คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Take #10 {re-write} + fanart พีค
อากาศร้อนบรรลัยขนาดที่ว่ายังไม่เข้าช่วงหน้าร้อนที่ถือได้ว่าร้อนที่สุดของประเทศไทย ลมไม่กระดิก แดดออกเปรี้ยงปร้าง ที่แย่ไปกว่านั้นคือบางวันฝนดันตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายหนุ่มผิวแทนกรำแดดจากการเล่นกีฬาในเสื้อกล้ามตัวใหญ่และกางเกงขาสั้นนอนแผ่สิ้นฤทธิ์อยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านที่เปิดแอร์เสียเย็นฉ่ำ กลิ้งเกลือกไปมาพร้อมสุนัขฮัสกี้ไซบีเรียนสองตัวที่นอนเกยอยู่บนโซฟาข้างๆกัน บาสเหล่มองขนหนาๆที่ปลิวไปตามแรงของลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศแล้วนึกหมั่นไส้ กลิ้งตัวเองลงจากโซฟาตัวใหญ่ลงไปหนุนลำตัวของมัน เจ้าหมาแค่ผงกหัวขึ้นมานอนแถมยังเมินไม่สนใจเสียอย่างนั้น
“นอนบนโซฟาดีๆไม่ชอบ ลงไปนอนกับหมาทำไมวะ” ชายหนุ่มที่หน้าคล้ายกันเดินเปิดประตูห้องเข้ามา ในมือถือถุงมันฝรั่งทอด จ้วงกินอย่างเอร็ดอร่อย
“แอร์มันลงตรงนี้พอดีอะ” ตอบกลับเสียงยาน เขาพลิกตัวไปมาจนเจ้าสุนุขที่ทำหน้าที่ต่างหมอนนึกรำคาญเจ้าของ ลุกหนีขึ้นไปนอนอีกที หัวที่หนุนอยู่เลยกระแทกพื้นสียงดัง บาสกุมหัวด้วยความเจ็บ พลางมองมันด้วยความแค้นใจ
“สม” ไบค์หัวเราะเอิ้กอ้าก หยิบรีโมทบนโต๊ะเล็กในห้องรับแขก เปิดทีวีไล่ช่องไปมา “ไปหาพี่หมอดิ”
“เข้าเวร” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้อง พิงหลังกับตัวโซฟาที่อยู่ข้างๆ
“โถถถถถ น่าสงสารฉิบหาย” ไบค์แซวเสียงสูง มองหน้าน้องชายที่ขมวดคิ้ว ไม่เชิงอารมณ์เสีย แต่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจมากกว่า “เป็นอะไรวะ”
“พี่ไบค์ กูอยากใช้รถ”
“ห๊ะ!” ร่างสูงกว่าที่นั่งอยู่บนโซฟาตกใจจนแทบทำห่อเลย์ที่อยู่ในมือตก ร้อยวันพันปีเจ้าน้องชายไม่เคยเรียกร้องอะไรมาก ยิ่งเรื่องของการใช้รถแล้ว พ่อแม่บอกให้แบ่งกันใช้ แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นเขาที่ใช้อยู่คนเดียวมากกว่าเพราะว่าเจ้าตัวอยู่บ้าน ในขณะที่น้องอยู่หอพักแถวมหาวิทยาลัย
“คือกูไม่ได้อะไรนะบาส มึงก็เป็นเจ้าของรถครึ่งนึงอยู่แล้ว แต่กูถามหน่อยว่าทำไมเพิ่งอยากจะขับรถตอนนี้วะ”
บาสนิ่งไปสักพักใหญ่ ตาคมเหม่อมองจอทีวีที่กำลังฉายซีรี่ส์ดังแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก อันที่จริงนั้นคำถามที่พี่ชายของเขาถามมาคือสิ่งที่เขาเฝ้าคิดมาสักพักแล้ว และเขาเองก็แน่ใจถึงกล้าออกปากบอกไป ส่วนเรื่องรถนั้นทั้งเขาและพี่ไบค์เป็นเจ้าของกันคนละครึ่ง เพราะตอนที่เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเขาเลือกเองที่จะอยู่หอ เลยบอกพ่อแม่ไปว่าไม่ได้จำเป็นที่จะใช้ ถ้าวันไหนจำเป็นค่อยสลับกับพี่ชายเอา บาสเลยไม่มีรถเป็นของตัวเองและตัวเขาเองก็คิดว่าก่อนหน้านี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลยกับคนที่ใช้ชีวิตง่ายๆเช่นตัวเขา แต่ตอนนี้ความคิดนั้นมันต่างออกไปแล้ว บาสไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเองแต่สิ่งที่เขาคิดถึงนั้นกลับเป็นใครอีกคนที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“กูอยากไปรับไปส่งพี่ต่าย”
“อะไรนะ!” ไบค์ขึ้นเสียงจนแทบตะโกน ใบหน้าหล่อแสดงอาการแบบปิดไม่มิดว่าตกใจมากแค่ไหน เขามองหน้าน้องชายนิ่ง “สรุปเหตุผลคือพี่หมอจิระภัทรคนนั้น”
บาสพยักหน้า เหม่อมองจอทีวีที่ฉายซีรี่ส์ฝรั่งชื่อดังแบบไม่ค่อยสนใจมันเท่าไรนัก ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมายกับตัวเอง บางคำตอบ ตัวเขาเองก็ยังหาไม่ได้ แต่อย่างไรเขาก็แน่ใจว่าเรื่องที่คุยกันอยู่นี่ได้ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
“พี่หมอเขาก็มีรถของเขาไม่ใช่เหรอวะ?” ไบค์ถามขึ้นอย่างข้องใจ
“อือ แต่กูเห็นกว่าเขาจะเลิกเวร ต้องขับรถกลับบ้านดึกๆ แถมตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นขับรถมาเข้าเวรอีก อย่างน้อยถ้ากูไปรับส่งเขาได้ก็น่าจะทำให้เขามีเวลาพักมากขึ้น”
บาสเหลือบมองพี่ชายตัวเองที่นิ่งเงียบไปสักพัก ใบหน้าหล่อของเดือนคณะนิเทศศาสตร์และเดือนมหาวิทยาลัยไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ กลับกันเลยต่างหากเมื่อเขาเห็นว่าพี่ชายตัวดีมันเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฮ่าๆ กูรู้สึกเหมือนเป็นพ่อเวลาที่ลูกชายมีความคิดว่ะ ฮ่าๆ บาส มึงแม่ง” ไบค์พูดไปหัวเราะไป ขยี้หัวน้องชายด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู ร่างสูงโถมเข้าหา ใช้แขนข้างหนึ่งกอดคอน้องชายตัวเองกระชากเข้ามาอย่างแรง “สรุปจริงจังกับพี่หมอ ไม่หมานะมึง”
“เออ” บาสตอบจิ๊จ๊ะ สรุปไอ้พี่ไบค์มันก็ปล่อยให้เขาคิดไปว่ามันไม่พอใจ แท้ที่จริง ... สันดานแย่เหมือนเดิม!
“ติดแน่นะมึง” ไบค์หยั่งเชิง
“เออ กูจีบทั้งที ต้องติดดิวะ!”
“ก๊ากกก มั่นใจแบบนี้ถึงจะสมเป็นน้องกู” มือใหญ่ยีหัวน้องชายอย่างแรง “แต่มีปัญหาว่ะ”
“ปัญหาเอี้ยไรอีก”
“ถ้าเกิดว่ากูให้รถมึงไปรับส่งพี่หมอ แล้วกูจะใช้อะไรครับไอ้น้อง เพราะมึงต้องใช้ทุกวันใช่มั้ย? ไปรับส่งเขาทั้งทีต้องทำให้สม่ำเสมอนะเว้ย อย่าทำแค่ช่วงโปรโมชั่น แล้วพี่หมอเขาจะกล้านั่งรถเก่าๆของพวกเราเหรอวะ พี่หมอแกขับเบนซ์นะเว้ย เบนซ์รุ่นใหม่ด้วย!”
