ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {YAOI} เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช็อปวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #12 : Take #12

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 57


    #12


    กัดเล็บหน้าบึ้งเป็นยักษ์

     

    ปราชญ์แซวเพื่อนที่นั่งทำหน้ามุ่ย ฟันคมๆแทะเล็บตัวเองเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ จะว่าเครียดเรื่องเรียนก็คงไม่ใช่ประเด็นหลักเพราะเพิ่งได้รายงานกลับคืนมาจากอาจารย์หมอพร้อมคอมเมนต์ที่ว่าบันทึกได้ค่อนข้างละเอียดและเข้าใจง่าย อีกอย่างต่ายไม่ใช่คนที่มีปัญหาหนักเรื่องการเรียนเท่าไรตั้งแต่รู้จักกันมา เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ใช้ชีวิตมีระเบียบอย่างกับพ่อแม่เป็นครูโหดๆตามโรงเรียนรัฐบาล แบบนี้ก็เหลืออยู่เรื่องเดียวแล้ว

     

    น้องมันไม่มาส่งหรือไงถึงทำหน้าแบบนี้

     

    ต่ายตวัดตามองเพื่อนปากดีที่ลอยหน้าลอยตาเดินเข้ามาในห้องพักแพทย์ วันนี้กลุ่มเขาทั้งสามคนโชคดีที่ได้ขึ้นวอร์ดเวลาเดียวกันซึ่งโอกาสนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยนักเพราะถึงแม้จะสนิทกันแต่ทั้งสามคนก็เลือกวิชาเลือกพิเศษต่างกันหมด

     

    ปากหรือตูดวะ พูดออกมาแต่ละคำ ต่ายกระชากเสียง พูดให้มันดีๆหน่อย

     

    ใบหน้าเนียนบึ้ง เบะปากไม่พอใจเพื่อนที่แซวไม่รู้เรื่อง ปราชญ์แค่นหัวเราะในลำคอ เรื่องพี่หมอต่ายของน้องบาสไปสะดุดที่ลานเกียร์เป็นประเด็นกันให้เมาท์ไปเป็นอาทิตย์แน่ๆ ดังมายันตึกแพทย์ ดีแค่ไหนที่คณะเรากระจายข่าวกันช้าเพราะแต่ละคนไม่เคยว่างมานั่งฟังเรื่องของคนอื่นนอกจากคนไข้ที่ตัวเองรับผิดชอบ

     

    คนเพิ่งมาใหม่วางกระเป๋าสะพายข้างที่เต็มไปด้วยหนังสืออ้างอิงและเอกสารแน่นเอี๊ยดแทบจะไม่มีที่ว่าง ไหล่แทบจะทรุด รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากบ่า ผีชัตเตอร์ที่มันขี่คออยู่ก็คงหายไปด้วย บิดคอซ้ายขวาคลายความเมื่อยขบแล้วนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ปราชญ์นั่งหันหน้าเข้ากับพนักพิงเหล็กของตัวเก้าอี้ ท้าวคางมองเพื่อนที่นั่งกอดอกหน้ามุ่ย

     

    กูไม่รู้เรื่องตำนานวิศวะอะไรนั่นลึกซึ้งแต่มันก็ดูเหมือนจะดังอยู่นะต่าย ลานเกียร์ของคณะวิศวะม.เรามีความเชื่อว่าถ้าใครสะดุดจะได้แฟนเป็นเด็กวิศวะ แล้วมึงก็ไปซุ่มซ่ามที่ไหนไม่ไปนะ

     

    ถ้ามึงทำนายสถานที่ๆตัวเองจะสะดุดได้มึงก็เทพลงมาจุติแล้วปราชญ์ ก้าวขาผิดคิดจนตัวตายจริงๆ

     

    จริงๆเรื่องสะดุดหรือไม่สะดุดมันไม่เป็นประเด็นขนาดนี้หรอก มันแค่เหตุการณ์ที่ส่งเสริมกัน เรื่องของเรื่องที่เป็นประเด็นที่แท้จริงคือที่น้องมันมาตามจีบ ตามรับ ตามส่งมึงมากกว่าว่ะ ตอนแรกๆพวกกูก็เฉยๆ ยอมรับว่ามีเคืองมึงบ้างแต่หลังๆนี่กูว่ามันไม่ใช่ โน้ตไลน์มาโวยวายกับกูว่าวันนั้นมันเห็นน้องมันขับรถมาส่งมึงและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน มึงขึ้นรถน้องมันไม่ใช่รถมึงเอง อะไรทำให้มึงถลำตัวไปมากเท่านี้วะต่าย

     

    มันมาของมันเอง ต่ายถอนใจ เปิดขวดน้ำเปล่ายกขึ้นดื่มช้าๆ

     

    ถึงมันมามึงก็เลือกที่จะไม่ไปกับมันได้ มึงเป็นคนที่เด็ดขาดมากกว่านี้นะเท่าที่กูจำได้ ปราชญ์ส่ายหน้าขำๆ รู้สึกยิ่งไล่เบี้ยเพื่อนคนนี้เท่าไรมันยิ่งวกกลับที่เดิม มันไม่มีคำตอบให้เขา จริงๆก็อาจจะไม่มีคำตอบให้ใคร กระทั่งไอ้เด็กวิศวะคนนั้นด้วยการจะเค้นหาคำตอบจากคนที่ไม่มีคำตอบให้เรานี่มันยากชิบหายเลยเว้ย

     

    ชอบน้องมันหรือยัง

     

    รำคาญมากกว่า

     

    แต่พอน้องมันไม่มามึงจะหงุดหงิดทำไมถ้ามึงบอกว่ารำคาญ ปราชญ์ลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวข้างๆเพื่อน บีบไหล่เบาๆ ใบหน้าเรียวมีสีหน้าว้าวุ่น ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องคิดมากเรื่องนี้ เปิดใจสักหน่อยก็ดี กูแนะนำในฐานะเพื่อนคนนึง

     

