คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Take #13 {re-write}
#13
ร้านเหล้าของเพื่อนพี่ชายพี่โก้ สถานที่ๆนัดกันครั้งนี้ไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านพี่ต่ายเท่าไร อันที่จริงคือแค่ขับรถโผล่มาทะลุเส้นราชพฤกษ์ก็ถึงแล้ว ร้านถูกแบ่งออกเป็นสองโซนคือวงดนตรีสดด้านในที่มีเครื่องปรับอากาศ กับภายนอกที่เปิดโล่งแบบโอเพนแอร์ กินลมชมวิว ด้านในมีผนังปูนเปลือยประดับไปด้วยบรรดาโพสท์อิทหลากสีสันและรูปวาดด้วยดินสอธรรมกาหรือดินสอสีง่ายๆ บางรูปเป็นภาพขนาดโปสการ์ด จะภาพวิว ภาพคน ภาพตัวเองอะไรก็แล้วแต่จะสรรหามาติด ตอนแรกผนังว่างๆนี้ไม่มีอะไรเลยในช่วงตั้งร้านใหม่ๆ พอมีคนเริ่ม ก็จะมีกลุ่มที่ตามมาเรื่อยๆ เฮียอู๋เจ้าของร้านเลยปล่อยให้มันเป็นซิกเนเจอร์ของร้านไป “มันเป็นศิลปะ” เฮียเค้าว่าแบบนั้น ตอนนี้โซนด้านนอกที่เปิดโล่งแบบโอเพนแอร์ถูกปิดให้บริการชั่วคราวเพราะเป็นช่วงหน้าฝน ไม่รู้ฝนจะตกโครมลงมาตอนไหนบ้าง เพื่อไม่ให้ลำบากลำบนทั้งลูกค้าและพนักงานร้านที่ต้องช่วยกันยกโต๊ะและบรรดาข้าวของทั้งหลายแหล่วิ่งหนีฝนกัน เฮียอู๋แกเลยสั่งปิดมันไปก่อน
บาสเห็นกลุ่มเพื่อนตัวเองอีกสองสามคนรวมทั้งพวกไอ้โตที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน กลุ่มเพื่อนพี่โก้ที่พวกเขาเองก็รู้จักกันหมด เพื่อนพี่โก้อีกสองคนคือพี่ฮัทกับพี่นายเป็นพี่รหัสของไอ้โตคนนึงแล้วก็ไอ้ปันอีกคน กลุ่มเขากับรุ่นพี่เลยค่อนข้างที่จะสนิทกันเป็นพิเศษ อันที่จริงบาสว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเป็นพี่-น้องรหัสหรอก คิดว่าถ่อยเข้ากันได้ดีจะดีกว่า เขาเหล่มองคนที่เดินมาข้างๆ ว่าที่คุณหมอตัวขาวเป็นบุคคลเดียวที่ไม่ได้เข้ากับสถานที่แบบนี้เอาเสียเลย ไม่ใช่ว่าเรียนแพทย์จะแตะต้องแอลกอฮอล์ไม่ได้ เพื่อนม.ปลายเขาหลายคนที่เรียนแพทย์ก็ก๊งกันเป็นว่าเล่นเมื่อมีเวลาว่างเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรพี่ต่ายก็ตัดสินใจมานี่แล้ว ว่าที่คุณหมอดึงทึ้งเสื้อเชิ้ตที่ปกติจะสอดเข้าในกางเกงสแลคเรียบร้อยออกมาด้านนอก ผมเผ้าที่ปกติแม้ไม่ได้ถูกแวกซ์จนเรียบตึงอะไรขนาดนั้นถูกสางออกขยี้ให้ดูยุ่งๆเล็กน้อย ผมด้านหน้าที่ปรกหน้าปากจึงดูยุ่งเหยิงผิดกับทุกวัน บาสคิดถึงวันแรกที่ไปหาพี่ต่ายที่บ้านแล้วเจอเจ้าของบ้านออกมาด้วยสภาพหัวหูยุ่งเหยิง หน้าขาว ปากแดง แม่ง โคตรน่ารัก
ประตูกระจกของร้านถูกเปิดออกโดยพนักงานประจำที่พอจำหน้าจำตาเขาได้ เลยชี้ไปที่โต๊ะที่เสียงดังโวยวายที่สุดในร้าน เนื่องจากตอนนี้วงดนตรีสดยังไม่ขึ้น เสียงพูดคุยของแต่ละกลุ่มจึงจ้อกแจ้กจอแจ บาสเหล่มองคนข้างๆอีกครั้ง เห็นพี่ต่ายหยิบมือถือมากดยุกยิกเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองเขาบ้าง ทำหน้าสงสัยเหมือนจะถามว่ามีอะไรผ่านสีหน้า บาสชี้ไปที่โต๊ะเป็นเชิงบอกว่าให้เดินไปทางโต๊ะนั้น ขายาวก้าวนำ ระยะทางจากประตูร้านไม่ได้ไกลเท่าไร ไอ้โตที่บังเอิญเหลือบขึ้นมามองเขาพอดีกวักมือเรียก
“ไอ้บาส … อ้าว … เชี่ย” เสียงห้าวจะโกนเรียกชื่อเต็มเสียง แต่ท้ายเสียงกลับอ่อนลงเมื่อเห็นร่างโปร่งที่เดินตามหลังมาด้วย และเพราะเขาเรียกชื่อเพื่อนสุดเสียงเพื่อให้มันได้ยิน คนทั้งโต๊ะเลยหันมองตาม