“ก็เอารถกูไปใช้”
เสียงที่แทรกขึ้นไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูคล้ายกันของสองพี่น้องที่นั่งกอดคอกันอยู่บนพื้น ซุบซิบกันราวกับกำลังวางแผนชั่วอะไรบางอย่าง เจ้าของเสียงแหบต่ำที่ค่อนข้างแหลมนั่นยืนพิงประตูห้องนั่งเล่น ในมือถือถาดไม้ที่เต็มไปด้วยบรรดาขนมเค้ก คุกกี้และโกโก้แก้วใหญ่ ร่างผอมโปร่งบางสูงชะลูดดูเหมือนเป็นคนเก้งก้างแขนขายาว เขาใช้มือข้างที่ว่างปิดประตูให้สนิท เดินอาดๆหลังค่อมนิดหน่อยเข้ามานั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ใบหน้าเรียวยาวมีคางแหลมได้รูปเชิดขึ้นเล็กน้อย หยิบขนมโยนเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาเรียวหางตาตกดูหรี่ปรือ แต่ไฝเม็ดเล็กใต้ตากลับขับให้ใบหน้านั่นน่ามองอย่างน่าประหลาด จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งนอกจากนั้นคือเส้นผมเส้นเล็กที่ซอยสั้น ด้านหลังไถออกจนสั้นเกรียน ด้านบนยาวกว่าและเป็นสีเขียวมินต์
“อะไรนะ!” คนพี่ตั้งสติได้รีบโวยวาย ตะกุยตะกายมาโซฝั่งที่ร่างบางนั่งชันเข่าอยู่ มือเรียวหยิบขนมกินอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็บอกให้เอารถกูไปใช้ไง ชิส์” กระชากเสียงตอบอย่างไม่พอใจที่ต้องให้พูดซ้ำ จิ๊ปากอย่างติดเป็นนิสัย ดวงตาปรือมองทีวี ไม่สนใจคนตัวใหญ่กว่าที่พยายามจะขยับตัวขึ้นมาเบียด
“พีค~ ที่กับกูไม่เห็นใจดีแบบนี้บ้างเลย” ไบค์โวยวาย
“ก็มึงชี้ทางเอง พี่หมอเขาขับเบนซ์ น้องมึงเอารถเก่าๆของมึงไปรับเขาคงไม่อยากนั่งไม่ใช่เหรอไง” ชายหนุ่มร่างโปร่งผลักไหล่กว้างที่พยายามตะเกียกตะกายเข้าหา มืออีกข้างโยนพวงกุญแจรถไปให้บาสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มินิคูเปอร์ คันทรีแมน พอจะสู้กับเบนซ์ได้มั้ย?”
“เฮ้ย พี่พีค ไม่เอา” บาสรีบปฏิเสธ นี่มันมากไป อีกอย่างมันไม่ใช่รถของเขาด้วย ใครจะกล้ารับกัน แม้ในความคิดจะแอบน้ำลายจะหกก็ตามทีเถอะ
“เอาไปเหอะ มีข้อแม้สองอย่างคือเติมน้ำมันเองกับถ้ารถพังมึงต้องจ่ายค่าซ่อมเองเหมือนกัน” บอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ มือเรียวดันร่างยักษ์ของร่างสูงผิวแทนแต่ออกจะขาวกว่าคนเป็นน้องชายสักหน่อยให้ขับไปไกลๆด้วยความรำคาญ “ปกติก็ไม่ค่อยได้ขับเท่าไรอยู่แล้วด้วย”
“พีค ทีกับกูนะไม่เห็นเป็นแบบนี้บ้างเลย มึงใจดีกับทุกคนที่กับกูไม่เคยเลย เห็นกูเป็นอะไร กูน้อยใจนะ” ไบค์บ่นยืดยาว ทำตัวงอแงให้ดูน่าสงสาร แต่ในสายตาน้องชายอย่างบาสมันดูน่าหมั่นไส้มากกว่า
“โอ้ย ไบค์!” ชายหนุ่มผมเขียวปัดมือยุ่มย่ามออกด้วยความรำคาญ จิ๊ปากอย่างไม่พอใจดันร่างใหญ่ออกไปให้พ้นทาง “มึงไม่ได้มารับกูทุกวันหรือไง มีแต่กูนี่แหละที่ยอมนั่งฮอนด้าเก่าๆของมึงน่ะ!”
“พีค~” ร่างสูงใหญ่อาจจะเกินมาตรฐานชายไทยทั่วไปสักหน่อยของพี่คนโตบ้านธนบดีโถมร่างเข้าหาคนตัวบางกว่ามากที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวจนคนที่นั่งรับไม่ไหว ล้มลงไปกับโซฟาพร้อมกัน ศีรษะเล็กโขกเข้ากับพนักที่ท้าวแขนอย่างแรงจนมึนไปหมด คนที่เป็นต้นเหตุตกใจลนลานเมื่อเห็นสายตาเขียวปั๊ดเหมือนสีผมของคนที่อยู่ใต้ร่างของเขา
“ไอ้ไบค์!!!”
.
.
“ฮัดชิ้ว”
ร่างสูงโปร่งในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดของแพทย์จามเสียงดังจนเพื่อนที่เดินอยู่ด้านหน้าหันมามองอย่างสงสัย ต่ายใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือแฟ้มเอกสารขยี้จมูกเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้อากาศเปลี่ยนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองจามบ่อยเกินไปแล้ว เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่สบาย ที่จามบ่อยแบบนี้ดูท่าจะเป็นเพราะอีกเหตุผลหนึ่งมากกว่ากระมัง
“ไอ้เด็กวิศวะไม่มาเหรอวันนี้”
โน้ตเอ่ยถามขึ้น ชะลอฝีเท้าให้เพื่อนตัวเองเดินขึ้นมาพร้อมกัน ตาเล็กตามแบบฉบับคนไทยเชื้อจีนที่ออกจะมากหน่อยเหล่มองใบหน้าเรียวของเพื่อนสนิท ต่ายก็ยังคงเป็นต่ายคนเดิม แต่มีอะไรบางอย่างที่ดูแปลกออกไปซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“หือ อ๋อ นายบาสน่ะเหรอ” ต่ายหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงสแล็ค มองหน้าจอที่นิ่งสนิทบอกแค่เวลาห้าโมงกว่าๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะหมดเวรของวันนี้แล้ว “ไม่มามั้ง ไม่เห็นไลน์มาบอก ไม่มาก็ดีแล้ว เบื่อหน้าจะแย่ล่ะ”
“เหรอ” เพื่อนตัวเล็กตอบเสียงนิ่ง “ออกเวรไปกินข้าวกัน อยากกินสปาเกตตี้”
“อือ ได้ เดี๋ยวแวะเอารายงานไปส่งก่อนแล้วกัน”
ดวงตากลมล้อมด้วยแพขนตายาวมองเพื่อนสนิทตัวเองที่พยักหน้ารับก่อนที่จะขอตัวเดินแยกออกไปยังแผนกอื่น เจ้าตัวอาสานัดปราชญ์เอง ขายาวๆที่ก้าวอย่างมั่นคงไปตามทางเดินค่อยๆชะลอและหยุดลง เขาเอนพิงหลังที่กำแพงทางเดินหน้าห้องพัก ริมฝีปากบางเม้มแน่นในขณะที่มองโทรศัพท์รุ่นใหม่ในมืออย่างชั่งใจ เป็นความจริงที่วันนี้ไร้วี่แววการติดต่อจากเจ้าเด็กวิศวะอวดดีนั่น แถมไม่ได้มานั่งเฝ้าที่ร้านกาแฟเจ้าประจำในโรงพยาบาล เมื่อวานเจ้าตัวก็บอกเองว่าวันนี้จะติดต่อมาแต่ก็ไร้วี่แวว เขารู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ มันเป็นอาการที่ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเช่นกัน
ว่าที่คุณหมอถอนหายใจ เขาเคาะประตูห้องพักแพทย์สองสามครั้งและเปิดประตูเข้าไปด้านใน โต๊ะของอาจารย์หมอเป็นระเบียบเรียบร้อย มีตะกร้าใส่เอกสารที่วางไว้สำหรับให้นักศึกษาแพทย์ส่งรายงานประจำวัน มือเรียวเปิดเช็คความเรียบร้อยของรายงานตัวเอง แน่ใจว่าทุกอย่างโอเคแล้วเขาก็วางลงบนตะกร้าใส่เอกสารแล้วเดินออกมาจากห้อง เขาเดินลัดเลาะซ้ายขวาไปตามทางเดินเพื่อไปยังบริเวณห้องฉุกเฉินเพื่อทำหน้าที่ประจำวันของตัวเอง ห้องฉุกเฉินไม่เคยไม่ว่าง ถือเป็นเรื่องดีเพราะเขาจะได้สลัดเรื่องไร้สาระออกจากหัวเสียที
