ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {YAOI} เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช็อปวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #21 : Take #19

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 29.86K
      450
      21 ต.ค. 57

    #19



    วันเสาร์เป็นวันที่สมควรเป็นวันหยุดของนักศึกษาทั่วไปแต่ไม่ใช่กับนักศึกษาแพทย์ ช่วงทุกวันหยุดราชการทั้งเสาร์และอาทิตย์ถึงเป็นวัน Ward Round ที่จะต้องเข้าเวรในช่วงเช้า บางเคสอาจจะเลยเถิดไปช่วงบ่ายได้ ถึงกระนั้นต่ายก็ไม่ลืมว่าเย็นวันนี้เขาและเพื่อนๆทั้งกลุ่มจะแห่ไปถล่มบ้านของเขาตามคำเชิญชวนของบุพการีที่เคารพรักที่ไม่ได้เจอกันนานจนกลัวจะลืมหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ไป เป็นโชคดีของเขาที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงสอบย่อยไปพร้อมกับที่มหาวิทยาลัยสอบกลางภาคเสร็จ บรรดาอาจารย์จึงยุ่งอยู่กับการตรวจเช็คข้อสอบรวมไปถึงรายงานต่างๆดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก อันที่จริงปีห้าก็ถือได้ว่าเป็นปีที่ค่อนข้างสบายสำหรับนักศึกษาแพทย์เพราะเคยชินจากการทำงานมาตั้งแต่ช่วงปีสี่แล้ว ติดที่ว่าต้องศึกษาเนื้อหาด้วยตัวเองเยอะไปเสียหน่อย


     
    ดวงตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว ต่ายหยิบใบรายงานที่เขียนเอาไว้ติดมือกลับมาด้วยเพราะยังไม่เสร็จดี เหลือลงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ป่วยอีกนิดหน่อยเท่านั้น มืออีกข้างหนึ่งถือถุงกระดาษที่ใส่เสื้อกาวน์ยาวสีขาวที่ตั้งใจจะเอากลับไปซัก ตอนแรกเขาตั้งใจจะกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจว่าไปชุดไหนก็เหมือนกัน อีกอย่างเขาขี้เกียจย้อนไปย้อนมาด้วยเพราะบ้านที่เขาอยู่นั้นมันคนละทางกัน เขาก้าวยาวๆไปตามทางเดินของโรงพยาบาลที่ทอดไปยังสวนอาหารที่เต็มไปด้วยบรรดาร้านอาหารทั้งตามสั่งทั่วไปและแฟรนไชส์ชื่อดัง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่สะสางงานตัวเองเสร็จเพราะเมื่อไปถึงเขาก็เห็นเพื่อนฝูงที่นัดกันไว้ทุกคนนั่งคุยกันเฮฮาเสียงดังอยู่แล้ว ต่ายเห็นเจ้าเด็กวิศวะตัวโตที่วันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อช๊อปเหมือนปกติเพราะไม่ใช่วันธรรมดาที่ต้องเข้าเรียน เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มตัวที่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายชอบใส่บ่อยๆ ใบหน้าคมนั่นประดับด้วยรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะร่า ดูเหมือนคนอัธยาศัยดีอย่างหมอนั่นจะสนิทกับสองสาวอย่างส้มและหมิวอย่างรวดเร็วเพราะมองจากตรงนี้ก็ดูจะเข้ากันได้ดี

     
    เจ้าของร่างสูงที่ต่ายกำลังจ้องมองยกมือขึ้นโบกทันทีที่สายตานั่นสะดุดเห็นว่าเขายืนนิ่งอยู่หน้าร้านกาแฟที่นัดกันไว้ ต่ายส่ายหน้าอมยิ้มนิดๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโรคจิตที่แอบดูชาวบ้านทั้งๆที่การแอบดูของเขานั้นมันออกจะโจ่งแจ้งไปเสียหน่อยจึงถูกฝ่ายนั้นจับได้อย่างง่ายดาย นอกจากหูจะไวเหมือนสุนัขแล้วยังจะตาไวเหมือน...เอ..เหมือนอะไรดีนะ จะว่าเหมือนเหยี่ยวก็ไม่ใช่เพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนตาดุ แต่ถ้าเป็นคนพี่ล่ะก็อาจจะเปรียบเทียบแบบนั้นได้ ต่ายเลิกคิดฟุ้งซ่าน เขาเดินเข้าไปในร้านแล้วเอ่ยทักทายเพื่อนอีกสี่คนที่นั่งอยู่ด้วย โน้ตลุกขึ้นไปลากเก้าอี้ไม้บุนวมรองนั่งอย่างดีของร้านกาแฟมาให้เขานั่งลงข้างๆตัวเอง 

     
    “ยังเขียนรายงานไม่เสร็จหรือ” ปราชญ์ทักขึ้นเมื่อเห็นเขาวางแฟ้มที่บรรจุกระดาษรายงานขนาดเอสี่สามสี่แผ่นลงบนโต๊ะ

