว่าพี่ปราชญ์ไม่มาแนวนี้แน่ๆ" ปันพูดบ้าง
"ช่วงนี้มึงสนิทกับเขานี่" นพหันไปถามเพื่อนสนิทอีกคนที่หลังๆมานี้ดูจะคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ต่างคณะมากขึ้น "ปัน...มึงจะเดินตามรอยไอ้บาสกูก็ไม่ว่า...โอ้ย!"
ปันยักคิ้วให้เมื่อฟาดหลังเพื่อนดังอั้ก "ตลกล่ะ ไม่มีทาง กูคุยกับพี่ปราชญ์ปกติไม่มีแรงพิสวาสเจือปน ไม่เหมือนไอ้บาส แล้วมึงคิดดูพี่ปราชญ์น่าพิสวาสเหมือนพี่หมอต่ายตรงไหนวะ"
บาสหัวเราะกับท่าทีขนลุกขนพองของปัน อันที่จริงๆเขาก็คิดว่าปันกับพี่ปราชญ์ไม่มีอะไรหรอกแต่เขาก็อยากแหย่มันเล่นเหมือนนพ บาสมองนาฬิกาจีช๊อคเรือนเก่าที่ใส่ติดมือมาหลายปี หน้าจอดิจิตอลบอกเวลาเกือบบ่ายสามแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้คนที่เขาคิดถึงจะเลิกเรียนหรือยัง ไวเท่าความคิดเขาก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดโปรแกรมไลน์หาทันที เขาไม่รู้จะเริ่มต้นถามอย่างไรเลยส่งสติกเกอร์ที่แสดงอารมณ์เหนื่อยจนลิ้นห้อยไปให้ รออยู่สักพักก็ไม่มีที่ท่าว่าอีกฝ่ายจะอ่าน แปลว่าอาจจะเรียนอยู่หรือไม่ก็กำลังสอบย่อย บาสรู้ว่าวันนี้พี่ต่ายออกเวรประมาณหกโมงเย็น ถือว่าเร็วกว่าเวลาปกติแต่เขาก็ยังอยากจะเจอก่อนอยู่ดี
"เดี๋ยวพวกกูจะไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยกลับหอ มึงไปกินกับพวกกูไหม หรือว่าจะไปรอพี่หมอเลย เดี๋ยวพวกไอ้โตก็มาด้วย" ปันถามไปพลางเก็บของที่กองอยู่บนโต๊ะลงกระเป๋าเมสเซนเจอร์สะพานข้างหลังจากที่เจ้าตัวหาที่ของไม่เจอ เป็นเหตุให้ต้องเทออกมาหาทั้งกระเป๋า
บาสชั่งใจนิดหน่อยก่อนคิดว่าไปรอก็ไม่มีอะไรทำ อีกอย่างตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้รับสัญญาณตอบอะไรกลับมาด้วย เขาเลยตัดสินใจไปกินข้าวกับเพื่อนก่อน ไม่เป็นไร...เพราะเดี๋ยวพี่ต่ายออกเวรเขาก็กินได้อีก เชื่อกระเพาะไอ้บาสเถอะ!
.
.
ร้านยาคินิคุบนห้างละแวกนั้นเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมของเด็กผู้ชายกระเพาะควายในวัยกำลังโตเกินความจำเป็นอย่างพวกเขานัก บาสเห็นไม้กับเพื่อนอีกคนนั่งรอคิวอยู่หน้าร้าน ไร้วี่แววของคู่หูอีกคน พอเดินเข้าไปหาก็ได้ความว่ารายนั้นวิ่งไปจ่ายค่าโทรศัพท์ที่ศูนย์บริการใกล้ๆนี้ อีกสักสิบนาทีคงกลับมาทันเวลาได้คิวพอดี ชายหนุ่มมองไปรอบๆ อันที่จริงเวลานี้ไม่ใช่เวลาทานอาหารแต่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนหรือเลิกสอบวันสุดท้ายของกลางภาคที่มหาวิทยาลัยทำให้ร้านอาหารละแวกนี้แน่นขนัดไปด้วยบรรดานักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันและใกล้เคียง รวมไปถึงนักเรียนที่เลิกเรียนไว จึงต้องมากดคิวนั่งรอกันแบบนี้ ถ้าเป็นวันอื่นนี่คงได้เข้าไปกินเรียบร้อยแล้ว เขาแอบเช็คโทรศัพท์อีกรอบก็ไม่มีวี่แววตอบกลับจากคนที่เขากำลังรอแล้วก็ถอนหายใจ เวลาเดียวกันกับที่โตกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาพอดีด้วยความรีบ ในมือถือโดนัทกล่องเล็กติดมือมาส่งให้คนที่กำลังนั่งเล่นเกมกด PSP รอแล้วทรุดนั่งยองๆหน้าร้าน