    ต่ายถอนใจรอบที่ร้อยของวัน ยักไหล่ให้เพื่อนสนิท ตั้งแต่รู้จักปราชญ์มาเพื่อนคนนี้เป็นคนที่มีเหตุผลและดูเป็นผู้ใหญ่อยู่แสมอ บางทีอาจจะเพราะมันเป็นลูกคนโตสุดของบ้านที่มีพี่น้องห้าคน แถมพ่อยังเสียตั้งแต่มันอยู่ม.ต้น พี่ใหญ่ที่ต้องแบกรับหน้าที่ดูแลน้องตัวเล็กๆและดวงใจเพียงหนึ่งเดียวของบ้านอย่างมันมีความคิดกว่าเขาเยอะ ถึงแม้มันจะปากจัดและเอาจริงเอาจังกับชีวิตจนน่ารำคาญไปบ้างก็เถอะ ต่ายพิงพนักเก้าอี้ราวคนหมดแรง ศีรศะซบกระแทกเบาๆกับช่วงบ่ากว้างของเพื่อนราวกับต้องการที่พักพิง

     

    ขอบใจ เขาบ่นพึมพำเบาๆ ปราชญ์ยกมือขึ้นมาขยี้เส้นผมนุ่มนิ่มแรงๆ

     

    เอาน่า มึงจะเดินทางไหนก็ไม่ผิดหรอกตราบใดเท่าที่มึงไม่ไปฆ่าคนตาย ไม่ติดยา เรียนจบได้เกียรตินิยมและที่สำคัญไม่ทำคะแนนแซงหน้าพวกกู

     

    เชี่ย ต่ายหัวเราะขำกับข้อหลัง 

     

    ประตูห้องพักถูกเปิดโพล่งเข้ามาพร้อมกับร่างของหนุ่มตี๋ตัวเล็กที่สวมแว่นตาที่ใหญาตามแฟชั่นจนปิดบังใบหน้าไปเกินครึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เจ้าตัวแบกเอกสารเข้ามาสองสามแฟ้ม วุ่นวายอยู่กับการก้มหน้าก้มตากับแทบเล็ตจอใหญ่ของตัวเอง คนมาใหม่เงยหน้ามองช้าๆ ดวงตาเล็กเบิกกว้างอย่างตกใจ

     

    ที่มึงจริงจังกับเรื่องไอ้น้องบาสเพราะมึงเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อใช่มั้ยไอ้ปราชญ์

     

    ปากกาลูกลื่นที่เสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ถูกขว้างเต็มแรงไปหา โน้ตหัวเราะเอิ้กอ้าก ก็ท่าทางของทั้งสองคนที่นั่งซบกันมันน่าแซวเสียนี่ จริงๆแล้วถ้าเขามีไลน์หรือช่องทางการติดต่อไอ้น้องบาสนั่นน่าจะแอบถ่ายหยอดไปส่งมันรูปสองรูป รับรองวิ่งแจ้นจากตึกวิศวะมาที่โรงพยาบาลนี่ภายในสิบนาที

     

    เออไว้ครั้งหน้าแอบขอไว้ดีกว่า นี่กูกำลังขายเพื่อนอยู่หรือเปล่าวะ ...

     

    แล้วนี่ออกเวรพร้อมกันหรือเปล่า โน้ตถามขึ้น วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ รับขวดน้ำเปล่าใหม่เอี่ยมที่ต่ายส่งมาให้

     

    ถ้าไม่มีอะไรฉุกเฉินก็สักสองทุ่ม ต่ายตอบพร้อมหยิบมือถือที่กำลังสั่นระรัว เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามายิ่งแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรเข้ามา เล่นกันแต่ไลน์เนี่ยแหละ

     

    ปราชญ์ที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาชัดแจ๋ว เจ้าตัวยิ้มมุมปากพร้อมลุกขึ้น ตบบ่าบางเบาๆ โน้ตไปห้องน้ำกับดูหน่อยดิ

     

    อะไร กูเพิ่งเข้ามา ขอนั่งพักหน่อยนี่แว้บมานั่งระหว่างทาง โน้ตพูดทั้งๆที่ยังหลับตา เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้

     

    เถอะน่า กูกลัวผี ปราชญ์เร่ง ดึงแขนเพื่อนที่ยกขึ้นมาโบกไล่ให้ลุกขึ้นเต็มแรง จนมันอุทานออกมาอย่างตกใจ

     

    เชี่ย มึงกลัวผีห่าอะไรนี่กลางวันแสกๆแถมตอนเรียนกับอาจารย์ใหญ่มึงคงเป็นคนเดียวในเซคที่ไม่เจอดี แถมไม่เห็นเหี้ยอะไรทั้งนั้นอีก ผีต่างหากที่กลัวมึง เว้ย อย่าลากกู

     

    เสียงโวยวายของเพื่อนสนิททั้งสองคน (ที่จริงควรจะบอกว่าแค่โน้ตคนเดียวมากกว่า) แผ่วไปแล้ว เพราะเมื่อออกจากห้องพักก็ต้องสลัดคราบแสบๆกลับไปเป็นนักศึกษาแพทย์ตามปกติและเขตโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง ต่ายรอมันสั่นอีกสองสามครั้งถึงกดรับ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องด่วนอะไรให้คนที่แทบไม่เคยจะคุยกันผ่านโทรศัพท์เลยโทรเข้ามาหาวันนี้ แถมกะเวลาถูกอีกต่างหากว่าเขาพักช่วงนี้พอดี 

     

    มีอะไร กรอกเสียงถาม

     

    (พี่ต่ายยยยย ออกเวรกี่โมงครับ) เสียงทุ้มถามอย่างร่าเริงจนคนฟังแอบลอบยิ้มมุมปาก แล้วก็ต้องหุบอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัว

     

    สักสองทุ่มได้ เขาตอบเสียงนิ่ง มือลูบผมสั้นบริเวณท้ายทอยเล่น เสียงผ่านโทรศัพท์ฟังดูต่างจากเสียงจริงนิดหน่อย ไม่ชินเลย แต่ก็ ... ดี เฮ้ย ไม่ใช่ นี่เลิกเรียนแล้ว?”

