ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF..Nagaoka-Miyashita

    ลำดับตอนที่ #8 : Destin

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 57


     

     

     

    Rrrrrrrrrr......Rrrrrrrrrrrrrr....

     

    เสียงโทรศัพท์กรีดกริ่งร้องดังลั่นเป็นจังหวะ เรียกร้องความสนใจจากเจ้าของบ้านที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเล่มโต ดวงตาเรียวยาวเพียงตวัดขึ้นมองเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงสนใจกับตัวหนังสือมากมายที่เรียงกันพรืดเต็มจอคอมพิวเตอร์  เอามืออุดหูไว้เสียไม่ฟัง ไม่ได้ยิน 

     

    เวลานาทีนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก ตั๋วเข้าชมแมตท์นี้สำคัญมาก จะจองได้ จะจองทันรึเปล่าก็ไม่รู้.. ขนาดช่วยกันจองกับมินามิก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะได้อ่า แงๆๆๆ

     

    ฮารุกะจัง.....ว่างหรือเปล่าไปรับโทรศัพท์ทีสิ

     

    เสียงนุ่มๆ ของพี่สาวเรียกออกมาจากห้องครัว อ๊ายยยยย.....เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย....

     

    เร็วๆ พี่วางมือไม่ได้ เนื้อทอดจะไหม้

     

    ตั๋วกับของกิน......ฮารุกะพยักหน้ากับตัวเอง.....ของกินสำคัญกว่าเป็นไหนๆ ...รับก็รับ.....

     

    ยังไงมินามิก็น่าจะกดจองทันอยู่น๊า...

     

     

    ค่ะ...บ้าน.....

     

    ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อด้วยซ้ำ เสียงทางปลายสายแทรกขึ้นมาแทบจะทันทีแถมทั้งรัวทั้งเร็วจนฮารุกะกลัวว่าคนพูดจะขาดใจตายไปเสียก่อนจะจบประโยค

     

    เฮ้ย...ฉันเองนะโว้ย...ตั๋วเข้าดูวอลเลย์วันเสาร์นี้ที่ฝากให้ซื้อน่ะ ลองโทรไปถามแล้ว..พี่เค้าว่ามันหมดน่ะ....แต่มีน้องบอกขายอยู่นะ.. เหมือนมันจะไม่ว่างขึ้นมากะทันหัน...แล้วที่บอกว่าพี่สาวชั้นจะไปด้วยน่ะ..ตกลงไม่ไปแล้วนะ พอดีพี่เค้ามีธุระพอดี... ที่ไปอาจจะเหลือแค่แก ชั้น แล้วก็ไอ้ริกะอีกคน...แมตท์นี้ขวัญใจแกแข่งเลยนะเว๊ย.... จะเอาหรือเปล่า..ตั๋วน่ะ...จะซื้อไว้ให้

     

    “....อ่า......บ้านมิยาชิตะค่ะ.....

     

     

    ฮารุกะเสียงอ่อยๆ ตอบไปเมื่ออีกคนพักครึ่งขอเวลาหายใจ......ปลายสายเงียบไปแทบจะทันที....เจ้าของเสียงทุ้มส่งเสียงเหมือนคนสำลักน้ำลายตัวเองก่อนจะปล่อยเสียงสูงจนฮารุกะต้องขยับหูฟังออกห่าง

     

    หา......อ้าว.....งั้นคุณก็ไม่ใช่ยูกิน่ะสิ

     

    มือขาวเรียวของคนฟังขยับเกาท้ายทอยตัวเอง เออ คนแบบนี้ก็มีด้วยแฮะ....

     

    ค่ะ....ไม่ใช่.....คุณคงโทรผิดแล้วหล่ะ

     

    ช่างมันเหอะ...ขอโทษด้วยก็แล้วกันนะคะ.....

     

    เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นสดใสและร่าเริงเหมือนกับนึกขำตัวเองจริงๆ จนเด็กสาวอีกคนอดจะหัวเราะตามไม่ได้ แปลกคนดีแท้ๆ ขนาดโทรผิดยังอารมณ์ดีได้ขนาดนี้

     

    ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่นา ..... วันเสาร์นี้ว่างเปล่าล่ะ.. มีวอลเลย์นัดสำคัญที่เจ๊ซาโกดะจะลงแข่งด้วยนะ.. ว่าแต่..รู้จักใช่มั้ยอ่ะ.. ซาโกดะน่ะ... ถ้าอยากดูก็รีบซื้อตั๋วเข้านะ ถ้าช้าอาจจะหมดอีกก็ได้....

     

    อ๊ะ จริงๆหรอ... พอดีเรากำลังจะนั่งจองตั๋วกับเพื่อนอยู่เลย.. ทำไมหมดเร็วจังล่ะ

     

    ฮารุกะจังเผลอตัวลากเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆมานั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่มๆ นั้น ซักถามด้วยดวงตาเป็นประกาย ก็ที่เธอกับมินามินั่งเฝ้าหน้าคอมก็เพื่อที่จะกดซื้อตั๋วออนไลน์นี่แหละ.. เพราะถ้าขืนไปซื้อหน้างานมีหวัง..ไม่ทันแน่ๆ.. เพราะกว่าจะนั่งจากโอกายาม่าไปฟุคุโอกะมันก็น่าจะใกล้เวลาพอดี

     

    “....จริงๆ ...เนี่ย.......ฯลฯ.............

     

    “.........ฯลฯ.............

     

    “.........ฯลฯ.......

     

     

    ประโยคพูดคุยสั้นๆ เริ่มยาวขึ้นเรื่อย ปะปนกับเสียงหัวเราะของเด็กสาวร่างเล็ก เท้าศอกกับโต๊ะที่ใช้วางโทรศัพท์ ในท่าปักหลักคุยยาว มีหลายครั้งที่ลุกไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ หยิบปากกากับสมุดมาจดรายละเอียดที่ได้รับการบอกเล่าจากอีกฝ่าย

     

    ไม่มีการบอกเล่ารายละเอียดของกันและกัน

    ไม่มีการถามไถ่ชื่อเสียง ที่อยู่

    รู้เพียงแค่ว่าเป็นเด็กที่ชื่อชอบซาโกดะเหมือนกัน

    ต้องการไปดูการแข่งขันแมตท์เดียวกันเท่านั้น

     

     

    เอางี้ดีหรือเปล่า .... ไว้เดี๋ยวเราถามน้องให้ว่าพอจะมีตั๋วอีกบ้างมั้ย.....

     

    เสียงทุ้มๆ ยื่นข้อเสนอขึ้นมาให้พร้อมด้วยเสียงหัวเราะ

     

    “....ได้หรอ.. พูดจริงๆนะ......

     

    เป็นเสียงใสที่ตอบออกไป คล้ายกับเป็นคำมั่นสัญญา...

     

    “จริงสิ... แล้วถ้าไง.. เดี๋ยวเราโทรมาบอกนะ...”

     

    เสียงที่ปลายสายตอบกลับมาอย่างคนใจดี

     

    “ อ๊า...ดีจัง.. ขอให้มีด้วยเถอะน๊า... เค้าอยากไปดูพี่ซาโกดะมากๆเลย”

     

    เสียงหวานลืมตัว..เผลออ้อนคนที่ปลายสายอย่างไม่ทันรู้ตัว

     

    “ .. งั้น.. พรุ่งนี้เราจะไปถามน้องให้นะ... รอรับโทรศัพท์เราด้วยล่ะ”

     

    ใบหน้าคมที่เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว.. คงไม่รู้หรอกว่า.. ถึงรุ่นน้องคนนั้นจะไม่มีตั๋ว... เจ้าตัวก็คงหาวิธีเพื่อให้ได้ตั๋วนั้นมาจนได้

     

    คุณ....เชื่อในเรื่องพรหมลิขิตหรือไม่...?

     

    +*******************+

     

    ซาโอริ.........

     

    แขนขาวจัดโอบอ้อมมาจากด้านหลัง จนคนถูกกอดสะดุ้งเฮือก หันสายตาดุๆ ไปที่ต้นเสียง เรียวปากสวยได้รูปขยับแย้มยิ้มอยู่ใกล้แค่ลมหายใจสัมผัสพอเห็นแก้มเนียนๆ สีน้ำผึ้งหันมาล่อตาต่อใจก็ทำท่าจะซุกๆ กับผิวบางให้ชื่นอกชื่นใจถ้าหากว่าเจ้าของมันไม่ผงะหนีออกเสียก่อน

     

    เข้ามาทำไมไม่บอก นึกว่าขโมย

     

    ฮารุกะจังโทรศัพท์อยู่ เลยโทรเข้าไม่ติด มือถือเธอก็ปิดเลยไม่ได้บอก.....ไม่ใช่ความผิดฉันนะ

     

    จมูกโด่งยังทำท่าจะตามมาซุกอยู่กับผิวหอมๆ ซาโอริพยายามจะบิดตัวหนีออกจากอ้อมกอดที่ทำท่าจะแน่นขึ้น ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเหมือนถูกมันอย่างไรอย่างนั้น ปากอิ่มเม้มอย่างขัดอกขัดใจ

     

    ถ้าใครเค้ารู้นักกีฬาดาวรุ่งแบบเธอมายุ่งกับนักกีฬาธรรมดาอย่างชั้น.....มันไม่ดีนักหรอกนะ

     

    ปากอิ่มๆ ขยับขึ้นลงอยู่ใกล้แค่นี้ จะบอกว่าอย่างไรดีนะ...อืมม์....น่าจูบชะมัด

     

    ก็จะให้ไปที่ไหนละ......เกือบปีแล้วยังไม่ชินอีกหรือไง....

     

    อ๊ะ....

     

    อุทานออกมาได้แค่นั้น เมื่อมือขาวจัดเลื่อนประคองท้ายทอยเอาไว้ ไม่ยอมให้หันหน้าหนีไปไหน กลีบปากบางสีอ่อนขยับทาบทับขบเม้มกลีบนุ่มๆที่มันยั่วตายั่วใจอยู่ใกล้ๆ ทั้งนุ่มทั้งหวาน.....จะบอกว่ายังไงดี....

     

    ....อร่อย......ที่สุด...........

     

     

     

    กว่าจะยอมปล่อยให้คนตัวโตกว่าเป็นอิสระจากจูบพิฆาตได้ ก็ยังอุตส่าห์เลาะ ๆ เล็มๆ อยู่ตามมุมปาก ขบย้ำเบาๆ ลิ้มรสหวานๆ ให้ชุ่มลิ้นชุ่มปอด แม้จะเห็นว่าตาคมหวานนั้นมันทั้งดุทั้งโมโหแค่ไหน เจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์ยิ้มระรื่นสู้ไม่หวั่นใจ

     

    เรื่องด้านหน้าเข้าหา....แล้วทำหน้าด้านรุ่มร่ามแบบนี้ ของถนัด

     

    หิวแล้ว....กินข้าวเหอะนะ เดี๋ยวต้องกลับไปประชุมแผนอีกตอนสองทุ่ม

     

    ออดอ้อนพร้อมกับอัญเชิญตัวเองลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารเสร็จสรรพ ซาโอริถอนหายใจแรง หันหน้าหนีไปอีกทาง ใช้หลังมือถูริมฝีปากตัวเองเบาๆ ชะโงกหน้าออกไปที่ห้องรับแขก เจ้าน้องตัวดียังนั่งปักหลักกับเครื่องมือสื่อสารไม่เปลี่ยน.....

     

    ฮารุกะจัง.....ทานข้าว

     

    หันกลับเข้ามาก็เห็นหน้าขาวๆ ปากแดงๆ ผมสีเข้มเข้ากันกับดวงตา ประสานมือบนโต๊ะ วางคางตัวเองไว้บนหลังมือเหมือนกับลูกหมาตัวโตๆ กำลังนอนหมอบอยู่อย่างนั้นแหละ

     

    ซาโอริเดินไปถือจานมาวางเรียงกันเท่ากับจำนวนคน แน่นอนว่าถึงจะหมั่นไส้แค่ไหนก็ไม่ลืมนับลูกหมาหน้าหมวยที่ยิ้มกระดิกหางตัวนี้หรอก แม้ว่าอาการวางจานจะกระแทกกระทั้นหน่อยก็เถอะนะ

     

    "...ขอสัญญา..ว่าจะรักเพียงคุณ ว่าจะรักแค่คุณ..... ว่าจะรักแค่คุณเท่านั้น.."

     

    เสียงนุ่มทุ้มลอยลมมาเข้าหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครร้อง ซาโอริแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ หันหลังให้เสียอย่างนั้น แต่แก้มน่ะร้อนผ่าวขึ้นมา ถ้าหันหน้าไปคงจะแดงจนอีกคนจับสังเกตได้เป็นแน่

     

    ฉะนั้น ไม่ให้เห็นหน้าปลอดภัยที่สุด

     

     

    ...ซาโอริ.....

     

    “.....อะไร....

     

    คืนนี้เลิกซ้อมเกือบเที่ยงคืนหล่ะ

     

    “.....แล้วไงค่ะ.....

     

    “.....อยากมานอนกับซาโอริ......

     

     

    คนถามชายตามองมา สบตากับดวงตาสีเข้มที่กำลังจ้องมองอยู่ แล้วกลับเป็นฝ่ายเบือนหลบไปก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง เสียงนุ่มเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา

     

    “.......จะมานอนได้ยังไง......

     

    “......ขับรถมาได้มั้ย ?.....”

     

    “ .. จะบ้าหรอ.. ซ้อมก็เหนื่อย จะขับรถไปๆมาๆทำไม...”

     

    “ ...ก็คิดถึง...”

     

    “ ...อย่าเลย.. มันอันตราย...”

     

    “ ... งั้นซาโอริไปรับเค้าได้มั้ย.. นะ...”

     

    เสียงอ่อนๆ ทั้งออดทั้งอ้อน คนฟังก็อ่อนใจ......

     

    “......ไม่เกินห้าทุ่มนะ.....พรุ่งนี้ฮารุกะมีเรียนเช้า

     

    แก้วใบโตที่มีน้ำอุ่นควันกรุ่นอยู่ปากแก้วถูกยกมาเสิร์ฟหลังจากจัดเรียงจานเสร็จเรียบร้อย ซาโอริเดินไปเรียกน้องสาวอีกที ปล่อยให้ยูกิสำรวจอาหารตรงหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายเต็มที่ ความชื่นอกชื่นใจอย่างหนึ่งวูบเข้ามาในอก

     

    แก้วที่ยังอุ่นๆ น้ำสีอ่อนรสหวานอมเปรี้ยวของชาน้ำผึ้งผสมมะนาวเพื่อความสดชื่น.. ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป

     

    ถึงจะพูดเสียงห้วนๆ ชอบดุ ชอบว่า บางครั้งก็ทำเหมือนไม่สนใจ แต่การเอาใจใส่มันรับรู้ได้ด้วยการปฏิบัติที่มอบให้

     

     

    ...................อิชิอิ ยูกิ อยากเป็นแฟนกับคิมูระ ซาโอริจัง……………..

