ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {YAOI} เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช็อปวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #15 : Take #15 {re-edit}

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 57


    #15






    ครบทีม
     

     

    ต่ายยืนมองกลุ่มนักศึกษาชายที่นั่งคุยกันเสียงดังในร้านกาแฟชื่อดังที่เจ้าตัวมักจะใช้ข้ออ้างในการมาชาร์จแบตและนั่งละเลียดชาหรือกาแฟก่อนเข้าเวร บ่อยครั้งก็เข้ามาหาของว่างอย่างพวกขนมปังทานเพราะมีบริการอบร้อนให้ด้วย และขณะนี้เวลาสองทุ่มเขาก็ให้อีกคนมานั่งรอที่นี่เพียงเพราะเหตุที่ว่าเจ้าตัวนั้นอ้างถึงข้ออ้างแบบเดียวกัน บนโต๊ะไม้ทรงกลมที่ถูกเอามาต่อกันสี่ตัวมีแมคบุ๊คเครื่องใหญ่ตั้งอยู่สองตัว แก้วกาแฟ ชีทและหนังสือเรียนสองสามเล่มกระจัดกระจาย แต่อะไรก็ไม่สะดุดตาเท่าท่ามกลางกลุ่มเสื้อช๊อปสีน้ำเงินนั้นมีบุคคลสองคนที่ดูท่าทาง ไม่เข้าพวกนั่งแทรกอยู่กลางวงด้วย ขายาวก้าวเข้าไปหยุดด้านหลังแกะขาวสองคนที่ยังคงพูดจ้อน้ำลายแตกฟอง 

     

    แล้ววันนั้น มันก็ยังบอกพี่อีกนะเว้ยว่าไม่สนใจ อย่าว่างั้นงู้นงี้เลยนะเพื่อนพี่ม... เฮ้ย! เชี่ยตกหกหมดเลย!คนพูดอุทานแต๋วแตกเมื่อจู่ๆโบรชัวร์ร้านไอศกรีมสองแผ่นถูกฟาดลงตรงหน้าเต็มแรง พอเงยหน้ามองเงาทะมึนที่ยืนซ้อนหลังแล้วก็หัวเราะเสียงแห้ง แหะๆ ต่ายก็... ตกใจหมดเลยเนี่ย”  

     

    วงแตกกระจายเมื่อเจ้าตัวที่เป็นตัวเอกของบทสนทนาจู่ๆโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง คนที่กำลังพูดเมามันส์จนถึงเมื่อกี๊ถลึงตามองรุ่นน้องต่างคณะที่นั่งยิ้มแป้นฝั่งตรงข้าม ทำไมไม่เตือนวะ

     

    เจ้าตัวหัวเราะในลำคอเบาๆ ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้คนมองคันไม้คันมือ ก็ผมบอกพี่แล้วว่าพี่ต่ายกำลังเดินมา พี่ก็มัวแต่ฝอย” 

     

    หนอย คอยดูวันหลังกูจะไม่เล่าอะไรให้ฟังอีกบ่นปอดแปดแล้วก็ลูบหลังคอตัวเองแก้เก้อ ยิ้มแป้นมองหน้าคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ตบลงที่เก้าอี้ที่ยังเหลือที่อยู่นิดหน่อย ต่ายเบ้ปาก ดูเอาเถอะที่นั่งนิดเดียวจะลงไปนั่งได้ยังไงกัน 

     

    ที่เหลือเท่ามดเดิน ตูดตัวเองก็ใหญ่จะตายยังชวนคนอื่นนั่งด้วยกัน บ้าเปล่าวะโน้ต” 

     

    โน้ตบ่นอุบอิบเมื่อโดนเพื่อนแซะ หันไปแยกเขี้ยวให้รุ่นน้องรอบวงและเพื่อนสนิทตัวดีอีกคนที่ปิดปากหัวเราะจนตัวสั่น 

     

    ใช่ มึงอะบ้าเปล่าโน้ต เขาต้องไปนั่งข้างแฟนเค้าซี่ว่าที่คุณหมออีกหนึ่งคนในกลุ่มพูดเสียงสูง ยักคิ้วเข้มๆนั่นให้กับเพื่อนสนิทอีกคนที่เพิ่งโดนจนสงบปากสงบคำไป

     

    ไม่พูดก็ไม่มีคนบอกว่ามึงลืมปากเอาไว้ที่บ้าน” 

     

    เอ๊ะ ต่ายสงสัยนิดหน่อย เขาตวัดตามองคนพูดที่ยักคิ้วล้อทีนึง มองเพื่อนตัวเล็กอีกคนที่ยิ้มแห้งให้อีกคนอย่างสงสัย ไล่สายตาไปหน่อยก็เห็นรุ่นน้องต่างคณะหน้าคมที่ตอนนี้ได้เลื่อนระดับจากแค่รุ่นน้องธรรมดากลายเป็นตำแหน่งพิเศษเมื่อไม่กี่วันมานี้ เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร ไม่ใช่เพราะจะปิดบังเพื่อนแต่เพราะพวกเขาไม่ได้เจอกันเลยต่างหากและตัวเขาเองก็อยากบอกจากปากตัวเองมากกว่าผ่านทางไลน์หรือโซเชียล ถ้าไม่ใช่เขางั้นก็ต้องเป็นคู่กรณีอีกคนสินะ โคตรขี้โม้ แต่ก็ช่างเหอะ ยังไงสักวันก็ต้องรู้อยู่ดี 