     
    “อือ เหลือลงประวัติผู้ป่วยอีกนิดหน่อย เดี๋ยวค่อยส่งวันจันทร์” เขาตอบสั้นๆ หันไปมองร่างสูงผิวสีเข้มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายนั้นส่งยิ้มกลับมา เป็นรอยยิ้มแบบเดิมที่เขาได้รับมาตลอดในช่วงเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมา

     
    เวลาผ่านไปไวนัก ต่ายยังจำได้ถึงวันแรกที่เจ้าตัวแหกปากร้องโวยวายลั่นห้องฉุกเฉินแถมยังกวนประสาทจนเขาที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วแทบจะหลุดอารมณ์เสียตอกกลับอยู่หลายครั้ง แถมหลังจากนั้นยังพาตัวเองเข้ามาวุ่นวายให้ชีวิตที่สุขสงบของเขายุ่งเหยิงไปหมด น่าแปลกที่เขาปรับตัวรับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ดีจนตัวเองยังนึกประหลาดใจจนถึงทุกวันนี้ วันที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องต่างคณะได้กลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต คิดอะไรเพลินๆไปได้ไม่เท่าไรเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหวานๆของสองสาวในกลุ่มที่เตือนเรื่องเวลา เขาตั้งใจจะไปถึงที่บ้านก่อนเวลานัดสักหน่อย ดังนั้นก็ควรได้เวลาที่พวกเขาจะออกเดินทางได้แล้ว

    .
    .

     
    รถเบนซ์ C220 cdi คันเดิมที่มักจะบรรจุผู้โดยสารเพียงแค่สองคนวันนี้ได้เพิ่มจำนวนมาอีกสองคน สองสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังชวนคุยเจื้อยแจ้ว ส่วนปราชญ์กับโน้ตขับตามหลังมาติดๆ

     
    “วันนี้คุณแม่ปิดร้านเลี้ยงเลยเหรอต่าย” หมิวชะโงกหน้ามาตรงช่องว่างระหว่างเบาะนั่งด้านหน้า

     
    “ไม่เชิงหรอก พอดีวันนี้มีเลี้ยงพนักงานประจำปีเขาเลยโทรมาชวน” 

     
    “ร้าน? ไม่ได้ไปบ้านพี่ต่ายเหรอครับ” สารถีจำเป็นที่นับวันแล้วคงจะเทคโอเวอร์ตำแหน่งคนขับรถประจำในไม่ช้าย้อนถามด้วยความสงสัย 

     
    “ก็บ้านกับร้านก็อยู่ที่เดียวกันแหละ” ต่ายตอบส่งๆไป มือวุ่นวายกับรีโมทเครื่องเสียงที่ต่อเข้ากับไอโฟนยังไงก็ต่อไม่ติดเสียทีชะงักเล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งนึกได้ “เอ๊ะเคยบอกไปหรือยังว่าบ้านเป็นร้านอาหาร”

     
    บาสเคาะพวงมาลัย สายตามองตรงไปยังท้องถนนเบื้องหน้าแต่คิ้วขมวดเหมือนคนกำลังนึก “...เหมือนจะบอกแล้ว ขอโทษผมนึกว่าตอนนั้นพี่ล้อเล่น มิน่าล่ะ...”

     
    “มิน่าล่ะอะไรจ๊ะ” ศีรษะที่โผล่มาตรงช่องว่างตรงกลางเพิ่มเป็นสองหัว เมื่อทั้งสองสาวต่างแย่งกันเกาะเบาะชะโงกหน้ามาคุยด้วยความสนใจ

     
    “พี่ต่ายเลยทำกับข้าวอร่อยสินะ” บาสเปรยขึ้น หันมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ

     
    “ว้ายอะไรกัน นี่เป็นเพื่อนกันมาห้าปีพวกพี่ไม่เคยได้กินฝีมือต่ายเลยนะ” สองสาวโวยวายลั่นรถ ต่ายรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวเมื่อถูกมือเล็กๆนั่นจับโยกจนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด

     
    ใช่สิ ก็ไม่มีใครได้ไปบ้านเขาเลยนี่นา บทจะถึงเวลารวมตัวกันทีไรถ้าไม่นัดกันไปต่างจังหวัดแล้วล่ะก็คอนโดของปราชญ์ถือเป็นสถานที่ลำดับสองที่เป็นแหล่งรวมตัวของเพื่อนในกลุ่มมากที่สุด จะให้ไปหยิบจับทำโน่นทำนี่ในบ้านคนอื่นน่ะเหรอ เขาไม่เอาด้วยหรอก ประการแรกคือไม่คุ้นมือ หยิบจับอะไรก็ดูจะไม่ถนัด ส่วนประการที่สองคือประเด็นสำคัญ เพราะเขาขี้เกียจนั่นเอง 

     
    “พอๆ” 

     
    “หึ งอนล่ะ”

     
    “งอนทำไม ไม่สวยงอนไปก็ไม่มีใครง้อ” 

     
    “ไอ้กระต่ายยยยย” สองสาวโวยวายลั่นรถ บาสถึงกับหลุดหัวเราะ มองกระจกหลังสลับกับเหล่ตามองคนข้างๆไปมา