“เห้ย” เสียงอุทานประสานกันเหมือนเอคโค่ คนนึงพูดคนนึงตาม บาสยิ้มกวนๆให้เพื่อนและรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ หลายคนมีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย
อย่าว่าแต่พวกมันประหลาดใจ เขาก็ประหลาดใจเหมือนกันแหละ แต่มาถึงที่นี่แล้วแถมพี่ต่ายอาสามาเองด้วย จะให้ห้ามก็ดูจะขัดใจหรือเปล่ายังไม่รู้เลยนิ่งไว้ดีกว่า อีกอย่าง … แหมมันน่าดีใจจะตายไป ทำงี้เหมือนมาเปิดตัวกันเลยนี่นา
บาสนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆไม้ที่ดูเหมือนกำลังจิ้มนักเก็ตไก่จิ้มซอสมะเขือเทศกิน เพราะมือยังค้างอยู่ที่จาน ค้าปากหวออย่างตกใจ เขาตบไหล่ให้มันกระเถิบไปอีกพอมีที่ให้สองคนนั่งได้ด้วย เก้าอี้เสริมอีกตัวถูกพนักงานลากมาเพิ่มอย่างรู้หน้าที่
“เบียดไหมนั่น พี่หมอมานั่งฝั่งนี้ก็ได้นะครับ” โตเสนออย่างอารมณ์ดี หันไปเล่นหูเล่นตาล้อเพื่อนที่นั่งตรงข้าม
“เสือกนะมึง” บาสถลึงตาใส่ หันไปยิ้มให้คนที่ยังคงยืนอยู่ เห็นยังยืนนิ่งเลยกระจุกชายเสื้อเบาๆ “พี่ต่ายนั่งนี่แหละ ไปนั่งที่อื่นเดี๋ยวพวกปากหมามันจะกัดเอาได้”
ว่าที่คุณหมอกวาดตามองไปรอบโต๊ะอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาเป็นตาเดียวกัน เสียงที่โวยวายเมื่อครู่เงียบเหมือนกับว่าทุกคนกำลังตั้งใจว่าเขาจะทำอะไร หรือตอบกลับไปว่าอะไร ต่ายหันมามองคนที่กระตุกชายเสื้อนักศึกษาที่ถูกปล่อยออกมานอกกางเกง หัวเราะในลำคอเบาๆ “ตรงนี้ก็มีอยู่ตั้งตัวนึงไม่ใช่หรือไง”
ฮิ้วววววววววว
เสียงโห่แซวเกรียวกราวให้กับว่าที่คุณหมอที่ดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางท่ามกลางรุ่นน้องคณะวิศวะว่าพลางเลื่อนเก้าอี้ที่พนักงานเอามาให้เรียบร้อยแล้วมานั่ง จริงๆแล้วเขานั่งอยู่มุมปลายสุดของโต๊ะด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงกลายเป็นจุดรวมความสนใจของคนทั้งโต๊ะที่แทนที่นั่งตรงกลางไปได้ เขาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย จริงๆจะเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลก คิดไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“กินเหล้ามั้ยพี่” โตดูเหมือนเป็นบุคคลที่ปรับตัวได้เร็วสุด ไม่อยู่ในอาการอ้ำอึ้งเหมือนคนอื่นในโต๊ะ ตามด้วยปันและนพที่แทบจะแล่นจากปลายโต๊ะอีกฝั่งมาอีกฝั่งอย่างว่องไว
“มีไรบ้าง” บาสตอบคำถามแทนคนที่นั่งข้างๆ มือหยิบเฟรนช์ฟรายส์ที่อยู่ตรงหน้ากิน
“กูถามพี่หมอ” บทไอ้โตจะกวนตีนขึ้นมากระทันหันมันก็ทำได้จนกวนเบื้องล่างยิ่งนัก บาสรู้สึกคันยุบยิบเหมือนเส้นเอ็นที่ขาจะกระตุก
บาสถอนใจมองคนข้างๆ “ตอบๆมันไปหน่อยพี่ น้ำเปล่า โค้กหรืออะไรก็ได้ไม่งั้นไอ้นี่มันกวนไม่เลิก”
“มีอะไรบ้างล่ะ กินได้หมดแหละ” ต่ายตอบ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้สบายๆ
“พี่จะกินเหล้าปั่นเหมือนไอ้ไม้ก็ได้นะ”
“ค็อกเทลก็มีนะพี่”
“เบียร์สดก็สั่งได้”
“หรือจะร่ำสุราเมายาปลาปิ้งคั่วกลิ้งกับพวกผม นี่ยุให้พี่โก้มันเปิดโกลด์เลี้ยงใจป้ำเปิดให้แค่แบล็คแปดปี แม่งโคตรงก”
“พวกมึงแดกกันเป็นน้ำขนาดนี้ให้กูเปิดโกลด์มาทำซากอะไร ลงท้องไปมึงก็เมาได้เหมือนกันไอ้พวกเชี่ย!”