     

    (เลิกแล้วครับ นี่สี่โมงกว่าล่ะ พี่ต่ายอยากกินไรไหม เดี๋ยวผมซื้อเข้าไปให้ตอนเลิก)

     

    ยังไม่รู้ เดี๋ยวเลิกแล้วค่อยไปกินก็ได้

     

    (แหะๆ คือวันนี้อาจจะไม่อยู่กินข้าวด้วยน่ะพี่ต่าย เดี๋ยวผมไปส่งพี่ต่ายที่บ้านแล้วจะไปก๊งกับเพื่อนนิดหน่อยอะ)

     

    หึ เลยโทรมาใช่มั้ย?”

     

    (... พี่ต่ายโกรธเปล่า? กลัวไลน์ไปแล้วคุยไม่รู้เรื่องอะ แล้วอีกอย่างคือแบบ ... ก็ไม่เคยโทรหาเลย อยากได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์บ้างนี่)

     

    ต่ายจิกมือขยำกับขากางเกงสแลคสีดำแน่น ไม่กลัวเป็นรอยยับ รู้สึกไอร้อนที่แล่นขึ้นมาบนใบหน้าจนเห่อแดง คิดในใจว่า ไอ้เด็กบ้านี่ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาบรรยายแล้วนะเว้ย ทำไมต้องมาคิดเหมือนกันด้วย !

     

    ประสาท จะโกรธทำไม ไม่ต้องซื้ออะเดี๋ยวกลับไปกินฝีมือป้านวล

     

    (จริงนะพี่) ตอบเสียงเริงร่าจนต่ายชักจะหมั่นไส้ตะหงิดๆ

     

    เออ ไม่ต้องมารับก็ได้เดี๋ยวกลับแทกซี่ จะได้ไม่ต้องไปๆมาๆ วุ่นวาย

     

    (ไม่วุ่นวายเลยพี่ แค่ได้เจอพี่ต่ายสำหรับผมไม่มีทางวุ่นวายอะ นี่เต็มใจ วันนี้แอคซิเดนท์จริงๆ พวกพี่โก้มันลากไปด้วยเห็นว่าไปฉลองที่โปรเจคมันรอบเดียวผ่าน เลยโทรมาบอกพี่ก่อนว่าคงไม่ได้แวะไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับพี่เลยวันนี้)

     

    แสงเทียนบ้าไร เห็นแต่แสงไฟริมถนนข้างทาง กับซาวน์แบคกราวน์เสียงรถบีบแตร

     

    บาสหัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงดัง (ได้บรรยากาศดีออกนะพี่ ของอร่อยไม่เห็นต้องอยู่บนห้าง)

     

    ก็ไม่ได้ว่าไม่ชอบ...

     

    ต่ายหมุนขวดน้ำเปล่าที่หมดแล้วเล่นเพลินๆ ขบริมฝีปากล่างเบาๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของคนที่เดินผ่านหน้าห้องไปก็ต้องสะดุ้ง มองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เพื่อนของเขาที่เข้าเวรก่อนหน้าทยอยมาพักแล้วถือว่าเป็นเวลาสลับเวรที่เขาจะต้องออกไปทำหน้าที่บ้าง ร่างโปร่งลุกขึ้นบิดคอไล่ความเมื่อยงบสองสามครั้ง ปัดเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่เช็คความเรียบร้อยเล็กน้อย

     

    หมดเวลาพักแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยแล้วกัน ต่ายตัดบทสั้นๆ ได้ยินอีกสายตอบรับในลำคอเบาๆ

     

    (ครับ สู้นะพี่ เดี๋ยวผมไปนั่งรอที่ร้านเดิมนะ)

     

    อือ ต่ายกำลังจะกดปุ่มตัดสาย

     

    (เดี๋ยวพี่!)

     

    เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้เขาขมวดคิ้ว ยกขึ้นแนบหูอีกครั้ง มีอะไรอีก

     

    (คือ ... หลังจากนี้ผมจะโทรหาพี่ได้ไหม สำหรับผมยิ่งไลน์ยิ่งไกล ไม่เห็นจะใกล้เหมือนโฆษณา)

     

    น้ำเสียงกึ่งลังเลกึ่งออดอ้อนที่พูดผ่านสายโทรศัพท์ทำเอาต่ายอ้ำอึ้ง ก้มต่ำมองปลายเท้าตัวเอง จะว่าไปโดนเจ้าเด็กนี่หยอดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มีภูมิต้านทานทุกครั้งไป ทำไมช่วงนี้รู้สึกตัวเองแอนติบอดี้ลดต่ำลงนัก เม็ดเลือดขาวหยุดสร้างกะทันหันหรือไงกันใบหน้าถึงแผ่ซ่านไปด้วยเลือดฝาดจนร้อนแบบนี้

     

    “...”

     

    (พี่ต่าย...)

     

    “... ถ้าว่างจะรับแล้วกัน ต่ายแทบกัดลิ้นตัวเอง แต่ประโยคที่หลุดออกไปแม้จะแผ่วเบาแต่เขาแน่ใจว่าปลายสายนั้นได้ยินชัดเจน

     

    (ครับผม! พี่ต่ายไปเข้าเวรเถอะเดี๋ยวผมไปรับนะ เจอกันครับ)

     

    ปลายสายตัดไปเรียบร้อยแล้ว ว่าที่คุณหมอเหม่อมองหน้าจอไอโฟนระบุเวลาที่ใช้ในการคุยจากนั้นค่อยๆดับไปอัตโนมัติ เสียงฝีเท้าหนักๆเรียกสติที่ล่องลอยไปไหนไม่รู้ของเขากลับมาอีกครั้ง ลูกบิดประตูขยับพร้อมๆกับบานประตูที่เปิดออกโดยเพื่อนของเขาทั้งสองคน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าสายตาสองคู่นั้นมองมาพร้อมอมยิ้มแปลกๆ ปราชญ์เบะปากอย่างเบื่อหน่ายจนเขาแทบอยากจะโยนแฟ้มเอกสารใส่ด้วยความหมั่นไส้

     

    ส่องกระจกหน่อยไหมมึง เพื่อนตัวโตถามขึ้น

     

    ทำไม...