     

     

     

    ถ้อยคำที่เขียนใส่กระดาษจากเด็กม.ปลายที่มาขอใช้สนามซ้อมด้วยที่มหาลัย ฝากไปถึงคนตัวโตหน้าหวานที่เป็นถึงรองกัปตันทีม ยังจำได้ดีว่าเจ้าตัวรีบขยำกระดาษใส่กระเป๋าเสื้อ ดวงตาสีน้ำตาลสวยหันมองรอบด้าน แก้มแดงจนน่า.....ฟัด.....เป็นที่สุด

     

    หนึ่งปีที่ตามตื๊อ....กับอีกเกือบปีที่ขยับสถานะตัวเองขึ้นมาเป็นคนคุ้นเคย.....

     

    นักกีฬาม.ปลายดาวรุ่งที่ใครๆก็ชื่นชมและชื่นชอบ กลุ่มดาวเด่นที่อีกไม่นานก็คงเข้าสังกัดซักสโมสร..ไม่ว่าจะเป็นมิยู ยูกิ หรือริกะ ประกอบกับนิสัยที่ขี้เล่น รักสนุก เข้ากับคนได้ง่าย จึงไม่แปลกที่ใครต่อใครหลายๆคนจะพากันถวายตัวเป็นแฟนคลับของทั้งสามคน

     

    หากเวลาที่ไม่มีใครมารายล้อม ไม่มีลูกวอลเลย์ที่มือ ไม่มีสนามที่ฝึกซ้อม คนที่ซาโอริเห็นอยู่จนชินตาและ...ชินใจ....ก็คือเด็กสาวธรรมดาๆ ที่ชอบทำตัวเหมือนลูกหมา บางวันก็เข้ามาเคลียคลอขอหนุนตัก ขอความรักความเอ็นดูอย่างน่าหมั่นไส้

     

    จะเล่นด้วยมากๆ ก็ชักลามเป็นลูกหมาเลียปาก....อันนี้ไม่แค่เลียด้วยสิ

    แต่จะหมางเมินเย็นชารึ..............มันก็น่ารักออกขนาดนี้..................

     

     

    แก้มเนียนสีน้ำผึ้งถูกฉกเอาความหอมอย่างรวดเร็วทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อารามตกใจทำให้หันไปต่อว่า เลยพลาดไปอีกครั้งให้กับคนตัวขาวจัดที่รอท่าจะ...เลียปาก.....อยู่เต็มๆ

     

    สมใจแล้วก็ทำหน้าตาไร้เดียงสา คว้าอุปกรณ์ขึ้นมาจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนแข่งกินเร็วในทีวีแชมป์เปี้ยน ไม่เปิดโอกาสให้ได้ดุได้ว่าสักนิด ซาโอริถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

     

    จะแพ้อีกอย่างก็ไอ้ตรงนี้แหละ.......

    ก็บอกแล้วว่า....น่ารักออกขนาดนี้.....จะทนใจแข็งได้นานสักเท่าไหร่กัน

     

     

    ...................................................

     

    .......................

     

     

    เสียงพูดคุยที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ที่มาพร้อมกับบรรยากาศวุ่นวายในช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน เสียงวิ่งเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ทันเข้าเรียนวิชาแรกของนักเรียนปีต่ำๆ ในขณะที่ปีสูงสุดเดินแบกบรรยากาศอึมครึมมาพร้อมกับหน้าตาที่บอกสภาพอดนอน ขอบตาดำคล้ำเป็นหมีเสริมความสง่างามของนักเรียนเตรียมให้ขลังยิ่งขึ้นไปอีก

     

    ฮ้าวววว....โว้ย....ง่วง

     

    เด็กสาวผมเข้มเข้ากับดวงตาเดินอ้าปากหาว เอามือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดเอาไว้กันอุจาด บ่นงึมงำๆ ในลำคอ ทันทีที่มาถึงโต๊ะนั่งก็วางกระเป๋าแทนหมอน ซบหน้าลงกับท่อนแขน ตั้งท่าจะหลับอย่างเอาเป็นเอาตายแทบจะทันที

     

    ไปอดนอนที่ไหนมาฮารุกะจัง

     

    มือนุ่มๆ เอื้อมมาเขย่าที่ต้นแขนจนตัวสั่นตัวคลอนไปมา ฮารุกะจังยอมเปิดเปลือกตาข้างหนึ่งขึ้นมองคนปลุก ปากอิ่มๆ สีชมพู ตากลมโตใสเป็นประกาย กับแก้มอิ่มๆ เนียนจัดสีน้ำผึ้งเหมือนกับพี่สาวที่บ้าน ให้ตายสิ เด็กม.ปลายคนไหนเนี่ย... ทำไมยังใสเด้งได้ขนาดนี้

     

    “.....อ่านหนังสือหนักเกินไปหรือเปล่า

     

    ก็ไม่หนักหรอก มินามิ .....เว้นระยะหาวอีกรอบ

     

    ก็อ่านตามกำลังสมองจะอำนวยนั่นหละ...แต่คุยโทรศัพท์นานไปหน่อย

     

    นี่เธอยังมีอารมณ์นั่งคุยได้อีกหรือ

     

    ตาโตอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นไปอีก ฮารุกะจังพยักหน้าหงึกๆหงักๆ ขยับเปลี่ยนท่านอน ใช้ฝ่ามือเท้าคางเอาไว้ แต่ตาหน่ะ ปิดไปเกือบจะมิดอยู่แล้ว

     

    ใครก็ไม่รู้โทรมาผิดน่ะ ... ดันคุยกันถูกคอเสียอีก เลยเพลินไปหน่อย ไม่น่าเล้ย...

     

    เอ๋.....จริงง่ะ

     

    อื้อ....ท่าทางจะเส้นใหญ่ด้วยแหละ.. ตั๋วที่เมื่อคืนเรานั่งรอกันแล้วมันหมดน่ะ... เค้าก็บอกว่าจะลองไปถามรุ่นน้องมาให้.. ก็นะ..ชั้นก็เลยคุยซะเพลิน....ติดลมอย่างไม่น่าให้อภัย....

     

     

    ฮารุกะหัวเราะเบาๆ โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของมินามิ ตากลมสวยประกายครุ่นคิด รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญอยู่ในสภาวะที่เขาเรียกกันว่า เดจาวูห์ ใช่หรือเปล่านะ...ประโยคแบบนี้.....มันเหมือนเพิ่งเคยได้ยิน เพิ่งเคยฟังใครสักคนพูดกับตัวเองเร็วๆนี้เอง.....แต่จำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ .... ใครกันหว่า

     

    เออ....ตกลงมินามิจะไปกับชั้นแน่ใช่มั้ยเสาร์นี้น่ะ.. ชั้นจะได้คอนเฟิร์มตั๋ว

     

    เอ่อ...คือ..

     

    อาการลังเลทำให้ดวงตากลมโตที่กำลังจะปิดสนิทลืมขึ้นอีกครั้งนึง.. ก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อยเชิงจับผิด

     

    พอดี..ริกะโทรมาชวนเมื่อคืนน่ะ... แล้วมันก็แมตท์เดียวกันเลย ถ้ายังไง.. เราไปกับพวกริกะมั้ย

     

    คนหน้าสวยหัวเราะแฮะๆ ปล่อยให้ฮารุกะจังพ่นลมพรืด หันหน้าหนีไปอีกทาง อะไรมันจะน่าอิจฉาขนาดนี้ อย่าให้ชั้นมีแฟนบ้างนะเฟ้ย -^-

     

    วันนี้เลิกเรียนเร็ว.. ฮารุกะไปหาริกะเป็นเพื่อนเค้าหน่อยนะ...

     

    เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะหันหลังกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เด็กสาวยิ้มนิดๆ พยักหน้าไปตามเรื่อง .... ซบหน้าลงกับโต๊ะโดยไม่คิดจะสนใจฟ้าฝนหรืออาจารย์แต่อย่างใด

     

    ไม่เอาอีกแล้ว.....คุยโทรศัพท์มาราธอนแบบนี้ โดนซาโอริดุ อ่านหนังสือเกือบไม่ทัน นอนดึก แถมยังต้องมาลำบากถ่างตามาเรียนอีก เข็ดแล้ว ไม่ทำแล้วจริงๆ

     

    +**************+

     

    มิยู....ตื่นเว้ย....ตื่นได้แล้วแกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนกัน หา!!

     

    มือเรียวคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อด้านหลังของคนที่กำลังเข้าฌาณอย่างเอาเป็นเอาตาย ดึงขึ้นด้วยความทะนุถนอมอย่างสูงมาก เขย่าแรงปานกลางพอให้หัวสั่นหัวคลอน ตาก็เหลือบมองนาฬิกาอย่างร้อนรนกระวนกระวาย

     

    ได้เวลาไปซ้อมแล้ว...ตื่นเสียทีสิเว้ย....ไอ้ขี้เซา

     

    ประโยคต้องห้าม เสียงสัญญาณอันตรายดังลั่นอยู่ในหัวคนที่กำลังนอนหลับสบาย ลืมตาตื่นขึ้นมาทันควัน สาวผิวขาวจัด ริมฝีปากสีสด ผมเข้มเข้ากับดวงตาดำจัด หน้าคมที่จัดอยู่ในระดับดูดี หันกลับมามองเพื่อนรักที่ยืนหน้าบึ้งหน้าบูดอยู่ด้านหลังอย่างเอาเรื่องเต็มที่

     

     

    ใครขี้เซา.....ตอนแกไปๆกลับๆระหว่างที่พักกับบ้านซาโอริแล้วมานอนที่ห้อง ชั้นยังไม่บ่นเลยนะเว๊ย

     

    เออ....แกน่ะไม่ขึ้เซา.. ไอ้คนตื่นง่าย ปลุกง่าย.. ง่ายแบบเขย่าให้ตายก็ไม่รู้ตัว.. ตื่นได้แล้วเว๊ย.. ได้เวลาซ้อมแล้ว

     

    ยูกิปล่อยมือจากเสื้อเชิ้ตตัวนอกที่เป็นยูนิฟอร์มนักเรียน วันนี้มิยูมันเป็นอะไรก็ไม่รู้ เดินเข้ามาก็หาวหวอดๆ ทำเหมือนคนอดหลับอดนอน ถามอะไรก็เอาแต่ อื้อๆ อ้าๆ แล้วก็หลับตาสติขาดไปเสียอย่างนั้น

     

    ไปทำอะไรมา....หลับมาราธอนมากเลยนะเว้ย

     

    ติดลม

     

    ตอบสั้นๆ เหมือนเดิม แถมด้วยการหาวโชว์อีกครั้ง ก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ขยับให้เข้าที่เข้าทาง พยักหน้าอีกครั้งเป็นอันว่า เรียบร้อย พร้อมเดินทาง แค่นั้น ยูกิก็ไม่คิดจะถามไถ่อะไรอีกแล้ว กระดี๊กระด๊าเดินนำหน้าด้วยซ้ำ ไปซ้อม.. ซ้อมเสร็จก็จะได้กินข้าว.. กินข้าวฝีมือซาโอ.. ได้เจอซาโอ..ฮุๆ คิดถึงซาโอจัง

     

     

    มาแล้ว มินามิ

     

    เสียงเนือยๆ ของเด็กน้อยที่ยังหาวอวดลิ้นไก่เป็นระยะๆ ตาปรือๆ อยู่บนม้านั่งตัวเดียวกับคนหน้าหวาน ทำให้มินามิที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือยอมเงยหน้าขึ้น ปากอิ่มๆ วาดเป็นรอยยิ้มให้คนที่โบกมือโบกไม้ให้เห็นมาแต่ไกล สองมือเรียวพับหนังสือเก็บเข้าที่เดิม ลุกขึ้นยืนเกือบจะพร้อมๆ กับที่ริกะเข้ามาถึงตัวพอดี

     

    รอนานหรือเปล่า....

     

    กระซิบถามเบาๆ ยื่นมือไปรับหอบหนังสือที่มินามิถือเอาไว้นอกเหนือจากกระเป๋าสะพายข้างที่พาดอยู่บนไหล่ เด็กสาวส่ายหน้าไปมา ยิ้มหวานชนิดที่ทำให้ริกะแทบจะละลายอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว

     

    นิดหน่อย....ไม่เป็นไร....มีเพื่อน

     

    ทีหลังโทรไปเร่งก็ได้นี่

     

    “…. รอได้….ริกะจะได้ไม่ต้องเร่งรีบไง....

     

    ในขณะที่สองสาว เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว อีกสองคนก็นั่งปักหลักบนม้านั่งตัวนั้นแทน ภาพที่ใครได้เห็นต่างก็อมยิ้ม คนตัวใหญ่นั่งพาดแขนไปกับความยาวของพนักพิง เอนศีรษะไปทางซ้าย ในขณะที่คนตัวเล็กกว่ากอดกระเป๋าเอาไว้หลวมๆ เอนศีรษะไปทางขวาจนแทบจะชนกัน อ้าปากหาวแทบจะพร้อมๆ กัน และพอเงยหน้าสบตากันเท่านั้นแหละ

     

     

    “..........เฮ้ย......

    “.....อ๊า.........

     

    เธอเป็นใคร?”

    เธอเป็นใคร?”

     

    อยู่ดีๆ มานั่งซบฉันทำไม?”

     

    ฮารุกะจังโวยวายขึ้น แม้จะรู้สึกสะดุดหูในน้ำเสียงของอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ไอ้อาการเขินมันขึ้นหน้ามากกว่า

     

    พูดดีๆ นะไอ้หน้าหวาน...เธอมาซบฉันเองนะ

     

    มิยูขยับนั่งตัวตรง ขมวดคิ้วสงสัยไม่แพ้กัน สำเสียงทอดหางเสียงนิดๆ แบบนี้มันคุ้นๆ หู แต่เรื่องอะไรจะยอมให้เด็กหน้าหวานคนนี้มันมาโวยวายอยู่คนเดียวหล่ะ ถึงจะรู้สึกว่า.....กลิ่นหอมอ่อนๆของคนตรงหน้ามันก็โล่งจมูกดีนะ

     

    พอแล้ว.....อย่าทะเลาะกันนะ อายคนเค้า มิยู

     

    ริกะยื่นมือมาขวางทัพเอาไว้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดศึกสงครามใหญ่โตขึ้นจนเกินกำลังจะเอาตัวเข้าขัดขวาง มิยูถอนหายใจพรืด เหมือนฮารุกะจังที่ยอมกลืนคำเผ็ดร้อนลงไปในคอแต่โดยดี เห็นแก่เพื่อนกับแฟนเพื่อนหรอกนะ ไอ้ปากหนา!!

