คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Take #16
#16
โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ช่วงหลังบ่ายโมงนั้นไม่ค่อยมีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการเท่าไรนักเพราะคาบเรียนของบางชั้นเรียนเริ่มแล้ว ส่วนคนที่ยังนั่งอยู่ก็เหลือแต่บรรดาคนที่รอเรียนคาบถัดไปบ้างหรือนั่งอ่านหนังสือบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาปีห้าที่เพิ่งเรียนคาบเช้าที่โรงพยาบาลเสร็จแล้วกลับมานั่งพักสมองรอเข้าเวรตอนเย็นต่ออีกที บางคนก็อ่านหนังสือเล่มหนาเพราะเป็นที่รู้กันว่าพอเริ่มเข้าคลีนิคแล้วจะแทบไม่มีเวลาทบทวนบทเรียนเลย เมื่อมีเวลาว่างก็ควรตักตวงให้เต็มที่ ร่างสูงผิวแทนเดินฮัมเพลงเข้ามาในโรงอาหาร ตาคมเหล่มองซ้ายขวาก่อนจะเห็นบุคคลที่ตามหาอยู่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง ขายาวจึงก้าวยาวๆเข้าไปหาอย่างว่องไวท่ามกลางสายตาของนักศึกษาแพทย์บางคนที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมพี่ต่ายหน้าซีด?” หนุ่มวิศวะในเสื้อช๊อปกรมท่ากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มเข้ารูปกำลังพอดีขมวดคิ้วเข้ม เหล่ตามองบุคคลที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสนิทสองคนที่ลูบหน้าลูบหลังแต่ปากอมยิ้ม ส่วนเจ้าตัวหน้าขาวซีด สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก
“โอ๊ะโอ อย่าทำหน้าดุไปไอ้น้อง มันเพิ่งออกจาก ER มา มีเคสรถชนกันขาขาดร่องแร่งมาเลยเพราะกระจกรถที่แตกตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ขา เลือดเลยพุ่งปรี๊ดกดไว้แทบไม่อยู่ อาการสาหัสมากจนชักเพราะเสียเลือดเข็นกันเข้าห้องผ่าตัดแทบไม่ทัน ส่วนไอ้ปราชญ์มันก็กำลังช่วยหมออีกคนเย็บแผลอยู่อีกเตียง”
“มึงอย่าเล่าน้ำ เอาเนื้อๆสิโน้ต”
“ห๊ะ โอเคๆ เนื้อเลยเหรอ ฮ่าๆ มึงเล่าดิปราชญ์ มึงเป็นคนอยู่ในเหตุการณ์อะ” โน้ตหัวเราะเอิ้กอ้าก ตบโต๊ะเสียงดังจนรุ่นน้องต่างคณะเจ็บแทน
“เนื้อๆเลยก็คือเคสเดียวกันนั่นแหละ มันโดนอาจารย์วิรัชลากไปเป็นผู้ช่วยแล้วคนมันเยอะ วุ่นวายมากเพราะถือเป็นเคสใหญ่ที่เข้าห้องฉุกเฉิน ทั้งหมอทั้งพยาบาลวุ่นกันไปหมด ทีนี้พี่พยาบาลสักคนแกคงรน เข็นโต๊ะเลื่อนชนมันล้มโครมลงไปทับคนไข้ ทับตรงไหนไม่ทับหน้ามันแทบจะซุกกับเป้าเค้า เปิดม่านมาทีพวกกูแทบผงะ อึ้งมั้ยมันก็ใช่แต่หน้าไอ้ต่ายมันแบบ... ฮ่าๆๆ โอ้ยมึง!”
มือขาวของคนที่กำลังถูกนินทาระยะประชิดบิดเข้าที่เอวของเพื่อนตัวดีทั้งสองคนที่แม้จะเอี้ยวตัวเพราะเจ็บแต่ก็ยังหัวเราะไม่เลิก ปราชญ์หัวเราะจนน้ำตาเล็ดส่วนโน้ตแทบจะลงไปนอนราบกับโตณะ กลั้นขำตัวสั่น
“หอมไหมล่ะมึง?” โน้ตหัวเราะในลำคอไปพูดไป
“หอมเชี่ยไร เลือดเปรอะหน้ากูไปหมด เชื้อโรคทั้งนั้น พวกมึงหยุดหัวเราะได้แล้วกูจะอ้วก” ต่ายตวาดแว้ด จิกตามองเพื่อนสนิทที่ยังหัวเราะไม่เลิก
“โถพี่ต่าย” บาสถอนใจ เหล่มองใบหน้าเนียนที่มักจะขาวอมชมพูสุขภาพดี บัดนี้ซีดเผือดเหมือนกระดาษ เขาส่ายหน้าช้าๆ “ไม่น่าเลยพี่ บอกกันดีๆมาซุกผมก็ได้นี่ ฮ่าๆ”
พูดจบโน้ตกับปราชญ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นโดยมีคนมาใหม่ผสมโรงเข้าไปด้วย ต่ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ ไม่เข้าข้างแล้วยังจะเล่นมุขทับอีก มันน่านัก!