     

    โน้ตเดินมาซ้อนหลังดันไหล่เขาไปยังกระจกบานเล็กที่ถูกติดอยู่กับผนังกำแพงสีขาวในห้องพักเอาไว้เช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนออกจากห้อง บางทีบรรดานักศึกษาแพทย์ที่มาใช้ห้องต่างที่นอนก็ตื่นมาหัวยุ่งเหยิงจนผมเผ้าดูไม่ได้ต้องจัดการตัวเองก่อนออกจากห้อง เรียกได้ว่าเป็นหมอต้องจำเป็นที่จะเนี้ยบทุกระเบียดนิ้ว

    ต่ายถูกดันมาส่องกระจก ใบหน้าเนียนมองเงาของตัวเองซ้ายขวาแล้วก็งงว่าเพื่อนเขามันจะให้เขามาส่องทำไม ผมเผ้าก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร แถมใบหน้าเขาก็ไม่มีร่องรอยอะไรที่ดูไม่ดีเสียหน่อย

     

     

    ต่ายเห็นอะไรไหม โน้ตถามขึ้นจากด้านหลัง มองเพื่อนผ่านกระจก

     

    ต่ายส่ายหน้าตอบเบาๆด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย

     

    แหม เลือดลมเดินดีจนแก้มแดงแป๊ดเหมือนคนไปวิ่งร้อยเมตรแถมหน้าบานเป็นจานแบบนี้ยังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีก โบกแป้งหน่อยไหมหน้าจะได้กลับไปขาววอกเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ

     

    ต่ายรู้สึกเหมือนเส้นทั้งร่างจะกระตุกโดยเฉพาะตรงส่วนขาขวา เขาหันกลับไปไล่ถีบเพื่อนที่ตัวเล็กกว่า โน้ตเหมือนจะรู้ตัวว่าร่างกายกำลังจะโดนประทุษร้ายเลยรีบโดดเหยงๆไปหลบหลังปราชญ์ ต่ายยกยิ้ม

    มึงคิดว่าหลับหลังคนตัวใหญ่กว่าจะรอดเหรอ ไม่ต้องนิ่งไอ้ปราชญ์ มึงก็ด้วย

     

    เขาไล่เตะขาเพื่อนไปคนละทีแล้วเหมือนได้ระบายอารมณ์ส่วนหนึ่งออก เห็นพวกมันสองคนปัดฝุ่นออกจากขากางเกงแล้วค่อยรู้สึกสะใจเหมือนอย่างน้อยก็ได้เอาคืนบ้าง เขาเดินไปกดแอลกอฮอล์ล้างมือ ถูเบาๆกับฝ่ามือทั้งสองข้างจนมันระเหยออกไปหมด เหลือบมองหน้าตัวเองในกระจก

     

    สงสัยช่วงนี้ภูมิต้านทานไวรัสเด็กวิศวะต่ำจริงๆ immune system (ระบบภูมิคุ้มกัน) เค้าพังไปหมดแล้วหรือไงนะ ที่ตลกก็คือเขาไม่รู้เหมือนกันว่าวัคซีนตัวไหนมันจะช่วยกู้ให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิมเนี่ยแหละ

    .

    .

    รถมินิคูเปอร์ไซส์ใหญ่กว่าสากลนิยมเทียบเข้าที่หน้ารั้วเหล็กของบ้านที่ปิดไฟมืด ยกเว้นหน้าประตูบ้านที่ยังมีแสงจากโคมไฟหน้าบ้านให้ความสว่างอยู่นิดหน่อย คนขับรถมองเข้าไปภายในเห็นเงาตะคุ่มเล็กๆของยามเฝ้าบ้านสี่ขาที่ผงกตัวขึ้นเพราะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก่อนวิ่งลอดประตูเล็กออกมาหน้ารั้วบ้าน กระโดดโลดเต้นส่งเสียงทักทายอย่างร่าเริงทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงจากรถ บาสหัวเราะในลำคอ แยกเขี้ยวใส่ผ่านกระจกก่อนหันมามองคนข้างตัวที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก เขาจึงหันไปหยิบกระเป๋าและหนังสือของอีกฝ่ายให้อย่างรู้งาน ต่ายเห็นแบบนั้นจึงเปิดประตูเดินลงไปเปิดรั้วบ้านให้เจ้าพิซซ่าที่สะบัดหางพั่บๆรออยู่แล้วกระโดดออกมาพันแข้งพันขาทันที เห็นแบบนี้พิซซ่าเป็นสุนัขที่หวงบ้านพอสมควรเพราะมันจะออกนอกเขตรั้วบ้านในเวลาที่เขาอยู่ด้วยหรือคนคุ้นเคยอย่างป้านวลพาออกไปเดินเล่นเท่านั้น ถึงจะซนแต่อย่างน้อยมันก็ไม่เคยหายออกไปนอกบ้านให้เขาไม่สบายใจเลยสักครั้ง หรือแอบออกไปแล้วกลับมาก่อนก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาเดินนำเข้าไปภายในบ้าน ไล่เปิดไฟบางดวงหน้าประตูบ้านให้รู้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้กลับมาเรียบร้อยแล้วก่อนไขกุญแจเข้าไปภายในตัวบ้านช้าๆ ต่ายย่อตัวลงลูบหัวเล็กของพิซซ่าเบาๆ มันเห่าสองสามครั้งเบาๆพร้อมกับครางในลำคอ แล้วโดดขึ้นไปนั่งเล่นบนโซฟาที่ประจำ

     

    บาสถือทั้งกระเป๋าและหนังสือของว่าที่คุณหมอเข้ามาในบ้าน มืออีกข้างถือถุงบัวลอยไข่หวานที่เขาแวะซื้อมาให้ก่อนแวะไปรับ เขาวางทุกอย่างลงบนโต๊ะตัวเตี้ยในห้องรับแขก โดดเข้าไปฟัดพิซซ่าที่ผงกหัวตั้งท่ารับแบบเดิมทุกครั้ง เสียงหัวเราะของทั้งคนและหมาดังลั่น บาสขยี้หัวมันเบาๆ ดึงหูเล่นจนมันวิ่งไล่งับมือวนเป็นวงกลม ฟันคมๆของมันงบลงบนข้อมือเบาๆให่ได้รอยแดงเมื่องับโดนในที่สุด