     

    เธอก็เหมือนกัน ฮารุกะจัง.....ผิดทั้งสองคนนั้นแหละ ง่วงนอนจนอารมณ์ไม่ดีทั้งสองคนเลยนี่นา.....กลับบ้านไปนอนได้แล้ว

     

    มินามิดึงแขนฮารุกะจังเอาไว้ เหตุผลที่ยกขึ้นมาทำเอาคู่กรณีมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ง่วงนอนเหมือนกันด้วยหรือ คงไม่ใช่หรอกน่า อะไรมันจะจุดไต้ตำตอขนาดนั้น......

     

    เสียงรถประจำทางแล่นมาแต่ไกลก่อนจะจอดเทียบป้าย ฮารุกะจังกระโดดขึ้นไปบนรถ โบกมือให้มินามิกับริกะที่เคยเห็นหน้าไม่กี่ครั้ง แต่กับอีกคนที่ยังยืนทำตาปรือๆ ขยี้ตาจนแดงเหมือนกระต่ายนั้นน่ะ แค่สบตาด้วยก็เกินพอแล้วมั้ง

     

    มันคล้ายนะ....เสียงนุ่ม ๆ ทุ้ม ๆ .....หางเสียงและสำเนียงแบบนี้

     

    แต่คงไม่ง่ายขนาดนี้หรอกมั้ง.......คงไม่ใช่หรอก

     

    +**************************+

     

     

    ซาโอริกำลังหอบหนังสือเดินลงจากตึกเรียน ขยับตัวเพื่อคลายความเมื่อยขบ เหลือบมองนาฬิกาแล้วอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองไปที่ลานจอดรถอย่างลืมตัว

     

    ไม่มี!!

     

    คิ้วเรียวขมวดนิดๆ ความไม่พอใจอย่างหนึ่งก่อตัวขึ้น แต่เจ้าตัวก็รีบปัดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว

    ดีแล้วนี่นาที่วันนี้ไม่มาดักหน้าตึกให้คนคอยมองคอยจ้อง มันน่าอึดอัด

     

    แต่ถ้าซ้อมหนักจนไม่สบายหล่ะ......อาการไม่ค่อยดีด้วยไม่ใช่หรือ? เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึก ซ้อมเสร็จกลับมาก็นั่งทำการบ้านอีก จนเธอเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วเช้าก็ยังอุตส่าห์ขับรถมาส่งก่อนไปเรียนอีก จะไหวหรือเปล่านะ??

     

    ร่างบอบบางเดินออกมาที่ทางเดินหน้าตึก ยังเดินไปได้ไม่ไกลนักเสียงแว่วๆ ของเพลงที่เสียงร้องคุ้นหูเป็นที่สุดก็ดังขึ้น

     

     

    ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

    เพราะมันดูแสนจะยาวไกล

    ไกลสักเพียงไหน

    ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

    ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป

    จะไปสู่กลางใจเธอ...

     

     

    หน้าขาวจัดยิ้มกริ่ม แถมขยับปากเป็นคำร้องตามเพลงเสียด้วย ดวงตาสีอ่อนหวานเยิ้มจนดูเหมือนเสแสร้ง แต่คนที่รับรู้ คนที่สัมผัสได้โดยตรงมานานเกือบสองปี นี่หล่ะวิธีการบอกความในใจของนักกีฬาดาวรุ่งคนนี้......

     

    ริมฝีปากอิ่มขยับเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่.......ก็บอกแล้ว......ว่าลูกหมาตัวนี่น่ะ.....น่ารัก.....จะทนใจแข็งได้ยังไง.....

     

    +*************************+

     

    RRrrrrrrrrrrrrrrr……Rrrrrrrrrrrr

     

    ค่า... บ้านมิยาชิตะค่ะ

     

    ไง...ตกลงหาตั๋วได้หรือยัง

     

    อ๊ะ....หาไม่ได้เลยอ่า.. แล้วสรุปที่บอกว่าจะไปถามน้องให้น่ะ.. ได้มั้ย...

     

    ฮารุกะหันไปคว้าเก้าอี้ตัวเดิมลากเข้ามานั่งในตำแหน่งเดิมพอได้ยินเสียงเท่านั้นแหละ จำได้ในแทบจะทันทีว่าเป็นเสียงใคร คนที่โทรมาก็เช่นกัน ทันทีที่ได้ยินเสียงคนรับ ก็ไม่ต้องถามหาให้เสียเวลา

     

    ได้ดิ่.. มือชั้นนี้แล้ว... บอกว่าจะหาให้ก็ต้องหาให้จนได้สิ

     

    ว๊าว... โชคดีจังเลยอ่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะ

     

    ฮารุกะจังยังอดที่จะสงสัยไม่ได้ แต่ไม่กล้าที่จะซักถามอะไร ในเมื่อคนที่โทรมาหายังไม่เคยถามอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเธอเลย แล้วจะให้เธอไปละลาบละล้วงได้อย่างไร ดีไม่ดี จะเสียเพื่อนที่คุยกันถูกคอแบบนี้ไปเปล่าๆ แต่ถ้าแค่แหย่นิดๆ คงไม่เป็นไรมั้ง

     

    วันนี้คงคุยนานเหมือนเมื่อวานไม่ได้แล้วหล่ะ

     

    อ้าว.....

     

    ก็มัวแต่ตื่นเต้นเรื่องตั๋วนี่แหละ...กลัวไม่ได้เลยคิดมาก.. กว่าจะหลับก็ค่อนคืนแน่ะ.... ง่วงไปทั้งวันเลยเว้นจังหวะด้วยเสียงหัวเราะใสๆไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า ตอนนี้ ขณะนี้อีกฝ่ายที่กำลังฟังอยู่ต้องยกมือขึ้นกุมอกตัวเองเอาไว้.......น่ารักชะมัด

     

    เกือบโดนใครก็ไม่รู้มานอนซบด้วยหล่ะ

     

    อ้าว....งั้นก็แย่สิ......แสดงว่าเธอต้องหลับไม่เลือกที่ใช่มั้ยเนี่ย

     

    พูดเหมือนตาเห็นเลยนะ....เธอน่ะ

     

    เสียงหัวเราะเริงร่าดังมาให้ได้ยิน ไม่มีสะดุดหรือเงียบไป ยังราบลื่นการสนทนาต่อเนื่องไม่มีขัดข้อง ฮารุกะแอบทอดถอนใจนิดๆ คงไม่ใช่จริงๆ นั่นหล่ะนะ

     

     

    ฮารุกะ.......

    มือเย็นๆวางลงบนต้นคอ ทำเอาฮารุกะสะดุ้งสุดตัว ปัดมือออกไปจนพ้นจากคอ อารามรีบร้อน นิ้วฟาดกับพนักเก้าอี้อย่างแรงจนเสียงลั่น ทั้งเสียงนิ้วกระทบไม้กับเสียงร้องของเขา

     

    “.....โอ๊ย!!.......

     

    อะไร...?!!?..”

     

    นิ้วมันฟาดกับเก้าอี้เขียวเลยเว้ย...แค่นี้ก่อนนะ....

     

    ....แกร๊ก

     

    มิยู....กินข้าวได้แล้ว

    มือขาวจัดกำลังวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้นพอดีกับที่ริกะตะโกนเรียก ชั่วขณะหนึ่งที่มิยูได้ยินเสียงจากปลายสายแว่วๆ ว่า .....ฮารุ... อะไรสักอย่าง เจ้าหน้าหวานนั้นชื่ออะไรนะ ได้ยินริกะเรียกว่า ฮารุกะจังไม่ใช่หรือ งั้นก็คงไม่ใช่หรอกมั้ง

     

    คนที่เสียงคล้ายๆ กันก็มีเยอะแยะไปนี่นา....คงไม่ใช่คนเดียวกันจริงๆ นั่นแหละ

     

    +***************************+

    คุณ.....เชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่????

    +***************************+

     

     

    ฮารุกะจัง ไปโรงเรียนได้แล้ว

     

    ซาโอริที่กำลังผูกเชือกรองเท้าผ้าใบร้องเตือนมาจากหน้าบ้าน มองดูน้องสาวที่ยังยืดยาดสอดแขนใส่เสื้อแจ็คเก็ตยาวคลุมทับเสื้อที่เป็นยูนิฟอร์ม ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปช่วยจัดให้ดูเรียบร้อยมากขึ้น ดวงตาคมหวานไพล่มองไปที่มือเรียวบางของน้องสาวที่ออกจะบวมปูดและสีเข้มกว่าผิวเนื้อบริเวณอื่นมากนัก

     

    เจ็บมากหรือเปล่า....ขอโทษนะ

     

    โฮ้ย....หนูไม่ระวังเองแหละ ซาโอริจัง.....แต่มันปวดน่าดูเลยนะ

     

    มือนุ่มๆ ของพี่สาวไล้เบาๆ บนรอยช้ำ สัมผัสอ่อนโยนที่ฮารุกะไม่นึกสงสัยสักนิดว่าทำไมคนอย่างยูกิถึงได้หลงพี่สาวคนนี้หัวปักหัวปำ

     

    ตอนเย็นพี่จะซื้อยามาให้อีกนะ สงสัยยานวดอย่างเดียวคงไม่พอ

     

    เด็กสาวพยักหน้ารับ ยิ้มจนตาหยีเพื่อให้ซาโอริรู้สึกสบายใจ รีบสะพายกระเป๋าให้กระฉับกระเฉงขึ้น ออกจะหนักไปสักหน่อยแฮะ

     

    ไปแล้วนะค๊า.....

     

    อื้อ...ไปเถอะ

     

    ซาโอริลูบผมนิ่มๆสีเข้มของน้องสาว รอปิดประตูบ้านเป็นคนสุดท้าย ยังไม่ทันจะล็อคกุญแจเสร็จสรรพ เสียงรถแล่นมาจอดจนเสียงเบรกดังสนั่นหวั่นไหว เธอหันไปมองด้วยความตกใจ ใครมาเหยียบมาชนคนตายหน้าบ้านหรือเปล่าเนี่ย

     

    ยูกิ

     

    เร็วๆ .....  เค้าสายแล้ว

     

    น้ำเสียงร้อนรนดังมาจากกระจกรถที่ถูกเลื่อนลง ซาโอริขมวดคิ้วนิ่ง... มองหน้าคนพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

     

    ก็ถ้ามันสายแล้ว... แล้วจะมารับเธอทำไม

     

     

     คุณนี่......บอกกี่ครั้งแล้วว่าถ้าสายก็ไม่ต้องมารับ.. เค้าไปเองได้

     

    โธ่....ถ้าจะดุก็มาดุบนรถเถอะนะ.....เร็วๆ

     

    สถานการณ์พาไป จะไม่ขึ้นก็ไม่ได้ คนโตกว่าทำปากจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ ยอมก้าวขึ้นรถแต่โดยดี คนขับที่รอจังหวะอยู่แล้วกระชากรถออกแทบจะทันทีที่ประตูปิด จนมือบางต้องเกาะเบาะที่นั่งเอาไว้มั่นไม่ไห้โดนแรงเหวี่ยงไปกระแทกประตูรถเข้า คนขับหันมายิ้มแหยๆ คำแก้ตัวสารพัดหลั่งไหลออกมาไม่มีติดขัดสักนิด ไม่เปิดช่องว่างให้เธอได้พูดอะไรหรือดุอย่างที่บอกเลยสักคำด้วยซ้ำ ซาโอริได้แต่อ่อนอกอ่อนใจ

     

    ค่ะๆๆ ช่างเถอะ แต่อย่าทำแบบนี้อีกนะ.....ขับรถเร็วมันอันตราย

     

    คราบบบบผม!!

     

    รับคำขึงขัง ยิ้มประกายเจิดจ้าในแบบที่ใครเห็นก็อยากจะหลอมละลายลงไปตรงหน้า ยิ้มแบบนี้สินะที่ทำเอาใครๆ ก็หลงกันทั้งนั้น แต่ซาโอริรู้ลึกไปกว่านั้นอีกนิดหน่อย.....ว่าเวลาที่ยูกิยิ้มแบบนี้หน่ะ......ไม่ได้ใสซื่อสำนึกผิดเลยแม้แต่นี้ดดดดดดดดดดดดเดียว

     

    +**************+

     

    ในขณะที่พี่สาวไปกับยูกิ คุณน้องสาวเดินย่ำต๊อกไปตามถนน จนถึงป้ายรถเมล์ ดูนิ้วตัวเองด้วยความสมเพชอเน็จอนาจตัวเอง

     

    ก็ผิวมันขาวขนาดนี้ เหมือนกับเป็นปานเขียวที่นิ้วยังไงยังงั้นน่ะสิ แถมยังบวมตุ่ยอีกต่างหาก จะเอากอเอี๊ยะติดเอาไว้ก็แสบร้อน ทายาก็ไม่หาย แตะนิดแตะหน่อยก็เจ็บ คิดแล้วก็ไม่น่าคุยเพลินเลย ฮารุกะจังถอนหายใจ สบถเบาๆ เพราะคิดว่าเดินอยู่คนเดียว

     

    ให้ตายสิ

     

    อ้าว.....ปากเสียแต่เช้านะเธอน่ะ

     

    เสียงนุ่มๆ ทุ้มๆ ดังขึ้น วูบหนึ่งที่ฮารุกะสะดุ้งแล้วรีบเงยหน้าขึ้นมอง .....เสียงแบบนี้มัน....เหมือน.....

     

    ...........แต่คงไม่ใช่......