“มาคนเดียวเหรอวันนี้ ซื้ออะไรมาอะ?” คนถามไม่ใช่บุคคลที่เจ้าตัวถ่อเดินมาจากห้างแถวมหาวิทยาลัย กลับเป็นรุ่นพี่ตัวเล็กที่ชะเง้อคอมอง
“เปล่าพี่ วันนี้มีสัมพะเวสีอีกสองตัวเดินมาด้วย มันบอกว่าจะมาหาอาหารตาเป็นคุณหมอสาวสวยหมวยอึ๋ม มันแวะซื้อของอยู่ที่ร้านข้างหน้าเดี๋ยวก็เดินตามมา” บาสพูดกลั้วหัวเราะ วางถุงขนมปังปิ้งหน้าต่างๆที่ซื้อจากร้านดังมีสาขาในห้างมาฝาก
“ไม่ใช่ชาเขียวนะพี่ ผมซื้อนมเย็นมาให้” พูดแล้วส่งยิ้มให้คนตัวบางที่นั่งอยู่ตรงกลาง แม้จะยังหน้างอแต่มือขาวก็แหวกถุงพลาสติกดูของกินอย่างสนใจ แล้วยกออกมานอกถุง วางเรียงกันเป็นถาดๆ
“ซื้อมาเผื่อพวกพี่ด้วยอะ”
“อือฮึ พวกกูกำลังจะถาม ดีมากไอ้น้อง เลี้ยงแฟนดีเป็นเรื่องประเสริฐแต่จะให้เจิดมึงควรเลี้ยงเพื่อนแฟนให้ดีกว่าด้วย กูให้ผ่าน” ปราชญ์ตัวตรงผึง เด้งขึ้นมาคุ้ยถุงพลาสติกแล้วหยิบแก้วนมสดเย็น
“แค่ผ่านไม่พอจะให้ดีพี่ช่วยขยับดอพี่มาฝั่งนี้หน่อย ผมจะนั่งข้างพี่ต่าย” บาสยักคิ้วให้ว่าที่คุณหมอตัวสูงที่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ก็ขยับตัวลุกเดินมานั่งอีกฝั่งกับเพื่อนตัวเล็กกว่าอีกคนที่ย้ายข้างมาเรียบร้อยแล้วเหตุเพราะจะได้จิ้มของกินได้ง่ายกว่า
“ภาษามึงละเหลือเกินจริงๆ นี่คือตัวตนที่แท้จริงๆของมึงสินะ ก่อนหน้านี้มึงแจกโปรโอ้โหโรลแบคหรือไงเชี่ย”
“ว่าแต่มันมึงก็ไม่ได้ต่างกันว่ะปราชญ์” คนที่นั่งเงียบแต่เคี้ยวตุ้ยๆอยู่นานพูด บ่นนิดบ่นหน่อยกับคนตัวสูงที่นั่งข้างๆ “วันหลังไม่ต้องซื้อสังขยาสีเขียวมานะ ไม่ชอบ เอาสีส้มมาแทน นมก็ไม่ต้องเอาแค่ชอคโกแลต เออ ถ้าจะให้ดีก็ซื้อหน้าซุปข้าวโพดมาเยอะหน่อย”
“พอมีผัวเป็นตัวเป็นตนเพื่อนฝูงก็ไม่สนกูล่ะเหนื่อยใจ พวกกูแซะมันหน่อยไม่ได้ไง?” ปราชญ์แสร้งถอนใจหน้ายิ้ม ส่วนโน้ตหัวเราะสะใจจนขนมปังติดคอ สำลักจนเกือบกระจายออกมาเต็มโต๊ะ คนถูกตัดพ้อเลยหน้าคว่ำทำปากขมุบขมิบแม้จะอมยิ้มเล็กน้อยเพราะตลกประโยคที่สรรหามาพูดกันเหลือเกิน
“พวกมึงหยุดเล่นคำคล้องจองกันเหอะ กูขำไม่ไหวแล้ว” โน้ตหัวเราะจนน้ำตาไหล ยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ บาสกับปราชญ์มองหน้ากันแล้วยกยิ้ม
“มันอยู่ที่สันดานว่ะโน้ตบอกให้มันหยุดไม่ได้หรอก” ต่ายหลุดหัวเราะ
“พี่ปราชญ์แม่งไม่น่าเรียนหมอ” เด็กวิศวะหนึ่งเดียวในโต๊ะพูดขำๆ “เข้ากับพวกผมได้ดียังงี้เสียสถาบันหมอหมดเลยว่ะ”
“เห็นมันนิ่งๆแต่อย่าให้มันพูดนะไอ้ปราชญ์อะ” พูดแล้วมองบุคคลอ้างอิงที่ตอนนี้ปิดปากสนิทนั่งเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ
บาสหัวเราะขำกับเพื่อนของคนที่นั่งข้างๆเขาทั้งสองคนที่ตบตีแย่งขนมปังหน้าชอคโกแลตชิ้นสุดท้าย ส่วนคนที่เขาตั้งใจซื้อมาขุนนั้นหยุดมือไปนานแล้ว นั่งดูดนมสดเย็นในแก้วแทน เขาเห็นใบหน้าเนียนที่เมื่อสักครู่ซีดขาวอาจจะเพราะกำลังตกใจกับเหตุการณ์น่าขำที่เพิ่งเจอมาสดๆร้อนๆ มือสีแทนยกขึ้นไล้ข้อนิ้วเข้าที่แก้มใส
“หน้าไม่ซีดแล้ว”
“ฮื่อ อย่ามาจับ สกปรก” ต่ายปัดมือออกอย่างรำคาญใจ นี่ยังเคืองไม่หายเลยนะ!
“แหม นิดหน่อยนะตัวเอง” บาสพูดแหย่ แต่ก็ลดมือลงเมื่อเห็นดวงตาโตหลังเลนส์แว่นวาวขึ้น “เดี๋ยววันนี้ผมอาจจะมารับช้าหน่อยนะ ต้องไปออกไซต์งาน จะได้ลงบันทึกเขียนรายงานให้เสร็จๆไป”
“ไปไหนน่ะ?”