     
    “บาสดูมันนะ ดูมัน” พอไม่มีตัวช่วยอื่นก็หันมาหาบุคคลที่สี่ที่กำลังขับรถอยู่

     
    “แถวนี้ไม่มีมันอะครับผมเลยไม่รู้จะไปดูที่ไหน” บาสหัวเราะร่าเมื่อรุ่นพี่ผู้หญิงสองคนหน้ามุ่ย “แต่ถ้ามันที่ว่าคือพี่ต่ายผมดูอยู่ทุกวันเลยครับ”

     
    “แค่ดูอย่างเดียวงั้นเหรอจ๊ะ ดูแต่ตาแล้ว...” ส้มหรี่ตาพูดแซว

     
    “ผมดูที่ตา แต่ผมมองที่ใจน่ะครับ” 

     
    พูดไม่ทันขาดคำฝ่ามือที่ใช้หยิบจับอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่เป็นนิจก็ประทับเข้าที่ต้นแขนหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเล็กน้อยส่งเสียงดังเพี้ยะก้องไปทั้งคันรถจนสองสาวห่อปากร้องอูยแทนคนโดนทำโทษ บาสเหลือบตามองไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเห็นดวงตาภายใต้แว่นกรอบดำนั้นวาววับจนขนลุกซู่ 

     
    “ขับรถ” ต่ายพูดเสียงนิ่ง

     
    “เขินรุนแรงตลอด” 

     
    “บาส” 

     
    “ครับๆ ขับอยู่ครับ อูย เจ็บนะเนี่ย”

     
    ต่ายหรี่ตามองคนขับรถที่บ่นปอดแปดว่าเจ็บอย่างนั้นอย่างนู้นแล้วเบะปากคว่ำ ทำสีหน้าเอือมระอา กระแทกตัวพิงเบาะนุ่มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงเพื่อนสาวสองคนหัวเราะคิกคักหันไปซุบซิบคุยกันแถมยังก้มหน้าก้มตากดสมาร์ทโฟนของตัวเองแล้วก็เดาได้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถเมื่อสักครู่จะต้องหลุดไปให้อีกสองคนที่อยู่คนละคันรถรับรู้อีกแน่นอน 

     
    .
    .

     
    จากตัวเมืองขับเลี่ยงเส้นรถติดอย่างสุขุมวิทมาได้ทันเวลาฉิวเฉียด นี่ถ้าออกสายกว่านี้สักยี่สิบนาทีต่ายฟันธงได้เลยว่าคงต้องนอนกันอีกสามตื่นกว่าจะหลุดถนนเส้นนี้ไปได้ พอหลุดแยกบางนามาได้สักพักแล้วเขาก็คอยบอกทางสารถีอย่างละเอียด สองสาวหลับไปสักพักแล้ว รถเงียบขึ้นเยอะ อย่างน้อยก็ตอนที่อีกฝ่ายกำลังขับรถอยู่แบบนี้ โชคดีที่เขาตัดสินใจถูกแต่แรกว่าจะไปให้เร็วกว่าเวลานัดสักหน่อย เพราะขับไปอีกไม่ถึงสิบนาทีรถเบนซ์คันโตก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังร้านอาหารซีฟู้ดติดถนนใหญ่เลียบเส้นสุวรรณภูมิ

     
    “เอ้า ยืนมองอะไร เข้าไปสิ” ต่ายหันมาเรียกเจ้าหมาตัวโตที่ยืนนิ่งอยู่ข้างรถ ส่วนสองสาวแทบจะแล่นเข้าไปด้านใน ยกกล้องสมาร์ทโฟนถ่ายเซลฟี่กันใหญ่เพราะมาหลายครั้งแล้ว 

     
    “ร้านใหญ่จัง”

     
    “ปราชญ์กับโน้ตรออยู่นั่นแล้วเห็นไหม เร็วสิ”

     
    ต่ายมองคนตัวสูงกว่าที่ดูจะปอดแหกขึ้นมากะทันหันแล้วก็ต้องแอบหัวเราะเยาะในใจ คิดมากไม่เข้าเรื่องตลอด... เขาเดินไปใกล้แล้วดึงแขนเสื้อเชิ้ตสีเข้มนั้นให้เดินตามเข้าไปด้านในตัวร้าน ต่ายรู้สึกเหมือนกำลังจูงเด็กอยู่อย่างไรไม่รู้ โตแต่ตัวจริงๆ เขาพยักหน้าส่งให้โน้ตที่ยืนรอปราชญ์สูบบุหรี่หมดไปหนึ่งตัวแล้วเพื่อบอกว่าให้เดินเข้าไปด้านในร้าน บรรดาพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านไปผ่านมาเอ่ยทักเขาที่เป็นลูกชายเจ้าของอย่างแข็งขัน ต่ายได้แต่ยิ้มตอบบ้างพยักหน้าให้บ้าง มีหลายคนที่เขาไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย แต่เขาก็เดาได้ว่าคงเป็นพนักงานใหม่ ต่ายเดินถามพนักงานที่เอ่ยทักทายเขาอย่างร่าเริงว่าพ่อกับแม่อยู่ที่ไหน แล้วก็ทราบได้ว่าทั้งสองคนยังคงวุ่นอยู่ในห้องครัวเพื่อตระเตรียมอาหารเลี้ยงพนักงาน 

