ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {YAOI} เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช็อปวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #18 : Take #17

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 29.24K
      459
      15 ก.ย. 57

    #17



    ช่วยงานกูหน่อย


    โทรศัพท์สายตรงที่นานๆเจ้าตัวจะโทรมาหาสักครั้งทำให้คนเป็นน้องชายขมวดคิ้ว ถ้าพี่ชายโทรมาทีไรแปลว่ามีเรื่องทุกที ปกติแล้วพี่ไบค์จะติดต่อมาทางไลน์หรือแชทเฟสบุ๊คมากกว่า บาสยกมือขึ้นมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาช่วงหัวค่ำแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตกลงรับปากไปเพราะหากเขาไม่ตกลง พี่ไบค์ก็จะสรรหาข้ออ้างมาให้เขาตกลงอยู่ดี อีกอย่างสิ่งที่พี่ชายเขาไหว้วานนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เป็นเรื่องที่เขาชอบด้วยซ้ำ เพียงแต่ห่างหายจากมันมานานแล้วเท่านั้นเอง เขาตกลงเวลากับพี่ชายเรียบร้อยแล้วจึงกดวางสาย จากนั้นสไลด์โทรศัพท์หาเบอร์ที่ตัวเองต้องการติดต่อคนถัดไปแล้วกดโทรออก รอสัญญาณรอสายดังสามสี่ครั้งก็ยังไม่มีคนรับสาย ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนวางสาย ไม่แปลกที่ปลายสายจะไม่รับเพราะยังไม่ถึงเวลาออกเวร เขาตัดสินใจเปลี่ยนไปเข้าไลน์แล้วพิมพ์บอกธุระของเขาไปให้เรียบร้อย เมื่ออีกฝ่ายเห็นก็คงจะตอบกลับมา

    เขาโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวจากรางแขวนผ้าหน้าห้องน้ำแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อย พี่ไบค์จะมารับตอนเกือบสองทุ่มเพราะฉะนั้นเวลายังเหลือเฟือ

    เข้าห้องน้ำไปไม่นานเท่าไรเขาก็ต้องวิ่งออกมาทั้งผ้าเช็ดตัวพันเอวเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง โชคดีที่เขาอาบน้ำล้างสบู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว บาสรีบเช็ดมือให้แห้งอย่างรวดเร็ว รับโทรศัพท์ที่แผดร้องเสียงดัง

     

    “พี่ต่าย”

    (จะไปไหน)

    ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงที่ตอบกลับมามันห้วนเล็กน้อย

    “พี่ไบค์มันชวนไปช่วยงานนิดหน่อยอะพี่”

    (ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ถามว่าจะไปไหน)

    “โกรธป่ะเนี่ย” บาสใช้น้ำเสียงล้อ แหย่ปลายสายเล่น

    (เปล่า... อย่ามาย้อนนะ สรุปไปที่ไหน)

    “ร้านเฮียที่ไปคราวก่อนครับ ไปด้วยกันไหมพี่ต่ายแต่น่าจะเลิกดึกนะ แล้วพรุ่งนี้พี่ก็ต้อง...”

    (มารับ)

    “ห๊ะ?”

    (มารับไง เร็วๆด้วย จะได้เวลาแล้วไม่ใช่เหรอ”

    “ไปด้วยกันจริงดิ”

    (เอ๊ะ ไม่ไปแล้ว ไม่ต้องมานะ) ปลายสายจิ๊ปากเสียงดังด้วยความไม่พอใจ จะกดวางโทรศัพท์

    “พี่ต่ายอย่าเพิ่งครับ เดี๋ยวผมไปรับนะ ผมโทรหาพี่ไบค์แป๊บนะพี่ รออยู่ที่เดิมนะเดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไป”  

     

    บาสรีบลนลานตอบ พอได้ยินเสียงปลายสายอืออาในลำคอแล้วก็ต้องรีบกดวางสายแล้วเปลี่ยนไปโทรหาพี่ชายทันที พอมันรับสายเขาก็บอกไปว่าพี่ต่ายจะไปด้วย พี่ชายจอมกวนของเขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียนจนเขาหมั่นไส้ตะหงิดๆ นัดแนะกันว่าให้เจอกันที่ร้านเลยตอนสองทุ่มครึ่งแล้วรีบวางสาย บาสรีบแต่งตัว เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อเชิ้ตยีนส์สีน้ำเงินเข้มไล่สีอ่อนแก่ใส่กับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม ปัดเส้นผมเปียกๆของตัวเองให้เข้าที่ลวกๆแล้วก็รีบกระโดดไปใส่รองเท้าผ้าใบไนกี้แอร์สีดำแดงคู่ใหม่ที่พี่ชายเพิ่งหิ้วติดมือมาให้วันก่อนที่เขาวานให้มันเอาผ้าปูที่นอนมาเปลี่ยน ใส่เสร็จแล้วก็นึกได้ว่าลืมฉีดน้ำหอมนิดหน่อยจึงกระโดดเหยงๆไปที่โต๊ะวางของใกล้กับห้องน้ำ ดีที่เป็นรองเท้าใหม่เขาเลยไม่กลัวพื้นห้องสกปรกเท่าไร สายตาสอดส่องมองไปรอบห้องว่าตัวเองไม่ลืมอะไร มือตบกระเป๋ากางเกงยีนส์สำรวจว่าตัวเองเอาทั้งกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มาแล้วก็รีบปิดไฟแล้วล็อกห้อง วิ่งปรู๊ดไปที่ลิฟท์อย่างว่องไว โชคดีที่ใต้หอมีแท็กซี่มาส่งผู้โดยสารพอดีเขาเลยไม่ต้องเดินออกไปเรียนที่ถนนใหญ่ด้านหน้า ชายหนุ่มบอกสถานที่ปลายทางกับโชเฟอร์เรียบร้อยแล้วจึงนั่งพักหายใจหายคอนิดหน่อย