     

    กัดเหรอห๊ะ บาสโวยวาย จับตัวมันก้มลงฟัดพุงนิ่มๆ ต่ายรู้สึกเหมือนเห็นเจ้าหมาบีเกิ้ลตัวเล็กของเขาโดนเจ้าหมาโกลเด้นตัวโตฟัดจนมันกระเสือกกระสนจะหนีแล้วก็ต้องถอนใจ ดีดมือส่งเสียงเบาๆ เจ้าพิซซ่าก็กระโดดผึง สลัดจากคนตัวโตมาหาเขาทันที

     

    จะไปตอนไหน ต่ายถาม มือลูบหัวลูบหลังสุนัขที่นอนนิ่งอยู่บนตัก หางของมันสะบัดไปมาจนโดนแขนเขาเบาๆ มันขู่แฮ่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงื้อมือขึ้นมาจำขยำมันอีกรอบ

     

    แหม รีบไล่จังเลยอะ บาสเงยหน้าบ่นอุบอิบน้อยใจ นั่งอยู่บนพื้น แหย่พิซซ่าที่นอนอยู่บนตักเจ้าของที่นั่งพิงโซฟาหลังโซฟาสบายๆ

     

    นี่มันก็มืดแล้ว ต่ายเบ้ปากไปที่นาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาเกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว

     

    ป่านนี้ร้านยังไม่มีคนเข้าเลยพี่ รีบไปไหน ผมว่าจะนั่งดูพี่กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วไปเนี่ย มือใหญ่แอบดึงหางสั้นๆของเจ้าหมาน้อยเล่น จนมันขู่ฟ่อ บาสรู้ว่ามันไม่ได้โกรธหรอก คงรำคาญเสียมากกว่า สนุกดี

     

    พอได้แล้วเดี๋ยวมันก็งับเข้าให้หรอก ต่ายดึงมือใหญ่กว่าที่กำลังวุ่นวายกับหางพิซซ่าออก เขากลัวว่าเดี๋ยวอยู่ๆมันอารม์เสียขึ้นมาจะกระโดดงับหน้าของเจ้าคนขี้แกล้งที่อยู่ห่างจากปากมันไม่ถึงคืบ ต้องเสียค่ารักษาให้อีก ไม่ใช่เด็กนะที่ต้องนั่งเฝ้าว่ากินข้าวหมดหรือเปล่า

     

    มือเล็กของว่าที่คุณหมอที่ดึงมือของอีกคนออกถูกรวบกุมด้วยมือใหญ่กว่าอย่างไม่ทันตั้งตัว ต่ายจิ๊ปาก รู้สึกตัวเองพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจริงๆ ต่ายพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุมนั้น แต่กลับถูกบังคับให้ไปแนบกับใบหน้าของอีกคน ใบหน้าคมซุกเข้ากับมือนุ่ม เชยตามองคนที่นั่งสูงกว่าพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น

     

    ก็ผมเป็นห่วง

      

    บ้า

     

    บ้า

     

    ไอ้เด็กบ้า !

     

    บ้าจริงๆที่ทำหน้าเขาร้อนผ่าวได้ขนาดนี้ ต่ายกัดริมฝีปากแก้เขิน วันนี้รู้สึกว่าอุณหภูมิตัวเองร้อนๆหนาวๆราวกับคนจะเป็นไข้หวัดอย่างไรอย่างนั้น จังหวะชีพจรเต้นแรงขึ้นจนเขากลัวว่ามันจะหลุดออกมานอกอก

     

    จะไปไหนก็ไปเลย รีบไปเลย ต่ายดันหน้าอีกฝ่ายทิ้ง มือเล็กสั่นน้อยๆ เขากลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าก้มตาลูบหัวลูบหลังเจ้าพิซซ่าเอาเป็นเอาตาย เจ้าหมาน้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นที่ระบายอาการแก้เขินของเจ้านายนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข คงคิดในใจว่าวันนี้เจ้านายเอาใจใส่มันเป็นพิเศษ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆจึงนอนนิ่งปล่อยให้เจ้านายมันระบายอารมณ์ต่อไป

     

    บาสหัวเราะหึหึในลำคอ ใบหน้าคมยิ้มกว้างเมื่อเห็นกิริยาตอบรับของอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าตอนนี้เรื่องทุกอย่างกำลังไปด้วยดี อย่างน้อยมันก็คืบหน้าไปมากกว่าเดิมเยอะ ... ใจอ่อนหรือยังนะ เริ่มจะชอบผมบ้างไหมพี่ต่าย   

     

    บอกแล้วว่ารอพี่ต่ายกินเสร็จก่อนเดี๋ยวผมไป กินตรงนี้มั้ยเดี๋ยวผมไปเทใส่จานให้ ป้านวลทำอะไรให้พี่กินน้าวันนี้ เขาลุกขึ้นพรวด เดินไปทางห้องครัวแล้วเปิดไฟจนสว่างโร่ ต่ายได้ยินเสียงเปิดตู้เย็นแล้วปิดลง เสียงกล่องอาหารถูกเปิดดังแกร๊กก่อนเอาเข้าไมโครเวฟ เขาเพิ่งรู้สึกว่าบ้านเงียบไป เงียบจนรู้ว่าอีกคนทำอะไรอยู่ในห้องครัว กระทั่งเสียงฮัมเพลงเบาๆเขาก็ยังได้ยิน มือเรียวจึงหยิบรีโมทที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านหน้าเปิดทีวีทำลายความเงียบ

     

     