ชายหนุ่มสามคนในชุดนักศึกษาถูกระเบียบแต่ดูลำลองไม่ได้เป็นทางการเหมือนตอนเข้าเรียนและอยู่ในหน้าที่เดินเข้าไปในร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังย่านอโศก ร้านนี้ถือเป็นร้านประจำที่พวกเขามักจะพากันมาทานเมื่อมีโอกาสหรือวันไหนก็ตามที่ออกเวรเร็วกว่าปกติเหมือนเช่นทุกวันนี้ ร้านแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด โชคดีที่รอคิวไม่นาน ยืนรอหน้าร้านไม่ถึงสิบนาทีก็ได้เข้าไปภายในร้าน กลุ่มของเขาได้ที่นั่งติดผนังด้านในของร้าน ซึ่งพนักงานกำลังเก็บทำความสะอาดอยู่เนื่องจากลูกค้าโต๊ะก่อนหน้านี้เพิ่งลุกออกไป โน้ตรีบก้าวเข้าไปก่อนเพื่อที่จะแย่งที่นั่งด้านในที่เป็นโซฟา ในขณะที่ริมนอกนั้นเป็นเก้าอี้บุพนักไม้ธรรมดา ว่าที่คุณหมอตัวเล็กนั่งพิงไหล่ ไหลไปตามความนุ่มลื่นของเก้าอี้
“โคตรสบาย” เขาฮึมฮัมออกมาอย่างอารมณ์ดี ตบที่นั่งว่างข้างตัวเบาๆ “ต่ายมานั่งนี่เร็ว ให้ปราชญ์มันนั่งเก้าอี้แข็งๆไป”
ต่ายไม่รอช้า รีบก้าวเข้าไปตามที่เพื่อนเรียก ทิ้งให้ปราชญ์ต้องนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนอกอย่างช่วยไม่ได้
“มึงตัวใหญ่ เดี๋ยวเบาะเค้ายุบ นั่งตรงนั้นแหละดีแล้ว” โน้ตให้เหตุผลที่ปราชญ์ต้องขยำทิชชู่ที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วปาใส่ด้วยความหมั่นไส้
“มึงไม่คิดหรือไงว่ากูจะทำเก้าอี้พัง ให้กูไปนั่งข้างใน ไอ้เพื่อนเลว” ปราชญ์ตอกกลับ
“ไม่ ตรรกะนั้นไม่เคยอยู่ในหัวท่านกชกร”
“สั่งอาหารได้แล้ว หิวล่ะ”
ต่ายต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพเสมอ เขารับเมนูอาหารมาจากพนักงานเสิร์ฟที่จัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดดูผ่านๆเพราะอันที่จริงเขาก็มีเมนูที่คิดอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เมื่อเลือกอาหารได้คนละสองสามอย่างพนักงานก็จากไป
“อาห์ อยากกินเบียร์” โน้ตซบหน้าลงกับโต๊ะไม้ เอียงหน้าแนบแก้มไปกับโต๊ะ
“กูกับต่ายต้องขับรถ มึงอะสบายอยู่คนเดียว แดกไปคนเดียวแล้วกัน” ปราชญ์กระแทกเสียงตอบ
“คนเดียวกินไม่อร่อย” คนตัวเล็กกว่าบ่นหงุงหงิง มือซนจับดอกไม้ที่อยู่ในแจกันประดับโต๊ะเล่น
ปราชญ์เลื่อนแจกันเดอกไม้ออกห่างอย่างอ่อนใจ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นสงสัยกลับดอกไม้ที่อยู่ในแจกันเขาเละเทะหมด เมื่อเพื่อนไม่ให้เล่น โน้ตเลยหยิบไอแพดที่หยิบติดมือออกมาจากรถเล่นเกมแทน
“ปราชญ์แม่งเล่นเกมโคตรห่วย เล่นได้ไม่ถึงหมื่นก็ตายล่ะ” โน้ตหัวเราะเมื่อเปิดแอพเกมยอดฮิตขึ้นมาเล่นระหว่างรออาหาร
“กูไม่ได้เล่นเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้หลับได้นอนจนมาเรียนสายเหมือนมึง”
“อ่อนแล้วไม่ยอมรับตลอดอะ”
มือใหญ่ของปราชญ์ยกขึ้นตบหัวโน้ตที่นั่งฝั่งตรงข้ามเต็มแรงเสียงดังผั๊วะ ต่ายเห็นแล้วเจ็บแทน แต่ก็ไม่คิดจะห้าม สองคนนี้ก็เล่นกันแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว เขารู้ว่าปราชญ์ไมได้โกรธอะไรหรอก คงแค่คันไม้คันมือจนทนไม่ไหวมากกว่า โน้ตคลำหัวป้อยๆ สะบัดนิ้วกลางใส่แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร เพื่อนตัวเล็กกว่าก้มหน้าก้มตาเล่นเกมสุดฮิตในขณะนี้อย่างจริงจัง ต่ายมองเห็นเจ้าตัวคุกกี้สีน้ำตาลที่วิ่งไล่เก็บเหรียญอย่างเหม่อลอย จะว่าไป ... ใครบางคนก็มักจะเล่นเกมนี้เป็นประจำในช่วงนี้เหมือนกัน
“...ต่าย”
“ต่าย!”
“ห๊ะ! โทษที มีอะไร”
ร่างโปร่งตกใจเมื่อถูกปราชญ์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเรียกเสียงดัง สะดุ้งนั่งตัวตรง ร่างสูงกว่าถอนใจ “พนักงานบอกว่าพิซซ่าหน้าผักโขมหมดแล้วเลยเปลี่ยนเป็นแซลมอน ตกลงไหม”
“อ๋อ โอเค ได้ๆ ไม่มีปัญหา” มือเรียวเสเลื่อนแว่นตากรอบหนาสีดำให้เข้าที่ มองซ้ายมองขวาแล้วเอนพิงพนักโซฟาเหมือนเดิม
“ตอนแรกก็ว่ากินข้าวเสร็จแล้วค่อยคุย แต่คุยตอนนี้เลยแล้วกันว่ะ” ปราชญ์ถอนใจเฮือกใหญ่ เปิดประเด็นจนใบหน้าเนียนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“จะดีเหรอวะปราชญ์ เดี๋ยวจะแดกข้าวไม่ลงกันนา...” โน้ตลากเสียงยาว ปิดเคสไอแพดลงเสียงดังปั่บ ใบหน้าตี๋มองเพื่อนที่นั่งข้างๆ
“แดกไม่ลงก็ห่อกลับบ้าน มึงก็เอากลับไปแดกต่อที่หอ” ปราชญ์สะบัดเสียงใส่
ต่ายทำหน้างงกับคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทั้งสองคนต้องการจะสื่ออะไร รู้แค่อย่างเดียวว่าประเด็นของเรื่องนั้นมันต้องเป็นที่ตัวเขาแน่นอน
“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงแหบถามขึ้นแผ่วเบา เขาเห็นสายตาของเพื่อนทั้งสองคู่จ้องมองมาด้วยความจริงจัง ไม่มีวี่แววล้อเล่นเหมือนอย่างเคย
“ต่าย กูจะถามอีกครั้ง ไอ้เด็กวิศวะนั่น มึงคิดยังไงกับมัน” ปราชญ์เปิดประเด็นด้วยคำถามที่ตรงและชัดเจน ไม่มีอ้อมค้อมให้เสียเรื่อง มันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วที่พูดจาวกวนไปมาไม่เป็น
“เดี๋ยวกูขัดแป๊บ ปราชญ์มึงก็จริงจังไปป่ะวะ กูบอกก่อนว่าพวกกูไม่ได้รังเกียจนะต่าย แต่ถ้ามึงไม่เต็มใจหรือไม่ชอบ กูว่าพวกกูจะไปบอกให้น้องมันหยุดแค่นี้” โน้ตรีบแทรกขึ้นมาเพราะกลัวเพื่อนจะเข้าใจผิดไปเสียก่อน
“คือถ้ามึงไม่ชอบก็บอกน้องมันไป หรือถ้ามึงอยากรักษาน้ำใจพวกกูจัดการให้ได้นะ”
ชายหนุ่มร่างสูงที่สุดในกลุ่มเอ่ยเสียงเครียด เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเขารู้สึกยังไงที่อยู่ดีๆก็มีผู้ชายมาตามจีบ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเองก็พอรู้ว่าเพื่อนของเขาค่อนข้างดังในหมู่เด็กแพทย์ ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องก็สนใจ เพียงแต่เจ้าตัวไม่ได้คิดอะไรหรือให้ความสนใจกับใครเป็นพิเศษเท่านั้น อาจจะเพราะบรรยากาศที่คาดเดาไม่ได้รอบตัวที่ทำให้ใครต่อใครหลายคนถอยห่างออกไปก่อน แต่กับเด็กวิศวะคนนั้นมันต่างกันออกไป เขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปหนึ่งครั้งแล้ว ครั้งนี้ต้องเคลียร์ให้ชัดเจน!