     
    โฮ่งโฮ่ง... เสียงสุนัขที่เห่าดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของพนักงานที่กำลังจุดเตาบาร์บีคิวเมื่อเจ้าหมาตัวเล็กนั่นถูกขนมาพร้อมกับโต๊ะที่ถูกยกลอยเหนือพื้นโยกเยกไปมา ต่ายเห็นแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อมันลนลานกลัวตก แต่เมื่อมันหันมาเห็นเขาก็หมอบนิ่ง ส่งสายตาเหมือนขอให้ช่วยให้ลงไปจากที่นี่เสียที 

     
    “ป้านวลเอาพิซซ่ามาด้วยเมื่อเช้า” เขาบอกร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลังที่ดูสีหน้าดีขึ้น ไม่หงอเหมือนก่อนเดินเข้ามาด้านใน “ไปดูพิซซ่าให้หน่อยเดี๋ยวเข้าไปบอกแม่ก่อนว่ามาถึงแล้ว”

     
    “เฮ้ย!” บาสตกใจเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาพันแข้งพันขา เมื่อมองลงไปก็เห็นเจ้าสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลอีกสองตัวเดินวนไปเวียนมาใกล้ๆ ต่ายย่อตัวลงนั่ง อุ้มตัวหนึ่งมากอดไว้ 

     
    “นี่นักเก็ต แม่พิซซ่า ตัวนั้นเป็นพ่อชื่อเบอร์เกอร์”

     
    “ชื่อน่ากินทั้งครอบครัวจริงๆ” บาสบ่นพึมพำ

     
    “แม่ตั้งให้เหอะ!” 

     
    บาสขยับตัวไปหาพิซซ่า มันคงดีใจที่จะได้ลงจากโต๊ะเหาะเฮอริเคนนี่สักที ต่ายหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นมันถลาเข้าหาคนตัวโตทันทีที่ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้จนบาสแทบรับไม่ทัน พิซซ่าส่งเสียงขู่พนักงานสองคนที่กลั่นแกล้งมันอย่างโกรธแค้นแต่ก็ได้รับเสียงหัวเราะขำขันตอบกลับมาแทน 

     
    “ตัวแค่นี้ไปขู่เขาอีก” บาสตบหัวมันเบาๆ ก่อนปล่อยมันลงพื้นให้มันวิ่งวนไปมารอบๆ

     
    “ไปรอตรงโน้นกับปราชญ์ก่อน หิวก็กินได้เลยนะ อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกคนแถวนี้ เอาพิซซ่ากับเบอร์เกอร์ไปด้วย เดี๋ยวไปเกะกะเขากำลังขนโต๊ะจัดที่กันอยู่ เดี๋ยวมานะ”

     
    .
    .

     
    พี่ต่ายหายไปสักพักแล้ว พี่โน้ตกับพี่ส้มและพี่หมิวทั้งสามคนตอนนี้หนีไปถีบเรือเป็ดเล่นอยู่ในทะเลสาบเทียมที่ถูกขุดขึ้นมาประดับสวนอาหาร บาสมองไปรอบๆแล้วกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ สวนอาหารนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามโซน ส่วนด้านในห้องปรับอากาศ ด้านนอกที่เป็นโต๊ะอาหารริมน้ำและส่วนที่พวกเขากำลังนั่งอยู่เป็นบังกะโลหลังเล็กๆเรียงรายกันสี่ห้าหลัง ดูเหมือนเป็นห้องส่วนตัวสำหรับจัดเลี้ยงกัน กว้างขวางขนาดที่จุดคนประมาณสิบคนได้สบายๆ ส่วนที่เขากับพี่ปราชญ์เลือกนั่งก็คือโซนนี้นั่นเอง บังกะโลยื่นออกไปในทะเลสาบ ต้องเดินข้ามสะพานไม้ออกมาเล็กน้อยแต่ก็เป็นส่วนตัวดี ไม่ไปปะปนกับบรรดาพนักงานที่กำลังสังสรรค์กันอย่างเต็มที่

     
    “แมลงวันบินเข้าปากมึงไปสามตัวล่ะ” ปราชญ์คาบบุหรี่พูดงึมงำ นั่งไขว้ห้างท้าวแขนไปตามความยาวของพนักพิงโซฟาตัวยาว “คิดห่าไรอยู่”

     
    “นิดหน่อยว่ะพี่ปราชญ์” บาสตอบ มือใหญ่ลูบไปตามหลังของเจ้าพิซซ่าที่คงจะเล่นจนเหนื่อยเลยแอบงีบไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวพ่อนอนเกลือกกลิ้งอยู่อีกฝั่งของโซฟา “รู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่”

     
    ปราชญ์อยากจะหัวเราะพ่นน้ำลายพรูด “มึงก็อยู่ผิดที่มาตั้งแต่เริ่มจีบมันแล้ว”