     

    แล้วนี่ทำไมมานั่งด้วยกันได้ถามอย่างสงสัย เจ้าพวกเด็กวิศวะนี่เขาพอรู้เพราะตัวต้นเรื่องบอกแล้วว่าเพื่อนจะมาทำงานกลุ่มระหว่างรอเขาออกเวร แต่ไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองคนนี้คือไม่น่าใช่นะ

     

    โน้ตมันลากมากินข้าว มองเข้ามาเจอพอดีเลยมาทักน้องมันปราชญ์ตอบพร้อมกับดูดกาแฟเย็นในแก้วที่เหลืออยู่นิดหน่อยจนได้ยินเสียงลมเข้าไปในหลอด 

     

    พี่ต่ายนั่งก่อนมาต่ายมองคนเรียกก่อนจะก้าวขาเดินอ้อมไปอีกฝั่งของโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆ 

     

    นี่ส่งรายงานแล้วดิเหล่ตามองพร้อมถามเพื่อน มือขาวรับชาเขียวร้อนที่คนข้างๆส่งให้มาจิบช้าๆ ยังร้อนอยู่แสดงว่าเพิ่งสั่งให้สินะ เขาคิดในใจ มองครอกมูสแฮมชีสที่ยังกรุ่นอยู่บนจานแถมถูกตัดเป็นชิ้นๆให้แล้วก็ใช้ส้อมจิ้มเข้าปากโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของที่นั่งข้างๆ 

     

    อือว่าที่คุณหมอตัวเล็กครางอือในลำคอ มองเพื่อนตัวเองที่นั่งอยู่ข้างๆรุ่นน้องวิศวะที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อมานานจนตาตี่ๆนั้นโตผิดปกติ 

     

    แล้วนี่ใกล้เสร็จหรือยังถามพร้อมชะโงกหน้าเข้าไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นสูตรยุ่งยากแล้วก็ต้องเบ้หน้าไม่รู้เรื่อง 

     

    อีกนิดเดียวแล้วเดี๋ยวกลับบ้านแล้วครับบาสตอบเอาใจ มือหั่นของทานเล่นในจานให้จนเสร็จ

     

    ต่ายพยักหน้ารับส่งๆ เดี๋ยวแวะวิลล่าด้วยนะอาหารพิซซ่าหมดแล้ว

     

    ซื้อมาแล้วครับอยู่หลังรถ

     

    เหรอ แต่ก็ต้องแวะอยู่ดีอะ ยาสระผมจะหมดแล้วขี้เกียจไปวันอื่น วันนี้เลิกเร็วพอดี” 

     

    โอเค” 

     

    แล้วก็โกโก้ก็หมดแล้วนะ นมด้วย อย่าลืมเตือน แล้วก็...

     

    พวกมึงเป็นแฟนกันหรือแต่งงานอยู่กินกันแล้ววะปราชญ์อดทนที่จะแทรกขึ้นมาไม่ไหว เขากับโน้ตแถมเพื่อนอีกสองตัวของไอ้เด็กบาสมองหน้ากันไปมาฟังคู่รักคุยกันแล้วชักสงสัย นี่มันเป็นแค่แฟนกันแน่หรือวะเนี่ย 

     

    ต่ายชะงัก มองหน้าเพื่อนแล้วเหล่มองใบหน้าคมที่นั่งลอยหน้าลอยตาทำเป็นมองหน้าจอแมคบุ๊คทั้งๆที่ริมฝีปากจุดรอยยิ้มขำเห็นแล้วชักหงุดหงิด แต่เมื่อไม่รู้จะตอบโต้อะไรเลยเฉไฉหยิบแก้วชาเขียวร้อนขึ้นจิบแก้เก้อ 

     

    เอ้า กูถามเนี่ยทำไมไม่ตอบวะ แล้วทำไมแก้มแดงปราชญ์ถามเสียงจริงจังทั้งๆที่ใบหน้ายิ้มล้อเลียนเพื่อนปากแข็งของตัวเอง มึงตอบแทนเพื่อนกูหน่อยดิไอ้น้องบาส” 

     

    บาสเหล่มองร่างโปร่งที่นั่งหน้ามุ่ยข้างๆแล้วก็ยิ้มหน้าบาน ก็อยู่กินกันก่อนแต่ง... โอ้ยพี่ต่ายเจ็บแปล๊บจนต้องสะดุ้งเมื่อต้นขาถูกทุบอย่างแรง บาสกุมขาตัวเองด้วยมือข้างหนึ่ง คลึงมันเบาๆ ซบหน้าลงกับโต๊ะส่งเสียงร้องโอดโอย

     

    สำออยต่ายหรี่ตามอง ยกยิ้มด้วยความสะใจ

     

    จริง พี่หมอต่าย ทำไมไม่ทุบให้แรงกว่านี้นะหนุ่มวิศวะอีกคนเพิ่งมีปากเสียงเป็นครั้งแรกหลังจากเงยหน้าขึ้นมาจากกองกระดาษรายงาน 