เสียงตะโกนแย่งกันพูดดังลั่น ต่ายฟังแล้วขำ อันที่จริงพวกนี้ยังไม่เมากันสักนิดแต่การตะโกนโวยวายโห่ร้องแซวกันแบบนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ไป แว้บแรกเขาเคยคิดว่าเด็กพวกนี้ชักจะปีนเกลียวไปใหญ่แล้ว แต่พอมองอีกมุมก็อาจจะทำไปเพราะมีมนุษยสัมพันธ์ดี แถมเป็นพวกสบายๆก็ได้ หรืออาจจะโชคดีที่เขาเป็นประเถทไม่คิดเยอะ ถ้าให้ปราชญ์มานั่งอยู่ตรงนี้มันอาจจะมีความอดทนไม่เท่าเขา ตาเรียวมองโตที่รอคำตอบอยู่เพราะถือแก้วเปล่าเตรียมพร้อม
“เหล้าก็ได้ ผสมโซดาน้ำนะ”
“เฮ้ย เอาจริงดิพี่ต่าย” ตกใจเล็กน้อยเมื่อคำตอบนั้นขอในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดมาก่อน นึกว่าอย่างดีก็แค่เบียร์ บาสมองหน้าต่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คำไหนที่บอกว่าล้อเล่น” ต่ายย้อน มองหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างไม่กลัว “กินเป็นเหอะ”
“เหล้าปั่นหรือเบียร์ก็พอมั้ง” บาสพูดเสียงอ่อน
“อะไรก็เมาทั้งนั้นแหละ”
“แต่ว่า …”
“แต่อะไรอีก” ต่ายตวัดตามอง รู้สึกรำคาญใจขึ้นมากระทันหัน “เลิกพูดนั่นนี่ได้แล้ว ข้าวน่ะกินเข้าไปก่อนแล้วอยากจะกินอะไรค่อยยัดตามไป ท้องว่างแอลกอฮอล์มันจะลงไปกัดกระเพาะ เป็นแผลขึ้นมากระเพาะทะลุแล้วจะหาว่าไม่เตือน ตอนตรวจก็ต้องสอดกล้องเข้าไปทางปาก รู้สึกพะอืดพะอมจนจะ…”
“พอๆๆ พอแล้วพี่ต่าย” บาสขัดก่อนที่จะโดนบ่นอีกยาว แอบคิดสภาพตามถึงอุปกรณ์ตรวจที่ถูกแหย่เข้าไปในคอแล้วรู้สึกขะอ้วกขึ้นมาทันที เขาทำหน้าเซ็งๆหันไปทางไม้ที่นั่งอยู่ด้านขวามือ พอหันไปทิศนั้นเท่านั้นแหละถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าทุกคนจ้องมาทิศนี้เป็นทางเดียว บาสทำแสร้งทำหน้าเครียดแต่อมยิ้มแก้มตุ่ย ตะโกนเรียก “เอาโถข้าวมาดิ๊พี่โก้”
โถข้าวสวยวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างพวกเครื่องดื่มต่างๆ มือใหญ่ของคนที่ถูกใช้งานหยิบโถข้าวสวยร้อนข้างๆ เขาเห็นสายตาพี่รหัสมองอย่างล้อเลียนแม้จะสงสัย เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วได้โดนซักฟอกแน่นอน และทันความคิดนั้นแทนที่พี่โก้จะใช้วิธีส่งต่อโถข้าวแบบที่ควรจะทำแบบทุกครั้ง เจ้าตัวกลับเดินถือมาให้ถึงที่ บาสรับมาทำสีหน้าหวาดระแวงที่เห็นพี่รหัสตัวเองยักคิ้วหลิ่วตาให้
“พี่หมอ ผมชื่อโก้นะ เป็นพี่รหัสไอ้หมานี่” เขาลากเก้าอี้ว่างมานั่งข้างๆฝั่งซ้ายว่าที่คุณหมอที่ว่างอยู่ เขี่ยไอ้พวกรุ่นน้องที่ล้อมเป็นแมลงวันตอมออกไปไกลๆ เห็นสายตาของคนที่เพิ่งถูกพาดพิงว่าเป็นหมามองหน้ามุ่ย แม่งยังกับร็อดไวเลอร์
“อื้อ ชื่อต่าย” ตอบกลับพลางพยักหน้าไปด้วย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ซื่อบื้อไม่รู้ว่ารุ่นน้องพวกนี้รู้ชื่อเขาอยู่แล้ว แต่มันเป็นมารยาทเมื่อมีคนแนะนำตัวแล้วเขาก็ต้องทำตาม
“มันไม่เห็นบอกว่าพี่จะมาด้วย” โก้ถามล้อๆ เอาเข้าจริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้จักหรือเคยคุยกับรุ่นพี่ที่บาสมันจีบมาก่อนเหมือนกันเลยประหม่าเล็กน้อย “ชนแก้วกับผมหน่อยได้ไหมพี่”
ต่ายหัวเราะเบาๆเมื่ออีกฝ่ายเข้าหาด้วยท่าทีสุภาพเหมือนเด็กเข้าหาผู้ใหญ่ “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้อะ เจ้าภาพมาขอชนไม่ให้เดี๋ยวไม่ยอมจ่ายขึ้นมาทำไง แล้วไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอกห่างกันปีเดียว”
มือเล็กคว้าแก้วที่โตส่งมาให้ขึ้นชนเบาๆพอเป็นพิธี จิบลงคอนิดหน่อยแล้วพูดอย่างพอใจ “อร่อยนี่”
“ให้ผมชงให้หมดแก้วแล้วเดี๋ยวจะต้องขออีก” โตพูดพร้อมยักคิ้วให้ หันไปถามอีกคนคนข้างๆ “บาสมึงเอาเลยเปล่า”
“เออ” “ยัง”
สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งโต๊ะทำหน้างุนงง บาสเอียงหน้ามามองด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน ต่ายรู้สึกตัวว่าเหมือนจะส่งเสียงดังเกินไป พูดต่อเสียงอ่อย “กินข้าวให้หมดจานนึงก่อน”
“ฮื่อ ข้าวมันติดคอ”
“น้ำเปล่าไง”