     
    บาสหัวเราะ เออที่พี่ปราชญ์พูดมันก็จริง เขาก็รู้แต่แรกแล้วว่าพี่ต่ายกับเขาอยู่คนละโลกแต่แรก การที่เขาแทรกตัวเข้ามาในโลกของพี่ต่ายก็แปลว่าเขาอยู่ผิดที่ผิดทางไปแล้ว อยากจะก้าวเข้ามาในโลกที่ตัวเองไม่คุ้นเคยเอง ตอนนี้ก็ใช้กรรมไปแล้วกัน

     
    “เอาเถอะ จริงๆไม่ถามก็พอรู้อยู่ว่าคิดอะไรอยู่ กลัวพ่อแม่ต่ายมันจับได้ใช่ไหมล่ะ” ปราชญ์เคาะปลายบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะเล็กข้างๆ “กลัวเขาจะรับไม่ได้ใช่ไหม”

     
    บาสไม่ตอบ ชายหนุ่มมองไปยังรุ่นพี่ต่างคณะที่เริ่มจะสนิทกันมาสักพัก เขาเลือกที่จะตอบคำถามด้วยคำถาม ”ถ้าพี่เป็นผมพี่จะทำยังไง”
    ปราชญ์ยักไหล่ เลิกคิ้วมองเหมือนกับตัวเองก็ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะตอบ “ก็ต้องบอกความจริงล่ะมั้ง มึงมาถึงขั้นนี้แล้ว ถอยกลับไปก็ไม่ได้แล้ว คนเราต้องยอมรับความเป็นจริงแล้วก็เดินหน้าต่อไป มึงอย่าคิดมากหน่า พ่อแม่ต่ายมันใจดีแถมยังใจอ่อนจะตายไป อย่างน้อยก็ใจอ่อนมากกว่าลูกชายตัวเองเยอะ ต่ายมันได้ใครมาไม่รู้ ดื้อจะตาย”

     
    “หึ” บาสส่งเสียงในลำคอ ยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง เรื่องใจแข็งกับดื้อเนี่ยเป็นที่หนึ่งเลยคนๆนั้น เห็นเงียบๆอย่าคิดว่าจะเป็นเด็กเรียนเรียบร้อย คุณถูกหลอกแล้ว “ถ้าเกิดพ่อแม่เขาจะรับไม่ได้ ผมก็เคยคิดอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรวันนี้มันก็ต้องมาถึง ไม่ใช่พ่อแม่พี่ต่ายก็คงเป็นพ่อแม่ของผมเอง”

     
    “ถ้าคิดถึงขั้นนั้นไปแล้วจะกลัวอะไรอีก” ปราชญ์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ถ้าคิดถึงขั้นนั้นแล้วก็แปลว่าจริงจัง จะไม่ปล่อยมือไปจากมันแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าความรู้สึกมั่นคงแล้วเดี๋ยววิธีการก็ตามมาเอง ทำให้ต่ายมันใจอ่อนอย่างไร ทำให้พ่อกับแม่มันใจอ่อนตามไม่ยากนักหรอก อีกอย่างต่ายมันไม่ได้พามึงมาลานประหารนะเว้ย ทำหน้าให้มันดีๆ พ่อแม่มันจะระแคะระคายเพราะหน้ามึงส่อพิรุธนี่แหละ”

     
    บาสถูกมือใหญ่ตบหลังดังอั้ก แทบจะหัวทิ่มไปด้านหน้า เขารู้สึกว่าหลังชาวาบ ทำอะไรไม่ได้นอกจากหันไปมองหน้าตัวการพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเครียดแค้น ไอ้พี่ปราชญ์... สักวันเถอะมึง...

     
    .
    .

     
    พ่อแม่พี่ต่ายเจ้าของสวนอาหารนทีทิพย์เป็นชายหญิงวัยกลางคนที่ดูไม่แก่หมือนคนมีลูกวัยยี่สิบสองปี ตอนที่พี่ต่ายเดินนำหน้าทั้งสองคนมาเขาแทบไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำนึกว่าพนักงานทั่วไปเพราะผู้เป็นพ่ออยู่ในชุดเสื้อโปโลลาคอสสีดำกับกางเกงขาสั้นคาเมลสีครีมกับรองเท้าแตะหนัง ส่วนคนแม่นั้นใส่เสื้อยืดสีฟ้าพาสเทลกับกางเกงยีนส์ขากระบอกพับขาขึ้นเล็กน้อยกับรองเท้าโลฟเฟอร์สีน้ำตาล จนเมื่อพี่ปราชญ์ที่นั่งอยู่ด้วยกันกระทุ้งศอกจนเขาเจ็บแปล๊บพร้อมกับยกมือไหว้ ทำเอาบาสที่กำลังเกาหูพิซซ่ายกมือขึ้นไหว้ตามเกือบไม่ทัน

     
    “ปราชญ์ เป็นอย่างไรบ้างลูก” คนเป็นแม่เอ่ยทักพี่ปราชญ์ที่นั่งอยู่ข้างๆเขา บาสเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าพี่ต่ายได้เค้าโครงหน้าจากคนเป็นแม่มาเต็มๆ แต่ได้ความสูงจากพ่อ แถมยังใส่แว่นเหมือนกันเสียด้วย