     

    หนังหนาๆควายยังอายอย่างมันไม่เจ็บหรอกพี่ ถึกทนจะตายห่า” 

     

    พูดจาดีจนอยากจะตกรางวัลให้ ต่ายคิดในใจ

     

    แต่ถ้าพี่ฝ่าทะลวงหนังควายมันไปได้ก็อีกเรื่อง ให้มันเจ็บนิดๆหน่อยๆ แต่มันจะกลัวอะไร๊ แฟนมันเป็นหมออะพี่ เจ็บปวดตรงไหนก็ให้พี่หมอรักษาเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ สดใสซาบซ่า เอิ๊กๆ” 

     

    อีกคนที่เหลือเข้ากันดีเป็นลูกคู่จนอยากจะขอคืนคำพูด เหลือบเห็นเพื่อนของเขาอีกสองคนที่ปิดปากหัวเราะไม่มีเสียงเหมือนจะเป็นจะตาย แล้วหันมาแท็คกันครบทีม รวมถึงไอ้คนที่เพิ่งโดนประทุษร้ายร่างกายไปเมื่อสักครู่ด้วย เมื่อห้ามอะไรไม่ได้เขาจะทำอะไรได้นอกจากนั่งขบฟัน ซัดชาเขียวร้อนโฮกๆจนหมดแก้ว พอทุกคนเห็นเงียบกริบก็เลิกล้อ เด็กวิศวะเลยหันไปสุมหัวทำรายงานกันต่อ ส่วนเด็กแพทย์อีกสองคนชวนกันชี้นกชี้ไม้ในร้านกาแฟกลบเกลื่อน 

     

    "อาจารย์วิรัชว่ายังไงบ้างล่ะ" เปลี่ยนเรื่องถามโน้ตที่เพิ่งเดินไปส่งรายงานบันทึกประจำวันมาเมื่อสักครู่ก่อนที่เขาจะเดินมาที่นี่
     

    "เรื่องเดิมๆอ่ะ ยังต้องเพิ่มนิดหน่อย จดเคสเมื่อเช้าไม่ละเอียดเท่าไร แกก็บ่นนั่นนี่ว่าถ้าจบไปพลาดเล็กๆน้อยๆก็หมายถึงชีวิตคนนะ กูก็ก้มหน้าก้มตารับผิดไป" 

     

    "ก็จริงของแกแหล่ะ วันหลังก็ระวังหน่อย แกละเอียดมาก"

     

    "'จารย์หมอฝากบอกมึงด้วยต่าย พรุ่งนี้ให้จิระภัทรกับปราชญ์มาเช้าหน่อย" 

     

    ต่ายกับปราชญ์มองหน้ากันด้วยความสงสัย เรียกพร้อมกันแบบนี้สงสัยให้ไปช่วยงานกรณีศึกษาแหง๋ ไม่ต้องเดาให้เหนื่อย ส่วนโน้ตมันค่อนข้างสบายกว่าพวกเขาเพราะเรียนสาขาอายุรแพทย์ ไม่ใช่ศัลยแพทย์แบบเขาสองคน

     

    "นี่จะสอบล่ะยังไม่มีไรในหัวเลย ทำไมเร็วจังวะ สอบมิดเทอมเดี๋ยวก็สอบไฟนอลแล้ว" บ่นพึมพำพร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไหลลงไปเอนนอน

     

    "นี่แม่งก็ช้าพอล่ะ รุ่นเดียวกันเค้าจบทำงานมีลูกกันไปไหนต่อไหนล่ะมึง" ปราชญ์ตบหัวเพื่อนตัวเล็กกว่าแล้วลากแขนขึ้นมาให้นั่งดีๆ

     

    "เป็นเวรเป็นกรรมในชีวิต..." โอดครวญหงุงหงิงเป็นทำนองเพลง "แล้วพวกน้องอะ เรียนวิดวะนี่ต้องทำไรมะ" 

     

    "งานหนักนะพี่ ช่วงโปรเจ็คนี่พวกผมแทบไม่ต้องหลับต้องนอนกันอะ แก้แล้วแก้อีก" คนบ่นคือนพที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี 

     

    "รายงานก็เยอะ เห็นพวกผมชิวๆกันงี้มันเป็นจังหวะว่างแหละ ถ้าใกล้สอบเหมือนตอนนี้อาจารย์ก็จะหลับหูหลับตาสั่งงาน ทำแม่งก็ไม่ทัน หนังสือแม่งก็ไม่ได้อ่าน นี่อาจารย์เพิ่งสั่งงานวันนี้ไอ้บาสมันว่างเลยชวนมานั่งทำเลย" 

     

    "จริงๆก่อนนี้มันก็ไม่ขยันขนาดนี้หรอกพี่ นอนดึกแดกเหล้าตื่นมาลอกงาน ปั่นมือพันกันเหมือนพวกผมอะ แต่พอมี... นั่นแหละพี่ พวกพี่รู้มะการบ้านเนี้ยบกริบ อาจารย์เรียกไปชมแล้วชมอีก จากที่มันเป็นลูกรักอยู่แล้วยิ่งรักเข้าไปใหญ่ เรียนเก่งไม่เข้ากับหน้าตา" ปันโวยวาย เหล่มองเพื่อนที่หัวเราะในลำคอ 