“พี่ต่ายยังกินได้เลย”
ฉันกินข้าวมาแล้ว”
“ขี้โกงนี่”
“ตลก! ชวนแล้วไม่ยอมกินเอง” ต่ายถลึงตาใส่ บุ้ยใบ้ให้กินข้าวให้หมดก่อนแล้วค่อยเรียกร้องอย่างอื่น บาสโอดครวญ หางตาเหลือบเห็นบรรดาเพื่อนและรุ่นพี่ต่างส่งสายตาล้อเลียน
โก้อยากจะหัวเราะก๊ากออกมาเต็มเสียงแต่ตอนนี้ทำได้แค่หันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง ซบหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเองแล้วกลั้นหัวเราะตัวสั่น นึกในใจว่าอยากจะไลน์ไปหาพี่ชายไอ้บาสมันนักว่ายังไม่ทันไรแม่งก็มีแววกลัวเมียขึ้นมาแล้ว จะเถียงกับพี่หมอก็ดูท่าทางไม่ง่ายด้วย พี่แกมีเหตุผลและทฤษฎีรองรับเสียจนไอ้น้องรหัสเขายอมก่อนที่จะร่ายหมดประโยคเสียอีก แถมคนนอกขี้รำคาญอย่างเขาแทนที่จะรู้สึกว่าพี่หมอคนนี้จุ้นจ้าน กลับคิดในอีกมุมว่า นี่คงเป็นเสน่ห์ของเจ้าตัวที่จับเด็กอย่างบาสจนโงหัวไม่ขึ้น ก็ช่างดูแลแบบนี้นี่แหละ
“ไหนก็มาแล้วมึงแนะนำพวกกูให้พี่เค้ารู้จักหน่อยเด้ไอ้บาส นั่งก้มหน้าก้มตาแดกข้าวเงียบเลยนะมึง เชื่อฟังกันดีจริ๊ง”
ปันและนพทำหน้าทะเล้นแม้น้ำเสียงเพื่อนจะหมั่นไส้แต่เขารู้ว่ามันล้อเลียนไม่ได้จริงจังอะไรหรอก อันที่จริงนอกจากกลุ่มเขาและไอ้โต นอกนั้นก็มีเพื่อนพี่โก้อีกสามคนเท่านั้นเอง ร่างสูงวางช้อนที่เพิ่งซดแก้งส้มไปเมื่อครู่ลง ชี้นิ้วไล่ทีละคน
“พี่ต่าย นั่นไอ้โต รู้จักแล้วเนอะ กลุ่มไอ้โตกับผมอยู่คนละเอกแต่สนิทกัน กลุ่มมันมีไอ้ไม้ที่นั่งข้างผมกับไอ้แจคข้างๆมัน ส่วนไอ้สองคนที่ยืนอยู่หัวโต๊ะนั่นคือไอ้ปันกับนพ”
ต่ายพยักหน้ารับรู้ มองตามมือของหนุ่มรุ่นน้องที่ชี้ไปรอบๆ “นั่นพี่โก้ รู้จักแล้ว เพื่อนพี่โก้ปีสี่อีกสามคน พี่ฮัทเป็นพี่รหัสได้โต พี่นายหน้าตี๋นั่นเป็นพี่รหัสไอ้ปัน อีกคนคือพี่หมี อยู่คนละคณะ พี่แกเรียนบริหารแต่เป็นเพื่อนสนิทกับพี่โก้ตั้งแต่ม.ปลายก็เลยสนิทกับพวกผมไปด้วย”
“ส่วนนี่พี่ต่าย ว่าที่ฟ... โอ้ย!”
เจ็บแปล๊บขึ้นมาที่สีข้าง ศอกแหลมๆของคนที่นั่งข้างๆกระแทกเข้ามาที่ชายโครงอย่างแรง บาสโอดโอย จะหาว่าสำออยก็สำออยเถอะแต่นี่มันเจ็บจริงๆ นี่ตั้งแต่จีบพี่ต่ายมาโดนทำร้ายร่างกายจนฟกช้ำไปเท่าไรไม่รู้เท่าไรแล้ว ต่ายถลึงตามอง พยายามจะดุใส่แต่เหมือนทำยังไงก็ไม่เป็นผลสักที แต่ละคำพูดที่หลุดออกมานี่มันน่านักเชียว บาสมองว่าที่คุณหมอที่เพิ่งทำร้ายร่างกายเขาไปหมาดๆ “ใจร้าย”
“นี่ใจดีสุดๆแล้ว”
“ไม่จริงอะ พี่ใจร้ายกับผมคนเดียวตลอด”
“รู้ได้ยังไง”
“ก็จริงนี่ นี่ผมทำตัวดีกินข้าวหมดจานแล้วด้วยยังไม่เห็นชมกันบ้าง”
“เป็นเด็กอนุบาลหรือไงที่กินข้าวหมดจานถึงต้องชมว่าเก่งมาก ถามหน่อยอายุสมองเท่าไร เคยไปเช็คบ้างไหมไอคิวอีคิวน่ะ”
“แหม ถึงไอคิวหรืออีคิวผมจะน้อย แต่ถ้าพี่ติวรักให้ผมก็เต็มร้อยนะครับ”
ฮิ้ววววววววววว
ปวดเส้นประสาทตุบๆ เบ้หน้ามองคนที่สรรหาประโยตเลี่ยนๆมาได้อย่างเอน็จอนาถใจ มือขาวเลยตัดบทด้วยการหยิบแก้วที่เหลือเหล้าอยู่ครึ่งหนึ่งกระแทกปากอีกคนให้กินเข้าไปจะได้หยุดพูดมาก นี่ขนาดสุรายังไม่ตกถึงท้องก็ร้องงอแงเสียจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ บาสตะครุบแก้วเอาไว้เกือบไม่ทันเพราะกลัวหกเลอะเทอะ กระดกต่ออึกๆราวกับคนกระหายน้ำ น้ำแข็งที่ละลายเกือบหมดแล้วทำให้รสชาติของเหล้าแก้วนี้เจือจางลงไปมากและเขาสามารถดื่มมันลงไปได้หมดแก้วราวกับดื่มน้ำเปล่า เขาคว่ำแก้วลงให้เห็นว่าเครื่องดื่มถูกซัดลงไปจนหมดไม่เหลือสักหยดเดียว ตาวาวมองคนตรงหน้าที่มองหน้าเอาเรื่อง ชายหนุ่มจุดยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มทีเห็นแล้วชักอยากจะกดใบหน้าคมนั่นให้กระแทกลงไปกับโต๊ะจนเสียโฉมกันไปข้าง ยื่นหน้ามาใกล้ เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาติดริมหูที่ร้อนฉ่าราวกับจะกลัวคนรอบด้านได้ยิน
“พี่ต่ายรู้ไหม นี่มันจูบทางอ้อมชัดๆเลย”