“แถวเส้นเพชรบุรีล่ะมั้ง ผมไม่แน่ใจ เห็นไอ้ปันกับไอ้โน้ตแล้วก็เพื่อนอีกสามคนไปลงพื้นที่กันมารอบนึงแล้ว เหลือผมนี่แหละที่ยังไม่เคยไปเลย”
“แล้วทำไมไม่ไป?”
“ก็ตอนนั้นข้อมือหักด้วย ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรพวกมันเลยไม่อยากไป ถึงมีเวลามานั่งจีบคนแถวนี้”
“ใคร ปราชญ์เหรอ? เข้ากันได้ดีนี่”
“โธ่... พี่ต่ายอะ...”
บาสครวญเสียงหงุงหงิง ซบหัวทุยๆลงกับลาดไหล่บางกว่าของคนข้างๆที่นั่งยกยิ้มสะใจนิดหน่อย พอนั่งว่างๆคนตัวเล็กกว่าก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอะไรนิดหน่อย ต่ายเห็นโปรแกรมไลน์ขึ้นข้อความที่ยังไม่ได้อ่านอยู่สองสามข้อความก็เปิดดู เหล่มองคนตัวโตที่ยังไม่ยอมเอาหัวออกจากบ่าตัวเองแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรอยู่แล้ว ต่ายรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนที่จำกัดคนอยู่สองประเภท คนที่ไม่สนิทกันถ้าจู่ๆมาพูดจาเล่นหัวหรือละเมิดความเป็นส่วนตัวเขาจะโกรธมากและไม่ใส่ใจจนถึงขั้นเย็นชา แต่หากได้ก้าวเข้ามาใกล้แล้วเขาค่อนข้างจะเป็นคนเปิดเผย ไม่มีความลับอะไรกับเพื่อนฝูง ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายนั้นถามหรือเปล่านั่นแหละ ซึ่งปกติแล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครถามเองมากกว่า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อข้อความนั้นมาจากแม่ตัวเอง พอเห็นชื่อคนส่งเท่านั้นแหละเจ้าคนตัวโตก็เอียงคอเงยหน้ามอง ส่งสายตาเชิงอยากรู้แต่ไม่อยากถามจนเขาหัวเราะในลำคอ แต่ก็ไม่ปิดบังหรือขยับหนี
จริงๆข้อความก็ไม่มีอะไรนอกจากให้เขาแวะกลับบ้านช่วงปลายอาทิตย์นี้เท่านั้น พาเพื่อนๆมาด้วยก็ได้ แล้วก็สติกเกอร์ขยับได้อีกสองสามตัวที่แม่เขาชอบใช้ เขาเลยส่งกลับด้วยสติกเกอร์แบบเดียวกันว่าตกลงแล้วก็รับปากว่าจะพาโน้ตกับปราชญ์แล้วก็เพื่อนผู้หญิงอีกสองคนในกลุ่มไปด้วย ต่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองคนที่ยังไม่ยอมยกหัวขึ้น เลื้อยเหมือนคนไม่มีกระดูกสันหลังที่ไม่ได้มองมาที่เขาแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์เขาเขม็ง ต่ายยักไหล่เหมือนสะกิดให้รู้ตัว
“จะไปเปล่า?”
“ไปได้เหรอ?”
“ได้ดิ ทำไมไปไม่ได้?” ต่ายถามงงๆ
“ก็...”
“อะไรไปไหนกัน?”
โน้ตโพล่งขึ้นมาถามเมื่อจัดการขนมตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย หยิบบรรดาขยะใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดรวมกันไว้อีกฝั่งของโต๊ะ เวลาลุกจะได้หยิบไปทิ้งทีเดียวเลย
“แม่ชวนไปกินข้าว เห็นว่าจะปิดเลี้ยงก็เลยให้พาเพื่อนไปด้วย” ต่ายตอบ
“วันไหน! ไปด้วย ปราชญ์มึงก็ต้องไปนะ”
“เสาร์นี้ ออกเวรแล้วก็ค่อยไป น่าจะสักสองทุ่ม เดี๋ยวชวนส้มกับหมิวด้วย”
“เออ ก็ได้นะ งั้นมึงไปรถกูแล้วกันโน้ตเดี๋ยวกูแวะรับสองสาวนั่นที่หอด้วย ไลน์ไปบอกสิ” ปราชญ์ย้ำเพื่อนตัวเล็กกว่าที่กระดี๊กระด๊าจนนั่งไม่ติดที่
“เออว่ะ เดี๋ยวกูไลน์บอกพวกมันก่อน” โน้ตรับคำแล้วควักโทรศัพท์เครื่องใหญ่ของตัวเองขึ้นมาจิ้มๆ
“สรุปจะไปมั้ยเนี่ย?” ต่ายขมวดคิ้วถามเมื่อคนที่เขาตั้งคำถามแต่แรกไม่ยอมตอบสักที “ไปไม่ไปจะได้บอกแม่”
“...”
“เป็นไรเนี่ย?” ต่ายขึ้นเสียงจนปราชญ์ที่กำลังชะโงกหน้าไปมองโน้ตที่กำลังพิมพ์ไลน์ไปชวนหันมามองขมวดคิ้ว
“พวกมึงไปคุยกันที่อื่นไป แค่ไอ้บาสมันนั่งอยู่นี่ก็เด่นจะตายแล้วยังมาเหวี่ยงใส่กันอีก เดี๋ยวเค้าก็หาว่ามันมาหาเรื่อง”
“ก็ดูมันดิ”
“เออ ใจเย็นไอ้ต่าย... บาสมึงพามันไปหาที่คุยกันไป”
“ตรงนี้นี่แหละ ถามก็ไม่ตอบเป็นบ้าอะไรเนี่ย?”