     

    "ก็กูหล่อ" คำตอบเรียกเสียงโห่

     

    เหี้ย กูว่าไม่ใช่โน้ตเราะเอิ้กอ้ากเมื่อได้ยินคำตอบ ต่ายเบ้ปากไปตามๆกัน เห็นมือคนตอบโดนเพื่อนอีกสองคนรุมกับตบหัวด้วยความหมั่นไส้

     

    พอๆ กูโง่หมดแล้วมือใหญ่ปัดมือเพื่อนออกเป็นระวิง ก็ตอนมานั่งรอพี่ต่ายมันว่างไม่มีไรทำ เล่นเกมจนขึ้นแรงค์ที่หนึ่งไปหลายเกมล่ะ

     

    "นี่ถือเป็นข้อดี เห็นไหมใครว่ามีแฟนแล้วจะเสีย" ปราชญ์หัวเราะ ย้ำเหลือเกินคำว่าแฟนจนต่ายเบ้ปาก 

     

     

    "สงสัยผมต้องหาแฟนเป็นหมอเหมือนมันแล้วมั้ง"

     

    "ยากว่ะน้อง สาวๆคณะนี้ใจแข็งนะครับ" 

     

    "แต่ผู้ชายปากแข็งใจอ่อนใช่ป่ะพี่คนพูดยักคิ้วหลิ่วตาเรียกเสียงโห่ฮาจากคนทั้งโต๊ะ

     

    เอากันเข้าไป ต่ายฟังแต่ละคนพูดแล้วมองด้วยสายตาเอือมระอา สดท้ายมันก็เข้าตัวเขาจนได้ โห่ล้อกันเสียงดัง ยังดีที่ระดับเสียงของร้านกาแฟในวันนี้ค่อนข้างดังอยู่แล้วเลยไม่ได้ไปรบกวนโต๊ะอื่นมากเท่าไร 

     

    เขาเหลือบมองร่างสูงที่นั่งข้างๆที่จุดรอยยิ้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา มือเลื่อนเมาส์แบบไร้สายข้างนึงอีกข้างนึงจดข้อมูลเล็กน้อยลงบนกระดาษเอสี่ที่มีแบบแปลนระโยงระยาง ยิ่งเห็นแล้วยิ่งมึนหัว ให้เขาไปนั่งดูอวัยวะคนยังดูง่ายกว่านี้หน่อย (ล่ะมั้ง) วิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์นี่มันไม่เห็นจะคล้ายกันเลย แค่มีหลักการอ้างอิงคล้ายเท่านั้นเอง

     

    "กินไรเพิ่มไหม หิวยัง?" เขาเอ่ยปากถามคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน สรุปเจ้าครอกมูสนี่ถูกเขาซัดคนเดียวหมดเลย 

     

    "ไม่มากอะพี่ กินแถวนี้ไหม" บาสเงยหน้าขึ้นมาตอบ เขาหัวเราะในลำคอเบาๆเมือเห็นเศษขนมปังติดที่มุมปากแดง เอื้อมมือไปปัดออก กำลังจะใช้กระดาษทิชชู่ซับให้ ต่ายสะดุ้ง พอรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายเลยไม่ได้ว่าอะไร 

     

    "อือ เอ็มเคละกัน อยากกินอะไรร้อนๆ" 

     

    "ครับๆ แป๊บนึงนะพี่ ส่วนของผมจะเสร็จล่ะแล้วเดี๋ยวให้ปันกับนพมันไปทำส่วนของมันต่อ" 

     

    ต่ายพยักหน้าหงึกหงัก หันหน้าไปมองอีกสี่คนที่เหลือที่นั่งตาแป๋วแล้วก็คิดได้ว่าต้องชวนเสียหน่อย "กินด้วยกันเปล่า" 

     

    สองอนาคตแพทย์กับอีกสองนายช่างมองหน้ากันเลิกลั่ก 

     

    "จริงๆแล้วมันเป็นมารยาทเปล่าวะพี่ ที่เราควรจะปล่อยแฟนเค้าไปกินข้าวกันสองคน"

     

    "ใช่ว่ะ แต่ว่างานนี้เสียมารยาทจะเป็นไรไหมวะ" 

     

    "ถึงพวกผมจะแสลงหูนิดหน่อยที่เห็นไอ้บาสมันพูดเพราะ..."

     

    "ถึงพวกพี่จะตกใจที่ต่ายมันเอาแต่ใจ..."

    "คืองานนี้ให้พวกกูไปเสือกเถอะไอ้บาส/ต่าย" 

    .

    .