“ก็บอกแล้วมันฟังที่ไหน” ต่ายตอบเสียงเหนื่อย ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ไม่รู้ อยากทำอะไรก็ปล่อยมันไป”
“จะไม่รู้ไม่ได้นะต่าย นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ น้องมันเป็น “ผู้ชาย” มึงเข้าใจไหม กูกับโน้ตไม่ได้ไม่พอใจที่มีคนมาจีบมึง แต่เพราะนั่นมันเป็นผู้ชายแล้วยังเด็กกว่า วุฒิภาวะมันเพียงพอที่จะเข้าใจและยอมรับจุดนี้ได้หรือเปล่า กูว่าไม่ คนอื่นจะมองมึงว่ายังไง”
“กูไม่ได้สนใจคนอื่น”
มือขาวหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในมือมาหมุนเล่นเหมือนกับคนใช้ความคิด มันเป็นความจริงที่ว่าตัวเขาเองไม่ได้สนใจคนอื่นตามที่ปากว่า แต่ประเด็นของเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่นั้น ต่ายมองเพื่อนตัวสูงของตัวเองที่นั่งกอดอก สายตาจ้องตรงมาที่เขาอย่างต้องการคำตอบ ปกติปราชญ์จะเป็นคนง่ายๆสบายๆ ไม่ค่อยสนใจอะไรมากมายเท่าไรแต่ต่ายรู้ว่าปราชญ์เป็นคนที่รักและเป็นห่วงเพื่อนมากแค่ไหน
“งั้นกูสรุปนะๆ ใจเย็นๆ ตามที่เราเข้าใจกันแต่แรกก็คือน้องมันจีบต่าย แล้วต่ายก็โอเคใช่มั้ย? หมายถึงต่ายก็เปิดโอกาสให้มันจีบใช่มั้ย? ไม่ใช่ไม่ชอบหรืออึดอัดใจอะไรใช่มั้ย? คือถ้าคิดแบบนี้พวกกูจะได้เบาใจเพราะมึงตัดสินใจแล้ว แบบนี้โอเคมั้ยปราชญ์ ต่ายด้วย” โน้ตรีบแทรกขึ้นมาไกล่เกลี่ยเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศชักจะตึงเครียดเข้าไปทุกที
"ก็ไม่เชิงโอเคเท่าไร" ต่ายบอก ยกมือขึ้นกอดอกเอนพิงพนักเก้าอี้นุ่ม
“ก็คือไม่ชอบใช่มั้ย? งั้นมึงก็บอกน้องมันไปให้จบๆเรื่องนี้มันดังไปทั้งคณะแล้ว” ปราชญ์เริ่มขึ้นเสียง ชักจะงงๆกับที่คนตอบพูดวกไปวนมา
“ก็บอกแล้วว่าไม่สนใจคนอื่น ใครจะว่ายังไงก็ช่างเค้า”
“ไอ้ต่าย!”
“ปราชชชชชชชชชชญ์ มึงอย่าอารมณ์เสียสิวะ” โน้ตรีบยกมือห้ามเมื่อเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเริ่มมีน้ำโห จากที่นั่งกอดอกรับฟังดีๆกลับยืดตัวตรง มือใหญ่ตบลงกลางโต๊ะเสียงดัง คนตัวเล็กกว่าใช้เท้าสะกิดหน้าแข้งอีกฝ่ายใต้โต๊ะให้รู้สึกตัว “มึงอย่าเสียงดังสิ โต๊ะข้างๆมองแล้วนะเว้ย ดีนะที่ร้านนี้คนคุยกันเสียงดัง ไม่งั้นนะมึง ได้ยินกันทั้งร้าน”
“สงสัยอาหารวันนี้คงไม่อร่อยเหมือนทุกวันแล้วล่ะมั้ง” เสียงแหบเปรยขึ้นเบาๆ มือเล็กยังคงหมุนโทรศัพท์ในมือเล่น พลิกไปพลิกมา
“ถ้ารอมันติดต่อมาขนาดนี้กูก็คงจะพอรู้..." โน้ตพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ เห็นเพื่อนตาสวยหันมามองเขาด้วยสีหน้างุนงง
"ต่ายรอน้องมันติดต่อมาหรือเปล่า วันนี้วุ่นวายกับมือถือทั้งวันเลยนะรู้ตัวบ้างมั้ย?"
"ห๊ะ ประสาท ก็ดูเวลา"
"แล้วนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือนั่นใช้ดูไม่ได้หรือไง" ปราชญ์พูดกระแนะกระแหน
"มึงเป็นไรเนี่ยปราชญ์ เลิกยุ่งกับกูสักที"
"กูยุ่งเพราะเห็นมึงเป็นเพื่อนนะต่าย กูไม่สนใจคนอื่นเหมือนที่มึงบอกว่ามึงเองก็ไม่สนเหมือนกันนั่นแหละ เพราะกูรู้ว่าเวลามึงตัดสินใจอะไรไปแล้ว พวกกูก็เข้าไปเปลี่ยนความคิดมึงไม่ได้เหมือนกัน แต่มึงรู้มั้ยว่าเรื่องแบบนี้ต้องคิดดีๆ น้องมันจริงจัง พวกกูเห็นแล้ว แต่มึงล่ะ มึงโตกว่ามัน มึงน่าจะเข้าใจ ถ้ามันไม่ได้ตามตื้อมึงแบบนี้ตลอดไป ไม่ทุ่มถึงขนาดนั่งรอมึงออกเวรทุกวันแบบเดิม มึงจะโอเคไหม บอกตามตรง มันจริงจังกูก็เห็นแล้วแต่มันยังไม่ได้ทำอะไรให้พวกกูรู้สึกวางใจ กูรู้มึงก็รู้สึก"
ปราชญ์รู้สึกตัวเองพูดได้ยาวที่สุดในชีวิตก็วันนี้ อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้ออกปากพูดเรื่องแบบนี้กับอีกฝ่ายมากมายนัก ต่ายเป็นคนเก่งและมั่นใจในตัวเองมาก จนบางทีอาจจะสุดโต่งและงี่เง่าเป็นบางครั้ง แต่ถึงรู้ว่าที่พูดไปเจ้าตัวอาจจะไม่เก็บมาใส่ใจเท่าไร เขาก็ยังอยากจะพูด
"ปราชญ์มันเป็นห่วงนะต่าย" โน้ตเอ้ยขึ้นเสียงเบาเมื่อเพื่อนอีกสองึนเงียบลง ตบไหล่บางเบาๆ "หิวล่ะ เร่งอาหารหน่อยดิปราชญ์ จะกินควายได้ทั้งตัวล่ะ"
"กินพวกเดียวกันก็ได้เนอะคนเรา" ต่ายพูดแหย่ เท่านั้นคนถูกแหย่ก็ดิ้นพล่าน มองหน้าเพื่อนที่นั่งข้างๆอย่างเจ็บใจ
ปราชญ์มองแล้วถอนหายใจ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆ "ร้านนี้ไม่มียอดหญ้าให้มันกินด้วยดิ"
ต่ายหัวเราะเบาๆ โน้ตค้อนเพื่อนทั้งสองคนของตัวเองที่เมื่อครู่ยังพูดกันเสียงเย็นเหมือนจะฆ่ากันให้ได้ แต่ตอนนี้เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนเขาโดนรุมอยู่คนเดียว นี่ถ้าสองสาวในกลุ่มมาด้วยเขายังจะพอมีคนโอ๋บ้าง
เป็นแบบนี้ทุกที ไอ้พวกกรุ๊ปบีเอ้ย !