     

     

    โหย.....ซวยชะมัด

     

    ฮารุกะจังบ่นพึมพัม เมื่อเห็นใบหน้าขาวจัด ของมิยูลอยอยู่ตรงหน้า ป้ายรถเมล์เดียวกันนี่เอง คนหน้าหวานถอยหนีไปสองก้าว ตั้งหลักก่อนจะโต้ตอบ นึกสงสัยว่าทำไมไม่เคยเห็นหน้าฟระ ขึ้นรถสายนี้ไปโรงเรียนมาเกือบสามปี หรือว่าเธอไม่เคยสังเกต โรงเรียนของมิยูกับริกะก็อยู่ถนนเส้นเดียวกันงั้นหรือ

     

    ทำหน้ายังกับเห็นผีน่ะ....ฉันสิน่าจะเป็นแบบนั้นมากกว่า

     

    เสียงของมิยูติดจะแหบเล็กน้อยเหมือนคนเป็นหวัด ฮารุกะจังขมวดคิ้ว...ทำไมรู้สึกว่าเสียงเหมือนมากขนาดนี้นะ

     

     

    “......เธอนั่งรถสายนี้ไปโรงเรียนตลอดเหรอ.....

     

    ฮารุกะจังถามขึ้นค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเมื่อเห็นว่ามิยูเอาแต่ใช้ทิชชูเช็ดน้ำมูก แล้วก็จามเป็นระยะ จมูกแดงไปหมด

     

    “.....เปล่าหรอก วันนี้ฉันตื่นสายเลยมาช้าไปสองเที่ยวน่ะ.....ซวยชะมัด...

     

    ไม่สบายหรือ

     

    คนสูงกว่าปรายตามอง ยิ้มติดจะขำนิดๆ ย้อนถามปนหัวเราะ

     

    ต้องถามด้วยเหรอ ....ไอ้หน้าหวาน....ขนาดนี้ยังเห็นว่าฉันแข็งแรงดีงั้นสิ

     

    แทนที่จะโกรธ ฮารุกะจังกลับยิ้มแหยๆ นั่นสินะไม่น่าถามเลยนี่นา มือขยับสายสะพายกระเป๋าแก้ขวย จังหวะเดียวกับที่มิยูปรายตาลงมามอง หือ.......ไอ้หน้าหวานตัวนี้มันมีแหวนสีเขียวใส่ด้วยหรือเนี่ย

     

    แหวนเธอแปลกดีนะ....เขียวอี๋เลย นิ้วก็อ้วนเชียว...เป็นเกาท์หรือเปล่าฮะ

     

    เป็นทีของฮารุกะจังที่จะหัวเราะและย้อนถามปนหัวเราะไปบ้าง มือเรียวบางยกขึ้นให้ดูในระดับสายตาของมิยู

     

    แหวนบ้านเธอดิ เขียวปนม่วงแบบนี้......ฟาดกับโต๊ะหน่ะเลยเขียว แล้วก็บวม ไม่ได้เป็นเกาท์ ปากเสียแต่เช้าเหมือนกันนะเธอนี่

     

    พูดแล้วหัวเราะยิ้มจนตาหยี ไม่ทันได้สังเกตว่า มิยูหยุดยิ้ม ชะงักไปกับสิ่งที่ได้ยิน และได้เห็น

     

    เหมือนมากเลยนะ.....

     

     

    ทั้งเสียงหัวเราะ และเหตุการณ์ที่เล่าให้ฟัง.......

    แต่....จะใช่หรือ??

     

    ซุ่มซ่ามหล่ะสิ....ตาก็โตนะ เพราะมัวแต่นั่งหลับล่ะสิ...งั้นก็คงไม่แปลกหรอกมั้งที่จะมองไม่เห็นโต๊ะหน่ะ

     

    ฮารุกะจังอ้าปากค้าง.....โหย.....ไอ้ปากหนานี่มันยังไงกันวะ เพิ่งเจอกันแค่สองครั้งกล้าหาญมาล้อเลียนเธอแล้วยังกับเคยพูดเคยคุยสนิทสนมกันอย่างนั้นแหละ.....มันออกจะเกินไปแล้วนะ......อย่างนี้มันต้องโกรธสิ ใช่มั้ยเนี่ย???

     

    แต่มันกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสำเนียงแบบนี้ สำนวนแบบนี้ ที่ทำให้หัวเราะงอหายตอนที่โทรศัพท์คุยกับคนๆ นั้น จนโกรธไม่ลงเอาน่ะสิ!!

     

     

     ฮารุกะ........

     

    เสียงเรียกดังขึ้นขัดทัพเสียก่อนพร้อมกับร่างบอบบางของมินามิวิ่งขึ้นเนินตรงมาที่ป้ายรถเมล์เหมือนกัน กระหืดกระหอบด้วยความเหนื่อย แต่พอเห็นมิยูเข้าก็เลิกคิ้วทำตาโตด้วยความประหลาดใจ ปกติก็มีแต่เธอกับฮารุกะจังเท่านั้นนี่นา

     

    อรุณสวัสดิ์ มิยู

     

    อรุณสวัสดิ์ มินามิ

     

    รอยยิ้มอ่อนโยนกับน้ำเสียงสุภาพของมิยูทำเอาฮารุกะจังชักหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง อะไรวะ ทีกับเธอรู้จักกันมาก่อนหรือก็ไม่ มันกัดเอากัดเอา ทีกับแฟนเพื่อนล่ะ ทอดหางเสียงซะดิบดีเชียว ไอ้ปากหนา

     

    รถประจำทางแล่นมาจอดเทียบป้าย ฮารุกะจังก้าวขึ้นไปก่อน ตามด้วยมินามิ ดวงตากลมโตจ้องไปที่มือบางๆ ของเพื่อนในขณะที่กำลังหยอดเงินค่าโดยสาร อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่าไปทำอะไรมา ฮารุกะจังหัวเราะแห้งตอบปนหัวเราะ ในขณะที่มิยูกำลังหยอดเงินค่าโดยสารมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งดึงหูฟังวอร์กแมนขึ้นมาครอบศีรษะตัวเองพอดี

     

    “...คุยโทรศัพท์เพลินไปหน่อยนะ ไม่ทันระวังมือเลยฟาดกับโต๊ะ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย...

     

    มินามิพยักหน้ารับรู้ หันกลับไปมองด้านหลัง คนตัวขาวจัดอีกคนกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ควักออกมาถูจมูก สูดน้ำมูก ก็บ่นออกมาดังๆ พอที่มันจะเล็ดรอดเข้าไปในหูฟังของจินได้

     

    ดีจริง เมื่อวานก็อดหลับอดนอนด้วยกันทั้งคู่ พอมาวันนี้ คนนึงก็ไม่สบาย อีกคนก็เจ็บตัว พวกเธอนี่มีอะไรๆ คล้ายกันดีนะ

     

    ทั้งฮารุกะจังทั้งมิยูที่ได้ยินหันขวับไปมองคนพูดที่นั่งลงบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งท้ายรถ แล้วหันมาสบตากันเอง และก็เป็นฮารุกะจังอีกครั้งที่เมินหน้าไปก่อน สู้ประกายตาวิบๆ เหมือนจะหัวเราะของมิยูไม่ไหว เสียงทุ้มๆ นุ่มๆ ที่มันคอยจะทำให้คิดสงสัยอยู่เสมอหัวเราะในลำคอเบาๆ คล้ายจะชอบใจ

     

    นั่นสินะ.....ถ้าได้คุยกันนานๆ อาจจะถูกคอกันก็ได้

     

    ดวงตาดำจัดระยับ ถ้อยคำเหมือนจะกระเซ้าเย้าแหย่ให้ฮารุกะหงุดหงิดเล่น แต่ตัวคนพูดรู้ดีที่สุดว่า ความหมายของมันลึกกว่าที่คนอื่นได้ยินแค่ไหน

     

     

    อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าได้คุยกันนานๆ ไม่กัดกัน พูดกันดีๆ บ้าง ฮารุกะจะให้ความรู้สึกเหมือนกับคนๆ นั้นหรือเปล่า....อยากรู้จริงๆ

     

    +*************+

     

     

    เสียงร้องเพลงหงิงๆ ที่คุ้นเคยมาเกือบปี ดังคลอไปกับเสียงดนตรีจากโทรศัพท์เป็นระยะ บางครั้งแม้จะหยุดแล้วร้องท่อนเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นนานกว่าจะขึ้นท่อนใหม่ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้านที่มายึดเอาเป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้เป็นที่กินข้าวเลยแม้แต่น้อย

     

    ดวงตาคมหวานยอมละจากหนังสือที่นั่งอ่านมานานนับชั่วโมง บิดการไล่ความเมื่อยขบ มองเข้าไปในห้องที่เห็นแค่เพียงกลุ่มผมสีเข้ม ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหมุนไปหมุนมาเหมือนกำลังใช้ความคิด ดวงตาสีเข้มคู่นั้นที่มักจะมองเธอด้วยประกายยะยับ จนทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้กลับดูมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจเป็นอันมาก

     

    เออ...เอาการเองงานก็เป็นแฮะ

     

    ซาโอริรวบหนังสือกองๆ เอาไว้ให้เป็นระเบียบ ใกล้เวลาที่ฮารุกะจังจะเลิกเรียนแล้ว ได้แผลมาแบบนั้นต้องบำรุงร่างกายเสียหน่อยท่าจะดี แล้วยังมีนักร้องเสียงดีอีกคนที่ต้องเลี้ยงดู ตอนนี้น่ะไม่หิว ไม่อยากอะไรหรอก แต่ถ้าทำการบ้านเสร็จเมื่อไหร่หล่ะก็....ร้องโวยวายหาของกินยังกับอดอยากมาเป็นเดือนๆ ถ้าหากไม่รีบออกไปตอนนี้ ตัวเธอนั่นแหละจะลำบากเอา เพราะไม่ใช่แค่ฮารุกะจังหรอกที่จะงอแง ลูกหมาที่ชอบมาฝากท้องที่บ้านก็คงจะมาครางหงิงๆให้เอ็นดูอีกเหมือนกัน

     

    ยูกิ.....เค้าออกไปข้างนอกนะ

     

    อือม์......

     

    เงยหน้าขึ้นยิ้มนิดๆ กวาดตามองคนตรงหน้า คนตัวโตกับเสื้อคลุมตัวโตสีเข้มยิ่งทำให้ดูบางลงไปอีก ผิวสีน้ำตาลอ่อนที่เธอรู้จักดีว่ามันนวลเนียนนุ่มมือแค่ไหน แขนเสื้อข้างหนึ่งร่นขึ้นไปจนถึงศอก นาฬิกาเรือนเล็กที่เธอเป็นคนบังคับซื้อให้ผูกจับจองเป็นเจ้าของข้อมือเรียวนั้น.....ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเมื่อไหร่ก็มีแต่จะทำให้ลุ่มหลงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

     

    ...ซาโอริ.....

     

    “.........คะ

     

    หันกลับมา เลิกคิ้วนิด ๆ เชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า.....ยูกินิ่งไปอึดใจก่อนจะถามออกได้ด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับจะไม่มั่นคงนัก

     

    ตามหา.....คนร่วมทาง.....เจอหรือยัง....

     

    คนถูกถามนิ่งอึ้งไปแทบจะทันทีที่ได้ยิน มือกระชับกุญแจรถให้แน่นขึ้น ริมฝีปากอิ่มเม้มนิดๆ สุดท้ายก็ยิ้มอ่อนโยน ยิ้มเย็น ๆ

     

    “.....ก็....ยังหรอกนะ.....หรือบางทีอาจจะเจอแล้วก็ได้ แต่เค้ายังไม่แน่ใจเท่านั้นเอง

     

    “......งั้น เค้ายังอยู่ตรงนี้ได้ใช่มั้ย?”

     

     

    เสียงของยูกิเบาลง ไม่ล้อเลียนหรือกลั้วหัวเราะเหมือนทุกครั้ง หันหน้ากลับไปหาสมุดเหมือนเดิม ปากกาในมือขยับเป็นตัวหนังสือ ชั่วขณะนั้นที่ซาโอริเกือบจะเดินเข้าไปหา ความเหงาหงอยในน้ำเสียงนั่นมันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นแทบจะทันทีพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อ ประกายตาวิบวับที่เขาแสนใจหมั่นไส้นัก

     

    ช่วยไม่ได้นะ......จนกว่าจะเจอคนๆนั้น......เวลาก็ยังคงเป็นของเค้าอยู่ดี....ก็ตกลงกันแล้วนี่นาว่า.....เราจะคบกันจนกว่าเธอจะเจอคนๆนั้น ถ้ายังหาไม่เจออยู่อย่างนี้น่ากลัวซาโอริต้องเป็นแฟนฉันตลอดไปแล้วหล่ะนะ

     

    ไอ้คนนี้มันน่า.......นัก!!!

     

    คนตัวโตหันหลังออกมาทันที นึกเสียดายที่ไปคิดสงสาร ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ายัยคนนี้น่ะ กะล่อนปลิ้นปล้อน ช่างออดช่างอ้อน เอาเสน่ห์ที่มีอย่างเหลือล้นมาใช้ได้ทุกโอกาส แถมยังมีรูปเป็นทรัพย์อีกต่างหาก ใครๆ ก็รักก็หลงใหล ไม่น่าไปเห็นใจให้เสียเวลาเล้ยยย

     

    วันนี้อยากกินสปาเกตตี้เนื้อหล่ะ.......เอาเยอะๆ น้า

     

    เสียงตะโกนออร์เดอร์อาหารไล่หลังมาแว่วๆ ซาโอริหันขวับไปมองเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ..... อยากได้อะไรก็สั่งเอาอยู่เรื่อยนะ....เดินหนีออกมาหน้าบ้าน แล้วก็แทบจะเดินกลับเข้าไปตีหัวลูกหมาที่ยังครางหงิงๆ อยู่ในบ้านอีกครั้ง ดีจริงๆ ที่ต้องพกพาอารมณ์ขุ่นมัวมาขับรถ จะไปเหยียบใครตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ หนำซ้ำยังเอารถออกไม่ได้เพราะรถคันใหญ่สีขาวของลูกหมามนุษย์มันจอดขวางอยู่อีก ซาโอริก้มลงมอง กุญแจก็ยังเสียบคาเอาไว้ รถก็ไม่ล็อค รวยนักนะ หายไปก็คงไม่เสียดายใช่มั้ย

     

    เอาวะ....ทำอะไรคนไม่ได้ ก็มาลงกับรถนี่แหละ!!

     

    ทันทีที่สตาร์ทรถ เสียงเพลงทำนองคุ้นหูก็ดังขึ้น ไม่ได้คิดจะปิด หรือหรี่เสียงลง เปิดไว้งี้แหละเปลืองไฟดีให้แบตเตอรี่หมด จะได้ไปติดแหง็กอยู่กลางทางตอนหอ วันนี้จะไม่ใจอ่อนให้ค้างแล้วด้วย รถคันสวยแล่นฉิวไปตามถนนค่อนข้างเร็วในขณะที่เครื่องเสียงชั้นดีทำงานของมันไปเรื่อยๆ

     

    ...............................................