    เอาจริงๆที่ทุกคนบอกว่าจะมาเสือกก็ไม่ได้เสือกอย่างที่ปากว่า เพราะพอเปิดหม้อน้ำแกงร้อนๆ โยนผักกันลงไปโครมๆ เนื้อหมู เนื้อวัว ซีฟู้ดลงไปเด็กผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ทั้งหกก็มัวแต่ซัดจนพุงกาง ไม่ได้เงยหน้าคุยอะไรกันมากมายจนอิ่มกันในอีกเกือบชั่วโมงให้หลัง เขาหัวเราะเมื่อนึกถึงตอนที่พี่ปราชญ์กับปันใช้ตะเกียบตบตีแย่งเต้าหู้ปลาชิ้นสุดท้ายแล้วยังขำไม่หาย เถียงกันเรื่องชิ้นเกรงใจ ปากแต่ละคนโวยทับกันจนพี่ต่ายยังหลุดหัวเราะออกมาหลายครั้ง ทุกคนสนิทกันอย่างรวดเร็วถึงขั้นแลกไลน์กันไว้เพราะไอ้ปันกับพี่ปราชญ์ดูเหมือนจะคอเดียวกันหลายเรื่อง มันทำให้เขารู้สึกว่าเพื่อนของทั้งสองฝ่ายต่างรับได้กับการที่เขาสองคนเป็นแฟนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากของวันนี้ทีเดียว บาสเหล่มองใบหน้าเนียนที่นั่งข้างคนขับ เจ้าตัวกำลังกดไลน์โต้ตอบเพื่อนยิกๆ ยิ้มบ้างเบ้ปากบ้าง ระยะขนาดนี้กับตัวหนังสือขนาดเล็กของไอโฟนเขามองไม่เห็นหรอกว่าคุยอะไรกัน 

     

    ทางข้างหน้าน่ะมองสิ เดี๋ยวก็ไปจูบตูดรถชาวบ้านเออเว้ย พอเส้นบางๆที่คั่นหายไปแล้วปากคอเราะร้ายขึ้นเยอะ

     

    ครับๆเขาตอบส่งๆ แล้วพรุ่งนี้กี่โมงดีอะพี่” 

     

    “...” 

     

    พี่ต่ายเขาถามย้ำเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ 

     

    ไม่ต้องเจ้าตัวเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง

     

    หืม บาสขมวดคิ้วงง แทบอยากจะเหยียบเบรกจอดข้างทางคุยกันเสียตอนนี้ 

     

    ทำไมเขาถามขึ้น ยังคงครองสติในการขับรถให้ตรงทางไปเรื่อยๆ ในใจคิดว่าอีกนิดเดียวก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว 

     

    ต่ายไม่ตอบ เสมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อไม่ได้รับคำตอบบาสก็ไม่เซ้าซี้อะไร อันที่จริงเขายังไม่อยากคุยตอนนี้มากกว่า ห้องโดยสารของรถมินิคูปเปอร์เลยเงียบสนิท ได้ยินแค่เสียงเครื่องยนต์และเครื่องปรับอากาศดังเบาๆ ระยะเวลาไม่นานแต่เหมือนเวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้าทั้งๆที่จากถนนใหญ่เข้าหมู่บ้านใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีนิดๆเท่านั้น บาสค่อยๆเทียบรถจอดที่ริมฟุตบาทที่เดิม เขาถอนหายใจเบาๆ หันไปมองใบหน้าขาวที่ยังคงนิ่งสนิท 

     

    เป็นอะไรอีก เมื่อกี๊ยังอารมณ์ดีอยู่เลย 

     

    พี่ต่าย พรุ่งนี้ให้ผมมารับกี่โมงเขาถามย้ำอีกครั้ง 
     

    บอกแล้วว่าไม่ต้อง จะไปเองเสียงแหบตอบกลับ ต่ายกันไปมองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่าทำไมทั้งๆที่ไม่ได้พูดออกมา

     

    ก็จะไปเองบ้าง นี่ไม่ได้เป็นง่อยนะ” 

     

    ผมก็เลยถามว่าทำไมไงครับบาสพูดเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายขึ้นเสียง มือละจากกระปุกเกียร์ไปจับมือขาวที่วางอยู่บนเบาะ

     

    ไหนพี่ต่ายบอกผมสิว่าทำไม หื้ม?” 

     

    มาห๊งมาหื้ม ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์ ... ต่ายคิดในใจ ทั้งๆที่มีสีหน้าไม่กังวลปนกับไม่พอใจเล็กน้อยเรื่องที่เขาบอกให้ไม่ต้องมารับ แต่สายตากับท่าทางที่ทำกับตรงกันข้าม  ไม่รู้ทำไมเหมือนเขาเป็นฝ่ายที่ถูกไล่เลียงอยู่ตลอด นี่ยังไม่ได้คิดบัญชีสีหน้าท่าทางที่แสแสร้งวันก่อนนะ เขาสะบัดมือออก ทำหน้าดุใส่แต่ทำไมอีกฝ่ายยังยิ้มร่าอยู่ได้ เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า

     

    ก็บอกแล้วว่าจะไปเอง รถเครื่องฝืดหมดแล้วไม่ได้ใช้งานเนี่ยจอดเอาไว้เฉยๆ แล้วนายก็เอารถไปคืนเค้าได้แล้ว ไปรบกวนเค้าอยู่ได้กับแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ต้องบอกว่าคนให้ยืมเค้าเต็มใจเพราะเค้าไม่ได้ใช้เลย ของๆเค้าก็ของๆเค้า เข้าใจแล้วนะพูดรัวเร็วจนลิ้นเกือบพันกัน รู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่เบี้ยด้วยบรรยากาศแปลกๆที่แผ่ออกมารอบตัวคนตัวสูงกว่าอย่างไรไม่รู้ 