     
    “ดีครับคุณน้า” คนถูกทักตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง “คุณน้ายังสวยเหมือนเดิมเลย”

     
    “แหม...ชมอีกแล้ว แต่จะให้ดีแทนที่จะชมช่วยพาพ่อลูกชายกลับมาบ้านบ่อยๆบ้างเถิด ไม่ใช่พากันหายไปจนต้องโทรตามง้อตามลากกลับมาแบบนี้” 

     
    ปราชญ์หัวเราะแห้งๆ เหลือบมองเพื่อนตัวเองที่ทำหน้าเอือมระอาใส่แสดงว่าโดนบ่นเรื่องไม่ค่อยกลับบ้านมาเรียบร้อยแล้ว “ก็เรียนหนักน่ะครับช่วงนี้ก็เลยไม่มีเวลาเท่าไร”

     
    “ถ้ารู้ว่าเรียนหมอจะมีข้ออ้างเยอะขนาดนี้นะ... อ้าว นั่นใครกันลูก” หล่อนหรี่ตาขู่เพื่อนลูกชายแล้วหันมามองหน้าเขา บาสยิ้มเจื่อนๆให้เหมือนคนไม่ทันตั้งตัว

     
    “สวัสดีครับ” บาสยกมือไหว้อีกครั้ง

     
    “นี่บาส” 

     
    “เพื่อนเหรอ? ตั้งแต่เอซิ่วไปแม่ก็ไม่เห็นเราพาคนอื่นนอกจากพวกปราชญ์มาบ้านอีก” 

     
    “เปล่า... บาสเรียนคนละคณะ อยู่วิศวะปีสาม”

     
    “อ้อ...” หล่อนทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แล้วหันมามองบุคคลหน้าใหม่ “เอ๊ะ บาส... ใช่ที่พี่นวลกลับมาเล่าให้เราฟังหรือเปล่าคุณ” เธอหันไปถามสามีที่นั่งลงบนเก้าอี้อาร์มแชร์ฝั่งตรงข้าม 

     
    “คิดว่าใช่นะ” คนเป็นพ่อตอบคำถาม ถึงจุดนี้บาสรู้สึกว่าอากาศในห้องนี้มันร้อนผิดปกติทั้งๆที่ลมก็พัดโกรกเข้ามาเย็นสบาย แต่ทำไมเหงื่อเขาแตกพลั่กขนาดนี้ไม่รู้ “แล้วมาสนิทกับต่ายได้ยังไงนะ?” 

     
    บาสสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลักด้วยความตื่นเต้น “คือวันนั้นผมเล่นกีฬาแล้วเกิดอุบัติเหตุครับ ข้อมือหักต้องเข้าเฝือก พอดีวันที่ไปหาหมอที่ต่ายเข้าเวรห้องฉุกเฉินพอดี แล้วก็มีเหตุบังเอิญให้เจอกันอีกหลายครั้งก็เลยสนิทกันน่ะครับ”

     
    ตอนพูดบาสเหลือบมองบุคคลที่ถูกอ้างอิงถึง ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือไม่แต่เขารู้สึกว่าพี่ต่ายตั้งใจฟังเป็นพิเศษ พอเขาพูดถึงเรื่อง ‘เหตุบังเอิญ’ เจ้าตัวก็กรอกตาขึ้นฟ้าทำปากขมุบขมิบ เห็นแล้วเขาแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพอเขาได้มองอากัปกิริยาของร่างโปร่งแล้ว ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายมากขึ้น ไม่เกร็งมากเหมือนตอนเริ่มบทสนทนา

     
    “พ่อกับแม่ไม่เคยเห็นต่ายสนิทกับคนนอกคณะ ยกเว้นเพื่อนที่โรงเรียนตอนม.ปลาย เลยประหลาดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่คิดมาก ดีเหมือนกันให้มันไปเปิดโลกบ้าง วันๆอยู่แต่ในโรงพยาบาลน่าเบื่อจะตายไป”

     
    “ก็ไม่ได้อยากอยู่ทุกวันสักหน่อยแต่มันจำเป็นนี่นา” ต่ายบ่นอุบอิบ

     
    “แล้วเรียนวิศวะเป็นไง ยากไหม ต้องยุ่งจนไม่มีเวลาให้พ่อแม่เหมือนเรียนหมอหรือเปล่า” 

     
    “แม่อะ...”