    ระยะทางจากหอมาโรงพยาบาลเป็นระยะเวลาสั้นๆหากรถไม่ติด แต่เพราะวันนี้เป็นคืนวันศุกร์แห่งชาติที่ขึ้นชื่อว่ารถติดมหาศาล จากปกติที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีกลายเป็นเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางเขาร้อนใจนิดหน่อยเลยไลน์ไปหาคนที่รอว่ารถติดมาก ปลายทางตอบรับกลับมาด้วยสติกเกอร์ดุ๊กดิ๊กว่าโอเคก็โล่งใจ นั่งมองวิวรถติดข้างทางไปเรื่อย

    พี่ต่ายไม่ได้รออยู่คนเดียว เพราะสองข้างที่ยืนประกบเป็นเพื่อนสนิทของว่าที่คุณหมอ บาสเห็นเพื่อนสนิทสามคนยืนคุยกันไปหัวเราะไปแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย พี่ต่ายเวลาอยู่กับเขาน่ารักอยู่แล้วแต่เวลาอยู่กับเพื่อนก็น่ารักไปอีกแบบ พูดได้ว่าจะทำอะไรจะหยิบจับอะไรก็น่ารักไปหมด เออ... สงสัยเขาคงเป็นบ้าจริงๆอย่างที่เพื่อนหลายคนแอบนินทาลับหลังให้เขาได้ยินเป็นประจำ ก็พี่ต่ายของเขาน่ารักที่สุดจริงๆนี่ ไม่หลงแฟนจะให้ไอ้บาสไปหลงใคร

     

    “โอ๊ะ หล่อเชียวนะมึง” คนสังเกตเห็นเป็นพี่ปราชญ์ที่ยืนกอดอกแล้วหันมามองพอดี พอได้ยินเพื่อนทักขึ้นทั้งต่ายและโน้ตที่ยืนหันไปอีกทางก็มองมาทางผู้มาใหม่ทันที


    บาสแอบเห็นพี่ต่ายเบ้ปากเล็กๆ แถมมองเขาแปลกๆ เอ๊ะนี่เขาใส่เสื้อกลับด้านหรือเปล่าวะ....


    “ปกติก็หล่ออยู่แล้วพี่แต่วันนี้หล่อมากเป็นพิเศษ” บาสยักคิ้วให้คนทักแล้วหันไปมองใบหน้าเนียนแก้มแดงของต่าย

    “พวกกูไปด้วยได้มั้ยวะ นานๆที” ปราชญ์ถามขึ้น บาสทำหน้างงเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ

    “ได้ดิพี่ ไม่ใช่ร้านผมอะ ดีอีกพวกพี่ไปจะได้อยู่เป็นเพื่อนพี่ต่าย”  

    “หึ พูดงี้แปลว่าจะพาเพื่อนกูไปทิ้ง”

    “เฮ้ยไม่ใช่ พี่ปราชญ์แม่งหาเรื่องผมตลอดพี่ต่ายดูเพื่อนพี่ดิ” ชายหนุ่มหันไปหาตัวช่วย

    “ดูทำไมเห็นมันอยู่ทุกวัน” ต่ายยิ้มมุมปาก มองสองคนต่อปากต่อคำกันไปเรื่อย

    “เออๆ มึงขับนำไปเลยนะเดี๋ยวกูตาม”

     

    บาสพยักหน้าหงึกหงัก เดินตามคนถือกุญแจรถที่เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว ได้ยินเสียงปลดล็อกรถเบาๆแต่เจ้าของรถกลับเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับด้วยความเคยชิน หลังๆมานี่ต่ายไม่เคยขับรถกลับเองด้วยซ้ำตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่ว่าเขาจะขับรถมาเรียนเองแต่ขากลับนั้นอีกฝ่ายอยากจะมารับแล้วขับรถไปให้ที่บ้านก็ตามสบาย ชายหนุ่มเดินไปฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถ เห็นว่าที่คุณหมอตัวขาวปรับเบาะเอน เอื้อมไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กที่หลังรถแล้วคลี่ห่มตัว ซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงไปหนีอากาศหนาวจากแอร์รถแล้วชายหนุ่มก็ต้องอมยิ้ม อดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปกดจูบเบาๆที่แก้มเนียนเล่น

     
     

    “โอ้ย เจ็บนะพี่ต่าย” บาสครวญเมื่อถูกกระตุกผมบริเวณท้ายทอยอย่างแรง

    “รีบขับออกไปเลยเดี๋ยวรถติด” ต่ายดันใบหน้าคมให้ออกห่าง ขยับตัวไปชิดติดกับประตูรถ

    “ครับๆ นอนเลยก็ได้นะเดี๋ยวถึงแล้วผมปลุก”      

     
     

    ต่ายหลับตาลง รู้สึกว่าแว่นตากำลังถูกมือใหญ่ค่อยๆดึงออกให้อย่างเคยชิน เขาพึมพำขอบคุณเบาๆแล้วผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

    .

