คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Take #1 {re-write}
#1
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!”
เสียงโวยวายที่ดังออกทำเอามือขาวที่กำลังยกกาแฟขึ้นดื่มชะงัก ช่วงขายาวในกางเกงผ้าเนื้อดีรีบก้าวเดินเข้าไปภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรัฐที่แสนวุ่นวาย วันนี้เขายังไม่ได้พักทั้งวัน บทจะได้พักทีไรก็มีเหตุการณ์แบบนี้ทยอยเข้ามาอยู่เรื่อย อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้เหนื่อยมากเท่าแพทย์ประจำที่ทำงานเสียจนหามรุ่งหามค่ำเท่าไร แต่การเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปี 5 นั้นก็ไม่ได้ลำบากไปน้อยกว่ากันนักยิ่งเป็นช่วงเวลาเข้าเวรในห้องฉุกเฉินแบบนี้ มือขาวกระชับเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่ให้เรียบร้อย เดินเข้าไปดูเตียงที่มีผู้ป่วยส่งเสียงร้องโวยวายอยู่ด้านในสุด แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินวันนี้กำลังตรวจดูอาการพลางถามอาการนิดหน่อย รอบๆเตียงผู้ป่วยมีผู้ชายร่างสูงสองคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนผู้ป่วยยืนอยู่ เหลือบตามองแล้วก็ต้องถอนใจ นิ้วเรียวดันแว่นให้เข้าที่พลางขมวดคิ้ว
“ญาติผู้ป่วยเชิญด้านนอกก่อนนะครับ” เขาพูดขึ้นอย่างเสียไม่ได้ นึกรำคาญใจที่คนตัวใหญ่ๆสองคนยืนเกะกะเจ้าหน้าที่อยู่ทำไมกัน
“ไม่ๆๆ หมออย่าพวกมันออกไป ให้พวกมันอยู่เป็นเพื่อนผมก่อน” ผู้ป่วยบนเตียงโวยวายลั่น นึกอยากจะเห็นหน้าจริงๆ ผู้ชายตัวโตๆ อาจจะโตกว่าเขาด้วยซ้ำร้องโวยวายยังกับเด็กเล็ก แต่ติดที่เจ้าตัวเอาเสื้อปิดหน้าเสียมิด
“คุณหมอจะตรวจและดูอาการไม่สะดวกนะครับ ช่วยออกไปรอด้านนอกสักครู่ พอทราบอาการแล้วจะให้พยาบาลออกไปแจ้งนะครับ” เหลือบตามองด้วยหางตาเห็นแพทย์ประจำกำลังจับดูข้อมือที่บวมจนม่วง อาการแบบนี้น่าจะหักเสียล่ะมั้ง
“เดี๋ยวอาจจะต้องเข้าเฝือกด้วยนะครับ” พูดแล้วถอนหายใจ
“อ้าว เข้าเฝือกเลยเหรอวะ งั้นเดี๋ยวพวกผมไปรอข้างนอกดีกว่า” ยังดีที่เพื่อนพูดจารู้เรื่อง ไม่วายตบขาผู้ป่วยแรงๆเหมือนให้กำลังใจ
“เชี่ย ขากูก็เจ็บ” ขากระตุกขึ้นเหมือนจะเตะเพื่อน เขาหรี่ตามอง ที่ขาอาการไม่หนักหนาหรอกเสียล่ะมั้งถ้ากระตุกได้ขนาดนี้
“ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ กรุณาใช้คำสุภาพและงดใช้เสียงดังด้วยครับ มันเป็นการรบกวนผู้ป่วยท่านอื่น” เขาเตือนด้วยความหวังดี ติดจะรำคาญหน่อยๆ แพทย์ประจำหันไปคุยกับเพื่อนของเขาที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์ผู้ช่วยสองสามคำ เขาเงี่ยหูฟัง พลางจับอุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะเตรียมการข้างๆเพื่อเตรียมการรักษาขั้นต่อไป
“ไม่จริงอะ ผมไม่ได้เสียงดังนะ อาม่าเตียงตรงข้ามนี่ร้องโอย โอยดังกว่าผมอีก” พูดเสียงอู้อี้ในกองเสื้อที่ปิดหน้า ... ทำแบบนั้นหายใจออกเหรอนั่น
“คนแก่แกก็เพ้อไปตามประสานั่นแหละครับ”
“อาจารย์บอกว่าต้องไปเอ็กซเรย์อีกรอบ ขอฟิล์มใหญ่เต็มแขน แต่เราต้องทำแผลให้เตียงสอง นายพาไปพร้อมพี่บัวได้ไหม อาจารย์ฝากเอกสารนี้ให้หมอสุธีด้วย” เขาพยักหน้าตอบอย่างเสียไม่ได้ นี่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นข้าวก็ยังไม่ได้กินสักคำ ประทังชีวิตได้ด้วยน้ำเปล่าและกาแฟแท้ๆ ไม่รู้ว่าจบวันนี้จะเป็นว่าที่หมออย่างเขาหรือเปล่าที่ต้องลงไปนอนโอดโอยบนเตียงนั่นแทน