ต่ายไม่รู้ว่าตัวเองถอนหายใจท่ามกลางเสียงโห่ฮิ้วของบรรดาเด็กวิศวะนี่กี่ครั้งกันแล้ว เค้าว่าการถอนหายใจหนึ่งครึ่งจะทำให้แก่ขึ้นไปอีกหนึ่งปี ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่รู้จักกับเจ้าเด็กนี่มาเขาแก่ขึ้นอีกกี่ปีแล้ว วันหลังค่อยลองนับดูบ้างดีกว่า แต่เขาแน่ใจว่ายังไงเจ้าเด็กนี่กวนจนเขาอายุเกินห้าสิบไปแล้วแน่นอน ส่วนเรื่องจูบทางอ้อมนั้นมันเป็นเรื่องยกขึ้นมาล้อให้อีกคนเขินอาย ใช้ได้ผลกันไม่รู้กี่ยุคต่อกี่ยุคแล้วไม่รู้ จะให้เขินหน้าแดงอายม้วนตกหลุมพรางน่ะเหรอ ไม่มีทางเสียล่ะ เรื่องแบบนี้มันเด็กน้อยมาก ไม่อยากจะบอกว่าอ้อนน้อยๆ ทำตัวดีๆเหมือนก่อนหน้านี้ยังจะทำให้เขินมากกว่าตั้งเยอะ
แก้วเหล้าใบใหม่ถูกชงมาวางตรงหน้าด้วยมือชงเจ้าเดียวกับแก้วก่อนหน้านี้ที่ถูกคนข้างๆยึดไปเป็นของตัวเอง เขาเห็นไม้หลิ่วตามองล้อๆแต่ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วเหม่อมองออกไปด้านนอกร้าน ฝนเม็ดเล็กเริ่มตกปรอยๆ ช่วงนี้ฝนมักจะตกกลางคืน เจ้าของร้านรอบคอบมากที่ตัดสินใจไม่เปิดโซนด้านนอกให้ลูกค้าใช้บริการ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะลำบากสักหน่อยในการเคลื่อนที่และขนย้าย เสียงพูดคุยรอบด้านเป็นภาษาค่อนข้างหยาบกว่าที่เขาใช้ปกติ อย่างมากที่เขาคุยกับปราชญ์และโน้ตก็มีแค่กูมึง อาจะมีคำด่าไปบ้างแต่ไม่ได้ใช้แบบคำต่อคำขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะแต่ละสังคมก็ต่างมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันอยู่แล้ว และคำพูดพวกนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับไม่ได้ มันอยู่ที่คนเราเลือกที่จะรับอะไรมาใช้มากกว่า บทสนทนาเริ่มเปลี่ยนเป็นเรื่องราวหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้อยากมีส่วนร่วม จะมีก็เพียงคนข้างๆที่หันมาอธิบายเมื่อสังเกตว่าเขาขมวดคิ้วทำสีหน้าสงสัย ใบหน้าคมยิ้มน้อยๆ ดูสนุกสนานเมื่ออยู่ท่ามกลางผองเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทกัน
จริงๆก็ไม่ได้อยากยอมรับว่าอีกฝ่ายหน้าตาดีเท่าไร ถึงไม่ได้มองแล้วสะดุดตาแต่ดูมีสเน่ห์ รอบตัวมีออร่าที่ดึงดูดให้ทุกคนเข้าหาและเข้ากับคนใหม่ๆง่าย ถึงแม้บางครั้งคำพูดจะฟังดูห้วนและกวนไปบ้างสำหรับคนเพิ่งเคยรู้จักกันแต่ก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร เรียกได้ว่าเป็นบุคคลแบบที่เขาไม่ค่อยพบเจอในชีวิต ต่ายเผลอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เปิดหน้าจอมือถือเช็คไลน์และเฟสบุ๊คนิดหน่อย
สัมผัสอุ่นที่แทรกเข้ามาระหว่างนิ้วมือทำให้เขาหรุบตาลงมองมือข้างที่ว่างที่วางอยู่บนตักตัวเองสบายๆที่จู่ๆกลับมีมือปลาหมึกที่ไหนไม่รู้เลื้อยมาเกาะกุม นิ้วแข็งกระด้างสมเป็นมือผู้ชายที่ค่อนข้างสมบุกสมบันบีบกระชับ นวดคลึงมือเขาเล่นอย่างถือวิสาวะทั้งๆที่มืออีกข้างยังคงถือแก้วเหล้า พูดคุยกับคนรอบวงหน้าสลอน ประเด็นร้อนของเขากับเจ้าเด็กนี่ซาลงไปแล้วแทนที่ด้วยเรื่องราวต่างๆในคณะแทน ต่ายไม่ได้ขยับมือหนีแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองนั่นทำให้คนเริ่มได้ใจ จากการสัมผัสเบาๆกลับกลายเป็นกระชับแน่น เกาะกุมราวกับว่ากลัวเขาจะลุกหนีไปไหน
ต่ายยอมรับว่าเขาเคยชินกับการที่นั่งอยู่เงียบๆแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวในขณะที่รอบตัวอึกทึกครึกโครม ภายในจิตใจเขามักรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด รู้สึกเหมือนได้คิดทบทวนในขณะที่เวลาไหลผ่านไปช้าๆ แต่วันนี้แม้เหตุการณ์บางอย่างจะไปซ้อนกับเหตุการณ์ที่เขาเคยเจอแบบเดิม แต่ไอร้อนจากมือใหญ่กว่าของเด็กรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับทำให้เขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และแม้จะนั่งอยู่เฉยๆ แต่ชีพจรกลับเต้นแรงเหมือนคนเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ก็เคยบอกแล้วว่าถ้าหุบปากเน่าๆนั่นไปแล้วเปลี่ยนมาทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์อย่างนี้เขาอาจจะเลิกอคติไปแล้วล่ะ!