    เขารู้สึกว่าหากได้ยินเสียงแบบนั้นต่อจินตนาการของเขามันจะบรรเจิดจนเกินไป เขานึกออกกระทั่งเรื่องที่อีกคนมักจะยืนรอไมโครเวฟที่กำลังอุ่นอาหารท่าไหน หลับตาฮัมเพลงอะไร และแสดงสีหน้าอย่างไร ... นี่เหมือนเราจะใกล้กันมากไปแล้วด้วย ต่ายรู้สึกเหมือนอาณาเขตถูกรุกรานจนมาประชิดที่เมืองหลวง เด็กหนุ่มรุ่นน้องวิศวะที่บังเอิญเจอกันที่โรงพยาบาล เจ้าของเสื้อช๊อปสีเข้มที่ทุกครั้งที่เขาเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อตื่นมามันมักจะคลุมอยู่บนตัวเขาไม่ให้อากาศเย็นมากระทบตัวจนสะดุ้งตื่นเพราะความหนาว เจ้าของเสียงทุ้มที่ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก หยอดทุกครั้งที่มีโอกาส แรกๆเขาก็รำคาญ นานไปไม่รู้ว่าตัวเองปลงหรือยอมรับกลายๆไปแล้วว่าทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน... เขารู้สึกดี

     

    เฮ้ย! ไม่ใช่ สนุกดีต่างหาก ต่ายส่ายหน้าแรงๆขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

     

    กลิ่นหอมของอาหารที่เพิ่งออกจากไมโครเวฟเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงาน ไม่ถึงห้านาทีร่างสูงของเด็กหนุ่มรุ่นน้องต่างคณะก็เดินออกมาจากห้องครัว ถือจานใหญ่ที่บรรจุอาหารลงวางตรงหน้า เจ้าตัวแว้บกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ คราวนี้ถือชามแกงออกมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นแก้วใหญ่ ต่ายมองอาหารตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายเอื้อกด้วยความหิว ผัดกะเพราทูน่ารสไม่จัดมากกับไข่ดาวน้ำเป็นอาหารฝีมือป้านวลที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษ ผัดกะเพราที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าจานที่ป้าแม่บ้านของเขาทำ ส่วนไข่ดาวน้ำนี่เขามักจะทำเองเป็นออฟชั่นเสริมมากกว่า เพราะป้าแกมักจะชอบทำไข่ดาวทอดน้ำมันตามปกติ อันที่จริงแบบไหนเขาก็ทานได้หมด ไม่เรื่องมาก แต่ไข่ดาวน้ำนี่มันง่าย แค่จับยัดเข้าไมโครเวฟก็จบแล้ว ต่ายเหลือบมองบาสที่ยิ้มเผล่ มือเอื้อมมาอุ้มพิซซ่าที่นอนอยู่บนตักลงไปให้เขานั่งทานอาหารได้สะดวกขึ้น

     

    ผมทำไข่ดาวให้เพิ่มนะพี่ต่าย เห็นชอบกินแบบนี้ บาสรีบบอกเมื่อต่ายแหงนหน้ามอง เขาเบะปากเล็กน้อยอย่างหมั่นไส้

     

    รีบเอาหน้าเชียวนะ ต่ายไถลตัวลงไปนั่งกับพื้นห้องนั่งเล่น เพราะโต๊ะอยู่ระดับเดียวกับที่โซฟา จะให้นั่งบนโซฟาแล้วก้มตัวกินก็ดูจะลำบากไปเสียหน่อย กลิ่นข้าวสวยร้อนๆกับใบกะเพราและแกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่นี่มันหอมจนอดใจไม่อยู่แล้ว เขาหยิบช้อนส้อมขึ้นกำลังจะจ้วงกะเพราคลุกกับข้าวสวยแล้วเข้าปากแต่เมื่อเหลือบมองคนตัวโตที่นอนกลิ้งเล่นกับพิซซ่าอีกครั้งแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

     

    ไม่มากินด้วยกันอะ

     

    เดี๋ยวไปจัดเต็มที่ร้านเลยครับ พี่โก้มันจะเลี้ยงทั้งทีต้องผลาญเงินมันเยอะๆหน่อย ตอบพร้อมกับหยิบเนื้อแท่งสำหรับสุนัขที่วางอยู่บนโต๊ะมาป้อนพิซซ่า เจ้าหมาน้อยเมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบของถุงขนมก็หูผึ่ง ไล่กระโดดงับอย่างรวดเร็วจนคนตัวโตหัวเราะ เดี๋ยวเด้ ใจเย็นๆ วู้ว

     

    ที่ร้านเหล้ามีข้าวด้วยเหรอ ไม่ได้มีแค่กับแกล้ม หรี่ตาถาม

     

    มีพี่ ก็แล้วแต่จะสั่งอะแต่ส่วนใหญ่ก็สั่งข้าวกันนั่นแหละ กับแกล้มมันไม่พอกระเพาะควายอย่างพวกผมเท่าไร ร้านเหล้านี้พี่โก้มันสนิทอยู่ เป็นร้านของเพื่อนพี่มันอีกที ส่วนใหญ่นั่งชิวๆ พวกผมไม่ชอบไปผับที่มันเต้นๆกันหรอก นานๆครั้งน่ะ บาสอธิบาย มือป้อนเนื้อแท่งแต่ดวงตาระยับมองหน้าคนถามพร้อมรอยยิ้ม กินดิพี่ เดี๋ยวเย็นไม่อร่อย

     

    เป็นพ่อหรือไงสั่งอยู่ได้ ต่ายบ่นอุบอิบ

     

    บาสหัวเราะร่า ลูบหน้าลูบหัวพิซซ่าที่กินเนื้อแท่งหมดไปแล้วหนึ่ง ตอนนี้จะเรียกร้องออดอ้อนขออีกอัน เขาเหลือบมองเจ้าของบ้านที่นั่งก้มหน้าก้มตากินข้าว สลับกับดูทีวีที่ฉายละครหลังข่าวเป็นระยะ ดูไปขมวดคิ้วไป หน้ามุ่ยแสดงว่าคงไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่เจ้าตัวก็ไม่เปลี่ยนช่อง สงสัยเปิดมาช่องไหนก็ดูช่องนั้นเลย ป้าแม่บ้านคงเปิดค้างเอาไว้ถึงเป็นละครดังที่ปกติเจ้าตัวไม่ค่อยจะใคร่ชอบดูเท่าไรนัก ต่ายเคยบ่นว่ามันไร้สาระ ดูไม่รู้เรื่อง แต่เห็นดูทีไรก็นั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งอย่างนั้นอย่างนี้ ... อินน่าดูล่ะเค้าน่ะ