“คุณครับ คุณลงจากเตียงไหวไหม ลงมานั่งรถเข็นหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะให้พยาบาลพาไปห้องเอ็กซเรย์อีกรอบ” เขาสะกิดเบาๆ พลางคิดในใจว่าคนอะไรตัวก็ไม่ได้เล็ก แต่ปอดแหกเป็นบ้า
“ไปไหนอีกอ่ะหมอ” คนไข้โผล่หน้าออกมาจากเสื้อ ว่าที่คุณหมอตัวขาวชะงัก
“จ้องหน้าผมทำไมอะหมอ ผมหล่ออะดิ”
หล่อไหมไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าหน้าตากวนอวัยวะเบื้องล่างแบบนี้เนี่ยแทนที่จะข้อมือหักมันน่าจะปากแตกเลือดกลบ ลิ้นขาดพูดไม่ได้ไปเลยน่าจะดีกว่า
“ถ้าลุกเองได้ก็ช่วยตัวเองนิดนึงนะครับ ขยับมาหน่อยครับ” เขาถอนหายใจเบาๆ พลางนับหนึ่งถึงสิบในใจ
“สรุปผมข้อมือหักจนต้องเข้าเฝือกเลยใช่มั้ยอะ ถ้าผมข้อมือหักแบบนี้แถมเป็นมือขวาด้วย แล้วผมจะช่วยตัวเองยังไงอะ?” คิ้วเรียวชักกระตุกกับคำพูดตื่นตระหนกที่ฟังแล้วกวนอวัยวะเบื้องล่าง ตาสีอ่อนเหลือบมอง ในใจนับเลขจนจะถึงร้อยแล้ว
“หมอตอบผมหน่อยสิ นี่มันเรื่องใหญ่ของชีวิตลูกผู้ชายเลยนะครับ” เขาเห็นท่าขยับลงจากเตียงดูทุลักทุเล แม้ไม่อยากยื่นมือเข้าไปช่วยแต่ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์แล้วก็อดไม่ได้ที่จะช่วยประคองให้ลุกขึ้นจากเตียงและพยุงลงมานั่งที่รถเข็น เขาไม่ได้ตอบคำถาม กลับยิ้มมุมปากให้ส่งๆ นางพยาบาลประจำก้มลงยกขาคนไข้เพื่อวางเท้าลงกับชั้นวาง เขาเห็นว่าขาอีกฝ่ายก็ขยับไม่สะดวกเท่าไร น่าจะเคล็ดหรือซ้นไม่มาก
“หมอนี่ขนตาเยอะชะมัด” บ่นอุบอิบเมื่อเห็นคุณหมอตัวขาวขยับเข้าใกล้ ได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ “ยังกับปัดมาสคาร่าเลย”
“คุณเคยใช้เหรอครับ ดูเชี่ยวชาญนะครับ” อดที่พูดจะแขวะกลับไปไม่ได้
“พูดงี้แปลว่าหมอปัดมาสคาร่าดิ” น้ำเสียงถามเหมือนไม่รู้จริงๆ ยียวนจนต้องกำมือจับที่รถเข็นแน่นๆ ไม่ให้มันกระตุกไปโดนร่างกายของคนไข้
“ไม่ได้ใช้ครับ” กัดฟันตอบ หางตาเหลือบเห็นพี่พยาบาลที่มาช่วยเข็นรถเข็นให้อมยิ้มเล็กเหมือนกลั้นขำแล้วก็เจ็บใจที่ตัวเองอยู่ในหน้าที่ ตอบโต้อะไรมากไม่ได้นัก
“หมอต่ายไปไหนคะเนี่ย” เสียงพยาบาลวัยรุ่นที่แก่กว่าเขาหน่อยนึงเอ่ยเรียกระหว่างทาง หล่อนถือเอกสารออกมาจากห้องพัก เขายิ้มตอบ เหล่ต่ำมองกลุ่มผมสีดำสนิทของคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั่งเพราะได้ยินเสียงฮัมเพลง คนไข้ปากมากที่โวยวายเมื่อครู่นั่งนิ่งผิวปาก มองนั่นนี่อย่างสบายอารมณ์จนอยากจะบอกว่าถ้าสบายดีขนาดนี้แปลว่าไม่ได้เจ็บมาก กลับบ้านไปเลยก็ได้
“พอดีคุณหมอวิรัชฝากเอกสารไปให้คุณหมอสุธีที่ห้องแล็บด้วยครับ ผมเลยต้องเดินไปด้วย” เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้มสุภาพ เมื่อหล่อนรับทราบแล้วก็รีบขอตัว ปลีกเข้าไปช่วยงานในห้องผู้ป่วยที่ตัวเองรับผิดชอบ
“หมอชื่อต่ายเหรอ คุณหมอกระต่าย ก็ดูเข้ากับหมอนะ” เจ้าผู้ป่วยอารมณ์กวนกลับมาส่งเสียงแซวอีกครั้ง ต่ายเหลือบมองพี่พยาบาลที่เดินมาข้างๆกันกำลังกลั้นหัวเราะจนตัวโยน
“ทำไมหมอหน้าเด็กจังครับ อายุเท่าไร คนเป็นหมอนี่ทำไมต้องใส่แว่นกันนะ แต่หมอใส่แล้วน่ารักเข้ากับหน้ามาก ชื่อก็น่ารักด้วย”
“ถึงห้องเอ็กซเรย์แล้วครับ หมอสุธีครับผมฝากด้วยนะครับ แล้วนี่เอกสารที่หมอวิรัชฝากมาให้ครับ เดี๋ยวผมขอตัวกลับไปห้องฉุกเฉินก่อนนะครับ” เขาส่งต่อคนไข้พูดมากให้กับนายแพทย์อีกคนที่เดินออกมารับพร้อมบุรุษพยาบาลอีกคนแล้วรีบเอ่ยลา ขืนให้เขาอยู่ต่ออีกนานหน่อยต้องประสาทกิน
สาบานเถอะ .. เจอคนไข้แบบนี้ทุกวัน เขาต้องอายุสั้นลงไปอีกหลายปีแน่ๆ !