     

     

    .........................

     

     

    สัญญาณบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้น สำหรับนักเรียนปีอื่นๆ อาจจะเตรียมตัวกับศึกชิงอาหารกลางวัน ส่วนนักเรียนปีสามอย่างฮารุกะจัง มินามิกลับอ้อยสร้อยเก็บหนังสือ กระเป๋าขึ้นสะพาย จุดมุ่งหมายก็คงหนีไม่พ้นสถาบันสอนพิเศษ หรือห้องสมุด แต่วันนี้พิเศษสักหน่อยเมื่อเพื่อนคนหนึ่งตะโกนข้ามห้องมาว่า

     

    มินามิ...มีคนมาหาจ๊า

     

    อื้อ.....ขอบใจ

     

    มินามิ ชะโงกหน้าออกไปดูที่ทางเดิน ฮารุกะจังเดินตามไปติดๆ ใครอ่ะ....โหย .... น่ารักชะมัดเลย สูงยาวเข่าดี ผิวขาวนวลเชียว ผมตัดสั้นได้รูปสีเข้ม ที่สำคัญ จุดที่ดึงดูดสายตาของหลายๆ คนนอกจากความสูงแล้วก็ไอ้นี่หล่ะ...... Smile!!! ....คนอะไร ยิ้มได้บาดใจชะมัด ยิ้มทั้งปากทั้งตา.....ยิ้มพิฆาต

     

    ซากะ!!~”

     

    มินามิเป็นคนร้องทัก เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วท่าทางตื่นเต้นยินดี ยูนิฟอร์มไม่เหมือนกัน ทำให้พอรู้ว่าเป็นเด็กคนละโรงเรียน

     

    มาได้ไง.....มีธุระอะไรหรือเปล่า

     

    ก็เดินมา.....จะให้ขับรถมาเหรอ...ยังไม่มีใบขับขี่นะ

     

    ซากะหันมามองคนตัวเล็กอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมินามิ ยังเผื่อแผ่ยิ้มมาให้ด้วยอย่างเป็นมิตร

     

    คงจะเป็น....ฮารุกะจัง....ที่มินามิเล่าให้ฟังบ่อยๆ สินะ....

     

    ใช่...อ่า... มินามิหันมาจูงมือฮารุกะให้ขยับเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย

     

    นี่ซากะ เรียนที่เดียวกับริกะ ยูกิแล้วก็มิยู ..... อ่า....เป็นลูกพี่ลูกน้องของมิยูน่ะ

     

    โหย...ไอ้หน้าหวานหันขวับไปจ้องคนยิ้มสวยอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก คนยิ้มสวยๆ เนี่ยนะ น้องของคนที่ปากเสีย ไร้มารยาท ถือวิสาสะคนนั้นจริงๆ น่ะ ... อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ.....

     

    “....อาของมิยูกับแม่ของฉันแต่งงานกัน.....ฉันมีศักดิ์เป็นน้องน่ะแต่อายุเท่ากัน แล้วก็มีพี่สาวอีกคน คนนั้นพี่จริงๆ

     

    ซากะพูดปนหัวเราะเมื่อเห็นสายตาที่บอกว่า ให้ตายก็ใม่เชื่อนั้นเข้า เลยต้องอธิบายออกมาแล้วยิ่งเห็นสีหน้าโล่งอกโล่งใจก็ยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีก ก่อนจะกระตุกแขนมินามิเบาๆ ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้

     

    วันนี้ริกะให้มารับแทน โดนเรียกซ้อมน่ะ เดี๋ยวจะมาพร้อมมิยู

     

     

    คนสวยพยักหน้ารับรู้ เดินนำหน้าลงมาจากตึกเรียน นึกสงสัยนิดๆ ว่าทำไมคนรักไม่บอกตัวเองตั้งแต่เช้า ฮารุกะจังหันมายิ้มให้ซากะแห้งๆ

     

    ขอเรียกฮารุกะจังได้มั้ย.....

     

    เอาดิ....ไม่เป็นไร

     

    ยิ้มจนตาเป็นขีด ดูๆไปก็น่ารักดีนะ ซากะผ่อนฝีเท้าเดินเคียงมากับฮารุกะจัง ลอบมองใบหน้าหวานแต่ไม่ได้หวานปานจะหยดเหมือนมินามิ ถึงกระนั้นก็น่าดูน่ามอง

     

    เลือกที่เรียนได้หรือยัง ฮารุกะจัง ว่าจะต่อที่ไหน

     

    เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน ดวงตาเรียวเล็กเปล่งประกายวาวขึ้นมาทันที น้ำเสียงวาดหวัง

     

    ไม่อ่ะ.. เค้าอยากเป็นนักกีฬาเหมือนพี่สาว.. ก็คงเข้าJT ม.เดียวกับพี่เค้านั่นแหละ

     

    สิ่งที่ฮารุกะจังไม่ทันสังเกตก็คือ ซากะหลุบตาลง มองไปอีกทาง พูดเหมือนรำพึงขึ้นเบาๆ ว่า

     

    งั้นก็เหมือนกับมิยูเลยสินะ......

     

    หา!!~ ไอ้ปากหนานั่นก็อยากเข้าที่นี่เหมือนกันเรอะ

     

    เสียงสูงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัย มันยังจะมุ่งเป้าไปที่เดียวกันอีกเหรอเนี่ย....อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ ถ้าติดเหมือนกันจริงๆ เธอมิต้องลับฝีปากกับมิยูทุกวันเลยหรือ ขนาดยังไม่เคยรู้จักกัน ยังกัดซะเหวอะหวะปานนี้แล้วนะ

     

    อ่ะ...เอ่อใช่.....

     

    ซากะตอบงงๆ มองดูฮารุกะจังเป่าปากพ่นลมจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจ แล้วจู่ๆ ก็หันมาถามเธอว่า

     

    แล้วซากะล่ะ......เลือกเรียนที่ไหน

     

    ยังไม่ทันได้คำตอบก็เดินมาถึงหน้าโรงเรียนพอดี เสียงวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกลของริกะ กับร่างสูงๆ ขาวจัดของมิยูที่เดินเอื่อยๆตามมาลิบๆ นั่นน่ะ ดึงความสนใจของซากะไปจากคำถามจนหมด รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากสีสวยอีกครั้ง ในขณะที่คนข้างๆ ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซากะเดินลิ่วตรงไปหา...มิยู....ที่พอเห็นเข้าก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ดูเป็นพี่ที่ห่วงใยน้องมากจริงๆ

     

    ซากะไม่เรียนต่อน่ะ

     

     

    เป็นมินามิที่ตอบคำถามแทน เธอกำลังมองพี่น้องคนละสายเลือดคู่นั้นอยู่เช่นกัน มือข้างหนึ่งถูกริกะดึงไปคว้าไปเป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้ว

     

    หัวใจเค้าไม่ค่อยดี เรียนจบปีนี้พ่อซากะจะให้ไปผ่าตัดที่อเมริกา พักรักษาตัวอีกปีนึง

     

    ริกะหันไปมองซากะกับมิยูบ้าง ยังนึกเคืองเล็กน้อยที่มิยูแกล้งทำอ้อยสร้อยจนเธอต้องมารับคนสวยช้ากว่าปกติ เลยอดจะกระแทกน้ำเสียงไม่ได้

     

    มิยูมันเลยต้องคอยดูแล ตามใจ ทั้งที่ปกติมัน...เอี้ย...จะตายท้ายประโยคเน้นหนัก พ่นลมพรืดอย่างขัดใจ แต่คนฟังหัวเราะลั่นอย่างถูกอกถูกใจกับคำพูดนี้นัก จนริกะอดจะหัวเราะตามไม่ได้ เฮ้อ....พอเห็นหน้าแฟนแล้วอะไรๆ ที่มันขุ่นมัวก็หายไปหมดเหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ เลย น้ำเสียงเลยค่อยเรียบลื่นหูขึ้นมาหน่อย

     

    แต่ซากะก็...ติดมิยู....น่าดูเลยนะ ยิ่งกว่ามิยะเสียอีก

     

    ฮารุกะนึกต่อในใจทันทีว่า ซากะคงจะมีภูมิคุ้มกันอะไรสักอย่างในตัวสูงเป็นแน่แท้ ไม่เช่นนั้นคงมีคู่พี่น้องปาก...หมา....เหมือนแฝดเกิดขึ้นมาบนโลกเป็นแน่ จะน่าเสียดายความน่ารักของซากะไปเสียเปล่าๆ

     

    ตอนกลับบ้าน ฮารุกะมองไปด้านหน้า เห็นมินามิเดินคู่กับริกะ สองคนคุยกันหนุงหนิงถึงจะไม่หวานแหววแถมคุยเรื่องกีฬา เข้ากับแผนที่วางไว้ว่าจะไปอาทิตย์นี้ สีหน้าก็ไม่ได้เคร่งเครียดสักเท่าไหร่นัก ออกจะมีรอยยิ้มมากกว่าปกติเสียอีก

     

    พอมองไปด้านหลัง ซากะก็เดินตีขนาบมากับมิยู เหมือนมีโลกส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น ทำไมก็ไม่รู้ เหมือนเราเป็นส่วนเกินเลยแฮะ เฮ้อ...

     

    มือเรียวบางล้วงกระเป๋าหยิบโน้ตย่อเล่มเล็กขึ้นมาท่องไปพลางๆ ยังอ่านไม่ทันจบหน้าแรกดีด้วยซ้ำ จู่ๆสมุดก็ถูกดึงออกไปต่อหน้าต่อตา ตามด้วยเสียงกระเซ้าที่มันบาดหูหนักหนา

     

    จะขยันไปถึงไหนกัน......เกินหน้าเกินตาเพื่อนฝูงแล้วนะเธอน่ะ

     

    มันก็เรื่องของฉันนี่หว่า...เอาคืนมา

     

    เสียงหวานๆตวาดห้วนๆ ตวาดคืนบ้าง อะไรวะ คนกำลังอ่านเพลินๆ หาเรื่องกันนี่หว่า

     

    ไหน ๆ ขออ่านมั่งสิ

     

    มิยูหันหนีไปอีกทาง เปิดโน้ตย่อทีละหน้า ทำหน้าทำตาสนอกสนใจแต่ปรายตามองเจ้าของมันที่ทั้งบูดทั้งบึ้ง หน้าตึงเปรี๊ยะ ส่งกระแสพิฆาตออกมาทางสายตาถ้ามันบาดคอมิยูให้ตายไปเลยได้ คงจะสมใจฮารุกะจังเป็นอย่างมาก

     

    อย่าทำหน้าเป็นของเสียสิ ฮารุกะจัง.....

     

    โว้ยยยยยยยยย!! ไอ้บ้า ไอ้ปากหนา.. ฉันจะฆ่าแก๊......................

     

     

     

    ฉากการไล่ล่าระหว่างคนหน้าหวานกับคนปากหนาเริ่มขึ้น เสียงหัวเราะของมิยูสลับกับเสียงแง่งๆ ของฮารุกะจัง แม้แต่ริกะกับมินามิยังต้องละเรื่องที่คุยกันหันมาห้ามทัพ ก่อนจะไปก่อกวนใครหรือก่อนที่จะมีการเสียเลือดเสียเนื้อขออีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ริกะช่วยคนรักดึงแขนฮารุกะจังเอาไว้ แล้วใช้เท้าข้างที่ว่างสะกิดสะเกามิยู ให้รีบคืนสมุดฮารุกะจัง ถึงแม้มิยูจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ตามเหอะ ปลายหางตาของริกะมองไปที่ซากะ เด็กสาวหน้าสวยอีกคนที่เดินตามมาเงียบๆ สายตาคู่นั้นจ้องมองมิยูไม่ไปไหน พอหันมาเห็นว่าเขากำลังมองอยู่ก็ยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง ริกะถอนหายใจ

     

    ใช่ว่าเธอจะมองไปไม่ออก สายตาคนนอก มองเห็นมุมกว้างกว่าคนใน คาดเดาอะไรก็แม่นยำกว่า แต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น

     

    มิยูนะมิยู เตือนก็แล้ว บอกอ้อมๆ ก็แล้ว ยังไม่ยอมเชื่อกันอีก ซากะไม่ใช่มิยะ ทำอะไรให้ระมัดระวังบ้าง

     

    ความใจดี ความอ่อนโยนของมิยู คนรับเค้าก็คงจะชื่นอกชื่นใจ และคงไม่มีปัญหาอะไรถ้ามันอยู่ในขอบเขตความพอดี

     

    แต่ถ้าหากมันมากเกินไป ล้ำเส้นของความพอดีออกไปแล้วหล่ะก็

    มันจะกลับมาทำร้ายคนรับเข้าน่ะสิ!!

     

     

     

    Rrrrrrrrrr……Rrrrrrrrrrrrrrrr…..

     

    หนูรับเองค่ะ หนูเอง

    เสียงวิ่งตึงๆ ออกมาจากห้องอ่านหนังสือ จนซาโอริที่กำลังจะรับโทรศัพท์ต้องรับหันไปรับร่างของน้องสาวที่โถมเข้ามาเต็มแรงแทน ฮารุกะจังหอบแฮ่กๆ ยิ้มแหยๆ รีบยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา เสียงกระหืดกระหอบ

     

    หวัดดีค๊า บ้านมิยาชิตะค่ะ

     

    เป็นอะไร...ทำไมเสียงแบบนี้หล่ะ

     

    เสียงทุ้มๆ ปนหัวเราะ เสียงที่จำได้ดี รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กหน้าหวานอย่างอดไม่อยู่ แอบชำเลืองตามองพี่สาวนิดๆ

     

    เดี๋ยวนะ....

    มือบางปิดปากโทรศัพท์เอาไว้ พยักเพยิดไปที่ห้องด้านใน

     

    ยูกิหน้ายุ่งอยู่นู่นแหนะ......สงสัยจะเครียดเรื่องแข่งน่ะ  ไม่ไปปลอบหน่อยเหรอ ซาโอริจัง

    ซาโอริขยี้ผมนุ่มเปียกหมาดๆ หลิ่วตามองด้วยสายตารู้ทัน อยากคุยคนเดียวหล่ะสิ

     

    อย่าดึกนักนะ อ่านหนังสือด้วยหล่ะ

     

    คราบบบบ....อ้อ... หนูได้ข่าวว่าจะมีโค้ชจากสโอสรXXมาดูการซ้อมด้วยนะ.....คงจะเครียดจริงๆแหละ

     

    ครั้งนี้คนฟังขมวดคิ้วขึ้นมาบ้าง แปลก...ปกติแข่งกี่รอบๆ หรือจะมีใครมาดูก็ไม่เห็นจะเคยคิดมากนี่นา แถม..ลูกหมาจะชอบมาคลอเคลียอ้อนโน่นนี่ขอกำลังใจอีกต่ะหาก คราวนี้หมกตัวเงียบหรือ.....