บาสลุกขึ้น มองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาเหลืองมองรุ่นพี่คณะแพทย์ที่พยักเพยิดหน้าโบกมือไล่ให้พาอีกคนเดินไปที่อื่นเพราะตอนนี้คนเกือบทั้งโรงอาหารหันมามองเพราะเสียงเมื่อสักครู่ มือใหญ่จับที่ต้นแขนเล็กของคู่กรณีอีกคนที่ยังนั่งอยู่ ต่ายกัดปากจิ๊จ๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืนตามแรงดึง พอลุกแล้วก็ใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่ดึงมือของอีกคนออกแล้วเดินนำออกไปด้านนอก
“อ้าว ไอ้บาสไปไหน?” ปันที่เดินเข้ามาพร้อมกับนพพอดีมองหน้าเพื่อนของตัวเองที่ยิ้มเจื่อนๆให้
“พวกมึงไปนั่งกับพี่ปราชญ์พี่โน้ตก่อนเดี๋ยวกูมา” บาสตอบเบาๆ พยักหน้าไปทางโต๊ะที่ลุกจากมา
ขายาวเดินมาหยุดที่รถของตัวเองที่จอดไว้ริมฟุตบาท ข้อเสียของมหาวิทยาลัยนี้คือไม่มีที่จอดรถเลยต้องจอดไว้ข้างทาง ต่ายพิงสะโพกเข้ากับรถของตัวเอง กอดอกมองหน้าชายหนุ่มตัวใหญ่ที่อ่อนวัยกว่านิดหน่อย
“เป็นอะไรเนี่ยบอกได้หรือยัง? นี่ชวนไปนะจะว่านอยเพราะไม่ยอมชวนก็ไม่ใช่” ต่ายเปิดประเด็นถาม
“ก็มันลังเลนิดหน่อย”
“ลังเลอะไร งงล่ะนะ คือถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องไปไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว”
“ไม่ได้คิดอะไรสักนิดเลยเหรอพี่ต่าย?”
“ก็จะให้คิดอะไรอะ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ถ้าจะไปก็บอก ไม่เห็นจะยากเลย” ต่ายถอนหายใจ “ไม่ได้เหวี่ยง แต่จะได้บอกที่บ้านถูกว่าจะไปกันกี่คน เค้าจะได้เตรียมเอาไว้ ไม่ชอบการทำอะไรที่ไม่มีการวางแผนน่ะเข้าใจไหม นายคิดถึงไหนกันเนี่ย?”
“คิดไปถึงเรื่องถ้าได้เจอกับพ่อแม่พี่ต่ายแล้วจะทำยังไง...”
บาสยิ้มลังเล ต่ายได้ฟังแล้วก็ประหลาดใจเล็กน้อย “ก็ทำตัวเหมือนปกติ ง่ายจะตาย”
“มันปกติไม่ได้อะดิพี่เพราะคิดอกุศลกับลูกเค้าอยู่”
“ก็แค่... หือ!”
ต่ายอุทานในลำคอ แน่ใจว่าหูของตัวเองไม่ได้ฟังอะไรผิดไปเพราะแถวนี้แม้จะอยู่ข้างถนนแต่รถราก็ไม่ได้ส่งเสียงดังมาก แล้วตรงนี้ก็มีกันอยู่แค่สองคนด้วย ฟันคมกัดเบาๆที่ริมฝีปากตัวเอง คับแค้นใจที่โดนเจ้าเด็กนี่ปั่นหัวจนตัวเองอารมณ์ขึ้นไปเล็กน้อยกับเหตุผลงี่เง่าของเจ้าตัว ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ จับมือสองข้างที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวของเขา ประสานกันหลวมๆ
“ผมแค่กำลังคิดว่าถ้าไป พี่ต่ายจะบอกพ่อกับแม่พี่ว่ายังไง ผมเป็นอะไร เพื่อน? รุ่นน้อง? คนต่างคณะที่บังเอิญมารู้จักกัน? หรือจะปรุงแต่งให้สวยหรูยังไงผมก็ไม่อยากได้ยิน” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วแต่คนฟังได้ยินชัดเจน
“กับพี่ต่าย ผมอยากอยู่ในฐานะเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ผมไม่อยากฟัง”
ผู้ชายตัวโตๆที่ส่งเสียงน้อยใจนั่นร้ายนัก ชั่วชีวิตนี้ต่ายไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาใจเต้นระรัวกับคำพูดตรงๆแถมคนพูดยังเป็นผู้ชายที่เสียงทุ้มต่ำไม่ใช่เสียงผู้หญิงที่จะเป็นโทนหวานใส แค่เหล่ตามองขึ้นนิดหน่อยเขาก็เห็นใบหน้าหล่อคมเข้มทอดมองต่ำด้วยสายตาออดอ้อนที่เต็มไปด้วยความลังเล ระยะความสูงที่ต่างกันไม่ถึงคืบแค่นี้ ความใกล้แค่นี้ กับมือใหญ่ที่ชื้นเหงื่อเพราะความเครียดทำให้คนปากแข็งแต่ใจอ่อนอย่างที่เพื่อนหลายคนปรามาสค่อยๆผ่อนลมหายใจที่สะดุดไปช่วงหนึ่งช้าๆคล้ายกับกำลังโล่งใจ ศีรษะเล็กทิ้งลง กระแทกหน้าผากกับช่วงบ่ากว้างตรงหน้าเบาๆ
“บ้า” ต่ายพึมพำเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอกับแรงสะเทือนเล็กน้อยจากจุดที่หน้าผากเขาวางอยู่
“ง่วง...” ต่ายเฉเปลี่ยนเรื่อง
“เมื่อเช้าตื่นกี่โมงครับ?”