     

    ได้เสียงทุ้มตอบรับ ต่ายโล่งใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายพูดรู้เรื่อง 

     

    งั้นเดี๋ยวผมนั่งแทกซี่มารับพี่ต่ายแทนดีไหม?” ห๊ะ ต่ายตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง 

     

    นี่ยังไม่เข้าใจอีกเขาถามเสียงสูง 

     

    บาสเลิกคิ้วมอง ส่งยิ้มให้คนที่นั่งทำหน้าบูด เข้าใจที่ว่าพี่ต่ายอยากให้เอารถไปคืนเพราะไม่ใช่ของผม อันนี้ผมก็รู้เรื่องนะ มีตรงไหนที่บอกว่าผมไม่เข้าใจกัน” 

     

    ตีรวนตลอด ต่ายมองใบหน้าคมที่ประดับรอยยิ้มทะเล้น เบะปากเล็กน้อยแต่ก็ไม่พ้นสายตาของอีกคนที่มองอยู่ตลอด บาสหัวเราะเมื่อเห็นคนข้างๆทำสีหน้าไม่ได้ดั่งใจ อันที่จริงถ้าโวยวายออกมาได้พี่ต่ายคงโวยออกมาแล้ว นี่ที่เห็นแสดงว่ายังควบคุมอารมณ์ได้อยู่นิดหน่อย 

     

    โอเค ฉันไม่ต้องการให้นายมารับ ฉันจะขับรถไปกลับมหาวิทยาลัยเอง ส่วนนายก็กลับหอหรือกลับบ้านไปไม่ต้องเหนื่อยมาเทียวรับเทียวส่งแบบนี้ทุกวันหรอก ทีนี้เข้าใจชัดมากขึ้นหรือยัง” 

     

    โอเคครับงั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวผมมาถึงสักหกโมงนะบาสพยักหน้าหงึกหงั่ก


    นาย!” 

     

    อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ทีนี้พี่ฟังผมบ้างนะ จะได้เข้าใจตรงกัน ถ้าพี่อยากให้ผมเอารถไปคืนผมก็จะเอาไปคืน ยืมมาใช้นานๆผมก็เกรงใจถึงจะเป็นรถพี่สะใภ้ก็เถอะ ส่วนเรื่องมารับมาส่งพี่ถ้าพี่กลัวผมเหนื่อยผมไม่เหนื่อยหรอก” 

     

    ฉันไม่ได้กลัวนายเหนื่อยแทรกขึ้นมาแก้ต่างให้ตัวเอง

     

    โอเคๆ ไม่ได้กลัวก็ไม่ได้กลัวไม่เห็นต้องเสียงสูงเสียงดังขนาดนี้เลยบาสพูดกึ่งหัวเราะ พี่ต่าย...” 

     

    “...” 

     

    ผมอาจจะคิดเองเออเองฝ่ายเดียวแต่ผมมีความสุขนะที่ได้มารับพี่ เขาว่ากันว่าบางทีเวลาเรารักใครมากๆ นิดๆหน่อยๆเราก็ทำให้ได้ไม่ว่ามันจะเหนื่อยหรืองี่เง่าแค่ไหนก็ตามพี่ต่ายเคยได้ยินมั้ย?” 

     

    เขาไหนไม่เห็นรู้จักเบะปากจนหน้าคว่ำแต่แก้มเนียนขึ้นสีแดงเรื่อจนคนมองอมยิ้มมุมปาก

     

    เขาไหนก็ไม่รู้แหละแต่ไอ้ เขานี่แม่งโคตรรู้ดี รู้ทุกเรื่อง...คุณหมอหน้าหวานอมยิ้มตาม แต่ไอ้ประโยคที่เขาพูดเนี่ยแม่งเป็นข้ออ้าง ความจริงคือผมอยากเห็นหน้าพี่ต่ายเป็นคนแรกตอนเช้าและอยากเป็นคนเดียวที่ส่งพี่ต่ายเข้านอน นี่ผมอยากมากเกินไปไหม?”

     

    พูดจาเรียกร้องจนน่าสงสาร ต่ายรู้สึกตัวเองเป็นคนอารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้เพราะไม่รู้จะยิ้มหรือเบ้ปากกับประโยคหวานเลี่ยนนั่นดี เขานั่งกอดอก จ้องตาสีดำสนิทที่สะท้อนใบหน้าของเขากลับมา 

     