     
    “แม่เขาก็ล้อเล่น” คนเป็นพ่อพูดปลอบแต่ปากหัวเราะจนบาสกับปราชญ์ที่นั่งอยู่ร่วมหัวเราะไปด้วย

     
    “ก็ยากเหมือนกันครับแต่หลวมตัวเลือกไปแล้วก็ต้องก้มหน้าก้มตาเรียนไป”

     
    “อยู่ปีสามแล้วเดี๋ยวปีหน้าก็จบแล้ว จบพร้อมต่ายกับพวกพี่เขาเลยสินะ”

     
    “ใช่ครับ” บาสตอบรับ 

     
    โชคดีที่คำถามสองสามคำถามถัดมาก็ยังเป็นคำถามการเรียนและสารทุกข์สุขดิบทั่วไปของเขาและพี่ปราชญ์ โชคดีที่พวกเขาโดนไล่เบี้ยกันไม่มากเท่าไรเพราะคนที่รับไปเต็มไปคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวที่นั่งหน้ามุ่ย ริมฝีปากบนแทบจะเชิดติดปลายจมูกด้วยความงอนเพราะสุดท้ายตัวเองก็โดนบ่นอยู่วันยังค่ำ 

     
    บาสค่อยรู้สึกหายใจทั่วท้องเมื่อพ่อกับแม่ของพี่ต่ายขอตัวออกไปดูแลพนักงานด้านนอก ทั้งสองคนยังไม่ลืมย้ำให้พวกเขาทำตัวตามสบาย อยากทานอะไรก็ตักได้เลยเต็มที่แถมยังเป็นผู้สนับสนุนของมึนเมาให้พวกเขาเสียด้วย แต่พอรู้ว่าทั้งเขาและพี่ปราชญ์ต้องขับรถกลับก็บ่นเสียดาย ถึงแม้จะชวนให้นอนค้างที่บ้านก่อนแล้วค่อยกลับพรุ่งนี้แต่เพราะบรรดาว่าที่คุณหมอทุกคนมีหน้าที่ในวันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ก็เลิกตื้อไป ยังมิวายบ่นจนเสียยาวเหยียดว่านี่จะไม่ให้หยุดพักผ่อนกันเลยหรืออย่างไร บาสรู้ว่าพวกท่านบ่นไม่จริงจังเท่าไรหรอก ใครบ้างล่ะจะไม่ภูมิใจที่ลูกชายจะเป็นหมอในอีกปีสองปีข้างหน้า

     
    “กูนึกว่าจะได้ซดมาม่าเสียแล้วตอนที่พ่อมึงถามว่ามาสนิทกันได้ยังไง พวกมึงทำเอากูลุ้นตัวโก่งเลยแม่ง” บาสหันไปมองเพื่อนรุ่นพี่ที่ไถลตัวลงกับพนักพิงโซฟา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเขาคนเดียวที่เกร็งจนปวดตัวไปหมด

     
    “ลุ้นอะไร” ต่ายขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทและร่างสูงที่กระเถิบมานั่งข้างๆอย่างถือวิสาวะ บนตักมีเจ้าพิซซ่าที่กระโดดดึ๋งมาหาตั้งแต่เขานั่งลงบนโซฟาแล้ว

     
    “ก็ลุ้นว่าเรื่องที่มันเป็นแฟนมึงจะแตกไหมน่ะสิวะ”

     
    “อ้อ...” ต่ายหัวเราะ มองหน้าคนสองคนที่ทำสีหน้าโล่งอกโล่งใจเสียเต็มประดา “ก็เขาไม่ถาม”

     
    “ดีแล้วแหละที่ไม่ถาม” บาสพึมพำ 

     
    “แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สงสัย” ปราชญ์ย้อน เหล่มองรุ่นน้องต่างคณะ “ครั้งนี้ก็ถือว่ามึงรอดตัวไปแล้วกันเว้ย เดี๋ยวกูออกไปตามพวกนั้นก่อน ถีบเรือกันจนกล้ามขึ้นน่องโตกันแล้วมั้งนั่น”

     
    .
    .

     
    ปราชญ์เดินออกไปที่ระเบียงด้านหน้า บาสได้ยินเสียงตะโกนขู่เพื่อนอีกสามคนที่กำลังสนุกจนลืมเวลา ได้ยินเสียงตอบรับเป็นเสียงหัวเราะคิกคักและเสียงพ่อพี่ต่ายที่ตะโกนผสมโรงว่าของจะหมดแล้วจนคนที่กำลังถีบเรือเป็ดเล่นอยู่ต้องรีบขานรับเพราะกลัวเข้ามากินไม่ทันคนอื่น

     
    “ไหนเคยบอกว่าไม่อยากฟังว่าเป็นเพื่อน เป็นรุ่นน้องหรืออะไรแบบนี้ไง” ดวงตากลมใต้กรอบแว่นหรี่มองอย่างหยอกล้อกับประโยคที่เขาเคยเอ่ยไปก่อนหน้านี้

     
    “ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนพี่ หรือเป็นรุ่นน้องพี่นะ” บาสยิ้มกริ่ม ต่ายได้ฟังแล้วก็ต้องชะงัก เออจริง เจ้าหมอนี่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนหรือรุ่นน้องเลยสักคำ เจ้าเล่ห์นัก

     
    “แล้วไอ้ ‘เหตุบังเอิญ’ นั่นคืออะไร” 

     
    “อันนั้นยอมรับว่าโกหกครับ เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพี่สำหรับผมไม่มีคำว่าบังเอิญ ผม ‘ตั้งใจ’ ทั้งนั้น” 

     
    มือที่สอดเข้าหามือข้างที่วางอยู่บนตักของเขากระชับแน่น ถ่ายเทอุณหภูมิของอีกฝ่ายที่มักจะร้อนกว่าเขาอยู่เสมอ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ ต่ายรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อุ่นขึ้นแค่จุดที่ถูกสัมผัสเท่านั้น 

     
    มันอุ่นไปทั้งหัวใจ...