“ตีสี่”
“หือ ตีสีเนี่ยผมกำลังหลับสบายเลย ไหวไหมพี่ต่าย เข้าเวรตอนเย็นอีกทีกี่โมง?”
“ประมาณห้าโมงมั้ง?”
“พี่ต่าย...”
“หือ?”
“ไปหอผมมั้ย?”
.
.
ไม่ต้องถามว่าเขาตกลงหรือไม่เพราะตอนนี้ต่ายก็หลวมตัวนั่งรถตัวเองมาอยู่ที่คอนโดแถวมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคอนโดให้เช่าขนาดปานกลางแต่เพราะบรรดาผู้เข้าพักมีแต่นักศึกษาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ หลายคนเลยเรียกมันว่าเป็นหอพักไปโดยปริยาย เขามองบริเวณรอบๆคอนโดที่รายล้อมไปด้วยบรรดารถเข็นขายอาหารและร้านค้าต่างๆมากมายที่มีนักศึกษานั่งอยู่เต็ม อาจจะเพราะเป็นช่วงเวลาบ่ายแล้วหลายคนจึงไม่มีเรียนและออกมาหาอะไรทานกันนอกมหาวิทยาลัย ส่วนคนขับรถของเขาให้คำตอบเมื่อเขาถามว่าอีกฝ่ายไม่มีเรียนหรือยังไง ก็ได้คำตอบกลับมาง่ายๆพร้อมรอยยิ้มกว้างว่าโดดมาแน่นอน ทีแรกเขาก็ไม่ยอมหรอกแต่เมื่อเจ้าตัวยืนกรานแถมให้โทรไปเช็คกับเพื่อนได้ว่าเป็นการเรียนเซคใหญ่ อาจารย์ไม่เช็คชื่อเขาเลยปล่อยเลยตามเลย อันที่จริงต่ายก็คิดอยู่ในใจเหมือนกันว่านี่เขายอมเจ้าเด็กนี่มากเกินไปหรือเปล่าหรือพาเสียคนหรือเปล่า แต่พอมาคิดอีกทีมันคงเสียมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะฉะนั้นเขาไม่ผิด
ห้องของชายหนุ่มอยู่ชั้นสิบสอง ต่ายสังเกตว่าบรรดานักศึกษาที่พักส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวิศวะทั้งสิ้น อาจจะเพราะอยู่ใกล้คณะ ส่วนเด็กคณะอื่นก็คงมีบ้างแต่ประปราย ห้องของเจ้าตัวอยู่ริมในสุดที่มองลงไปจะเห็นสวนเล็กๆที่เจ้าของคอนโดคงจะสร้างไว้ให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางป่าคอนกรีตเช่นนี้ นี่เป็นเหตุผลที่ต่ายไม่ชอบอยู่หอพักแม้ว่าคณะแพทยศาสตร์จะมีหอพักให้เขาอยู่ก็ตา แต่เขาก็เลือกที่จะเหนื่อยนิดหน่อย ขับรถกลับบ้านดีกว่า เขารู้สึกว่าการอยู่หอมันอึดอัดเหมือนเป็นปลากระป๋องที่ถูกบีบแน่นอยู่ตลอดเวลา แต่ลางเนื้อชอบลางยา เขาไม่ชอบแต่คนจำนวนไม่น้อยที่ชอบก็มีเยอะแยะอย่างน้อยการอยู่คอนโดก็สะดวกกว่าในสังคมเมืองเช่นนี้
ห้องไม่ได้รกมากอย่างที่เจ้าตัวเกริ่นไว้แต่แรกเพราะเมื่อไขกุญแจเข้าไปเขาก็เห็นห้องพักง่ายๆขนาดพอดี ไม่ใหญ่โตมากแต่ก็ไม่ได้คับแคบอะไร อาจจะเพราะได้ห้องหัวมุมในสุดเลยมีบริเวณที่กว้างกว่าห้องอื่น ซึ่งก็ต้องแลกมาในราคาที่ค่อนข้างแพงกว่านิดหน่อย แต่คนตัวโตๆ จะให้มาอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆเขาก็นึกสงสารไม่น้อย เตียงนอนขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่กลางห้องที่คาดว่าน่าจะซื้อเข้ามาเองเพราะขนาดมันใหญ่กว่าเตียงที่ให้มากับห้องเดี่ยวทั่วๆไป โต๊ะญี่ปุ่นทรงกลมที่ฝาแมคบุ๊คยังถูกเปิดคาเอาไว้แต่หน้าจอปิดสนิทแถมมีกระป๋องเบียร์เปล่าๆสองสามกระป๋องที่วางเอาไว้ ถัดไปเป็นทีวีจอแบนขนาดใหญ่กว่าสามสิบนิ้ว ตู้เย็นขนาดเล็กหนึ่งตู้และห้องน้ำพร้อมระเบียงกว้างที่เปิดรับลมจากภายนอก มีตะกร้าผ้าที่ใส่ชุดนักศึกษาสองสามชุดที่ยังไม่ได้ซักเอาไว้ เขาได้ยินเสียงตี๊ดจากรีโมทที่เจ้าของห้องหยิบมาแถวๆเตียงนอนเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ ขายาวก้าวนำเข้าไปด้านใน ไม่ลืมที่จะคว้ากระป๋องเบียร์ลงถังขยะระหว่างทางเดินไปปิดประตูกระจกที่เชื่อมออกไปยังระเบียงด้านนอก