    .

    “ยังไม่ได้ถามเลยว่าไปช่วยอะไรพี่”

     

    บาสสะดุ้งเล็กน้อย เขากำลังเคาะนิ้วกับพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่พร้อมกับมองไปเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยไฟท้ายรถสีแดงเป็นพรืด เขาหันมามองคนถามที่เอียงหน้ามามองตาแป๋ว คงจะตื่นได้สักพักแล้ว

     

    “เซอร์ไพรส์ได้มั้ยครับ” บาสยักคิ้วกวน ได้ยินเสียงหึขึ้นจมูกของคนข้างๆก็หลุดหัวเราะ “ก็ไปช่วยงานที่ร้านนิดหน่อย”

    “ไอ้ช่วยงานที่ว่านั่นมันอะไรล่ะ เด็กเสิร์ฟเรอะ” ต่ายย้อนเสียงสูง

    “หล่อขนาดนี้ให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟเสียดายของแย่นะพี่”

    “คนที่ชอบชมตัวเองคือคนที่ความเป็นจริงไม่มีคนชม” ต่ายย้อนมองใบหน้าคมที่ทำสีหน้าเจ็บปวดเพราะโดนแทงใจดำ “สรุปนี่จะบอกหรือไม่บอก”

    “ไม่บอก แฮ่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ต่าย ผมไม่มีความลับกับพี่หรอกนะแต่อยากให้พี่ประหลาดใจ ไหนๆก็มาด้วยกันแล้ว”

    “ไม่ชอบเซอร์ไพรส์”

    “หน่าพี่ ผมไม่ทำเรื่องไม่ดีหรอกครับ”

    “...”

    “ไม่โกรธนะครับ พี่อย่าโกรธผมเลย ผมยอมพี่ต่ายคนเดียว”

     

    หูเหอร้อนไปหมด ต่ายเหลือบมองร่างสูงที่พูดเสียงอ่อนเสียงหวานเอาใจทั้งๆที่ยังปิดบังเรื่องบางเรื่องเอาไว้แล้วก็ต้องเบ้หน้า เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีทางไปทำเรื่องไม่ดีอะไรเพราะพอเขาบอกว่าจะตามมาด้วยชายหนุ่มก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เจ้าตัวส่งข้อความผ่านไลน์มาบอกว่าวันนี้ติดธุระต้องไปช่วยงานพี่ชาย ตอนเขาเห็นก็ประหลาดใจเล็กน้อย ยอมรับก็ได้ว่าอยากรู้แค่นิดหน่อยเท่านั้นว่าธุระที่ว่านั่นคืออะไร ทำไมต้องไปดึกขนาดนี้ด้วย แถมสถานที่ยังเป็นร้านเหล้าอีกต่างหาก


    นี่ไม่ได้จับผิดนะ... ไม่ใช่เลยเถอะ

     

    พอพ้นสี่แยกไฟแดงที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดมาได้รถก็แล่นฉิว ต่ายปรับเบาะขึ้น มองกระจกหลังเห็นรถเล็คซัสของปราชญ์ขับตามหลังมาติดๆ บาสมองตาม

     

    “รถพี่ปราชญ์โคตรเฟี้ยว”

    “แต่นั่งได้แค่สองที่” ต่ายย้อนขึ้นทำเอาบาสหลุดขำ “ขึ้นชื่อว่ารถสปอร์ตแต่คนขับใจไม่สปอร์ตสักนิด”

    “ปกติเห็นพี่แกแบกกระเป๋าหนักเกือบสิบโลขึ้นรถไฟฟ้าทุกวัน ไม่คิดว่าจะซ่อนรถเท่ห์ๆแบบนี้ไว้”

    “ก็แถวคอนโดมันรถติดมาก แต่ดีที่รถไฟฟ้าเข้าถึง แถวบ้านไม่รู้จะสร้างเสร็จเมื่อไร รถติดจะตาย น่าเบื่อมาก”

     

    บาสเหลือบมองคนที่บ่นหงุงหงิง มองข้างทางไปเรื่อยแล้วยิ้ม ตั้งแต่คบกันพี่ต่ายพูดมากขึ้นเรียกได้ว่าพูดได้ทุกเรื่องเลยทีเดียว ประหลาดที่คนพูดมากอย่างเขากลับชอบที่จะเงียบแล้วนั่งฟัง มีแหย่บ้างตามประสาคนชอบกวน

    วันนี้ถนนเส้นนี้รถเยอะมากกว่าปกติ เพราะเป็นเส้นที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์และคอมมูนิตี้มอลล์สองข้างทาง ผู้คนจึงพากันมารับประทานอาหารและสังสรรค์กันยามค่ำคืน บาสหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในเขตร้านด้วยความเคยชิน เขาเห็นลานจอดรถของร้านเกือบเต็มแล้วแต่ยังพอมีที่ว่างพอสำหรับรถอีกไม่ถึงสิบคัน เขาบอกให้พี่ต่ายโทรหาพี่ปราชญ์ที่ขับตามมาให้ไปจอดรถที่โซนสำหรับสต๊าฟด้วยกัน จะได้ไม่ไปเบียดกับรถคันอื่น เขาจอดรถยิ้มทักทายให้กับพนักงานที่รู้จักกันอย่างเป็นกันเองแล้วลงจากรถไปยืนบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ

     
     

    “ไม่ลงเหรอพี่ต่าย” บาสชะโงกหน้าเข้าไปในรถเมื่อยืนรอเกือบห้านาทีแล้วก็ยังไร้วี่แววของคนตัวขาว

    “ฮื่อ เปลี่ยนเสื้ออยู่” ต่ายตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้าติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มลายจุดแขนสั้นที่พับแขนโชว์ลายผ้าสีขาวด้านในตัดกับลายตัวเสื้อ ยิ่งใส่เสื้อผ้าสีเข้มยิ่งทำให้คนที่ตัวบางอยู่แล้วบางลงไปอีกแถมยังขับผิวให้ขาวขึ้นไปอีก

    “โห เตรียมพร้อมขนาดนี้รู้ล่วงหน้าป่ะเนี่ย กางเกงด้วยมั้ยพี่ ผมจะได้ยืนมอง เอ้ย ยืนรอ...” บาสแซวขำๆ


     

    ต่ายตวัดตามองแล้วลงจากรถปิดประตูลงมายืนรอให้สารถีจำเป็นล็อครถให้เรียบร้อย มันบังเอิญตรงที่วันนี้เขาแวะไปรับเสื้อผ้าที่ร้านซักรีดตอนเช้าก่อนที่จะเข้าเวรเขาเลยมีเสื้อเปลี่ยน จะให้เข้าร้านเหล้าทั้งชุดนักศึกษาคงดูไม่ดีเท่าไรยกเว้นจำเป็นจริงๆ โน้ตกับปราชญ์ก็ใช้วิธีดึงเสื้อออกนอกกางเกงและถอดเข็มขัดที่มีตรามหาวิทยาลัยออกให้เรียบร้อย ต่ายไม่รู้ว่าตัวเองช้าหรือเปล่าไม่รู้แต่พอเขาหันไปข้างๆก็เห็นปราชญ์ยืนจุดบุหรี่สูบมวนนึงแล้ว

     

    “พี่ปราชญ์ไม่น่าเรียนหมอ” บาสบ่นพึมพำในสิ่งที่ตัวเองคิดจนต่ายนึกขำ

    “บอกมันให้ลาออกสิ”

    “จริงๆนะพี่”

    “นินทาอะไรกูอีก” ปราชญ์เดินมาหา กดบุหรี่ที่เหลือเกินครึ่งลงบนถังเขี่ยบุหรี่ที่วางไว้บริการแถวนั้น

    “อะไรพี่ ไม่มี๊ไม่มี”

     

    บาสปฏิเสธเสียงสูง คว้ามือนิ่มของคนข้างๆมาแล้วกึ่งจูงกึ่งลากเข้าไปทางหลังร้าน ร้านเฮียอู๋ยังวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คนทุกวัยเหมือนเดิม อาจจะเพราะเฮียแกเป็นคนเฮฮาบวกกับวัยแค่สามสิบกว่าทำให้เป็นที่นิยมของคนทุกช่วงอายุ บาสเห็นหน้าร้านยังมีคนยืนรอคิวอยู่สี่ห้าคนเขาจึงเข้าด้านหลังซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับพนักงานโดยเฉพาะ เห็นเพื่อนรุ่นพี่อีกสองคนเดินตามมาติดๆเขาก็พาลัดเลาะไปตามทางที่คุ้นเคย เขามาหยุดที่หน้าประตูไม้หยาบๆที่เขียนว่า Staff Only ก่อนจะผลักประตูเข้าไปโดยที่ไม่เคาะ

    ผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ในห้องเงยหน้ามองคนที่เปิดประตูเข้ามาแล้วยิ้มให้ ก่อนที่จะเบนสายตามามองคนที่ถูกจูงเดินตามมา ต่ายอึดอัดกับสายตาที่จ้องอยางไร้มารยาทจนต้องบีบมือที่จับมือตัวเองแน่นให้รู้ว่าเขาไม่อยากอยู่ตรงนี้

     

    “แฟนมึง” ผู้ชายผมสั้นเกือบสกินเฮดถามขึ้น ในมือถือกระดาษสองสามแผ่น ดูก็รู้ว่ากำลังคุยอะไรสักอย่างกับอีกคน

    “เออ” บาสตอบ หันมายิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่ต่าย นี่พี่ก้องเพื่อนพี่ไบค์ ส่วนอีกคนนั่นก็พี่ไบค์ พี่ชายผม”

     
     

    ต่ายมองผู้ชายผมซอยค่อนข้างยาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกคน ใบหน้าคมนั้นคล้ายกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเหมือนกันราวกับเป็นฝาแฝกกหกกนฝาแฝด ต่างกันแค่แววตาซุกซนนั่นที่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด

    เดาได้เลยว่าคนพี่ร้ายกว่าคนน้องเยอะนัก!