    คณะเราอยู่ไกลกันมาก แล้วพี่ต่ายก็ไม่ค่อยมีเวลา ตอนเช้าพี่ก็ต้องรีบไปเข้าเรียนหรือไม่ก็ไปดูคนไข้ส่วนตอนเย็นแทนที่พี่จะได้ไปไหนมาไหนเหมือนเด็กคณะอื่นพี่ก็ต้องเข้าเวร เลิกเร็วบ้างดึกบ้าง เขาถึงว่าเด็กแพทย์จีบยาก เพราะเวลาไม่ตรงกับใครเลย มิน่าหมอถึงชอบได้กันเองไม่ก็ได้กับพยาบาลพูดไปหัวเราะในลำคอ แต่ต่ายกลับรู้สึกถึงความผิดปกติในเสียงหัวเราะนั้น ดูขื่นๆอย่างไรไม่รู้ เขารู้สึกจุกเสียดขึ้นมาในอก รู้สึกเหมือนใจจะหายจนต้องคว้ามือใหญ่กว่าที่วางทิ้งไว้ข้างลำตัวของอีกฝ่ายมาจับไว้ คิ้วเข้มเลิกคิ้วสงสัย ใบหน้าคมนั้นมีแววประหลาดใจเล็กน้อยที่โดนแตะเนื้อต้องตัว 

     

    ผมทนไม่ได้ที่จะไม่เจอพี่ต่าย พี่ไม่คิดเหมือนผมหรือ นี่เราเป็นแฟนกันหรือเปล่า?” ใบหน้าคมยังคงประดับรอยยิ้มเหมือนครั้งแรกที่เขาเห็น ต่ายมักรำคาญรอยยิ้มทะเล้นที่อีกฝ่ายมอบให้เป็นประจำ แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ 

     

    เป็นสิก้มหน้าตอบเสียงแผ่ว มือเย็นเฉียบบีบมือที่ทั้งใหญ่และร้อนกว่าแน่น ก็เพราะเป็นน่ะสิเลยเป็นห่วง นายต้องตื่นเช้ามารับแถมยังกลับดึกอีก กว่าจะได้กลับบ้านมันก็ดึกมากแล้วฝนก็ชอบตกหนักตอนกลางคืนด้วย ถนนก็ลื่น ไหนช่วงนี้จะ...


    เสียงอธิบายเจื้อยแจ้วถูกกลืนลงไปในลำคอทั้งหมดเมื่อริมฝีปากบางถูกปิดสนิท ว่าที่คุณหมอที่แก่วัยกว่าตาโต ตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงไอร้อนและลมหายใจที่ทาบชิดติดทั้งใบหน้าอ่อนและริมฝีปากของตัวเองจนถึงกับต้องนั่งตัวเกร็ง กลั้นหายใจเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าเนียนร้อนฉ่าเหมือนจะไหม้ สมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ประสาทสัมผัสของเขาในตอนนี้รับรู้ได้เพียงแค่ความเคลื่อนไหวจากจุดๆเดียว ริมฝีปากร้อนที่ทาบลงมาไม่ได้รุกล้ำอะไรไปมากกว่านั้น ชายหนุ่มแค่จูบซับสัมผัสความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากเบาๆ อ้อมแขนกว้างที่ต่ายมักอิจฉาที่เด็กสมัยนี้โตเร็วแถมตัวใหญ่กอดรวบเข้าไปแน่น คนตัวเล็กกว่าโล่งใจที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกและซบใบหน้าเข้ากับบ่าที่แคบกว่า
     

     

    ครั้งแรกเลย...เสียงทุ้มพูดอู้อี้กับแนวบ่า ครั้งแรกเลยที่พี่ต่ายบอกว่าเป็นห่วง ดีใจจะตายอยู่แล้ว

     

    บ้า...ต่ายบ่นอุบอิบแต่ระยะห่างที่เรียกได้ว่าเกินคำว่าใกล้ชิดขนาดนี้ยังไงคนหูไวยิ่งกว่าสุนัขก็ต้องได้ยินชัดเจน

     

    แต่ก็ยังอยากมารับอะบาสกอดแน่น งอแงเหมือนเด็กจนคนที่โตกว่าอ่อนใจ ยกมือขึ้นแตะแผ่วเบาที่แผ่นหลังกว้าง  

     

    ไว้เจอที่ม.ก็ได้”     

     

    อยากมารับ อยากอยู่ด้วยกันนานๆ อยากมาหาลูก...” 

     

    ต่ายขมวดคิ้ว ผลักไหล่หนาออกห่างแต่ตัวยังถูกโอบไว้หลวมๆ ลูกใคร” 

     

    บาสหัวเราะหึ ก้มตัวลงกระซิบติดกับริมหูแดงเรื่อ ก็ลูกเราไงพี่ต่าย พิซซ่าอะ โอ้ย” 

     

    มือขาวทุบแผ่นหลังอีกฝ่ายดังอั๊ก ไม่เจ็บให้มันรู้กันสิ แต่แทนที่คนถูกทุบจะถอยออกห่างไป ต่ายกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกรัดแน่นเข้าไปอีก น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น เขากอดลูกหมาตัวโตที่หูตกหางลู่กลับแน่น พูดเสียงอู้อี้กับแผ่นอกหนา ตอนเช้าก็มาเจอหลังเข้าเวรก็ได้ พักกลางวันค่อยนัดกันก็ได้ ว่างตอนไหนก็ค่อยมา ไม่เห็นเป็นไรเลย” 

     