.
.
ถนนโล่งจนสามารถขับรถเหยียบคันเร่งได้ฉิวเหมือนช่วงวันหยุดยาวที่สามารถลงไปนอนแพลงกิ้งเล่นกลางถนนได้ นิ้วเรียวขาวสะอาดประดับไปด้วยเล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเคาะเบาๆกับพวงมาลัยรถเป็นจังหวะวินาทีที่สัญญาณเวลารอไฟแดงนับถอยหลัง ตามองไปยังถนนเบื้องหน้าที่ยังคงโล่งเช่นเดียวกันแต่ก็ต้องอดใจรอกฎราจรที่ให้อีกเส้นทางผ่านไปก่อน ไม่นานสัญญาณสีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเขียวตามลำดับ เขาเลี้ยวซ้ายขวาอย่างคนชินทาง ไม่แม้แต่จะมองป้ายบอกทางเท่าไร ไม่นานก็หยุดลงที่หน้าบ้านหลังเล็กของเขา ต่ายเหลือบมองไปซ้ายมือ โชคดีแค่ไหนที่รถมินิคันนี้แม้จะยี่ห้อมินิแต่ขนาดไม่เล็กเหมือนชื่อ เบาะข้างคนขับถูกเอนหลังไปจนสุด คนตัวโตที่เหมือนจะโตแต่ตัวนอนหงายแน่นิ่ง กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งกระจายไปทั่วห้องโดยสารคับแคบจนเขาต้องเปิดหน้าต่างไล่กลิ่นเสียก่อน ใบหน้าเล็กซบลงกับพวงมาลัย เอียงมองร่างที่สลบไม่ได้สติเพราะดื่มมากเกินไป เขาอาจจะผิดที่ไม่ได้ห้าม เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ที่จะผันตัวไปเป็นแพทย์ที่ดีเท่าไร เพราะในเมื่อคนข้างตัวดื่มจนเมาเขาก็ยังไม่ห้ามปราม
นานๆทีก็ไม่เป็นไรหรอก ต่ายคิดอย่างนั้น ปัญหามันอยู่ที่ขั้นตอนต่อไปต่างหาก ตอนขึ้นรถมา พี่รหัสของเจ้าตัวพร้อมกับเพื่อนที่ชื่อโตเป็นคนแบกมาส่งทั้งๆที่ตัวเองดูจะอาการหนักไม่แตกต่างกันเท่าไร หลายคนเริ่มมึนๆพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังดีที่บางคนมีสติครบสมบูรณ์อยู่บ้างจึงตั้องรับผิดชอบนั่งรถไปส่งบ้าง หิ้วเพื่อนไปค้างบ้าง... ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ รู้ว่ายังไงก็ต้องเมาแบบไร้สติ นี่ขนาดไปด้วยยังไม่วายดื่มให้พอเหมาะพอควรกับตัวเองบ้าง ยอมรับนิดนึงก็ได้ว่าเป็นห่วง
งานหนักของเขาไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายจะเมาหรือไม่เมา มันอยู่ที่การแบกร่างยักษ์นี่เข้าไปในบ้านต่างหาก ต่ายถอนใจ ตอนแรกก็กะจะพาไปส่งบ้านหรือหอ พอถามทางเพื่อนของเจ้าเด็กนี่ทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่ต่างพากันหาลิ้นไม่เจอ ไม่ตอบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องอีกต่างหาก ทำไมเขาจะรู้ไม่ทันถึงจุดประสงค์ให้แบกเจ้าหมาตัวโตนี่มาที่บ้านของเขากัน ต่ายถอนใจ ดับเครื่องยนต์ลง
“นี่”
เพราะรู้ว่าแค่สะกิดเบาๆไม่รู้สึกตัวแน่ๆ เขาจึงเขย่าต้นแขนนั้นเต็มแรงหวังจะให้รู้สึกตัวในครั้งเดียว แต่คนตัวโตกลับแค่พลิกตัวไปอีกด้าน เขาพ่นลมหายใจพรืดด้วยความเหนื่อยหน่าย เปิดประตูรถฝั่งคนขับออก ด้วยความรอบคอบเขาจึงเดินไปที่รั้วเพื่อไขกุญแจเสียก่อน จะได้ไม่ต้องทะลักทุเลเปิดประตูตอนที่กำลังแบกร่างยักษ์นั่นเดินเข้าบ้าน
โคตรหนัก ... เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปหรือเปล่าทั้งๆที่ขนาดตัวก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร สงสัยช่วงนี้คงไม่มีเวลาไปออกกำลังกายเท่าไร วันอาทิตย์นี้สงสัยต้องจูงพิซซ่าออกไปวิ่งรอบสวนสาธารณะในหมู่บ้านเสียแล้ว เขาแบกร่างใหญ่ออกมาจากรถ จับแขนพาดบ่า กึ่งเดินกึ่งลากเข้าไปในบ้าน แล้วทิ้งลงที่โซฟาห้องนั่งเล่นอย่างไม่ปราณี แรงกระแทกดังตุ๊บส่งผลให้คนที่ไม่มีสติค่อยรู้สึกตัว เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก ต่ายผละตัวออกไปเช็คความเรียบร้อยด้านนอกเสร็จแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้าน เห็นเจ้าหมาตัวโตที่ค่อยขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วก็ส่ายหน้า เจ้าสี่ขาตัวจริงของบ้านขู่เสียงเบาๆวิ่งวนไปรอบๆเพราะไม่คุ้นกลิ่น จนมือใหญ่นั่นตบลงบนหัวเบาๆจึงค่อยคลานเข้าไปหา เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็น แล้วเดินมาส่งให้คนที่นั่งมึนอยู่บนโซฟา