     
     

    “แล้วมึงจะให้แฟนมึงอยู่นี่หรือไง” คนที่ชื่อก้องถามลอยๆ เอนหลังพิงกับโซฟาหนังสีดำ บาสจิ๊ปากเบาๆด้วยความไม่พอใจ

    “เดี๋ยวพาพี่ต่ายกับเพื่อนเค้าไปหาที่นั่งก่อนแล้วเดี๋ยวมาหา” บาสกระชากเสียงแล้วกันไปหาพี่ชายตัวเอง “พี่พีคไม่มาเหรอ”

    “มา อยู่โต๊ะเดิม มึงเอาพี่หมอไปนั่งกับมันก็ได้ มันนั่งอยู่กับพวกไอ้โก้” ไบค์ตอบ ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้คนที่ยืนข้างๆน้องชาย “พี่หมอไม่ต้องกลัวนะครับ ไอ้ก้องมันหยาบกระด้างพูดจาดีๆไม่เป็น ถ้าพี่หมออยากซัดปากมันพี่มาบอกผมได้เลยนะครับกับคนน่ารักอย่างพี่หมอผมพร้อมที่จะบริการเต็มที่ครับ...”

     

    ยังไม่จบประโยคดีบาสก็ดึงมือแฟนตัวเองที่กำลังถูกพี่ชายแทะโลม(?)ออกมาทันที ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะไล่หลังมาบาสยิ่งหงุดหงิด

     
     

    “พี่มึงนี่สุดยอดเลย” ปราชญ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบหัวเราะเบาๆ ส่วนโน้ตที่เดินไปหัวเราะไปจนต้องซบหน้าเข้ากับผนังทางเดินตัวสั่น

    “มันกวนตีน”

    “ตัวเองก็กวนเหอะ” ต่ายบ่นหน้ายู่ นี่ว่าคนน้องน่ารำคาญแล้วนะ คนพี่ท่าทางน่ารำคาญกว่าร้อยเท่าเลย

    “จริงดิ เค้าเคยกวนตัวเองด้วยเหรอ” บาสลอยหน้าลอยตาถาม กวนจนต่ายต้องใช้มืออีกข้างที่ว่างดึงเนื้อบริเวณหลังมือของอีกฝ่ายที่จับมือเค้าแน่น คนโดนทำร้ายสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ยอมปล่อยมือ

    “พี่น้องกันชัดๆ” ต่ายบ่นไม่จริงจังนัก

     

    พวกเขาเดินโผล่ออกมาบริเวณตัวร้าน ต่ายเห็นโต๊ะยาวที่อยู่หน้าสุดเต็มไปด้วยหญิงชายเกือบเต็มโต๊ะ หนึ่งในนั้นเมื่อเห็นพวกเขาเดินออกมาก็โบกมือเรียก เขามองหน้าไม่ชัดคงเพราะแสงไฟที่มือสลัวของร้านแต่พอเดินเข้าไปใกล้ต่ายก็จำได้ว่าเป็นโตนั่นเอง ชายหนุ่มยังใส่เสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาว ดูก็รู้ว่าตรงมาจากมหาวิทยาลัยเลย คนส่วนใหญ่ในโต๊ะเองก็เช่นกัน

     

    “มึงมาด้วย ดีๆ” บาสตบไหล่เพื่อนเบาๆแล้ว ไม้ที่นั่งอยู่ข้างๆเงยหน้าขึ้นมาแยกเขี้ยวให้ “ตัวติดกันตลอดเลยนะมึงช่วงนี้”

    “พี่ไบค์บอกพวกกูแล้วว่ามึงต้องไปช่วยเค้า ให้พี่ต่ายกับเพื่อนเค้าอยู่กับพวกกูก็ได้ พี่โก้ก็อยู่ หวัดดีครับพี่ต่าย” โตพูดเสียงดังเพราะคนในร้านเริ่มเยอะแล้ว

    “อือ นี่เพื่อนพี่ คนตัวสูงชื่อปราชญ์ อีกคนชื่อโน้ต” ต่ายแนะนำเพื่อนที่เดินตามมา เห็นโตกับไม้ยกมือไหว้แล้วก็ยิ้มด้วยความพอใจ ถึงแม้จะห่ามแต่เด็กพวกนี้ก็มารยาทดีจริงๆ

    “ไอ้ปันกับไอ้นพไม่มาเหรอวะ” ปราชญ์ถามบาสที่ผละไปลากเก้าอี้มาเสริมให้พร้อมกับโต

    “เดี๋ยวคงมาครับ นี่พี่รู้จักมันสองคนแล้วใช่ป่ะ ดีเลยพวกผมก็กลัวพี่อึดอัด”

    “หือ พี่ปราชญ์กับไอ้ปันนี่จี๊ดเลยมึง นึกว่าพี่น้องคลานตามกันมา”

    “ขนาดนั้นเลยเหรอพี่” โตหันไปถามปราชญ์ที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาลากมาให้

    “น้องก็เชื่อมันเนอะ ดูหน้ามันดิ หน้าตาอย่างมันน่าเชื่อถือตรงไหน พี่เป็นคนดีขนาดนี้จะไปเป็นพี่น้องกับน้องปันได้ยังไง”

    “คนดีไม่มีที่อยู่น่ะเหรอพี่” บาสหันมายักคิ้วใส่ ก่อนที่จะเผ่นไปหลบหลังคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างต่ายเมื่อเห็นมือของคนที่ตัวเองแซวเอื้อมมากะจะตบหัว