     

    พ่อเหรอ บาสเปรยเบาๆกับตัวเอง แต่เพราะนั่งอยู่ใกล้กัน หันมายิ้มให้คนที่กำลังซดน้ำแกงจืดที่ใกล้หมดแล้ว ไม่อยากเป็นพ่ออะพี่อยากเป็นผัวมากกว่า

     

    แค่กๆ

     

    สำลักน้ำแกงแทบพุ่ง ดีที่กลืนลงไปเกือบหมดแล้ว ต่ายไอค่อกแค่ก ก้มหน้าลงมือควานหากล่องทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะใกล้มือ แต่กระดาษทิชชู่ที่มืออีกคนถือไว้พร้อมบรรจงซับที่มุมปากแดงทำเอาแทบจะลืมสำลัก

     

    เช็ดเองได้ พูดพร้อมปัดมือออก แก้มเนียนแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าแดงเพราะเขินหรือเพราะสำลักเมื่อครู่กันแน่ บาสหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับ เขาท้าวแขนไปด้านหลังเหยียดขาอย่างสบายๆ มองอีกคนที่กุลีกุจอเช็ดหน้าตาและโต๊ะให้เรียบร้อย

     

    มาผมเอาไปล้างให้ มือใหญ่รวบเก็บทั้งจานข้าวและชามวางซ้อนกันเดินเข้าไปในห้องครัว ล้างก๊อกแก๊กเสร็จเรียบร้อยก็โผล่หน้าออกมาถาม กินบัวลอยเลยเปล่าพี่

     

    ยังก่อน อิ่มอยู่ ยัดลงไม่ไหวแล้ว” 

     

    ร่างสูงพยักหน้าหงึกหงักแล้วจึงปิดไฟห้องครัวเดินออกมา เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มก็คิดว่าสมควรไปได้แล้ว มือใหญ่เช็ดกับกางเกงสแลคสีดำพอให้หมาดๆ หยิบมือถือตอบเพื่อนว่าเขากำลังจะออกไป

     

    ต่ายอุ้มเจ้าหมาน้อยที่พอเห็นว่าเจ้าของจัดการมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็วิ่งมาหาอย่างรู้งาน มันพยายามจะเลียใบหน้าด้วยความรักใครแต่ยังไงก็ไม่โดนเสียทีเพราะหลบจนรู้จังหวะทุกครั้ง ตาเรียวใต้แว่นกรอบดำเหลือบมองคนตัวโตที่ยืนก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างว่องไว เสร็จแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเสื้อช๊อป เงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งเหมือนเดิม

     

    เดี๋ยวไปแล้วนะพี่ อย่าลืมกินบัวลอย ค้างคืนไม่อร่อย ก่อนกินก็เข้าเวฟหน่อยนะ สองสามนาทีก็พอ เอ่ยย้ำพร้อมๆกับที่ก้าวขายาวๆเดินไปที่ประตูบ้าน

     

    ต่ายลุกขึ้นๆทั้งๆที่อุ้มเจ้าสี่ขาอยู่ เดินตามออกไปจนอีกคนหันมามองอย่างประหลาดใจ ก็จะไปส่งหน้าบ้านนี่ไง

    บาสยิ้มกว้าง พยักหน้าหงึกหงั่ก ดี๊ด๊าเสียจนต่ายเบ้ปาก ไม่ต้องหลงตัวเอง จะปิดบ้านด้วยเหอะ

     

    ชายหนุ่มรุ่นน้องต่างคณะอมยิ้ม ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติที่เจ้าของบ้านจะต้องเดินออกไปส่งเพื่อปิดบ้านแต่เขาก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่น้อย ร่างสูงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

     

    แคร์กันบ้างหรือยังนะพี่ต่าย ...

     

    บ้านใกล้เรือนเคียงดับไฟภายในตัวบ้านเกือบหมดแล้ว เป็นปกติของบ้านจัดสรรที่มองเห็นทะลุกันได้ง่ายและทั่วถึง แสงไฟที่ลอดออกมาจากตัวบ้านแต่ละหลังเบาบางและแสงไฟนีออนจากไฟถนนก็ค่อนข้างริบหรี่ บรรยากาศภายนอกเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าที่เดินลากออกจากบ้าน บาสลอดตัวออกมาจากรั้วเหล็กด้วยประตูเล็ก ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นขาเรียวก้าวตามออกมานอกประตูรั้วบ้าน เสียงเห่าของสุนัขบางตัวในละแวกนั้นดังขึ้นแต่เมื่อมันเห็นว่าเป็นผู้อยู่อาศัยที่คุ้นเคยมันก็เงียบลงและนอนต่อ ต่ายชะงักเท้าแทบไม่ทันเมื่อคนตัวโตกว่าหันหลังกลับมาเผชิญหน้า

     

    ส่งเท่านี้ก็พอพี่ บาสเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม มือใหญ่ตบหัวแหย่เจ้าหมาน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนอีกคน

     

    ต่ายครางอือในลำคอแทนอาการตอบรับ กวาดตามองรถมินิคันใหญ่ที่เจ้าตัวสารภาพมาว่าเพื่อนพี่ชายให้ยืมมาเพราะไม่ได้ใช้ ตอนแรกก็ว่าไม่เข้าเรื่อง เขาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น รถตัวเองก็มี จริงๆแล้วการขับรถมารับส่งเขาเป็นสิ่งที่น่าลำบากของอีกฝ่ายมากกว่า แต่เมื่อพูดแล้วได้ผล สิ่งที่ทำได้แค่ปล่อยมันไป ต่ายเคยคิดว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายเหนื่อยแล้วก็คงเลิกไปเอง อย่างเช่นทุกคนที่เคยผ่านเข้ามา

     

    ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กนี่ดื้อกว่าที่คิดไว้เยอะ

    ยังไม่พอ เจ้าหมอนี่ยังก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยจริงๆ 

     

    ถ้ากินแล้วเมาจะขับรถกลับยังไง เปรยถามขึ้นอย่างใจคิด ต่างสังเกตเห็นดวงตาสีเข้มที่พราวระยับขึ้นมาอย่างคนดีใจ กลัวพี่นายต้องไปไถ่ตัวน้องออกจากคุกแล้วก็กลัวรถคนอื่นพังหรอก