     

     

    ทันทีที่ลับหลังพี่สาว เหตุการณ์เดิมๆ ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง เสียงกระหนุงกระหนิง พูดคุยหัวเราะสลับกันไปมา ความสบายใจเพียงเล็กน้อยในระหว่างที่ต้องเคร่งเครียดกับตำราและการซ้อมที่ทวีความหนักหน่วงขึ้นทุกๆ วัน

     

    คุยกันมาหลายวันแล้วนะ......ถ้าเธอไม่ว่าอะไร...เกมวันเสาร์นี้...เรามาเจอกันได้มั้ย?”

     

    เสียงทุ้มถามขึ้นเบาๆ ฮารุกะจังหัวเราะตอบกลับไป

    ทำไมจะไม่ได้.......ถ้าได้เจอกันแล้ว... เธออาจจะไม่อยากเจอฉันด้วยซ้ำ

     

    อ้าว....ทำไมหล่ะ....

     

    “.....ก็ฉันไม่ใช่เด็กสาวๆ นะ....ที่จะมานัดบอดเจอกันน่ะ ชื่อก็ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

    คราวนี้เสียงทุ้มๆ นุ่ม ๆนั้นหัวเราะกลับมาบ้าง

     

    ถึงไม่รู้จักชื่อ.....แต่ฉันเชื่อว่า ฉันอยากเจอเธอนะ

    และที่ไม่ถามชื่อ เพราะฉันอยากรู้ว่า......ถ้าฉันตามหาคนๆนึง จากภาพในความคิด โดยไม่ต้องใช้ชื่อนามสกุลเป็นคีย์เวิร์ด.....จะหาพบหรือเปล่า

     

    แล้วเธอล่ะ.......อยากจะลองทำเหมือนกันดูบ้างมั้ย?”

     

    รู้หรือเปล่า ว่าคนฟังยกมือขึ้นทาบอกด้วยความลืมตัว เพราะหัวใจที่มันกำลังระรัวอยู่ข้างใน มันสั่น สั่นไปทั้งตัว

     

    ต้องมาเจอกันให้ได้นะ.....เสียงทุ้มแผ่วเบาลง อารมณ์หวั่นไหวแว่วมาตามเสียงที่ได้ยิน ราวกับคนพูดกำลังกระซิบอยู่ข้าง ๆหู

     

    “.....อยู่แล้ว.....จะได้พิสูจน์สมมติฐานของเธอไง......แต่ถ้าผิดหวังก็อย่ามาโทษนะ ฉันอาจไม่น่าคบก็ได้

     

    ไม่มีคำตอบจากปลายสายนอกจากเสียงหัวเราะเบาๆ และคำกล่าวราตรีสวัสดิ์สั้นๆ

     

    ราตรีสวัสดิ์

    หัวใจ อย่าสั่นนักสิ.....ฮารุกะจังหัวเราะออกมาให้กับความหวั่นไหวของตัวเอง

    เออเฮ้ย เหมือนนางเอกหนังเลยเว้ย.....แค่โทรศัพท์ก็เอามาคิด เอามาวูบวาบ บ้าแท้ๆ

    แต่ลองเล่นดูสักหน่อยเป็นไรไป.....

     

    ชักอยากจะให้ถึงวันเสาร์เร็วๆซะแล้วสิ...

     

    +*********************+

    ขณะเดียวกัน ในห้องของริกะ เด็กสาวหน้าหวาน แก้มอิ่มซุกหน้าอยู่กับท่อนแขนตัวเอง ดวงตากลมโตปิดสนิท เจ้าของห้องหอบผ้าห่มออกมาคลุมลงบนบ่าบางๆ นั้นอย่างเบามือ ไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มขาวละเอียดนั้น ริมฝีปากอิ่มที่รสชาติหอมหวานแค่ไหนยังติดตรึงไม่ลืม

     

    “....ริกะ.....หนาว....

     

     

    ละเมอออกมาเบาๆ กลีบนุ่มถูกสัมผัสผ่าวราวปีกผี้เสื้อโบยบิน......ทะนุถนอม....ราวกับสิ่งล้ำค่า.....ริกะหรี่แสงไฟลงจนเหลือแค่ไฟบนโต๊ะทำงาน หนังสือที่เปิดค้างไว้ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง......

     

    ถึงเราทั้งคู่ยังเด็ก อนาคตจะไม่แน่นอน ทางที่มองไปไม่เคยชัดเจนว่าเราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอด แต่ตอนนี้........สิ่งที่สองมือพอจะทำได้ จะไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด อะไรที่มันจะทำให้คนรักสุขสบายในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน คือสิ่งที่ปรารถนาเป็นที่สุด.....

     

    คนน่ารักแบบมินามิไม่จำเป็นต้องแสวงหาใคร มีอีกหลายคนที่พยายามเข้าใกล้ อยากได้มาคบหา คนดีกว่าเธอก็มีเยอะแยะไปที่เสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือก แต่มินามิก็เลือกเธอ ให้มายืนข้างๆ เป็นคนเดียวที่ได้สัมผัส เกาะเกี่ยวมือเดินไปด้วยกัน

     

    เวลานี้ เรายังต้องพึ่งพ่อ แม่ ถึงท่านจะไม่ห้ามที่ลูกสาวคนเดียวอย่างเขามีคนรักเป็นสาวหน้าสวย ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยเชื่อว่าความรักครั้งนี้จะอยู่รอด หรือคบกันได้ยืดยาว แต่หากเมื่อถึงวันที่ต้องพึ่งพาตัวเอง เธอจะต้องแข็งแรง และแกร่งพอที่จะพาคนดีๆ คนหนึ่งไปให้ตลอดรอดฝั่ง ให้ดีพอกับที่พ่อแม่ของอีกฝ่ายยอมรับความดื้อดึงของมินามิให้มาคบกับเธอ

     

     

     

     มิยู...นอนหรือยัง...ทำอะไรอยู่

     

    เสียงอ่อนๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่อยู่ในสลิปนุ่มๆ ดังขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มิยูวางโทรศัพท์ลงอย่างเสียอกเสียดาย หันไปมองที่ต้นเสียง ซากะกำลังเดินใกล้เข้ามา ในมือมีแก้วนมอุ่นๆ นี่คงโดนแม่เธอบังคับให้ดื่มก่อนนอนเหมือนเดิม เด็กสาวยิ้มรับ ขยับที่บนโซฟาให้อีกคนนั่งลงข้างๆ

     

    เปล่า....ยังไม่นอนหรอก เธอล่ะทำไมยังไม่นอนอีก ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ

     

    อื้อ เดี๋ยวก็ไปแล้วหล่ะ.....บุ้ยใบ้ไปที่แก้วนมที่ยังอยู่ในมือเป็นทำนองว่า หมดแล้วนั่นแหละถึงจะนอนได้ เด็กสาวชะโงกหน้ามองหนังสือที่วางกองระเกะระกะบนโต๊ะกระจกของมิยู เสียงอ่อยๆ ถาม

     

    อ่านหนังสือหนักขนาดนี้ แล้วไหนจะเล่นวอลเลย์อีก ไม่เหนื่อยหรือมิยู

     

    ก็นิดหน่อย แต่เดินมาขนาดนี้แล้ว.. จะทิ้งอะไรไปก็คงไม่ได้ ก็คงแค่ทบทวนให้หนักขึ้นแค่นั้นแหละ

     

    คนพูดก็พูดไปเรื่อยๆ ซากะค่อยๆ ละเลียดจิบนมในแก้วที่ละนิดละหน่อย ปากบอกว่าเหนื่อยแต่หน้ายังยิ้มไม่หุบเลยนะ ฮัมเพลงคลอไปด้วยอย่างคนอารมณ์ดี ดวงตาพราวระยับ ไม่เคยเห็นมิยูเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ถึงจะไม่ใช่คนเคร่งเครียดกับอะไรจนเกินไปนักแต่ก็ไม่ใช่คนเหลาะแหละ เรื่องการสอบเข้ามิยูก็ตั้งใจอ่านหนังสือมาตลอด อาจจะไม่เคร่งขรึมเก็บตัว แต่ก็ไม่ได้เย้าแหย่น้องๆ เล่นเหมือนที่เคย

     

    มีอะไรทำให้มิยูอารมณ์ปลอดโปร่งได้ขนาดนี้นะ??

     

    ซากะเคยถามตัวเอง แต่แล้ว.....คำตอบก็ลอยออกมาจากปากของมิยูนั่นแหละ เมื่อหลายวันก่อนตอนนั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับมิยะ ระหว่างที่รอลุงกับป้ากลับจากทำงาน

     

    <<......วันนี้มีเรื่องตลกด้วย....ฉันกะจะโทรไปหาเจ้ายูกิบอกเรื่องตั๋ววอลเลย์ที่อยากได้แต่ดันโทรไปผิด ไปติดบ้านใครก็ไม่รู้ แต่มันหยอดเหรียญไปแล้วตั้งเยอะ จะให้วางสายเลยก็เสียดายเลยชวนคุยไปเรื่อยๆ คุยสนุกเป็นบ้าเลย นานๆ จะเจอคนคุยถูกคอแบบนี้ เพลินชะมัด......>>

     

    ตอนที่เล่าไป มิยูคงไม่รู้หรอกว่าดวงตาสีเข้มของตัวเองพราวประกายแค่ไหน มันเน้นไหวระริกเหมือนกำลังตื่นเต้นสนุกสนาน เหมือนเด็กที่เจอของถูกใจ และคงไม่รู้ด้วยว่า มัน....บีบ....จนเธอต้องเอามือกดหน้าอกเอาไว้ ไม่ให้หัวใจมันเต้นแรงจนเกินกว่าจะรับไหว โรคเรื้อรังที่ติดตัวมาแต่เด็ก ทำให้ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์จนเหมือนเป็นคนเฉยชา อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นได้แต่ปลอบตัวเองว่า

     

     

    ....คงยากที่จะได้เจอกันหล่ะน่า คนตั้งมากมายเป็นแสน ก็คงได้แต่รู้จักกันผ่านสายโทรศัพท์เท่านั้น แล้วอีกอย่าง ตัวจริงอาจจะไม่....น่าสนใจก็ได้.....

     

     

     

    แต่.....พรหมลิขิต.....กำลังเล่นตลกอยู่อย่างนั้นใช่มั้ย???

     

     

    เส้นทางที่ดูเหมือนไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ กำลังถูกขีดลากเข้ามาหากัน......อีกไม่นาน .... อาจจะกลายเป็นเส้นเดียวกันอย่างนั้นใช่มั้ย??

     

     

    เด็กคนนั้น.....เพื่อนสนิทของมินามิที่โรงเรียน คนที่ทำให้มิยูหัวเราะ ทำให้มิยูมีประกายในดวงตาเหมือนกับตอนที่เล่าเรื่องโทรศัพท์ผิดหมายเลข.....หัวใจของซากะค่อยๆ สั่นไหว

     

    เพราะมิยูกับริกะเป็นเพื่อนรักกัน เธอถึงพอที่จะพูดคุยกับคนรักของริกะได้คล่องปาก เกือบจะทุกครั้ง มินามิมักจะมีเรื่องเล่าสนุกๆ เกี่ยวกับวีรกรรมของเพื่อนตัวเล็ก เวลายิ้มหน้าเหมือนซาลาเปามาให้ฟังเสมอๆ และหนึ่งในนั้นก็สะดุดใจจนเธอไม่อาจจะลืมหรือปล่อยให้มันผ่านไปได้......

     

    <<.......คิดดูนะซากะ มิยูกับฮารุกะจังเพิ่งเคยเจอกันจัง ๆ ครั้งแรกมั้ง กัดกันอย่างกับว่ารู้จักกันมานานแล้วอย่างนั้นแหละ ก็ดันไปนั่งหลับสัปหงกอยู่ที่ป้ายรถเมล์เหมือนกันน่ะสิ....แล้วคิดดูนะ ไอ้เราอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตาย ไอ้หน้าหวานนั้นพ่นน้ำลายคุยโทรศัพท์จนไม่ได้นอน แถมคุยกับใครก็ไม่รู้อีกต่างหาก บอกว่าเขาโทรมาผิดแต่ดันคุยกันติดลม เลยอดนอน......>>

     

    ความหวงแล่นวาบลึกเข้ามาในอก หวาดระแวงว่าคนความรู้สึกไวแบบมิยูหน่ะหรือจะไม่รู้.... ริกะอาจจะเล่าให้ฟังไปบ้างแล้วก็ได้ แค่คิดว่าความอ่อนโยนใจดีที่เคยเป็นของตัวเองมาตลอดกำลังจะถูกแบ่งปัน หัวใจที่จังหวะเต้นราบเรียบมานานก็ระรัวขึ้นจนร้าวไปทั้งอก

     

    ไม่ยกให้หรอก ไม่ยอมให้เด็ดขาด......ยังไงก็ไม่ยอม.....

     

    ซากะเลือกที่จะเก็บข้อสงสัยเหล่านี้ไว้เงียบๆ ในเมื่อไม่มีใครพูด ไม่มีใครสังเกตแล้วใครจะรู้ มันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่เหมือนเดิมใช่มั้ย??

     

     

     

    นมอึกสุดท้ายไหลผ่านลงคอ เด็กสาวกล่าวราตรีสวัสดิ์เบาๆ รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้ฝันดีทุกคืนก็หยิบยื่นให้เหมือนทุกวัน และเสียงทุ้มนุ่มที่กล่าวราตรีสวัสดิ์ตอบมา

     

    ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ มิยูก็ยังคงเหมือนเดิม ความอ่อนโยนไม่ได้ลดลง แต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ความพยายามที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจคนๆ นี้จำกัดอยู่แค่....น้องสาว....เท่านั้น ....หรือเพราะเส้นทางของเธอถูกลิขิตให้ได้เป็นเพียงแค่......เส้นขนาน......ไม่ว่านานเท่าไหร่ก็ไม่มีทางบรรจบกันได้

     

    ใช่มั้ย....พรหมลิขิต......???