"นึกว่าจะได้เข้ากันไปแล้ว" โตบ่นพึมพำ หอบหายใจเพราะเดินมาด้วยความรีบ เงยหน้ามองเขาและนพที่ยืนรอเพราะที่นั่งหน้าร้านเต็มหมดแล้ว
"รสนี้ไม่อร่อย" เสียงบ่นงึมงำดังมาจากคนที่นั่งรอบนเก้าอี้ด้านหลัง บาสเห็นไม้กัดโดนัทไปครึ่งคำก็แหวะทำหน้าเลี่ยน แล้วสะกิดคนที่นั่งยองๆอยู่ให้รับไปกินแทน โตส่ายหน้า ร่างสูงทำหน้าเอือมแต่ก็โดนคะยั้นคะยอจนต้องรับมาถือไว้เฉยๆ
"มึงเอาไปกินไป" คนโดนยัดเยียดส่งให้นพที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ไม่ กูเก็บท้องไว้แดกเนื้ออย่างเดียว กินไอ้นี่ก่อนแล้วมันจะลดทอนความอร่อยของเนื้อกู เก็บไว้กินหลังกินเสร็จแล้วดิ"
"มึงเห็นไหมมันยอมให้กูเก็บลงกล่องที่ไหน" โตบ่นพร้อมกับถอนหายใจ มองคนที่ถือกล่องแอบกับข้างต้วเหมือนจะแกล้งให้กินชิ้นที่ถือลงไป สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้ต้องยัดเจ้าโดนัทชิ้นเล็กน้นเข้าปากไปเพื่อตัดปัญหา และเพราะเขาถือมันอยู่นาน ซอสชอคโกแลตจึงเลอะมือจนเปื้อนไปหมด โตหันซ้ายขวาหากระดาษทิชชู่แต่ก็ไม่มีใครพก ไอ้การจะเอาไปเช็ดกางเกงก็ดูจะน่าเกลียดเกินไป มันคงเป็นคราบสีน้ำตาลเห็นชัด เขาจึงลุกขึ้น สะกิดบาสที่ยืนมอง "ไปล้างมือกับกูแป๊บดิ"
บาสพยักหน้า ยืนรออยู่ตรงนี้เฉยๆก็เมื่อย ไม่รู้จะทำอะไร ได้เดินนิดหน่อยคงจะคลายเมื่อยไปได้บ้าง พวกเขาเดินไปที่ห้องน้ำในห้างที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเท่าไรนัก โตไปล้างมือในห้องน้ำสักครู่เขาก็เห็นปันไลน์มาพอดีว่าได้โต๊ะแล้วให้เดินเข้าไปในร้านได้เลย เขาบอกโตที่เดินออกมาพร้อมกับมือที่สะอาดเอี่ยม เพื่อนพยักหน้ารับแล้วเดินตามเขากลับไปทางเดิม
"ไอ้บาส"
บาสหันไปตามเสียงเรียก เห็นเพื่อนเดินล้วงกระเป๋ามองตรงมาก็เลิกคิ้วสงสัย
"เมื่อกี๊ตอนกูไปจ่ายค่าโทรศัพท์กูเจอพี่หมอด้วย" โตพูดเสียงเรียบเหมือนรอดูปฏิกิริยาของเขา บาสขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อนสลับกับมองมือถือในมือของตัวเอง
"จริงดิวะ พี่ต่ายไม่ได้เรียนอยู่เหรอกูไม่รู้ นี่ยังไม่ได้โทรไปหาเลยไลน์ไปแค่อย่างเดียว" บาสตอบพร้อมเลื่อนโทรศัพท์กดดูข้อความที่ส่งไปแล้วเห็นว่าปลายทางก็ยังไม่ได้กดอ่าน "เดี๋ยวค่อยโทรแล้วกัน แล้วมึงได้คุยกับพี่ต่ายเปล่าวะ"
โตเงียบจนบาสสงสัย มองหน้าเพื่อนที่ตีหน้านิ่งผิดกับทุกครั้งที่เขามักจะเห็นมันส่งสายตากรุ้มกริ่มในท่าทีเฉยๆของมันเสมอ แต่ครั้งนี้มันแปลกฟ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
"ไม่ได้ทัก พอดีกูจ่ายตังค์เสร็จก็รีบเดินออกมาซื้อโดนัทให้ไอ้ไม้มันด้วย ทีแรกกูก็นึกว่ามึงนัดพี่ต่ายไปกินข้าวกัน" โตพูดพร้อมกับมองหน้าเขาจนบาสเริ่มงงว่าเพื่อนจะมองอะไรนักหนากัน
"มึง กูเห็นพี่ต่ายเดินกับผู้หญิงว่ะ"
.
.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น