.
.
เกือบสี่ทุ่มกว่าจะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน ต่ายมองถนนหนทางที่โล่งผิดกับช่วงหัวค่ำอย่างเห็นได้ชัด รถยนต์เริ่มเบาบางลงเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันรุ่งขึ้นป็นวันทำงานและเข้าเรียนของใครหลายคน เพราะฉะนั้นแม้เป็นย่านที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนการจราจรก็ไม่ติดัดนัก ร่างโปร่งมองไฟแดง เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ มือข้างหนึ่งคลึงบ่าของตัวเอง รู้สึกว่าเส้นสายตึงไปหมด ตากลมเหลือบมองที่นั่งข้างคนขับที่มีถุงพลาสติกประทับตราร้านซักรีดวางอยู่ ภายในคือเสื้อช๊อปคณะวิศวกรรมศาสตร์ของใครอีกคนที่มักจะเข้ามาวุ่นวายในชีวิตประจำวัน
ร่างโปร่งถอนหายใจ หันกลับไปมองเส้นทางเบื้องหน้าเมื่อเห็นว่าสัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว แม้ถนนโล่ง เขาก็ไม่ได้ขับเร็วเท่าไรนัก อันที่จริงขับดูวิวข้างทางไปเรื่อยๆก็เพลินดี แม้จะเป็นป่าคอนกรีตใจกลางเมืองหลวงที่วุ่นวายก็ตาม บางที เขาอาจจะต้องการเวลาคิดอะไรหลายๆอย่าง
ใช้เวลาไม่นานเขาก็ขับรถถึงทางเข้าหมู่บ้าน เขาขับรถเลี้ยวตามซอกซอยด้วยความเคยชินและจอดลงที่บ้านหลังเล็กของตัวเอง อันที่จริงมันเป็นบ้านที่พ่อแม่เขาซื้อไว้ให้คนอื่นเช่า แต่พอเขาเรียนหมอ ขับรถกลับบ้านที่อยู่แถวชานเมืองทุกวันไม่ไหว เขาเลยได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แทน หยุดยาวสักครั้งถึงได้กลับบ้านบ้าง พ่อกับแม่เลยกลัวเขาเหงา ส่งเจ้าพิซซ่ามาอยู่เป็นเพื่อนอีกตัว ที่จริงมันก็ช่วยแก้เหงาได้ดีทีเดียว มีบางครั้งที่เขาแอบสงสารมันบ้าง เพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันเท่าไรนัก ขาเรียวก้าวลงจากรถเพื่อเดินไปเปิดประตูรั้ว เห็นเจ้าเพื่อนสี่ขาของตัวเองที่เมื่อได้ยินเสียงรถก็หูกระติก วิ่งกระโดดโลดเต้นไปมาพร้อมเห่าเสียงแหลมจนเจ้าของกลัวว่ามันจะรบกวนเพื่อนบ้าน เขาก้มลงอุ้มมันขึ้นบ่า เจ้าพิซซ่าขยับดุ๊กดิ๊กไปมา แต่ก็ยอมหยุดเห่าโดยดี เขาเปิดประตูรั้วจนสุด แล้วเดินกลับไปที่รถพร้อมกับเจ้าสี่ขาที่ดูจะตื่นเต้นทุกครั้งทั้งที่เขาเองก็ทำแบบนี้เหมือนเดิมทุกวัน ต่ายวางมันลงที่เบาะข้างคนขับ แล้วค่อยๆถอยรถเข้าลานจอดในตัวบ้าน
เขาเคลียร์ของใช้วันนี้ออกจากรถพลางเหลือบตามองถุงร้านซักรีดว่าควรเอาลงด้วยหรือไม่ เจ้าตัวก็ไม่โผล่หัวมาเอาคืนสักทีตั้งแต่วันศุกร์แล้ว พรุ่งนี้วันจันทร์ก็ต้องใช้ใส่ไปเรียน คิดแล้วก็ขมวดคิ้ว หรือว่าอีกฝ่ายหวังจะให้เขาถือไปคืนเหมือนคราวก่อนกัน ต่ายส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเลิกสนใจ วางทิ้งไว้แบบนั้น มือข้างหนึ่งประคองเจ้าพิซซ่าที่กระโดดเข้ามาเกาะอย่างรู้งานว่าได้เวลาลงจากรถแล้ว อีกข้างหยิบบรรดาข้าวของที่ไม่ได้ใช้วันพรุ่งนี้ออกจากรถ
ถ้าอยากจะได้เสื้อคืนก็มาเอาเองแล้วกัน
.
.
ทุกวันจันทร์ตอนเช้าจะมีแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดบ้าน ป้านวลเป็นแม่บ้านที่อยู่บ้านหลังใหญ่ของเขาที่อยู่แถบชานเมือง พ่อกับแม่จะให้คนขับรถพาป้าแกมาช่วยจัดการงานบ้านของบ้านหลังนี้ แต่อันที่จริงป้านวลก็แทบไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากกวาดถูบ้านเล็กน้อย และเตรียมอาหารง่ายๆที่อุ่นทานได้ หรือจับต้มๆทอดๆได้อย่างรวดเร็วใส่กล่องพลาสติกแช่ฟรีซเอาไว้ให้เขา ป้านวลจะเข้ามาดูแลบ้านนี้สองสามวันครั้งแล้วแต่โอกาส ต่ายเคยชินกับเสียงเห่าเล็กแหลมของเจ้าพิซซ่าที่ต้อนรับคนคุ้นเคย เขาจึงนอนกลิ้งบนเตียงต่อ ตากลมปรือมองเวลาตีห้าครึ่ง ฟ้ายังคงมืด แสงแรกของวันยังไม่สาดแสงเต็มที่
เช้าไปหรือเปล่านะ
ต่ายผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเช้าผิดปกติ ปกติป้านวลจะมาถึงบ้านจังหวะที่เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเตรียมออกไปเข้าเวรช่วงเช้าทุกครั้ง หล่อนจะคะยั้นคะยอให้เขาทานอาหารเช้ามื้อใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ให้ก่อนออกจากบ้านทุกที ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาหกโมงกว่าเกือบเจ็ดโมงเช้า แต่เวลานี้เพิ่งจะตีห้าครึ่ง และเจ้าพิซซ่ายังเห่าไม่ยอมหยุด เสียงก๊อกแก๊งจากประตูรั้วทำให้ต่ายรู้สึกท่าทางไม่ค่อยดี เพราะปกติแล้วถ้าป้านวลแกมาถึงจะไขกุญแจเข้ามาในบ้านเลย และเจ้าพิซซ่าก็มักจะหยุดเห่าเมื่อมีคนคุ้นเคยลูบหัวลูบหลังทันที ขายาวก้าวลงจากเตียง แง้มม่านผืนหนาที่บดบังแสงจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม เขาเห็นรถคันใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยจอดที่หน้าบ้าน เห็นคนตัวใหญ่นั่งยองๆเอื้อมมือลอดประตูรั้วเข้ามาลูบหัวเกาคอเจ้าสุนัขสี่ขาของเขาเบาๆจนมันนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น
ว่าที่คุณหมอทำหน้ายุ่ง อารมณ์เสียขึ้นมาเพราะถูกปลุกก่อนเวลาตื่นปกติ ร่างโปร่งเดินตึงตังลงบันไดมาชั้นล่างของบ้าน เปิดประตูบ้านออกไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ยิ่งเห็นใบหน้าคมนั่นเงยหน้าขึ้นมาทำตาโตใส่พร้อมรอยยิ้มกว้างยิ่งหงุดหงิดมากกว่าปกติ
"มาทำอะไรแต่เช้า" เสียงแหบแห้งถามขึ้นอย่างคนเพิ่งตื่นนอน เขากระแอมในลำคอเล็กน้อยเนื่องจากคอแห้งผาก
ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไรเพราะปล่อยชายเสื้อเชิ้ตออกมานอกกางเกงยีนส์สีเข้มจนเกือบดำผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เมื่อไร้มือใหญ่ลูบไล้เกา เจ้าพิซซ่าเลยกลิ้งลุกขึ้นวิ่งไปวนรอบๆเจ้าของมันแทนอย่างร่าเริง ร่างสูงเห็นคนตัวเล็กกว่าแม้จะสูงเกือบๆเท่ากันก้มตัวลงอุ้มสุนัขขึ้นบ่า ปล่อยมันดมไปตามลำคอขาว
อยากเกิดเป็นหมาก็วันนี้ล่ะไอ้บาสเอ้ย
"มารับพี่ต่าย" บายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม เห็นใบหน้าเรียวนั่นมีสีหน้างุนงง เลิกคิ้วขึ้นอย่างเป็นนิสัยเวลาสงสัย "แต่ไม่รู้ว่าวันนี้พี่ต่ายจะเข้าเวรกี่โมง เลยรีบมา ให้ผมเข้าไปรอข้างในหน่อยสิ ยุงกัดอะพี่ นะครับ นะ"
"มาทำไม ไปเองได้" ต่ายเถียงกลับ งงที่อีกฝ่ายปุบปับมาแต่เช้ามืดแบบนี้ไม่น้อย เขาเหลือบเห็นรถมิคูเปอร์คันใหญ่แปลกตากว่ารุ่นที่เป็นสมัยนิยมอย่างแปลกใจ มันจอดที่หน้าบ้านเขา นั่นหมายความว่า ... "รถนายเหรอ"
"ไม่ใช่แต่ใช้ได้" บาสตอบ เกาะลูกกรงรั้วสแตนเลสหน้าบ้านพร้อมยื่นใบหน้าเข้ามาชิดกับรั้ว
"ไปขโมยเขามาหรือเปล่า?" ต่ายถามหวาดๆ ถึงแม้จะเป็นมินิแต่ก็เป็นคันใหญ่ ดูไปก็เหมาะกับคนขับที่เป็นผู้ชายดี
"เฮ้ย เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ยของพี่ต่างหาก" บาสตอบ เขาตอบไม่หมดว่าพี่ที่ให้ยืมมานั้นดันไม่ใช่พี่ชายร่วมสายเลือด แต่ก็ไม่ได้โกหกนี่นา "ว่าแต่เปิดประตูหน่อยสิครับ ยุงกัดผมจนตัวลายไปหมดแล้วนะ ถ้าผมเป็นไข้เลือดออกขึ้นมาทำยังไงอะ คุณหมอจิระภัทรต้องมาดูแลผมนะ"
ต่ายเบ้ปาก รู้สึกหายง่วงขึ้นมาทันทีเมื่อเจอคนตัวใหญ่มาส่งเสียงง๊องแง๊งแต่เช้า เขาถอนหายใจ รู้สึกตัวเองแก่ขึ้นอีกสักปี ตากลมหรี่มองคนตัวสูงใหญ่ที่เกาะรั้วแน่น ทำหน้าตาน่าสงสาร แต่ขอโทษทีเถอะ ดูอย่างไรมันก็น่าหมั่นไส้เป็นบ้า
"เข้าไปรอในรถสิ แค่นี้ยุงก็ไม่กัดแล้ว โง่จริง"
ว่าที่คุณหมอหมุนตัวกลับเข้าบ้านพร้อมเจ้าหมาบีเกิ้ล ไม่สนใจคนตัวโตที่ทำตาละห้อยมอง จะส่งเสียงเรียกโวยวายก็ไม่ได้เพราะเวลานี้ฟ้ายังไม่สว่างดี กลัวว่าก่อนที่เจ้าของบ้านจะเปิดประตูบ้านออกมาต้อนรับเขาจะถูกเพื่อนบ้านแถวนี้แจ้งยามให้มาลากเขาไปมากกว่า บาสยอมแพ้ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งเอนเบาะนอนรอ
ผ้าม่านห้องนั่งเล่นถูกแง้มเปิดนิดหน่อย ดวงตากลมล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวมองลอดช่องเล็กๆนั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายขึ้นรถไปนั่งรอแต่โดยดีก็ยิ้มมุมปากเพียงชั่วครู่ มือขาวยกขึ้นจับแว่นสายตาให้ขยับเข้าที่ เขาปล่อยเจ้าพิซซ่าลงบนพื้น ให้มันวิ่งไปรอบๆโซฟาเล่น จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวประจำของมัน แล้วหรี่ตามองเขา
"มีความผิดนะพิซซ่า ญาติดีกับคนที่ฉันยังไม่อนุญาตเนี่ย" ต่ายเอ็ด มือเรียวตบลงเบาๆที่หัวเล็กๆ แต่เพราะไม่เคยดุอย่างจริงจัง เจ้าหมาตัวเล็กเลยไม่ค่อยกลัวเจ้าของมันเท่าไร มันกลิ้งเกลือกรับมือที่ลูบไล้ลำตัวอย่างสบายอารมณ์ ทำหน้าตามีความสุข
"หึ นั่นก็เหมือนหมาไม่มีผิด"
ใช้เวลาไม่นานในการทำธุระส่วนตัวยามเช้า เมื่อต่ายเดินลงมาชั้นล่างของบ้านก็เกือบเจ็ดโมงแล้ว เขาได้ยินเสียงทุ้มพูดคุยอย่างร่าเริงดังลั่นออกมาจากห้องครัวของบ้าน พร้อมกับเสียงเห่าเล็กแหลมของพิซซ่า ต่ายขมวดคิ้วแน่นด้วยความงง เขาเร่งก้าวายาวๆไปในทิศทางนั้น ประตูห้องครัวถูกเปิดออกกว้าง เขาเห็นชายหนุ่มรุ่นน้องตัวโตที่นั่งบนพื้น มือใหญ่ลูบขนสั้นของเจ้าสุนัขอย่างเพลิดเพลินในขณะที่เงยหน้าพูดคุยกับหญิงวัยกลางคนอย่างเป็นกันเอง
ใช้มารยาอะไรหลอกล่อป้านวลถึงยอมเปิดประตูให้เข้ามาในบ้านกัน
เสียงฝีเท้าของเจ้าของบ้านคงเป็นที่คุ้นเคยของยามประจำบ้าน พิซซ่าที่กำลังนอนตาปรือจึงลุกพรวดขึ้นวิ่งมาหาเขาที่ยืนกอดอกอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องครัว ต่ายเห็นร่างสูงที่แทบจะลุกพรวดตามกันมาแล้วเบ้ปาก
"เข้ามาทำไม" เขาถามเสียงห้วน
"ก็รอในรถมันเมื่อยอ่า เลยออกมาบิดขี้เกียจ พอดีกับที่พี่สาวคนนี้มาพอดี พอบอกว่ามารอพี่ต่ายไปเข้าเวรก็เลยได้เข้ามา" บาสอธิบายสั้นๆ หันไปยิ้มแฉ่งให้ป้านวลที่ยิ้มขำ
"คุณบาสก็ เรียกพี่สาวเชียว" หล่อนหัวเราะคิก "ตอนแรกป้าก็ไม่ไว้ใจหรอกค่ะ ใครก็ไม่รู้แถมดูท่าทางไม่ใช่เพื่อนน้องต่ายด้วย แต่เจ้าพิซซ่านี่สิ ดูคุ้นเคยกันเชียว ทั้งๆที่ไม่ค่อยคุ้นกับใครง่ายๆ ขนาดลุงชัยคนขับรถยังแง่งๆใส่ทุกครั้ง แต่พอเห็นคุณบาสก็วิ่งเข้าไปหาหน้ารั้วเชียว ป้าก็เลยยอมให้เข้ามา เห็นคุ้นเคยกัน"
"พันธุ์เดียวกันจะไม่คุ้นกันได้ไง" ต่ายบ่นพึมพำกับตัวเอง ตวัดตาก้มลงมองเจ้าสี่ขาที่คลอเคลียด้วยความอ่อนใจ "เปลี่ยนข้างแล้วเหรอพิซซ่า"
พิซซ่าส่งเสียงงี้ดง้าดในลำคอทำตาละห้อยอย่างสำนึกผิด ต่ายถอนใจ เขาหันไปรับจานอาหารที่ใส่อาหารเม็ดผสมจนพูนจากป้านวลที่เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพวางลงตรงหน้า เท่านั้นเจ้าพิซซ่าก็กระโดดโลดเต้น วิ่งตามกลิ่นอาหารที่เจ้าของมันถือออกไปนอกบ้านอย่างอารมณ์ดี