.
.
ต่ายรู้สึกโล่งหูที่พอคนไข้เคสเมื่อสักครู่ที่กลับมาเขาก็ไปทำแผลให้กับเด็กผู้ชายที่รถจักรยานยนต์ล้มอยู่แล้วจึงไม่ต้องกลับไปช่วยงานเตียงนั้น สักพักพี่พยาบาลก็เดินมาเตือนว่าได้เวลาเขาออกเวรแล้ว เธอคงเห็นว่าเขาอิดโรยเต็มที รายงานวันนี้ก็ยังไม่ได้เขียนเสียด้วย เขาจึงเอ่ยลา ขอตัวแยกออกมาจากห้องฉุกเฉิน แล้วแวะไปนั่งเขียนรายงานส่วนของวันนี้ที่ห้องพักแพทย์สักครู่ก่อนจะกลับ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เขาเดินออกจากห้องพักแพทย์ แทบอยากจะหายตัวจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้เหมือนด็อบบี้ที่หายตัวไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ
คุณหมอนักศึกษาแพทย์เดินพาร่างอิดโรยมานั่งพักตรงจุดจ่ายยา หยิบไอโฟนขึ้นมาสไลด์ดูโปรแกรมไลน์เพื่อพิมพ์บอกเพื่อนว่าเขาจะรออยู่ตรงล็อบบี้ เขียนรายงานเสร็จแล้วให้รีบลงมา เขาเงยหน้าพิงพนักพิงของเข้าอี้ เลื่อนตัวลงพักคอ พักสายตานิดหน่อย เขาคงเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนมาเขย่าตัวเบาๆ ตกใจที่ว่าตัวเองเผลอเรอจนถึงขั้นแอบงีบในโรงพยาบาลทั้งๆที่ยังใส่เสื้อกาวน์เต็มยศ ลืมตามองเห็นเพื่อนตัวดีสองคนยืนมองกรุ้มกริ่มปนสงสัย
“มองอะไรกันวะ” เขาถามด้วยความสงสัย เห็นเพื่อนอีกสองคนที่กระซิบกระซาบกันแล้วมองมาด้วยแววตาฉงน พอขยับตัว เสื้อสีน้ำเงินเข้มคุ้นตาก็ไหลเลื่อนลงจากตัวลงไปกองกับตัก มือขาวหยิบขึ้นมาดูด้วยความงุนงง เสื้อผ้าหนาสีเข้มนี่มันของใคร เขาคลี่เสื้อดูพลางเงยหน้ามองเพื่อนสองคนที่เลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย
“พวกกูมาถึงก็เห็นมึงนอนหลับมีเสื้อห่มให้มึงอยู่ล่ะ”
ว่าที่คุณหมอสะบัดเสื้อพลิกซ้ายพลิกขวา เห็นบิลค่ารักษาหล่นลงมาจากเสื้อสีเข้มที่มีตรามหาวิทยาลัยปักอยู่ตรงอกซ้ายเป็นชื่อมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขา เจ้าของบิลน่าจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของเสื้อด้วย พลิกซ้ายพลิกขวา นอกจากรายการค่ารักษาและชื่อเจ้าของยังมีลายมือหวัดๆ เขียนด้วยปากกาหมึกดำไว้สองสามบรรทัด
เห็นนอนดูท่าจะหนาว อยากให้รู้ไว้ว่าเสื้อกาวน์หมอมันไม่อุ่นเท่าเสื้อช๊อปวิศวะหรอกนะครับ
ปล. อย่าลืมเอาเสื้อมาคืนผมด้วยนะครับ หมอต่าย
บาส เบอร์ 08x-xxx-xxxx
ความคิดเห็น