     

    +**********************+

     

    แสงแดดส่องแรงกล้ามากขึ้นแล้วเมื่อซาโอริกำลังจะออกจากบ้าน วันนี้แค่ส่งรายงานที่ภาควิชาเท่านั้น ไม่มีเรียนอะไรมากมาย ฮารุกะจังตาลีตาเหลือกไปเรียนแต่เช้าเหมือนทุกวัน แต่อีกคนที่ดูเหมือนว่ายังหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน จนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่หัวเลยนี่สิ ไปไหนแล้วนะ 

     

    ร่างบางเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องที่โดนยูกิยึดเป็นห้องทำการบ้าน เสียงดนตรีเงียบไปแล้ว มือเรียววางลงบนลูกบิด ชั่งใจอยู่ครู่ว่าจะเปิดเข้าไปดีหรือเปล่า สุดท้ายก็กำลูกบิดแน่น แล้วค่อยๆ เปิดเข้าไป

     

    ยูกิ....

    เงียบฉี่.....ไม่มีเสียงตอบ

     

    เจ้าลูกหมา.......

    เยี่ยมหน้าเข้าไปก่อน มองไปทางซ้าย ทางขวา ไม่มีแม้แต่เงา นอกจากเศษกระดาษที่ปลิวว่อน หรือว่าจะออกไปแล้วนะ แปลกจัง ซาโอริเดินเข้าไปในห้อง หยิบที่ทับกระดาษวางทับเอาไว้ไม่ให้ปลิวหนีหายไปไหน ไม่คิดจะเก็บให้ กลัวว่าจะทำอะไรผิดที่ผิดทางแล้วจะหาไม่เจอ กำลังจะเดินออกจากห้อง ขาขวาถูกกระตุกชายกางเกงอย่างแรง ซาโอริกระตุกหนีด้วยความตกใจ แต่ไม่เร็วเท่ากับแรงกระตุกครั้งที่สองที่ลากเอาร่างของเธอลงไปกองอยู่ที่พื้นได้ เด็กสาวใช้แขนช่วงพยุงค้ำไว้ด้านหลัง ตัวต้นเหตุนอนยิ้มแหยๆ อยู่บนฟูกบางๆ ที่ปูไว้ลวกๆ หลังโต๊ะทำงาน ขอบตาดำคล้ำ หน้าซีด

     

    ซาโอริ

     

    ยูกิเป็นอะไรคะ

    ดึงขาตัวเองออกจากมือขาวจัด แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด แถมยังแน่นขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก อย่างรวดเร็วที่ร่างเพรียวไต่เดียะขึ้นมาซบหน้าอยู่กับตัวบางๆของคนรัก ออดอ้อนซุกๆ เหมือนลูกหมา

     

     

     

    ปวดหัว...ปวดตา....หิวข้าว ลุกไม่ไหว

     

    ฟ้องเป็นชุดๆ อยากจะเชื่อหรอกนะถ้าไม่เห็นตาวาวๆ ถึงอย่างนั้น ซาโอริก็อดที่จะห่วงไม่ได้ ทาบหลังมือลงบนหน้าผาก แก้ม ตามเนื้อตามตัว ก็ไม่ได้ร้อนรุมอะไร คงจะแค่เหนื่อยเท่านั้นแหละมั้ง

     

    วันนี้มีสอบหรืออะไรสำคัญๆหรือเปล่าค่ะ....ไปไหวมั้ย

    สายหน้าไปมา พูดอู้อี้อยู่กับอก

     

    ไม่มีแล้ว เหนื่อยๆๆๆๆ.. รอไปซ้อมเลยทีเดียว...บ่ายๆ จะเข้าไปโรงยิมน๊า..

     

    ทานอะไรก่อนมั้ย

     

    เดี๋ยวก่อนได้มั้ย.....อยู่อย่างนี้ก่อนนะ

     

    ซาโอริอดที่จะยิ้มไม่ได้ ขยับตัวนั่งให้สบายขึ้น ยูกิเลยได้โอกาสโอบแขนรอบเอวบางแน่นขึ้น แอบไซ้จมูกไปมาอย่างแนบเนียน หอมชื่นใจ

     

    ดูเหมือนแข่งครั้งนี้จะเหนื่อยมากเลยนี่คุณ

     

    วันแข่งไปเชียร์เค้าด้วยนะ

    ลูกหมาของซาโอริจัง เงยหน้าขึ้นตาแป๋ว ดูสิ ผมสีเข้ม นุ่มๆ น่าจับ เวลาตื่นนอนแบบนี้ดูไม่ค่อยเป็นทรงนัก ผิวขาดจัด ตาสีเข้มที่จับจ้องมองเธอไม่คิดจะเขินจะอายกันเลยสักนิด ......เหมือนเจ้าจิโร่เลยแฮะ.....

     

    ไม่ดีมั้งคะ.... เค้าไม่อยากเป็นข่าว

    นะ....แค่อยากให้ซาโอไปดูเค้าเอง......ไม่ได้หรือ

    คนตาหวานอึกอักเล็กน้อย ตลอดเวลาที่คบกันก็หลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่อยากถูกถ่ายรูป ไม่อยากถูกรุม เธอไม่เก่งในการปั้นหน้ายิ้มเหมือน ยูกิที่ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ยิ้มสู้ เป็นมืออาชีพอยู่ตลอดเวลา

     

    ฉันรู้ว่า.....ซาโออึดอัด..... แต่ฉันอยากจับมือเธอ อยากกอดเธอแน่นๆหลังแข่งเสร็จเหมือนคนอื่นเค้าบ้างไม่ได้หรือ......

     

    โว้ยยยยยยยยยยย.......อย่ามาอ้อนแบบนี้นะ อย่ามาทำเสียงหงอยๆ ตาปรอยๆ เหมือนหมาหูตกถูกเจ้าของทิ้งให้เหงาสิ

     

    กี่ครั้งๆ ซาโอริก็เลี่ยงที่จะไปดู ไปเชียร์มาตลอดเลย หรือถ้าไม่ไปกับเพื่อนที่ชมรม ก็จะไปกับฮารุกะจัง.. แต่ครั้งนี้มันสำคัญกับชีวิตเค้าจริงๆนะ.. แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว..ที่เค้าอยากให้ซาโอริไปนั่งเชียร์เค้าข้างสนาม.. อย่างเปิดเผย สัญญาว่าเค้าจะไม่ให้ใครมายุ่งหรือกวนใจซาโอริเลย.. นะ

     

    พูดง่ายนะลูกหมา...ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าตัวคุณน่ะโดดเด่นแค่ไหน ห้ามยังไงมันก็ยังน่าสนใจอยู่ดีนั่นแหละ

     

    ซาโอริกรอกตาไปมา แรงกดจากปลายนิ้วที่ไต่ระเรื่อยไปตามแผ่นหลังเหมือนจะเร่งเร้าเอาคำตอบ แล้วมันยังทำท่าจะไต่เตาะแตะเข้าไปในเสื้อที่สวมอยู่ด้วย ดวงตาคมหวานวกกลับมามองคนรัก ขยับตัวยุกยิกอยู่พยายามจะดิ้นให้หลุดแต่ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งโดนปลายนิ้วร้อนๆ แตะต้องหนักขึ้นไปอีก

     

     

     คุณ....หิวไม่ใช่หรือไง

     

    อื้อ.....หิว.....

     

    เสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ใกล้ๆ ซอกคอ เฮ้ย...ขึ้นมาจนถึงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย เรียวปากบางนุ่มอุ่นนาบลงบนผิวผ่านเนื้อผ้านิ่มอุ่น ละเลียดเล็มชิมรสผิวเนื้อตามขอบเสื้อแถวซอกคอ ทำเอาคนโดนชิมร้อนผ่าวไปทั้งหน้า...เพิ่งรู้ตัวว่า พลาดไปอีกแล้ว....

     

    หิวก็ปล่อยสิ... เค้าจะไปตั้งโต๊ะไว้ให้

    เอาตรงนี้เลยไม่ได้เหรอ....หิวจะแย่อยู่แล้ว.....

     

    ซาโอริไม่ทันจะได้เถียงอะไรหรอก คนหิวไส้แทบขาดคนนั้นหน่ะ ขยับนิดเดียว ปากอิ่มๆ อุ่นๆ ที่หมายตาเอาไว้ก็โดนทาบทับเบียดเคล้าด้วยริมฝีปากบางได้รูปเข้าแล้ว

     

    .......หวาน......ไม่ต้องใส่น้ำตาล.....

    .......หอม.......ยิ่งกว่าอาหารจานไหนๆ......

     

    ยิ่งได้กิน ได้ลิ้มรส ก็ยิ่งอยากเติมให้เต็มจานอยู่เรื่อยๆไป

    หนีไปไหนไม่ได้แล้วนะ....คนสวย......

     

     

    รสจูบวาบหวามที่ค่อยๆหลอมละลายตัวตน ความอับอายให้หมดสิ้น ร่างบอบบางนิ่มเนียนลื่นมือยามไล้ผ่านค่อยๆ เปิดเผยผิวเนื้อสีน้ำผึ้งให้ปรากฏแก่สายตา เมื่อกระดุมเสื้อถูกปลดออกจากรังดุมทีละเม็ด ละเม็ด ร่องรอยสีกุหลาบจาง ๆที่เคยฝากเอาไว้ยังประปรายให้เห็นไปทั่วผิวเนียน .....แค่ได้เห็น ก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้ซ้ำลงไปที่รอยเหล่านั้นให้มันกลับมาเด่นชัดเช่นเดิม

     

    .....ไม่ยอมให้จางหายไปไหนเด็ดขาด......

     

    กางเกงขายาวสีเข้มถูกรุกรานด้วยปลายนิ้ววนเวียนอยู่ที่ขอบเอว รั้งให้ร่างบอบบางแนบชิดสนิทเข้ามาจนแทบจะไม่มีช่องว่าง ไม่สนใจว่ามือบางๆ จะพยายามเข้าขัดขวางฉุดรั้ง มือเรียวถือโอกาสใช้มือข้างหนึ่งกุมสองมือเล็กกว่าเอาไว้แน่นที่ด้านหลัง ให้มืออีกข้างรุกรานได้อย่างที่ตั้งใจ ปลายนิ้วสะกิดซิปรูดลงช้าๆ ใบหน้าซุกซบหลงใหลความหอมยั่วยวน ฝากฝังรอยสัมผัสลงบนผิวเนื้ออ่อนข้างแก้ม ซอกคอ ขบเม้มใบหูเล็กแผ่วเบา พอเรียกอาการสะท้านให้รับรู้ได้จากร่างคนโตกว่า

     

     

    หิวมาก......รู้มั้ย....

     

    กระซิบลมอุ่นๆ อย่างจงใจ เสียงครึมครางไม่อาจห้ามไว้ได้ ดวงตาคมหวานฉ่ำด้วยหยาดน้ำเจียนจะหยด สาบเสื้อแยกออกจากกัน ถูกปัดลงจากไหล่ไปกองอยู่ที่ข้อมือ ยูกิยังฉลาดพอที่จะใช้มือตัวเองขมวดผ้าให้แน่นขึ้นไปอีก จะได้ไม่ขัดขืนให้อารมณ์สะดุด

     

    ขอ....กิน....ได้มั้ย.....

    ริมฝีปากขยับช้าๆ แนบกับกลีบอุ่นอิ่ม เสียดสีจนรู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านของคนรัก เสียงหอบหายใจขัดๆ และ สุดท้าย ใบหน้าหวานซุกลงกับบ่ากว้าง สะอื้นสั่นด้วยแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกจนไม่อาจจะควบคุมได้ ฟันคมขาวขบกัดลงบนไหล่อย่างลืมตัว เสียงครางหวานๆที่ยูกิอยากได้ยินหนักหนา มือขาวจัดประคองร่างบอบบางที่สั่นไหวไปกับคลื่นอารมณ์แรงร้อน ควานหาริมฝีปากหวานนิ่มอย่างหิวกระหาย จูบที่ได้รับการตอบสนองยิ่งปลุกเร้าให้ความร้อนแผดเผาจนมอดไหม้ ยามใบหน้าชื้นเหงื่อแหงนสะบัด ทิ้งสายตาหวานฉ่ำลงมอง ริมฝีปากแดงช้ำเม้มนิดๆ ก่อนจะเผยอเอาอากาศเข้าไปช่วยบรรเทาความอึดอัดร้อนรุม

     

    รู้หรือเปล่าว่ามัน.....ครั่น....ไปทั้งตัว

     

    มัน....ทรมาน.....

     

    แค่นี้ยังหลงใหลไม่พอใช่มั้ย....ซาโอริ.....ถึงได้ขยันโปรยเสน่ห์ขนาดนี้

     

    อย่าไปมอง ไปทิ้งสายตาแบบนี้ให้ใคร

    อย่าไปครางหวานๆ อยู่ข้างหูคนอื่น

    เมื่อพรหมลิขิตทำให้เธอมาอยู่ในมือของฉัน.....ให้ปีกสีขาวสะอาดคู่นี้พาฉันโบยบินไปจนไม่อาจกลับสู่พื้นดินได้......

    ก็ขอแค่ฉันคนเดียวที่ได้เห็น....ได้ยิน....ได้สัมผัส.....

     

    ให้เป็นแค่ฉันคนเดียวที่คลั่งเจียนตายแบบนี้......