     
    “ผมตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น ตั้งใจที่จะโตขึ้นกว่านี้ พี่จะได้พึ่งพาผมบ้างเวลาพี่เหนื่อยหรือไม่สบายใจ ผมจะพยายามไม่เอาแต่ใจ จะเป็นคนที่ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ พี่จะได้มั่นใจพอที่จะวางมือคู่นี้ของพี่ให้ผมดูแล...”  

     
    คำหวานจากผู้ชายทะเล้นที่นานๆครั้งจะพูดคำหวานฟังกี่ทีเขาก็รู้สึกหัวใจพองฟูจนเหมือนร่างกายจะลอยได้ ใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่า ต่ายเสมองออกไปด้านนอกกลบเกลื่อน “ไม่จำเป็นสักหน่อย”

     
    เสียงที่ตอบกลับพึมพำนั้นแม้จะแผ่วเบาแต่บาสกลับได้ยินชัดเจน น่าแปลกที่แม้คำพูดนั้นจะเหมือนกับคำตัดพ้อแต่เขากลับไม่รู้สึกน้อยใจ เขาส่งยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย ขยับตัวเข้าใกล้จนแทบจะนั่งเกยกัน “ตอนนี้ยังไม่จำเป็นก็ไม่เป็นไร ผมมีเวลาให้พี่... ตลอดชีวิตของผม”

     
    “ดีแต่พูด” ต่ายเบะปาก “ไม่ว่าตอนไหนก็ไม่จำเป็นทั้งนั้นฉันดูแลตัวเองได้”

     
    “งั้นพี่ก็ดูแลตัวของพี่ไป” คำพูดที่หลุดจากร่างสูงทำเอาต่ายหันขวับ ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมากะทันหันทั้งๆที่อีกฝ่ายก็แค่พูดย้ำคำที่เขากล่าวออกไปเท่านั้น ต่ายมองใบหน้าคมเข้มที่แม้จะพูดประโยคด้วยน้ำเสียงหงอยแต่ริมฝีปากกลับแต้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บาสอยากจะหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นหน้าว่าที่คุณหมอคนเก่ง “อย่าเพิ่งหน้างอสิครับ ผมจะบอกว่าพี่ก็ดูแลตัวของพี่ไป... ส่วนหัวใจให้ผมดูแลแล้วกัน”

     
    บ้าจริง! เป็นแค่มุขเสี่ยวที่อีกฝ่ายชอบหยอดจนติดเป็นนิสัยแท้ๆ แต่ต่ายรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนจนแทบไหม้ ชีพจรเต้นระรัวจนรู้สึกว่าหากลองเอาสเตธโตสโคปมาลองฟังคงดังก้องไปทั้งหูแน่ๆ เป็นแค่เจ้าเด็กที่ชอบพูดจาล้อเล่นแถมดื้อดึง ดันทุรังเหลือเกิน...
    ดันทุรังจนได้ก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างๆเขา ณ ตอนนี้

     
    เพราะความสูงที่แตกต่างกันไม่มากทำให้ใบหน้าหล่อนั่นอยู่ในระดับสายตาเขาพอดิบพอดี ถึงจะไม่ตั้งใจมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มนั้น เขากลับรู้สึกว่าตัวเองหลบสายตาที่นั่นไม่ได้เลย แววตาของชายหนุ่มแพรวพราวตามลักษณะของคนอารมณ์ดี ขี้เล่นจนเห็นครั้งแรกเขารู้สึกว่าหมอนี่เป็นคนน่ารำคาญ แถมขี้ตื้อเสียจนเขาเหนื่อยใจ แต่เมื่อมองลึกเข้าไปชัดๆแล้วเขากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกมั่นคงแน่วแน่ และชัดเจนที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งมอง... ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงดูดเข้าใกล้

     
    ปลายนิ้วเย็นแตะเข้าที่ข้างแก้มข้างหนึ่งของชายหนุ่ม บาสสะดุ้งเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้มือนั้นเย็นชืดอยู่นาน เขายกมือขึ้นทาบเข้าหา เอียงหน้าซุกเข้ากับฝ่ามือที่ค่อยๆอุ่นขึ้นเรื่อยๆ

     
    “ไม่ต้อง...” เสียงแหบเอ่ยแผ่วเบาทั้งๆที่ยังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้ม “ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น” 

     
    บาสมองใบหน้าเรียวเล็กที่ประดับรอยยิ้มมุมปากบางๆ ดวงตาหลังเลนส์แว่นมองหน้าเขาจริงจัง เขารู้ว่าพี่ต่ายไม่ใช่คนใจร้ายแม้จะปากร้ายเป็นบางเวลาก็ตาม ชายหนุ่มนิ่ง นั่งฟังเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางสีสดนั่นอย่างตั้งใจ...






     
     
    “ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น แค่อยู่ข้างๆกันก็พอ...” 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×