ปกติแล้วพิซซ่าจะกินข้าวที่ระเบียงหน้าบ้าน ถึงแม้จะรักสุนัขแต่ด้วยความที่เรียนแพทย์ทำให้เขาต้องติดนิสัยรักสะอาดมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่อนุญาตให้พิซซ่าใช้ชีวิตไปเกินกว่าขอบเขตหน้าบ้าน ห้องนั่งเล่น และห้องครัวที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน และจะไม่อุ้มเล่นในช่วงเช้าเด็ดขาด เพราะชุดของเขาต้องสะอาดเมื่อออกจากบ้าน ส่วนเวลาอื่นคืออีกเรื่อง ถึงแม้จะไม่อุ้ม แต่เจ้าสี่ขาก็รับรู้ได้ว่าเจ้านายรักมัน มือขาววางชามข้าวลงบนพื้นที่ประจำ เขาลูบหัวเล็กของมันเบาๆในระหว่างที่มันกำลังก้มลงกินข้าว
"ถ้าเป็นไอ้สองตัวที่บ้านผมนะ ไปจับมันตอนกินข้าวนี่มันจะงับผมแทน" บาสพูดลอยๆเมื่อเห็นเจ้าพิซซ่าดูจะพอใจที่กินไปมีมือนุ่มๆมาลูบไป
ได้รับความเอาใจใส่ทุกเช้าขนาดนี้ ชีวิตเอ็งน่าอิจฉาเกินไปล่ะพิซซ่า
"แล้วกินอะไรมาหรือยัง" ต่ายถามขึ้น เขาลุกขึ้นเดินนำเข้าไปภายในบ้าน ทิ้งเจ้าสี่ขาให้จัดการอาหารตรงหน้าตัวเดียว
"ไม่อะพี่ ตื่นเช้ามากแล้วคลื่นไส้ไม่อยากกินอะไร" บาสตอบ กุมท้องที่รู้สึกโหวงๆมาแต่เช้า
อันที่จริงอย่าเรียกว่าตื่นเช้าเลยดีกว่า เขาแทบไม่ได้นอนด้วยความตื่นเต้น เมื่อคืนกว่าจะไปเอารถที่บ้านพี่พีคก็ดึกมาแล้ว แถมไอ้พี่ไบค์ยังแกล้งขับวนไปวนมาด้วยความอิจฉาที่เขาจะได้ใช้รถคันนี้ แทนที่จะได้รีบไปส่งพี่พีคกลับบ้านแล้วรีบกลับมา มันดันพาเขาแวะนั่นแวะนี่ตามทางจนดึกดื่น แต่ก็ดีเพระนอกจากมันจะโดนพี่พีคเงียบใส่ด้วยความเอือมระอาตลอดทางแล้ว มันยังต้องเสียเงินเลี้ยงข้าวน้องอีกสองมื้อด้วยความไม่เต็มใจเพราะเขาไม่ได้พกอะไรออกมาจากบ้านเลย แม้กระทั่งกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือก็ตาม ...
ว่าที่คุณหมอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ รู้ทั้งรู้ว่าจริงๆแล้วถึงแม้อนาคตข้างหน้าจะต้องเป็นแพทย์ที่ไม่ได้มีแม้แต่เวลาส่วนตัวหรือเวลารับประทานอาหารให้ตรงเวลาดังที่บรรดาแพทย์ชอบเตือนคนไข้ให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบห้าหมู่ และตรงเวลาสามมื้อ แต่ตัวเองทำไม่เคยได้ ในขณะที่ยังพอมีเวลาและโอกาส เขาก็รู้สึกว่ามันควรจะเป็นกิจวัตรประจำวันที่ควรทำอยู่ดี
"แล้วปกติกินอะไรตอนเช้า" ขาเรียวหยุดอยู่ที่ห้องครัวที่ป้านวลกำลังทำอาหารเช้าแบบเต็มอัตราอยู่ กลิ่นข้าวข้าวต้มโรยด้วยกระเทียมเจียวและต้นหอมส่งกลิ่นเรียกน้ำย่อยให้ร้องโครกคราก
"กาแฟเย็นป้ารถเข็นหน้าม. ... แต่ว่าตอนนี้เกิดอยากจะกินชุดใหญ่แล้วอะพี่"
หญิงเลยวัยกลางคนยืนล้างถ้วยชามอยู่ที่อ่างล้างจาน หล่อนเหลือบตามองผ่านประตูที่เปิดกว้างไป ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ในห้องทานข้าวที่อยู่ถัดจากห้องครัว คนตัวโตกว่าน้องต่ายของเธอมองยังไงก็ไม่มีท่าทางหรือบุคลิกลักษณะที่จะเรียนแพทยศาสตร์ ไม่เหมือนกับคุณโน้ตหรือคุณปราชญ์ที่แม้จะดูห่ามกว่าน้องต่าย แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ นี่แม้สักเปอร์เซ็นต์เดียวหล่อนก็ดูไม่ออก
แต่ทีท่าของต่ายเองก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร ซ้ำยังไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจที่ถูกบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวแถมยังอนุญาตให้นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน แปลว่าอย่างไรก็คงจะสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง และจากการที่ได้พูดคุยกันสักครู่หล่อนก็รู้สึดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนไม่ดีอะไร เพียงแต่ค้อนข้างจะแปลกใจ ไม่ค่อยมีคนที่นิสัยแบบนี้เข้าหาน้องต่ายสักเท่าไร อย่างมากก็รู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น หล่อนมองชายหนุ่มร่างสูงผิวกรำแดดอย่างคนเล่นกีฬาสุขภาพดีแล้วยิ้ม
บางทีการที่น้องต่ายของหล่อนจะคบคนที่มีนิสับแบบตรงกันข้ามแบบนี้บ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน
.
.
บาสเดินลูบท้องออกมาจากบ้าน เขาไม่ได้ทานอาหารเช้าเยอะขนาดนี้มานานแล้ว ข้าวต้มหมูสับโรยไข่ฝอยและกระเทียมเจียวถูกเขาเบิ้ลไปสามชามใหญ่ๆ โดยที่เจ้าของบ้านเหลือบตามองประหลับประเหลือกเพราะเจ้าตัวทานไปแค่ชามเดียว แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร ชายหนุ่มเหลือบมองร่างโปร่งที่เดินเข้าไปใกล้ตัวรถเบนซ์ของตัวเอง ปลดล็อกรถแล้วเข้าไปนั่ง
"เฮ้ๆ พี่ต่าย ผมมารับนะ ไปรถผมสิ" บาสรีบเดินเข้าไปรั้งประตูรถเอาไว้ไม่ให้ปิด โชคดีที่คนที่อยู่ด้านในรถไม่ได้กระชากประตูปิดแรงนักแต่ก็ต้องใช้แรงยื้อกันพอสมควร
ต่ายเหนื่อยใจ ปล่อยให้คนตัวใหญ่แรงเยอะกว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ ดึงประตูรถเปิดออกกว้าง เกาะประตูรถฝั่งคนขับไม่ให้ปิดแน่น
"นายก็ไปรถคันที่นายขับมา ฉันก็ขับรถฉันไปตามปกติเหมือนทุกวัน อย่าทำให้เป็นเรื่องหน่อยเลย"
"เป็นสิพี่ต่าย ก็ผมเอารถมารับพี่ต่ายอะ จะไปรับไปส่ง แล้วจะทำทุกวันด้วย"
“...คิดดีแล้วเหรอ” ต่ายพึมพำตอบ ร่างโปร่งเอนตัวพิงพนักเบาะ ถอนหายใจหนักๆ เหลือบตามองร่างสูงที่เกาะประตูรถอยู่ “ที่กำลังจะทำเนี่ยคิดดีแล้วใช่ไหม”
“พี่ต่ายไม่พอใจอะไรหรือเปล่า” บาสเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆชอบกล
“ใช่ ไม่เคยพอใจสักอย่างตั้งแต่เจอนาย” เสียงแหบพูดกระแทกเสียงดังจนอีกฝ่ายตกใจ “เอาแต่ใจ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ชอบบังคับ ทำตัวเหมือนคนโรคจิต พูดมาก เพ้อเจ้อ น่ารำคาญ หงุดหงิดเป็นบ้า!”