     

    ต่ายรีบกลบเกลื่อน เสตามองปลายเท้าตัวเองอย่างคนไม่ยอมรับความจริงๆ มือใหญ่ที่ลูบหัวพิซซ่าละออกมาแตะที่ต้นแขนเรียวเล็ก แม้พี่ต่ายจะไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบาง ถือว่าค่อนข้างสูงโปร่งเกินมาตรฐานเล็กน้อย ไม่ได้ผอมเก้งก้างแต่ก็ยังตัวเล็กกว่าเขาเยอะอยู่ดี

     

    ก็แน่ล่ะว่าที่คุณหมอหนุ่มที่วันๆไม่ค่อยทำอะไรนอกจากอยู่ในร่ม อย่างมากก็ออกไปเดินเล่นเบาๆกับสุนัขพลังงานจัดอย่างบีเกิ้ง จะมาเทียบอะไรกับว่าที่นายช่าง แถมเป็นนักกีฬาที่ไปคลุกฝุ่นจนดำ แถมนอนกลางดินกินกลางทราย เมาเหล้าสลบข้างทางได้แบบเขากันเล่า ผิวบางๆนั่นโดนฝุ่นนิดหน่อยก็เป็นผื่นแดงแล้วมั้ง บาสหัวเราะเบาๆกับเหตุผลที่อีกคนใช้กลบเกลื่อน เขารู้ว่าพี่ต่ายเป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน ช่วงที่ผ่านมาพี่ต่ายอ่อนลงเยอะ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาลดความปากหมาปากไวลง ใจเย็นเพื่อที่จะรอได้นานขึ้น เมื่อเขาอ่อนลง พี่ต่ายเลยอ่อนลงให้ตามๆกัน

     

    รู้งี้ไม่กวนตีนแต่แรกก็ดี

    แต่คงทำไม่ได้หรอก ก็พี่ต่ายน่าแกล้งขนาดนี้

     

    ว่าที่คุณหมอหน้ามนมักจะเบ้ปากหมั่นไส้เวลาที่เหนื่อยใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา ใบหน้าเรียวจะมุ่ยลง คิ้วเข้มขมวดจนเห็นรอยย่นตรงระหว่างคิ้วเช่นชัด นี่ถ้ามีแก้มอีกสักหน่อยคงพองลมได้เหมือนกัน แต่เวลาดีใจ ดวงตาเรียวจะเป็นประกาย ริมฝีปากสีสดอย่างคนสุขภาพดีจะยิ้มกว้าง หรือบางครั้งก็จะอมยิ้มเมื่อกำลังพอใจอะไรอยู่ ในบางกรณีนั้นคือเอาคืนเขาจนหุบปากได้สนิท... น่ารัก

     

    ผมว่าจะเอารถกลับไปเก็บที่บ้านก่อนแล้วนั่งแทกซี่ไปอีกที ไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่ต่าย เพราะผมรู้ว่าถ้าเอาไปชนอะไรผมก็ไม่มีปัญญาชดใช้ให้เขาเหมือนกัน ฮ่าๆ บาสตอบติดตลก บีบต้นแขนเล็กเบาๆเพื่อให้อีกคนสบายใจ ก้มหน้าฟัดเจ้าหมาที่ผลุบหัวขึ้นมาหา ไปล่ะพิซซ่า ไว้เจอกัน

     

    เสียงเห่าเล็กแหลมตอบรับ บาสขยี้หัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู เขาเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าเล็กที่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ไปนะพี่ต่าย เดี๋ยวเจอกันวันจันทร์ เสาร์อาทิตย์นี้พี่หยุดใช่ป่าว

     

    อือ ช่วงนี้ว่าง ใกล้สอบแล้ว

     

    โอเค ผมไปนะ บาสกล่าวลาย้ำเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ จริงๆที่เค้าย้ำอยู่หลายรอบเพราะว่าเห็นอีกคนพะว้าพะวงอะไรสักอย่าง เอ๊ะ หรือลืมอะไร หรือเขาทำอะไรผิดพลาดไปอีก วันนี้ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า ... อันที่จริง พี่ต่ายดู ว่าง่าย ขึ้นกว่าทุกวันเสียด้วยซ้ำไป เขาปลดล๊อกรถ ได้ยินเสียงดังแกร่กเป็นสัญญาน มือใหญ่เปิดประตูฝั่งคนขับ เหล่มองร่างโปร่งที่หรุบตาต่ำ กัดริมฝีปากล่างอย่างคนขบคิดอะไรสักอย่าง

     

    บาสส่ายหน้าขำๆ คิดว่าตัวเองคงคิดมากไปเองเขาโดดขึ้นไปนั่ง กดปุ่มสตาร์ทรถและปิดประตูช้าๆ ไม่ลืมที่จะโบกมือบายบายคนที่ยืนรอส่ง

     

    เดี๋ยว!

     

    มือเรียวขาวสะอาดรั้งประตูที่กำลังจะปิดลงไว้ทัน ร่างสูงงุนงง มองอีกฝ่ายด้วยท้าทีไม่เข้าใจ เขาเห็นคนร่างโปร่งเดินไปวางเจ้าหมาน้อยลงบนพื้นตัวบ้าน เดินฉับๆเข้าไปปิดไฟให้มืดสนิทเหลือไว้แต่ไฟหน้าประตูบ้าน ล็อกตัวบ้านเรียบร้อย ในมือมีไอโฟนห้าเอสของเจ้าตัวพร้อมกระเป๋าตังแบรนเนมใบสั้น และกุญแจบ้านหนึ่งพวง บาสอ้ำอึ้ง นั่งมองทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสงสัย จนเมื่อต่ายปิดล๊อกประตูรั้วบ้านเรียบร้อย ตบหัวเจ้าหมาน้อยสองสามทีแล้วเดินฉับๆมาฝั่งข้างคนขับ เปิดประตูรถเข้าไปนั่งคาดเข็มขัดเรียบร้อย

     

    ไปด้วย...”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×