    “กูเชื่อมึงว่ะบาส” โตกับไม้หัวเราะพร้อมกัน

    “พวกพี่กินอะไรกันยัง? กินกับพวกผมก็ได้นะหารๆกันหรือจะแยกบิลก็ได้” โตถามขึ้น มือเอื้อมหยิบเมนูที่อยู่กลางโต๊ะมาให้

    “หารๆกันก็ได้ ไม่ซีเรียส โน้ตมึงเลือกก่อน เลือกให้กูด้วย” ปราชญ์ส่งต่อเมนูให้โน้ตที่มองไปรอบๆอย่างสนใจ

    “นี่เด็กวิดวะหมดเลยอ่อ” โน้ตถามขึ้น

    “เปล่าพี่ ก็รวมๆอ่ะ เพื่อนพี่ไบค์ก็เยอะ อยู่อีกครึ่งโต๊ะฝั่งนู้น แต่เดี๋ยวพี่โก้มันจะเดินไปๆมาๆ คนนั้นแหละพี่ที่ยืนโวยวายอยู่กลางวงฝั่งนั้น” บาสอธิบาย ชี้ไปที่พี่รหัสของตัวเองที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน “พี่โก้เรียนวิดวะ พี่ไบค์เรียนนิเทศ สองคนนั้นเค้าสนิทกันตั้งแต่เรียนมัธยม ผมแม่งโคตรซวยที่ยังมาเจอมันตอนอยู่มหาลัยอีก แล้วก็มีเด็กศิลปกรรม เพื่อนพี่พีค”

    “ที่บอกว่าเป็นแฟนพี่นายเหรอ” ต่ายถามขึ้น บาสหันมาพยักหน้าตอบแล้วชะเง้อคอมองไปอีกวงโต๊ะถัดไป

    “ไม่เห็นแฮะ สงสัยเดินไปที่อื่น ปกติหาง่ายอยู่แล้วรายนั้น”

    “ทำไมวะ สวยมากเลยเด่นไรงี้เหรอวะ” ปราชญ์ถามขึ้น ยกแก้วเหล้าที่โตชงแล้วส่งผ่านมาให้จิบ

    “หึ พี่ดูเองละกัน” บาสยิ้มแสยะมุมปาก

     

    นั่งเล่นสักพักปันกับนพที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เป็นเสื้อโปโลกับกางเกงยีนส์ง่ายๆก็มาถึงร้าน บาสคุยเล่นกับเพื่อนสนิทได้ไม่กี่คำโทรศัพท์เขาสั่นเสียก่อน พอเช็คก็เห็นว่าพี่ชายตัวเองส่งไลน์มาระรัวมันเลยสั่นไม่หยุด บาสเบ้หน้า เขาหันไปฝากฝังพี่ต่าย พี่ปราชญ์และพี่โน้ตกับเพื่อนตัวเองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเห็นคนตัวขาวคิ้วขมวด เบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อถามอีกครั้งเขาก็ยังไม่ยอมบอกว่าจะไปทำอะไร ขายาวก้าวเร่งรีบไปหลังร้านทันที

    ต่ายมองคนตัวสูงที่ไม่ยอมบอกว่าตัวเองจะไปทำอะไรแล้วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกระบายอารมณ์ เขารู้ตัวเองดีว่าตัวเองดื่มได้แค่ไหนเพราะฉะนั้นต่ายจะไม่เมาเด็ดขาด เขาหันไปถามนพที่นั่งข้างๆว่าเพื่อนอีกฝ่ายหายไปทำอะไรแต่เขากลับได้คำตอบเป็นสายตาหยอกล้อปนตื่นเต้น เจ้าตัวบอกว่าให้รอดูเองดีกว่าถ้าบาสไม่บอกเขาก็บอกไม่ได้เหมือนกัน แถมยังทิ้งท้ายอีกว่าฝ่ายนั้นคงอยากจะเซอร์ไพรส์ ต่ายรู้สึกว่ามีอีกหลายเรื่องของบาสที่เขาไม่รู้ คิดแล้วก็รำคาญใจเหลือเกิน

    ทำไมมันรู้สึกอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมดนะ

    ต่ายพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ็นจอยบรรยากาศรอบข้างทั้งๆที่ยังค้างคาใจ ดูเหมือนเพื่อนอีกสองคนที่ตามมาด้วยก็รู้สีกว่าเขาอารมณ์ไม่ปกตินัก ปราชญ์เลยชวนคุยมากกว่าปกติ บวกกับเพื่อนของอีกฝ่ายอย่างโตและปันที่ผลัดกันเล่ามุกตลก อาหารร้านนี่ก็อร่อยไปหมดยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นอีกหลายระดับเลยทีเดียว แม้จะไร้วี่แววของร่างสูงจอมกวนนั่น

     
     