นอกจากคอนโดไฮโซของปราชญ์และโน้ต(ที่ปราชญ์จ่ายเกิน 80 เปอร์เซ็นต์)แล้วต่ายก็ไม่เคยเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเพื่อนคนอื่นอีก โน้ตบ้านอยู่ต่างจังหวัด นานๆทีถึงจะกลับบ้านสักครั้งส่วนปราชญ์บ้านอยู่ชานเมืองแถบนนทบุรีบวกกับฐานะอันมีจะกินทำให้ตอนปีสองโน้ตจึงเลือกที่จะย้ายตัวเองจากหอพักนักศึกษาอันแออัดไปซุกตัวอยู่ที่คอนโดของเพี่อนสนิทแถวถนนสาธร ที่นั่นเขาคุ้นเคยเพราะไปหลายครั้งแล้ว แต่ที่นี่ต่ายรู้สึกไม่คุ้นเคย เขาวางตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเดินไปตรงไหน จะนั่งตรงไหนทั้งๆที่เวลาตัวเองไปคอนโดของเพื่อนครั้งแรกเขาก็ทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มที่อยู่ตรงโซนนั่งเล่น แต่ที่นี่... ถ้าทิ้งตัวลงไปก็ที่นอนเลยนะ
“ไม่รังเกียจกันก็นั่งบนเตียงนั่นแหละพี่ต่าย” เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ต่ายเลยพยักหน้าแล้วนั่งลงที่ปลายเตียงนุ่ม
“เพิ่งเปลี่ยนผ้าปู ไม่สกปรกหรอก” บาสหัวเราะในลำคอ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพี่ต่ายกำลังประหม่าหรือคิดอะไรอยู่ ก็ในเมื่อพอเข้ามาก็กวาดตามองไปรอบห้องแถมจ้องอยู่ที่เตียงขนาดนั้น “พี่ต่ายโชคดี ปกติเปลี่ยนเทอมละครั้ง”
“เชื้อโรคสะสมเต็มแน่ๆ” ต่ายบ่นพึมพำ ตบลงบนฟูกหนา “นี่ไม่ใช่นอนๆไปแล้วคลำเจอกางเกงในนะ”
“เฮ้ย พี่รู้ได้ไง ไม่อยู่แถวนั้นหรอกพี่ปกติผมถอดแล้วโยนไปใต้เตียง” บอกแล้วหัวเราะลั่นจนทำเอาคนฟังอยากจะก้มลงไปมองจริงๆนัก “จริงๆนะเนี่ยปกติเทอมนึงถอดไปซักที แต่เมื่อวานทำเบียร์หกเลยต้องเปลี่ยน พี่ต่ายโคตรโชคดี”
ต่ายฟังแล้วคิดในใจว่านี่ถ้าเป็นคนโชคดีจริงคงไม่เจอเจ้าเด็กนี่ป่วนชีวิตตั้งแต่แรกหรอก
“นอนได้เลยพี่ สะอาดแน่นอนพี่ไบค์ขนมาให้จากบ้านเลย ง่วงไม่ใช่เหรอครับ”
“แล้วนายอะ”
“นอนกับพี่ต่าย...”
“อะไรนะ!” ต่ายถลึงตามองชายหนุ่มที่ยืนหัวเราะเสียงดังอยู่กลางห้อง
“ล้อเล่นๆ พี่ต่ายนอนไปเดี๋ยวผมนั่งทำงานวิชาเซอร์เวย์ โดดเรียนมาแล้วพวกนั้นมันเลยใช้ให้ทำเลยแทนค่าเหนื่อยที่พวกมันออกไปทำงานกันตอนที่ข้อมือหัก” คนตัวโตขยับตัวเข้ามาเอาเข่าข้างหนึ่งวางบนฟูก เปิดผ้านวมผืนหน้าแล้วตบหมอนดังปุๆ “มาสิครับ”
ต่ายมองเตียงสลับกับร่างสูงกว่าสลับกันอย่างลังเล สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ความง่วงด้วยการหาวออกมาวอดใหญ่ เจอแอร์เย็นๆกับฟูกนุ่มๆแล้วอยากจะซุกตัวลงนอนยิ่งนัก เขาเลื้อยตัวลงนอนริมเตียงอีกด้าน คนละฝั่งกับฝั่งที่มีเจ้าของยืนเชิญชวนอยู่ กระชากผ้านวมจากมือของอีกคนมาห่มเองเรียบร้อย
“ปลุกตอนสี่โมงครึ่งนะ”
ต่ายบ่นงึมงำ มือข้างหนึ่งถอดแว่นตาออกจากใบหน้าวางไว้แถวๆหมอนใบใหญ่อีกด้าน ได้กลิ่นหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วก็เคลิ้ม เหมือนประสาที่ตึงเครียดมาตลอดช่วงเช้าค่อยๆผ่อนคลาย เขาซุกตัวลงกับผ้านวมผืนหนา ห่อตัวเองเป็นก้อนกลมๆเหมือนดักแด้จนคนมองยกยิ้มเอ็นดู
น่ารัก... น่ารักจนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกระตุกจนปวดหนึบไปหมด บาสใช้จังหวะที่ร่างโปร่งพลิกไปอีกด้านก้าวขาพาตัวเองที่กึ่งยืนกึ่งนั่งบนเตีงอีกฟากกระโจนไปอีกฟากจนคนที่กำลังเคลิ้มหลับตกใจ เข้าท้าวศอกลงกับเตียง ใช้ร่างกายตัวเองเป็นกรงขังไม่ให้คนที่นอนอยู่พลิกหนีไปทางไหนได้
“จะทำอะไร?” ต่ายขู่ฟ่อ ถึงแม้จะถอดแว่นแล้วแต่เขายังพอมองเห็นรางๆเพราะสายตาไม่ได้สั้นมากเท่าไร แถมอีกฝ่ายก็อยู่ใกล้กันจนเกือบจะชิดขนาดนี้
ว่าที่คุณหมอตัวเล็กกว่าซุกใบหน้าลงไปกับผ้าห่มผืนหนา โผล่ออกมาแค่ดวงที่วาวเอาเรื่อง คิ้วเข้มขมวดแน่น รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเบี้ยล่างเพราะความประมาทของตัวเอง บาสเห็นแล้วอมยิ้ม อันที่จริงเขาแค่จะแกล้งเล่นเท่านั้น
“อยากได้หมอนข้างหรือเปล่าครับพี่ต่าย” ถามเสียงล้อเลียนจนคนฟังเส้นประสาทกระตุก อยากซัดที่ใบหน้ากวนๆนั่นนัก!