“เช็ดหน้าเช็ดตาซะ ไหวก็กลับบ้าน ไม่ไหวก็นอนนี่ โซฟานะ” ยื่นผ้าขนหนูให้อีกคนรับไปแต่ก็ไม่รับสักที ต่ายถอนใจเฮือกใหญ่โปะเข้าไปที่ใบหน้าสลึมสลือนั่นอย่างหมั่นไส้
“เอาไปเร็ว ง่วงแล้วจะไปอาบน้ำนอนสักที ... เห้ย”
เกือบไปแล้ว ... แขนเล็กถูกกระตุกอย่างแรง ยังดีที่เขายังทรงตัวอยู่ได้ถึงไม่ล้มลงไปทับและเคราะห์ดีที่อีกฝ่ายไม่กระตุกเขาแรงนัก เขาเผลอปล่อยผ้าขนหนูด้วยความตกใจ พอจะขืนตัวออกอ้อมแขนกว้างก็โอบเข้าที่เอวแน่น นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว ต่ายคิดในใจ เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองอย่างหงุดหงิดที่ไม่ทันลูกไม้ตื้นๆเมื่อเห็นสายตาพราวระยับที่เงยหน้าขึ้นมอง มือเล็กดันใบหน้าให้ถอยห่างจากช่วงท้องของตัวเอง
“พี่ต่ายใจร้าย” เสียงแหบเพราะเพิ่งฟื้นบ่นอู้อี้ แนบหน้าลงกับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด ไม่รู้ทำไมทั้งๆที่พี่ต่ายก็ดื่มไปเหมือนกันแถมนั่งอยู่ในวงเหล้าที่ทุกคนจัดหนักกันขนาดนั้นกลับตัวห๊อมหอม
“ถ้าสำออยแบบนี้ต่อไปจะหาว่าใจร้ายก็ไม่สนใจแล้ว ปล่อยเลย” พ่นลมหายใจพรืด มือนี่ติดกาวตราช้างหรือไงถึงแกะไม่ออกเสียที ติดแน่นทนนานจริงๆ
“นี่ผมเมาอยู่นะ เขาว่ากันว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา แต่ตอนนี้ผมทั้งบ้าทั้งเมาพี่ต่ายโกรธผมไม่ลงหรอก” บาสกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น รั้งคนตัวเล็กกว่าที่พยายามขืนตัวออกอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งพยายามก้าวขาถอยหลังและดันหัวเขาออกโดยไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย
“พูดฉอดๆแบบนี้ไม่เมาแล้ว ปล่อย เห้ย จั๊กจี้”
“ใครว่า ผมยังเมาอยู่ พี่ต่ายไม่เห็นเหรอ” เสียงทุ้มออดอ้อน ไม่รู้ทำไมฟังแล้วมันจั๊กจี้ยิ่งกว่าใบหน้าที่งุดๆที่ซุกอยู่กับพุงเสียอีก
“ผมเมารักพี่ขนาดนี้ พี่ยังไม่เห็นอีกเหรอ...”
แววตาคมที่เคยหยอกเย้าทีเล่นที่จริงอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นออดอ้อนปนน้อยใจ ใบหน้าหล่อที่เงยหน้ามองเขาเหมือนลูกหมาตัวโตที่เว้าวอนขอความรักเสียจนเกือบใจอ่อน ชีพจรเต้นระรัวจนหูอื้อ ตาลายไปหมด นี่เขาไม่ได้เมา แถมมีสติครบถ้วนด้วยซ้ำ แล้วทำไมรู้สึกเหมือนเพดานบ้านมันหมุนๆอย่างไรไม่รู้ ว่าที่คุณหมอพยายามเฉไฉ เสมองไปที่อื่น
“ก็ไม่ใช่ไม่เห็น”
“แล้วเมื่อไรกันพี่ต่าย เมื่อไรพี่จะเปิดใจรับผมเข้าไปสักที” ... รู้มั้ยผมจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
บาสกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อคนในวงแขนยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่านี่เร็วหรือช้าไปที่ถามคำถามนี้ บางทีอาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้เขาขาดความชั่งใจหลายๆอย่าง จริงอยู่ที่เขามักจะหยอกล้อพี่ต่ายอยู่เสมอ ทำเหมือนไม่คิดอะไรลึกซึ้งทั้งๆที่ในใจเขาคิดทบทวนการกระทำทุกอย่างจนเหมือนคนคิดมาก เขากลัวว่าถ้าเกิดทำอะไรล้ำเส้นมากเกินไป จะถูกพี่ต่ายผลักไสออกไปจนไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
นี่เขาคิดเยอะเกินไปหรือเปล่า หรือที่พี่ต่ายนิ่งไปแบบนี้เพราะไม่พอใจกันแน่ เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเนียนของคนที่แก่กว่าเขาเกือบสองปี เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขมวดคิ้วมุ่นก็ค่อยโล่งใจ มือเรียวที่ผลักไสเมื่อครู่ค่อยคลายลง เลื่อนไปสางเส้นผมด้านหลังช้าๆ
“ไม่เคยคิดเหรอว่าทำไมถึงได้ยอมให้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตแบบนี้ ...”
เสียงนุ่มพูดด้วยโทนต่ำจนเขาชักไม่แน่ใจว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์ไหน แต่สายตาวาวที่ก้มลงประสานก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นเป็นกอง
“ไม่เคยคิดเหรอว่าทำไมถึงได้เข้ามานั่งอยู่ในบ้านหลังนี้ทุกวัน ...”