    สามทุ่มกว่าแล้ว โต๊ะในร้านเริ่มเต็มจนไม่มีที่ว่างเหลือ บางโต๊ะที่อยู่โซนหลังถึงขั้นต้องดึงเก้าอี้นั่งออกเปลี่ยนเป็นโต๊ะยืนอย่างเดียว ต่ายมองไปรอบๆร้านๆแล้วรู้สึกว่าวันนี้ทั้งร้านจะเต็มไปด้วยกลุ่มคนวัยใกล้เคียงกันทั้งหมด แตกต่างจากคราวที่แล้วที่ถึงแม้จะคนเยอะแต่ก็ยังมีพนักงานบริษัทอยู่พอสมควร วันนี้มองไปทางไหนก็เป็นนักศึกษากันทั้งนั้น เฮียอู๋เจ้าของร้านยืนตบบ่าโก้หัวเราะร่าอยู่แถวโต๊ะหน้าสุด ต่ายเพิ่งรู้ว่าเป็นโต๊ะวีไอพีที่มีแต่ลูกค้าประจำ สักพักแสงแบลคไลท์ก็ค่อยๆหรี่ลง แสงไฟบนเวทีที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ต่ายไม่รู้ตัวว่าถูกดึงปนผลักไปยืนที่อีกฝั่งของโต๊ะที่ติดเวทีริมซ้ายตอนไหน รู้แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเขาก็เห็นใบหน้าคมของคนที่หายไปยืนอยู่บนนั้นพร้อมกับกีตาร์โปร่งเงาวับ หูแว่วเสียงผู้หญิงที่เป็นพิธีกรแนะนำพร้อมกับบอกว่ามือกีตาร์ประจำของวงวันนี้ติดธุระมาไม่ได้ ส่งตัวแทนที่รู้จักกันดีมาแทน เสียงผิวปากแซววีดวิ้วดังลั่นร้านจนต่ายหัวเราะกับท่าทีอายๆของคนที่ถูกแซว

     

    “ไอ้บาสมันดังนะพี่” ต่ายรู้สึกเหมือนเสียงนั้นกำลังคุยกับตัวเองแต่เป็นเสียงที่เขาไม่คุ้น ไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาหันซ้ายขวาไม่เจอใครก็งงเล็กน้อย ก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกสะกิดให้มองต่ำลง เพราะยืนอยู่และคนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืนทั้งหมดเขาเลยๆไม่นึกว่าจะมีคนที่นั่งอยู่ด้วย

    คนสะกิดเป็นผู้ชายที่ดูท่าทางตัวบางกว่าเขามาก แต่น่าจะสูงพอๆกับเขาด้วยซ้ำ แขนขาเล็กไปหมดยิ่งเจ้าตัวใส่เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงยีนส์สกินนี่สีดำสนิทเช่นเดียวกัน และที่เด่นมากคือผมสั้นสีเขียว! ใบหน้าสวยเงยหน้ามองเขาและแยกเขี้ยวให้ นี่คงเป็นยิ้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดของเจ้าตัวแล้วล่ะมั้ง

     

    “นั่งก็ได้มั้งพี่ไม่ต้องบ้าจี้ยืนเหมือนพวกมันหรอก ยังไงไอ้บาสมันก็เห็นพี่คนเดียวนั่นแหละ” คนที่นั่งอยู่เสนอ มองไปที่เก้าอี้ว่างข้างๆตัว แล้วใช้เท้าเขี่ยมาให้

    “เอ้อ... ขอบคุณนะ” ต่ายตอบรับ เขาเลื่อนเก้าอี้มาใกล้แล้วนั่งลง

    “พีค...”

    “ห๊ะ?”

    “ผมชื่อพีค”

    “อ๋อ เออชื่อต่ายนะ” ต่ายแนะนำตัวกลับ เขาเห็นอีกฝ่ายเงียบไปไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั้น สายตามองตรงไปบนเวที ต่ายเห็นไบค์โบกไม้โบกมือไปรอบๆก่อนที่สายตาเจ้าตัวจะมาหยุดที่คนข้างๆ ยักคิ้วหลิ่วตาให้จนคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาสะบัดนิ้วกลางใส่พร้อมกับเบ้หน้า        

     
     

    บนเวทีเซ็ตอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ต่ายเห็นบาสมองมาที่ตัวเองแล้วก็กดยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่เขาไม่ชอบเลยจริงๆ ชายหนุ่มถือกีตาร์นั่งอยู่ฝั่งตรงหน้าเขา ในขณะที่คนพี่อยู่ตรงกลางนั่งหน้าขาไมค์ที่ปรับระดับให้พอดีกับเวลานั่งเรียบร้อยและก้องนั่งอยู่อีกฝั่งบนคาฮอง(กลองกล่อง)ไม้

     

    นี่คือเซอร์ไพรส์ที่บอกสินะ ว่าที่คุณหมออมยิ้มตอบ กอดอกหลิ่วตามองคนบนเวทีจนอีกฝ่ายเหวอไปครู่หนึ่ง พอไบค์สะกิดค่อยกลับมาสูดลมหายใจ หลับตาตั้งสมาธิ

     

    “ก็... นานๆทีมือกีตาร์จำเป็นจะมาเล่นนะครับ เอ็นดูน้องผมกันหน่อยนะครับ”

     

    ไบค์ที่ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำพูดออกไมค์ บรรดาเพื่อนและคนรู้จักโห่ร้อง เขาหันไปพยักหน้ากับน้องชายที่เริ่มกรีดนิ้วกับสายกีตาร์เบาๆเป็นทำนองเพลง ไม่รู้ว่าคนทั้งร้านรู้จักเพลงนี้หรืออะไรเพราะทันทีที่เสียงดนตรีขึ้นทุกคนก็กรีดร้องกันเสียงดัง ต่ายไม่ได้เชี่ยวชาญหรือฟังเพลงบ่อยขนาดนั้นแต่พอท่อนเนื้อร้องขึ้นเขาก็ร้องต้องร้องอ๋อ