“...พี่ต่าย” บาสพูดเสียงอ่อย ชายหนุ่มลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยเจอพี่ต่ายในโหมดนี้มาก่อน
“ฉันถามว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่ทำแบบนี้”
“...”
“ตอบ!”
ต่ายกอดอก กระแทกเสียงเร่งให้อีกคนรีบตอบคำถามของเขา คิ้วเรียวได้รูปขมวดเป็นปมแน่น ดวงตาโตเบิกกว้างถลึงตาอย่างคนไม่พอใจ ริมฝีปากบางเม้มแน่น
“ดีแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบกลับอัตโนมัติ ถึงแม้จะยังงุนงงในสถานการณ์แต่เสียงที่ตอบกลับนั้นฟังดูหนักแน่นดั่งคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“หึ” ต่ายยกยิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มนั้นสำหรับคนที่ได้เห็นแล้วมันกลับดูไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เท่าไรนัก บาสรู้สึกว่ามันเหมือนกับรอยยิ้มแสยะมากกว่าพอใจ ร่างโปร่งเอนตัวไปด้านหลัง หยิบแฟ้มเอกสารสองสามเล่มมากอดแนบตัว มืออีกข้างคว้าไอโฟนที่วางอยู่บนคอนโซลด้านหน้าของรถ ก้าวพรวดออกมายืนข้างๆ
“ดี” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยขึ้น ถึงแม้จะตัวเล็กกว่าไม่เท่าไรเพราะความสูงไล่เลี่ยกันเขาจึงแทบไม่เคยต้องเงยหน้าคุยกับอีกฝ่ายเลย “ถ้าจะทำก็ทำให้ได้ตลอด ขนของสิ ยืนบื้อทำอะไร”
“...”
บาสรู้สึกตัวเองทำหน้าเหวอแบบจุดจุดจุด เริ่มจับต้นชนปลายเหตุการณ์ไม่ค่อยถูก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินลิ่วๆไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน เขาก็รีบมุดตัวเข้าไปหยิบเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดที่แขวนอยู่ด้านหลังเบาะคนขับ ตาคมเหลือบไปเป็นถุงพลาสติกตีตราร้านซักรีดที่บรรจุเสื้อช๊อปสีกรมท่า เขายิ้มกว้าง ไม่ลืมที่จะหยิบมันติดมือออกมาด้วย ชายหนุ่มจัดแจงปิดประตูให้เรียบร้อย เหลือบไปเป็นว่าที่คุณหมอที่กดปิดล็อกกุญแจรถ เขาเช็คให้แน่ใจแล้วว่ารถล็อกแน่นหนาดี จากนั้นก็ก้าวยาวๆไปที่รั้วหน้าบ้าน เจ้าของบ้านยืนนิ่ง ตอนแรกบาสไม่แน่ใจว่าเขาควรทำอย่างไรแต่ก็เดาได้ไม่ยากเท่าไร มือใหญ่เลื่อนเปิดประตูช้าๆให้คนที่ยืนรออยู่นานแล้วเดินออกไปก่อน
“ไม่ต้องล็อก เดี๋ยวป้านวลจัดการเอง” ต่ายบอกเสียงเรียบทั้งๆที่ไม่ได้หันกลับมามอง เขาเดินไปหยุดรอที่รถมินิคันใหญ่แปลกตา
บาสปลดล็อกรถแล้วก้าวพรวดเข้ามาเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าไปก่อน จากนั้นตัวเขาจึงจัดแจงเปิดประตูหลังเพื่อแขวนเสื้อกาวน์ให้เรียบร้อย ชายหนุ่มรีบวิ่งอ้อมมาที่ฝั่งคนขับรถ เปิดพรวดเข้าไปนั่ง กดปุ่มสตาร์ทรถปรับแอร์ให้เย็นฉ่ำเอาใจตุ๊กตาหน้ารถที่กำลังสาละวนอยู่กับการดึงเซฟตี้เบลท์
เพราะความไม่คุ้นเคย มือขาวพยายามกระตุกเอาสายเข็มขัดออกมาแต่ก็ติด เขาดึงไม่ออก กระตุกสองสามครั้งแล้วก็หงุดหงิดส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ บาสเห็นอย่างนั้นแล้วนึกขำ เขาอยากจะขำออกมาเสียงดังอย่างที่เคยทำแต่ตอนนี้เขายังเดาอารมณ์อีกฝ่ายไม่ถูก จึงได้แต่กลั้นขำจนน้ำตาเล็ดที่เห็นคนที่มักจะทำอะไรเนี้ยบเสมออย่างพี่ต่ายทำอะไรงุ่มง่าม
“มาผมช่วย” ชายหนุ่มใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะเปล่งเสียงออกมาไม่ให้สั่นจนอีกฝ่ายจับได้ว่าเขากำลังขำ กลัวว่าจะโวยวายขึ้นมาอีกและเขาก็จะอดทำอย่างที่ตั้งใจไว้
ช่วงแขนยาววกว่าเอื้อมไปกระตุกสายเข็มขัดออกมาเบาๆเท่านั้น สายเข็มขัดก็ไหลออกมาอย่างง่ายดาย ต่ายมองตาโต เขาตกใจที่เห็นท่อนแขนใหญ่สีแทนโอบแทบจะรอบลำตัว ว่าที่คุณหมอนั่งตัวแข็ง กิริยาท่าทางนั้นไม่ได้เล็ดรอดสายตาร่างสูงไปได้ บาสชักรู้สึกสนุก เขาแกล้งปล่อยมือออกจากสายเข็มขัดให้มันเด้งกลับไปอัตโนมัติ
“โอ๊ะ ขอโทษครับ มันหลุดมืออ่ะพี่”
ต่ายตวัดตามองด้วยความโมโห เม้มปากแน่นแต่เขาพูดอะไรไม่ออกเมื่อท่อนแขนใหญ่นั้นขยับเข้าชิด เขาขยับออกตามจนติดพนักพิงแทบอยากจะฝังตัวลงไปกับเบาะรถ
“เดี๋ยวฉันทำเอง” เขาขู่ฟ่อ มองใบหน้าที่ยิ้มระรื่นราวกับคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรผิด
“เดี๋ยวสิพี่ต่าย อีกนิดนึง”
บาสจงใจขยับแขนให้แนบกับลำตัวบาง รับรู้ได้ถึงอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆนั่น เขาชักรู้สึกประหลาด ชายหนุ่มค่อยๆเอนตัวไปยังเบาะที่นั่งข้างคนขับ หัวใจเต้นระทึก เมื่อรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นรัวไม่แพ้กันของอีกคน ใบหน้าคมของชายหนุ่มก้มลงใกล้กับข้างแก้มเนียน ลมหายใจอุ่นกระทบกับผิวใส เขาอยากรู้ว่ามันจะนุ่มสักแค่ไหนหากได้สัมผัสแม้สักนิด ...
“โอ้ย”
บาสสะดุ้ง เขาถูกกระตุกเส้นผมจนหน้าหงาย ซ้ำร้ายท่อนแขนใหญ่ยังถูกเล็บที่แม้จะสั้นแต่เพราะแรงจิกที่ลงมามันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกจิกเล็บเข้าเนื้อ คนที่ทำยังคงนั่งเชิดหน้านิ่ง ใบหน้าเนียนตั้งตรงไม่ได้หันมามองว่าเขาเจ็บแค่ไหนที่โดนเล่นงานสองจุดพร้อมกันแบบนี้
“บอกแล้วว่าเดี๋ยวฉันทำเอง พูดภาษาคนเข้าใจไหม” ต่ายพูดเสียงเย็น เริ่มหายใจทั่วท้องเมื่อคนตัวใหญ่กว่าหดตัวกลับไปนั่งที่ฝั่งคนขับอย่างสงบเสงี่ยม อันที่จริงๆคือนอนซบพวงมาลัยโอดโอยอยู่อย่างน่าหมั่นไส้มากกว่าเดิม
ได้คืบจะเอาศอกตลอด มันน่านัก!
Fanart พีค / ธนันต์ / ศิลปกรรมศาสตร์ ปี 4
ความคิดเห็น