แน่นอกเหมือนหัวใจที่ห่อเหี่ยวมันพองฟูฟ่อง ... แต่เขาไม่อยากคิดไปเองอีกแล้ว เขารู้ว่าหลังๆมานี้อีกฝ่ายยอมเขามากขึ้นไม่ขัดเหมือนแต่ก่อน แต่เขาไม่อยากคิดไปเอง ... ไม่อีกแล้ว
“แล้วไม่เคยคิดเหรอว่าทำไมวันนี้ถึงตามไปด้วย ทั้งๆที่ปกติฉันไม่ค่อยไปสถานที่แบบนั้น ...”
รู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน เสียงที่จะเปล่งคำพูดตอบมันหายไปหมด ใช่หรือเปล่า ใช่แบบทีเขาคิดใช่ไหม “พี่ต่าย ...”
คนถูกเรียกชื่ออือในลำคอ มือเย็นบีบนวดขมับของลูกหมาที่กลายร่างเป็นลิงตัวใหญ่ให้ผ่อนคลายข้างหนึ่ง อีกข้างคลึงเบาๆที่ท้ายทอยตึงเครียด
“คิดได้หรือยัง” เอ่ยถามเสียงแผ่ว รู้สึกถึงอ้อมแขนที่รัดแน่นค่อยคลายออกข้างหนึ่ง
มือใหญ่กว่าเลื่อนมาจับที่ข้อมือจนร้อนวาบ เขาไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้อีกฝ่ายบีบข้อมือเขาจนเจ็บ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แรงกำมือค่อยคลายออกราวกับว่าเมื่อครู่จะตอกย้ำว่าได้สัมผัสที่ผิวเนื้อตรงนั้นจริงๆ ร่องรอยยังแดงเป็นห้อเลือดเมื่อคลายออก ยังไม่ทันจาง ริมฝีปากร้อนก็ตามประทับแผ่วเบาราวกับจะขอโทษที่ทำรุนแรง ต่ายรู้สึกหัวใจกระตุก มือสั่นน้อยๆเมื่อได้รับสัมผัสคุกคามแบบนี้เป็นครั้งแรก ริมฝีปากอุ่นกดย้ำเบาๆ เลื่อนจูบไปทั่วหลังมือ ไล่ไปที่ปลายนิ้วทีละนิ้วจนครบ เลือดลมร้อนไหลเวียนขึ้นใบหน้าเสียจนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม
บ้าจริง ... ทำแบบนี้รู้บ้างไหมว่าเขาจะแย่แล้ว
ฝ่ายมือถูกพลิกหงาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยกดจูบย้ำหนักแน่นที่ฝ่ามือขาวที่ถูกฟอนเฟ้นจนร้อน ต่ายรู้สึกเหมือนจุดรวมของเส้นประสาททั้งร่างกายไปกระจุกรวมกันที่ฝ่ามือ สายตาที่ช้อนมองดูมีพลังอย่างร้ายกาจเสียจนเขาแทบจะเข่าอ่อน เขาแน่ใจว่าตัวเองเป็นคนเข้มแข็งกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ยอมอะไรง่ายๆ แต่เมื่อเจอสายตาแบบนั้นแล้วเขารู้สึกเหมือนเห็นลูกหมาตัวโตๆที่มันอ้อนขอจะเอาอะไรเขาก็ยอม
“พี่ต่ายรู้ไหม ว่าทั้งใจของผมอยู่ในมือน้อยๆข้างนี้ของพี่แล้ว” ใบหน้าคมแนบเข้ากับฝ่ามือเล็ก แต่ก่อนเขายังลังเล คิดล่วงหน้าไปในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง พยายามที่จะทำให้พี่ต่ายรู้สึกว่า ถึงเขาจะเด็กกว่าแต่เขาก็สามารถดูแลอีกฝ่ายได้
“ผมให้พี่ ให้ไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจบอกพี่วันนั้นว่าผมจริงจัง...” อ้อมแขนอีกข้างที่ยังคาอยู่ที่บั้นเอวค่อยคลายออก จับมืออีกข้างของอีกคนที่ยังว่างมาแนบเข้ากับใบหน้าตัวเองทั้งสองข้าง
“ผมรู้ว่าผมเป็นคนขี้ขลาด ผมไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง ผมรู้แค่ผมชอบพี่ ... ชอบมากจริงๆ” เสียงทุ้มแผ่วเบาจนแทบกระซิบนั้นเว้าวอนโหยหาจนแทบเข่าอ่อน ไม่รู้ทำไม แต่ต่ายเองก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาด ...
ขี้ขลาด ที่เขาไม่ยอมรับความจริงเสียที
เหมือนเรี่ยวแรงตัวเองหดหาย ต่ายทรุดลงยืนเข่า โชคดีหรือไม่ดีไม่รู้ที่ความสูงไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรนัก ระดับใบหน้าของเราถึงได้ไม่ห่างกัน ประสานสายตากับอีกคนที่มีแววลังเลไม่น้อย ผิดกับยามปกติที่เจ้าตัวมักจะส่งสายตาฉายแววมั่นใจ หยอกเย้าและตรงไปตรงมาอยู่เสมอ
“พี่ต่าย ... ผมรอได้นะ” เสียงทุ้มสั่น ค่อยๆเค้นเสียงพูดเมื่อเขาทอดมอง ผู้ชายตัวโตแบบนี้ดูเหมือนเป็นเด็กชายตัวเล็กๆได้เมื่อไรกันนะ
“ไม่จำเป็น”
ตอบชัดเจน เขาเห็นแววตานั้นไหววูบเล็กน้อย จ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ บางทีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นี่ก็ดีเหมือนกัน ทำให้คนอ่อนลงได้ขนาดนี้เวลาเห็นสายตาแบบนั้น
“ไม่ต้องรอแล้ว ... เพราะฉันก็จะไม่รอเหมือนกัน”
ความคิดเห็น