    ไม่รู้ว่าเล่นไปกี่เพลงต่อกี่เพลงแต่คนในร้านก็สนุกสนาน พอนักร้องยื่นไมค์ให้ก็ร้องตอบ มีเพลงที่เขารู้จักบ้างหรือเพลงที่คุ้นหูแต่ร้องได้ไม่หมดทั้งเพลงอยู่บ้าน ปราชญ์ดูจะชอบเป็นพิเศษเพราะถึงกับวิ่งมากอดคอเขาร้องเพลงอยู่หน้าเวที ส่วนโน้ตไม่รู้ไปเข้าคู่กับไม้ตั้งแต่เมื่อไร เพราะเมื่อหันกลับไปก็เห็นเพื่อนของเขากระโดดเกาะไหล่รุ่นน้องต่างคณะโยกด้วยความสนิทสนมเสียแล้ว ต่ายรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองยิ้มมากกว่าปกติเพราะเมื่อเห็นสายตาจากคนด้านบนที่ทอดมองมาคล้ายเรียกหากำลังใจเขาก็จะยิ้มตอบตลอด

    ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้หน้าบึ้งใส่นี่นา ในเมื่อวันนี้เขามีความสุขขนาดนี้แล้ว...

    งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราเมื่อนักร้องนำบอกว่าเพลงต่อไปนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายแล้ว หลายคนโห่ร้องด้วยความเสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไบค์คุยกับคนดูอีกสองสามนาทีก่อนที่จะเริ่มเพลงถัดไป หลายคนเริ่มทยอยนั่งลงแล้วเสียงกีตาร์กับกลองแบบอะคูสติกดังขึ้นเป็นทำนองเพลง ต่ายรู้สึกว่าปราชญ์หันมามองตัวเองพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาเมื่อเห็นว่ามือกีตาร์บนเวทีจ้องมองมาทางนี้

     

    ฉันไม่เคยดังและยังคงเดิม
    ตอนนี้ รึว่าตอนไหน

    ฉันก็คนหนึ่งแต่รักฉันยิ่งใหญ่
    ใหญ่กว่าใคร เธอคงรู้ดี

    ยังคงมีแค่เธอและต่อไป
    ยังจะมีแค่เธอจนสุดท้าย กายแตกสลาย
    จนวันที่ฉันหมดลมจากไป
    เชื่อเถอะความรักไม่เคยห่างหาย

    มันสถิตอยู่ในใจชายคนนี้
    มันไม่อาจที่จะลบล้างเรื่องราวดีๆ
    หัวใจฉัน จะมีแต่เธอเท่านั้น

    เธอมาเติมให้ชีวิตมีการเปลี่ยนผัน
    เธอมาทำให้เวลาแห่งรักสวยงามทุกวัน
    หัวใจฉัน จะมีแต่เธอ

     

     

    ไบค์กอดคอน้องชายตัวเองแน่น เลื่อนไมค์ไปจ่อที่ปากพร้อมกระซิบอะไรบางอย่างที่คนด้านล่างไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าเมื่อชายหนุ่มโอบไหล่น้องชายที่หน้าพิมพ์เดียวกันแตกต่างกันแค่ทรงผมเสียงคนด้านล่างก็โห่แซวดังลั่น โชคดีที่บาสมีสมาธิพอที่จะไม่หยุดมือที่กำลังเกากีตาร์ มองคนดูเขินๆเล็กน้อย เสียงที่ร้องออกมาจึงสั่นๆและฟังดูประหม่าเพราะไม่ได้ตั้งตัว แต่ก็เพราะไม่ต่างจากคนพี่ร้อง

     

     

     

    ฉันไม่เคยดังและยังคงเดิม
    ตอนนี้ รึว่าตอนไหน

    ฉันก็คนหนึ่งแต่รักฉันยิ่งใหญ่
    ใหญ่กว่าใคร เธอคงรู้ดี

    ยังคงมีแค่เธอและต่อไป
    ยังจะมีแค่เธอจนสุดท้ายกายแตกสลาย
    จนวันที่ฉันหมดลมจากไป
    เชื่อเถอะความรักไม่เคยห่างหาย

    มันสถิตอยู่ในใจชายคนนี้
    มันไม่อาจที่จะลบล้างเรื่องราวดีๆ
    หัวใจฉัน จะมีแต่เธอเท่านั้น

    เธอมาเติมให้ชีวิตมีการเปลี่ยนผัน
    เธอมาทำให้เวลาแห่งรักสวยงามทุกวัน
    หัวใจฉัน จะมีแต่เธอ

     

    ต่างกับที่ไบค์เป็นคนร้อง พอไมค์เปลี่ยนมือต่ายกับรู้สึกเหมือนร่างตัวเองถูกไฟช๊อต ใจสั่นหน้าร้อนไปหมด ยิ่งพอเห็นแววตาอายๆที่มองมายิ่งทำให้แก้มขาวแดงซ่านจนต้องเกาะมือปราชญ์ไว้แน่น เหมือนเพื่อนสนิทจะรู้ดี มือใหญ่จึงโอบบีบที่ไหล่มนของเขาเบาๆ ไม่หันมายิ้มล้อเลียนอย่างที่เคย

    เซอร์ไพรส์... เซอไพรส์จนหัวใจจะวายอยู่แล้วเนี่ย!

    .

    .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×