“ไม่อยากได้ ลงไป ถ้าไม่ลงไปจะกลับเดี๋ยวนี้” เสียงแหบดังอู้อี้ผ่านผ้าห่ม
มือข้างหนึ่งขยับจากข้างศีรษะมาปัดไรผมยุ่งที่ปิดบังหน้าผากแคบทั้งๆที่ยังวางศอกกักขังไม่ให้คนเบื้องล่างพลิกหนีไปไหน ต่ายตกใจเมื่อใบหน้าหล่อที่อยู่ใกล้ชิดนั้นค่อยๆเคลื่อนลงมาใกล้ เขาหลับตาปี๋ เกร็งจนกลั้นหายใจตัวแข็ง พอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากคนด้านบนก็ขุ่นเคืองเสียจนอยากตวาดเสียงดังใส่ กำลังจะอ้าปากพูดอะไรเขาก็ต้องค้างเมื่อสัมผัสอุ่นนุ่มประทับลงที่กลางหน้าผาก จากนั้นค่อยไล่จูบแผ่วเบาที่ระหว่างคิ้วที่ถูกเจ้าตัวขมวดจนย่นจนเจ้าของค่อยคลายความเครียมขมึง
ต่ายผ่อนลมหายใจช้าๆเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนโยน เปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้น เขาเห็นโครงหน้าของชายหนุ่มเลือนราง ตาที่เด่นชัดคือสายตาอ่อนโยน ซื่อตรงกับลูกตาสีดำสนิทที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของตน
“พี่ต่าย”
ใกล้จนคนถูกเรียกสัมผัสได้ถึงความอุ่นของลมหายใจที่รดใบหน้า
“จูบได้มั้ย?”
จะถามทำไม ต่ายอยากจะตะโกนกลับไปนักแต่ก็ทำได้ยากลำบากเหลือเกินเมื่อคนตัวโตตรงหน้าออกแรงกระตุกนิดหน่อยผ้าห่มผืนหนาที่เขาดึงขึ้นมาปิดไปครึ่งหน้าก็หล่นลงไปกองอยู่ที่ลำคอถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากร้อนสีสดของชายหนุ่มที่ทาบทับลงมาแผ่วเบา ทว่าต่างจากครั้งก่อนนัก ครั้งที่แล้วชายหนุ่มแค่สัมผัสคลอเคลีย ไม่ได้รุกล้ำไปมากกว่านั้นแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดจูบที่ริมฝีปากที่รุนแรงขึ้น ลมหายใจที่ติดขัดเป็นจังหวะ และรู้สึกถึงอัตราการเต้นของชีพจรทั้งของตัวเองและร่างด้านบนเพราะความแนบชิดที่มีเพียงผ้านวมกั้นเพียงผืนเดียว ริมฝีปากร้อนไล่ต้อนจนเขาต้องย่นคอหนีแต่ก็ไม่พ้น ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อรู้สึกถึงความชื้นของปลายลิ้นแฉะที่แตะผ่านรอยแยกของริมฝีปากตัวเอง เขาครางฮือในลำคอ มือทั้งสองข้างชาไร้เรี่ยวแรงที่จะผลักดันไหล่กว้างให้ถอยห่าง เจ้าของมันทำได้เพียงบังคับให้มันยึดจิกอยู่ที่เสื้อช๊อปวิศวะตัวหนาที่อีกฝ่ายสวมใส่เท่านั้น
“อื้อ”
ส่งเสียงร้องประท้วงเมื่อบาสแกล้งกดจูบแรงๆแล้วถอนออกเพียงครู่ ชายหนุ่มใช้จังหวะที่ร่างเล็กกว่าไม่ทันตั้งตัวป้อนจูบให้ล้ำลึกกว่าเดิม ปลายลิ้นไล่เซาะเข้าไปภายในแนวฟันขาวสะอาด เกี่ยวกระหวัดรุนแรงกับลิ้นที่แข็งขืนในทีแรกแต่กลับหอมหวานนัก นานสองนานกว่าที่ริมฝีปากจะแยกจากกัน คนที่อยู่ด้านล่างก็ตัวสั่นเทิ้ม บาสถอนจูบออกจากริมฝีปากเลื่อนไปแตะแผ่วเบาที่แก้มใสของคนน่ารักที่แม้จะดุ จะดื้อดึงแค่ไหน เขาก็มองว่าพี่ต่ายน่ารัก
น่ารักจนอยากขย้ำไปทั้งตัว!