    เจ้าหมาตัวโตส่ายหัวยุกยิกไม่ยอมท่าเดียว หัวโตๆที่ซุกอยู่กับบ่าสั่นดุ๊กดิ๊กจนผมเคลียอยู่ตรงซอกคอจนคนถูกกอดหัวเราะจั๊กจี้ ดันหัวให้ออกห่าง ต่ายมองคนตัวโตที่ทำหน้าหงอยแล้วก็ต้องอมยิ้ม 

     

    งั้นเอางี้ก็ได้ดวงตาคมเหล่ขึ้นจ้องคนพูด ตอนเช้าเดี๋ยวไปเอง เดี๋ยวสิอย่าเพิ่งทำหน้างั้นสิต่ายรีบขัดเมื่อเห็นใบหน้าทีเจ้าตัวชอบโม้ว่าหล่อนักหนามุ่ย 

     

    ตอนเช้าจะไปเอง นายก็นอนอืดไปก่อน ออกเวรตอนเช้าแล้วจะบอก มาเจอกันตอนนั้นก็ได้ กลางวันก็ได้ แล้วหลังออกเวรตอนเย็นค่อยมารับกลับมาที่บ้าน ยังงี้โอเคไหม?” 

     

    ไม่อยากโอเคแต่ก็ต้องโอเคหรือเปล่า?” ถามย้อนกลับด้วยเสียงน้อยใจ


    บาส...ต่ายพูดอ่อนใจแต่เหมือนตัวเองตาฝาดที่เห็นหูสุนัขล่องหนกระดิกถี่ยิบ หรือจะเจอกันแค่ตอนพักกลางวันดี หือ?” 

     

    ไม่ๆๆ ข้อเสนอแรกตกลง แค่พักกลางวันไม่เอา ไม่พอหูหางออกมาแล้วเจ้าบ้า พี่ต่าย... ขออะไรอีกอย่าง” 

     

    อะไรอีกขมวดคิ้วถาม 

     

    เรียกชื่ออีกครั้งหน่อยสิครับเสียงทุ้มออดอ้อนจนคนฟังหน้าร้อนฉ่า นะครับ

     

    เสียงอ่อนเสียงหวานขนาดนี้คนถูกขอจะใจร้ายไม่ทำตามคำเรียกร้องอย่างไรไหว ต่ายอมยิ้มให้เป็นของแถม บาส

     

    ฮื่อ อีกครั้งสิคนตัวโตลดตัวลงแนบใบหน้าเข้ากับแผ่นอกจนคนถูกกอดใจเต้นแรง กลัวว่าจะได้ยินเสียงที่มันระรัวราวกับทุบกลอง กระชับอ้อมกอดแนบชิด 

     

    บาส...”  

     

    อีกครั้ง... โอ้ย

     

    เยอะแล้วหมั่นไส้จนต้องบิดหูอีกฝ่ายระบายความขุ่นเคือง ไม่รู้จะให้เรียกชื่ออะไรนักหนา ต่ายเบะปากมองร่างสูงที่เด้งกลับไปนั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว มือสองข้างกุมใบหูตัวเองที่แดงแจ๋เพราะถูกจับบิดอย่างแรง 

     

    เดี๋ยวหูหักนะพี่ต่าย

     

    หูหักไม่ได้! มีแต่กระดูกอ่อนเว้ยแต่ถ้าบิดล่ะก็ไม่แน่” 

     

    อ๊ะ แหม เดี๋ยวนี้วะโว้ยใส่ด้วยอะจู๋ปากแซว

     

    วะโว้ยตรงไหนรีเพลย์กลับไปฟังเลย พูดเว้ยต่างหากอมยิ้มท้าทายก่อนที่จะเปิดประตูแล้วกระโดดลงจากรถไปเปิดประตูบ้าน รับเจ้ายามตัวเล็กที่วิ่งเสนอหน้าออกมารับขึ้นกอด

     

    บาสที่ตามลงมารีบวิ่งเข้าไปกอดซ้อนคนตัวเล็กกว่าที่อุ้มเจ้าหมาตัวเล็กแนบอก พิซซ่า ป๊ามาแล้วลูก... โอ้ย

     

    หลังเท้าถูกกระทืบด้วยรองเท้าหนังส้นแข็งอย่างแรงจนคนที่ใส่รองเท้าผ้าใบต้องทรุดลงนั่งกุมเท้า ปล่อยคนตัวขาวที่ส่งเสียงหัวเราะสะใจลอยตามลมมาทั้งๆที่ตัวเองเดินเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้ว บาสถอนใจส่ายหน้าทั้งๆที่ใบหน้ายังประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง 

     

    เขาต้องพยายามเข้าใจว่าบางทีการถอยให้กันคนละก้าวสองก้าว ยอมรับในความคิดเห็นของอีกคนแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องรุกหนักแบบแต่ก่อนก็ทำให้รู้สึกว่าเขาได้เข้าใกล้ใจของอีกฝ่ายมากขึ้นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าคนขี้รำคาญคนนั้นก็ยอมถอยให้เขาเยอะแล้วเหมือนกัน มันคงถึงเวลาที่เขาจะถอยกลับนิดหน่อย เว้นให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอบ้างแล้วค่อยรุกหนักต่อก็น่าจะดีไม่น้อย

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×