“พี่ต่าย...” บาสเรียกเสียงพร่า มองใบหน้าเรียวที่ไร้แว่นสายตาดั่งเช่นปกติแต่ดวงตาสวยล้อมกรอบไปด้วยแพขนตาหนาที่เขาสะดุดตาตั้งแต่แรกพบนั่นปิดสนิท เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวจนต้องย้ำขจุมพิตลงไปที่เปลือกตาทั้งสองข้างเบาๆ
“อื้อ พอแล้ว” ต่ายประท้วงแผ่วเบา รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อย ใบหน้าร้อนเห่อไปหมด “ไม่เอาแล้ว”
บาสหัวเราะในลำคอ ลูบเส้นผมหนาสีน้ำตาลเข้มตามธรรมชาติไร้การปรุงแต่งของผู้ชายอายุ 22 ที่น่ารักเสียจนเขาอยากปิดล็อกห้องเอาไว้ไม่ให้ออกไปไหน แต่คิดอีกทีควงไปเดินให้สาวน้อยสาวใหญ่หรือกระทั่งผู้ชายที่แอบมองพี่ต่ายของเขาอิจฉาก็มีความสุขไปอีกแบบ
“พี่ต่าย” คนถูกเรียกครางรับในลำคอ ลืมตามองเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ยังไม่ได้ขยับออกไปไหนไกล
“ถ้าผมไปบ้านพี่ พี่จะบอกพ่อแม่พี่ยังไงว่าผมไปในฐานะอะไร?” น้ำเสียงที่ถามปนไปด้วยความลังเลใจแต่สายตากลับจ้องแน่วแน่ หวังคำตอบที่ต่ายคิดว่าตัวเองคงมีตัวเลือกชอยส์เดียวให้ตอบ
“แล้วอยากไปในฐานะอะไรล่ะ?” ต่ายถามกลับเสียงแผ่ว “อยากให้ตอบอะไรก็จะตอบแบบนั้น”
“จริงๆนะครับ”
“จริงสิ” ต่ายยืนยัน “เพราะถ้าพ่อกับแม่ถามอะไร ฉันจะยกให้นายเป็นคนตอบก่อน”
รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเปรี้ยง พี่ต่ายโยนขี้มาให้เขาชัดๆ!
“โธ่ พี่ต่าย พี่ทำยังงี้กับผมไม่ได้นะ” บาสพูดเสียงร้อนรน ต่ายพลิกตัวหันข้างหนี ดึงผ้าห่มที่หล่นลงไปกองอยู่ครึ่งอกให้ปิดถึงลำคอ หลับตานอนไม่สนใจคนที่เริ่มอยู่ไม่ติดที่
“ก็ไปคิดมาแล้วกันว่าถ้าพ่อกับแม่ถามจะตอบว่าอะไร จะนอนแล้ว เขยิบไป หนัก” ต่ายพูดเสียงอู้อี้ เหล่หางตามองเจ้าของห้องตัวโตที่ลุกขึ้นนั่งขยี้ผมสั้นๆของตัวเองแรงๆ
“โว้ย กูไม่น่าหาเหาใส่หัวเลย!” บาสกัดฟันพึมพำ ว่าจะไล่ต้อนให้ต่ายตอบคำถามแทน ถือว่าได้กำไรสองต่อ ต่อแรกคืออีกฝ่ายยอมรับตัวเองถึงขนาดสามารถบอกเรื่องนี้กับที่บ้านได้ ส่วนต่อที่สองคือเขาอยากได้ยินคำยืนยันที่ชัดเจนจากคนปากแข็งที่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย กลับกลายเป็นว่าเรื่องกลับตาลปัตร พี่ต่ายแก้เผ็ดเขาขัดๆ!
บาสเหล่มองคนตัวขาวที่ซุกผ้าห่มหลับตาพริ้ม มุมปากจุดรอยยิ้มขำขัน เขารู้หรอกว่ายังไม่หลับ ถ้าหลับได้ไวขนาดนี้ก็แปลกแล้ว เมื่อยังคิดไม่ออก แถมจะไปนั่งทำรายงานตามที่ตั้งใจไว้แต่ทีแรกก็คงเหลวเพราะรู้ตัวว่าต้องมัวแต่คิดเรื่องนี้วนไปวนมาแน่ๆ ในเมื่อทำอะไรยังไม่ได้ตอนนี้ก็ล้มตัวลงนอนด้วยเสียเลย เขาทิ้งตัวลงแรงๆจนเสียงกระเพื่อม ลากดักแด้ก้อนกลมที่ห่อหุ้มร่างของคนที่นอนอยู่เข้ามากอดแน่น ซุกหน้าลงกับหลังคอขาวเนียนจนคนที่ยังไม่หลับหัวเราะจั๊กจี้
“พี่ต่ายแกล้งผม” บาสบ่มงึมงำหลับตาปี๋ แต่เขาไม่ได้รับเสียงตอบรับอะไรจากร่างในอ้อมกอด ได้ยินแต่เสียงหัวเราะในลำคอที่ราวกับเสียงหัวเราะจากปีศาจตัวร้ายก่อนที่คนในอ้อมกอดที่พันตัวเองอยู่ในกองผ้าห่มจะพลิกหันกลับมาเผชิญหน้า
“นอน” เสียงแหบพร่างึมงำแผ่วเบาพร้อมกับริมฝีปากเย็นๆที่จูบหนักๆที่ปลายคางได้รูป บาสอ้าปากค้าง ตาโตมองคนในอ้อมกอดที่หลับตาแน่นิ่ง หนีความจริงไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
มาจูบกันแบบนี้แล้วบอกให้นอนใครจะไปหลับลง แถมยังทิ้งคำตอบที่โคตรยากกว่าทำข้อสอบปลายภาคไว้ให้เขาอีก
ทำแบบนี้ฆ่ากันเลยเถอะพี่ต่าย!
ความคิดเห็น