    แค่..........อิชิอิ ยูกิ...........คนนี้คนเดียวเท่านั้นก็พอ

     

    +*****************************+

     

    เสียงพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์กับคลื่นมหาชนมากมายที่หลั่งไหลผลัดเปลี่ยนเวียนกันเข้ามา ถึงจะไม่เบียดเสียดจนอึดอัด แต่ก็พอทำให้ตาลายได้ไม่ยากนัก เด็กสาวหน้าสวยที่มือข้างหนึ่งถูกจับจูงโดยเด็กสาวอีกคน ตามหลังด้วยคนตัวเล็กกับคนตัวสูงผิวขาวจัด เดินแทรกไปตามฝูงมนุษย์ตรงไปหน้าพระพุทธรูป การโดนกระทบกระทั่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว ร่างเล็กๆ เดินเซไปตามแรงกระแทกที่หัวไหล่ และคงจะล้มลงไปถ้าไม่มีมือใหญ่ๆ ขาวจัดไม่แพ้กัน สอดรับเอาไว้อย่างรวดเร็ว

     

    เป็นอะไรมากหรือเปล่า

     

    เสียงนุ่มๆแบบนี้อีกแล้วสินะที่ทำให้ใจมันเต้นแรง เสียงเหมือนคนในโทรศัพท์ที่ยังไม่เคยแม้แต่จะถามชื่อสักนิด

     

    ไม่...ขอบใจ

     

     

    พอพยุงตัวได้ แทนที่มิยูจะปล่อย กลับเลื่อนมือไปที่ข้อมือเรียวแทน แรงเกาะกุมไม่แน่นจนอึดอัด แต่ก็ไม่หลวมจนหลุดเมื่อโดนเบียด ริกะกับมินามิยืนรออยู่ที่หน้าพระพุทธรูปแล้ว กำลังพนมมือก้มหน้าอธิษฐานอย่างตั้งอกตั้งใจ ฮารุกะถูกมิยูจับให้ไปยืนข้างมินามิ ตัวเองยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง พอโดนมองหน้าก็พูดสั้นๆ ว่า

     

    เดี๋ยวโดนเบียดเอา ริกะก็ยืนบังให้มินามิเหมือนกัน ไหว้พระเถอะ

     

    ก็ริกะกับมินามิเค้าเป็นแฟนกันนี่ ห่วงกันก็ธรรมดา แต่มิยูกับเธอมันไม่ใช่นี่นา ฮารุกะรีบก้มหน้า ต้องไม่วอกแวกสิ เดี๋ยวคำขอไม่สัมฤทธิ์ผลเอา ใช้เวลาไม่นานทั้งริกะทั้งมิยูก็ลากพาออกมาจนถึงร้านขายเครื่องราง ตอนนี้เครื่องรางที่ขายดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้น อันที่เกี่ยวข้องกับการสอบเป็นแน่

     

    เจอแล้ว....!!

     

    คนหน้าหวานร้องอย่างยินดี เมื่อเห็นเครื่องรางขอให้สอบผ่านแขวนอยู่เหลือไม่กี่อัน คว้าหมับอย่างรวดเร็ว มิยูตาปริบๆ อะไรมันจะไวปานนั้น

     

    เธอกะจะเอาหมดทุกอันเลยเหรอเนี่ย ตั้งเกือบสิบอันนะ

    ใครบอก มันติดมือมา

     

    หน้าตาเฉยมาก มิยูมองตามมือเรียวบางที่แยกเอาอันที่สภาพดีที่สุดออกมาห้าอัน ที่เหลือห้อยไว้ที่เดิม ถามขึ้นด้วยความสนใจใคร่รู้

     

    ถามหน่อยเหอะ ..... มันจะช่วยให้สอบได้จริงๆหรือ

    เธอรู้จักกำลังใจมั่งมั้ย นากาโอกะ มิยูฮารุกะจังหันหน้ามาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่มิยูอยากจะเขกหัวนัก

     

    สอบได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่นี่จิ้มนิ้วที่หัวทุยๆ ของตัวเอง แต่ไอ้นี่...ชูพวงเครื่องรางที่นับครบจำนวนคนออกมาให้ดู มันช่วยตรงนี้

    จิ้มนิ้วที่อกข้างซ้ายแรงๆ เข้าใจหรือเปล่า

     

    พูดแล้วจ้องหน้ามิยูเพราะคนฟังแทนที่จะต่อปากต่อคำเหมือนเคย กลับยิ้มให้ จนชักสงสัย นี่เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ

     

    ประโยคมีสาระแบบนี้ไปฟังใครเค้าพูดมาหรือเปล่า ฮารุกะจัง

     

    ของแบบนี้ คิดเองได้ ไม่ต้องไปจำคำใครมาหรอก....มีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่า

     

    แต่มิยูก็ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น จนเธอหมดความสนใจที่ต่อปากต่อคำด้วย หันไปคุยกับมินามิต่อ ไม่ได้เห็นมิยูก้มหน้าลง ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ตอนนี้มันกำลังจะยิ้มเต็มแก้ม พูดเบาๆ ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าฮารุกะจังจะได้ยิน

     

    ใครจะกล้ามีปัญหากับเธอได้หล่ะ....ใครจะไปคิด....เมื่อคืนบอกว่าจะมาวัด ก็มาจริงๆ ประโยคเดิม ก็พูดได้ไม่เพี้ยนสักนิด.....เธอนี่มัน สุดยอดจริงๆ

     

     

    อีกด้านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก ร่างโปร่งบางสูงเพรียว ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กลมกลืนกับฝูงคนมากมาย ตรงข้ามกับร้านเครื่องรางที่คนเบียดเสียดหนาแน่นขึ้น มิยูกับริกะยืนบังด้านหลังคนตัวเล็กกว่าทั้งสองคนทีคุยกันหนุงหนิง โดยเฉพาะมิยูที่ดูจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กว่าปกติ

     

    ...มีความสุขมากเลยหรือมิยู....

     

     

    รถประจำทางจอดสนิทเมื่อถึงป้าย รอจนเด็กสาวสี่คนในชุดยูนิฟอร์มที่แตกต่างกันเดินลงเรียบร้อยแล้วจึงค่อยแล่นออกตัวช้าๆ ฮารุกะจังขยับสายสะพายกระเป๋าให้กระชับขึ้น ล้วงมือเขาไปในกระเป๋าที่เก็บห่อเครื่องรางเอาไว้อย่างดี

     

    แยกกันตรงนี้นะ พรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว เราจะเจอกันกี่โมง

     

    “ เอาเป็นว่า.. เดี๋ยวเราโทรบอกแล้วกันนะ”

     

    “ อื้ม..”

     

     

    ริกะกับมินามิเดินแยกไปอีกทาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าไม่ไปค้างที่บ้านริกะก็คงเป็นบ้านมินามิแน่แท้ เหลือแต่สองสาวตัวขาวเป็นคนเผือกยืนมองหน้ากันอยู่ มือข้างหนึ่งของฮารุกะจังยังล้วงอยู่ในกระเป๋า ปากบางๆขยับเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมาสักที มิยูก้มหน้าลงจนระดับสายตาเท่ากัน ถามขึ้นเสียเองว่า

     

    เป็นอะไร ฮารุกะจัง ฉันเห็นเธอยืนกระมิดกระเมี้ยนนานแล้วนะ

     

    เปล่า....

     

    เสียงยังห้วนๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนสักนิด แต่วันนี้คนฟังไม่ยักกะต่อปากต่อคำ ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง

     

    งั้นก็แยกกันหล่ะนะ เย็นแล้วนี่นา

    มิยูหันหลังขยับจะเดินไปอีกทาง แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าก็หยุดชะงัก เพราะได้ยินเสียงของเด็กหน้าหวานเรียกเอาไว้ เรียวปากสีสดแอบยิ้มกับตัวเอง แสร้งขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยมองคนเรียกอีกครั้ง

     

    เอ่อ....ฝาก....ฝากนี้ให้ซากะด้วยนะ

    มือเรียวบางยื่นตรงมาที่เธอ ซองผ้ากรุ่นกลิ่นเครื่องหอมสีอ่อน มีเชือกสำหรับห้อยติดไว้ ข้อความที่เขียนบนถุงผ้าอ่านได้สั้นๆว่า

     

    .......สุขภาพแข็งแรง.....

     

     

     

    เครื่องรางของที่นี่....ดังที่สุดแล้ว......ขอให้น้องเธอหายเร็วนะๆ

     

    ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในอกของมิยู.....ดวงตาดำจัดจ้องมองสิ่งของบนมือเรียวบางนั้น พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยื่นมือออกไปตอบรับน้ำใจของคนตัวเล็ก ชั่วขณะที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน ปลายนิ้วของมิยูเผลอเกี่ยวกับกับนิ้วเรียวอย่างลืมตัว ฮารุกะจังตวัดสายตามองมิยูด้วยความประหลาดใจ ดึงมือตัวเองหนี ล้วงเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง แรงดึงหนีของฮารุกะจังไม่ได้แรงหรือสะบัด แต่มันก็ทำให้มิยูรู้สึกหวิวๆ ได้แฮะ

     

    นี่......ของเธอ

     

    เครื่องรางขอให้สอบได้!! เหมือนกับที่ฮารุกะจังซื้อกับมินามิ อันนี้สิ สร้างความประหลาดใจเป็นล้นพ้นให้มิยูหนักขึ้นไปอีก มีให้เธอด้วยหรือเนี่ย

     

    ขอให้สอบได้ก็แล้วกัน...แล้วก็...ขอให้การแข่งที่จะถึงประสบความสำเร็จนะ..

     

    ตาฝาดหรือเปล่านะที่เห็นผิวแก้มขาวจัดนั่นน่ะ สีเข้มขึ้นจนถึงใบหู อย่าว่าแต่ฮารุกะเลย มิยูเองยังหุบยิ้มไม่ได้ด้วยซ้ำ

     

    ขอบใจมากนะ....

     

    ไม่เป็นไร.....ถึงยังไงก็เด็กเตรียมสอบเหมือนกัน ฉันจะทำลืมๆเรื่องกวนอารมณ์ของเธอไปก็แล้วกัน จะได้ไม่บาปน่ะ กลับบ้านได้แล้วไปอ่านหนังสือเสียที"

     

    ยิ้มจนตาหยี เสียงหัวเราะที่ไม่ว่าฟังกี่ครั้ง มิยูก็ต้องหวั่นไหวไปกับความน่ารักน่าฟัง

     

    ฮารุกะจัง....

    ไอ้ตัวเล็กเป็นฝ่ายชะงักการเดินบ้าง เลิกคิ้วนิดๆ มองคนตัวโตกว่า เหมือนกับจะถามว่า เรียกทำไม

     

    นิ้วหายเจ็บหรือยัง

     

    ฮื่อ หายแล้ว.....ชูนิ้วขึ้นอวด ตรงที่เคยบวมและเขียวช้ำเหลือเพียงรอยสีคล้ำๆ ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนวันแรก ๆ แล้ว มิยูพยักหน้ารับรู้ ปรายตาลงมองต่ำไปที่กระเป๋านักเรียนสีดำที่ไม่ได้รูดซิบเอาไว้ สมุดหนังสือด้านในโผล่ออกมาโชว์ลวดลายนักเบสบอลการ์ตูนน่าตลก บนสันสีขาวสะอาดมีตัวหนังสือเล็กๆ เขียนเรียงเอาไว้เป็นระเบียบบ่งบอกเจ้าของ อ่านได้ว่า

     

    ...........มิยาชิตะ  ฮารุกะ.............

     

    .....ฮารุกะ......

     

     

    เป็นอีกครั้งที่มิยูวาดรอยยิ้มบนริมฝีปาก แถมยิ้มกว้างจนฮารุกะจังต้องยิ้มตาม เออ แปลกดีเว้ย วันนี้ดูไอ้ปากหนาอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนี่หว่า ไม่ทะเลาะ ไม่ต่อความกับเธออย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังแสดงความเป็นสุภาพบุรุษให้เห็นอีก หัวเราะก็บ่อยกว่าทุกครั้ง ขยันหัวเราะอีกต่างหาก ตั้งแต่อยู่ที่วัดแล้ว คิดไปก็ไม่เข้าใจ ฮารุกะโบกมือสองที เดินเลียบริมถนนกลับบ้าน หันหลังให้มิยูเพราะไปคนละทาง จึงไม่ได้เห็นว่าคนที่ยังยืนจ้องมองเธอจากทางด้านหลังน่ะ ไม่ได้ขยับไปไหนสักนิด

     

    น้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับคนๆ นั้น.....................แต่คนที่เสียงเหมือนๆกันก็มีเยอะไป

    อุบัติเหตุบนมือขาวเรียวที่เหมือนกับเรื่องของคนๆ นั้น.....................ทำให้สะดุดในความบังเอิญที่ดูเหมือนจงใจ

     

    เรื่องราวที่ได้ฟังจากกระบอกโทรศัพท์ หลายครั้งที่คล้ายกับพฤติกรรมของคนตัวบางๆ ขาวๆ จนอดจะวาดหวังไม่ได้ว่า จะเป็นคนนี้หรือเปล่านะ ถึงแม้ว่าตอนเจอกันทุกครั้งจะมีแต่ขัดแย้ง กัดกันอยู่ตลอดเวลาก็เหอะ แต่มันก็สนุกดีไม่ใช่เหรอ และมิยูก็แน่ใจว่าไม่ใช่แค่เธอหรอกที่คิดแบบนี้ ฮารุกะจังเองก็คงเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ทนให้เธอตอแยอยู่อย่างนี้หรอก.........

     

    ถึงอย่างนั้น....ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่า...คนน่ารักที่ทำให้มิยูต้องโทรไปหาทั้งที่ไม่รู้จักชื่ออยู่บ่อยๆ จะเป็นคนเดียวกันกับไอ้หน้าหวานกวนโอ๊ยหรือไม่

    จนกระทั่งวันนี้.................

     

     

    ตอนที่ฮารุกะจังชวนไปวัดเพื่อไหว้พระขอพรและซื้อเครื่องรางสร้างเสริมกำลังใจ ยอมรับไม่อายว่า มิยูตกใจมาก ......เพราะเมื่อคืน คนน่ารักคนนั้นเพิ่งบอกว่าจะไปไหว้พระขอพรที่วัดแห่งนี้พอดี

     

    อะไรสักอย่างผลักดันให้มิยูเอื้อนเอ่ยคำถามออกไปว่า..... มันจะช่วยให้สอบได้จริงๆหรือ…..

     

    คำตอบที่ได้จากฮารุกะจัง.........ไม่ผิดเพี้ยนจากที่ได้ยินเมื่อคืนเลยสักนิด..............

     

    หนำซ้ำเสียงเรียกชื่อคนๆ นั้นที่ได้ยินแว่วๆ ว่า ฮารุ......กับชื่อของไอ้หน้าหวานที่ดันพ้องกันเหลือเกิน ฮารุกะ.........

     

    แผ่นหลังบอบบางเดินห่างไปไกลแล้ว ในขณะที่มิยูยังคงยืนอยู่ที่เดิม กับรอยยิ้ม และความรู้สึกที่มันกำลังอิ่มขึ้นในใจ

     

    .....หาเจอแล้วนะ........แล้วเธอหล่ะ .....หาฉันเจอหรือยัง...........

     

    +****************************+

     

     

    ซากะ.....ไปหาคุณหมอวันนี้เป็นยังไงบ้าง ทำไมกลับซะดึกเชียว

     

    มิยูเหลือบมองนาฬิกาตอนที่ลูกพี่ลูกน้องเดินเข้าบ้าน ทั้งเขาทั้งมิยะกำลังจะออกไปรับที่สถานีอยู่แล้วเชียว

     

    ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คุยกันเพลินไปหน่อยน่ะ

     

    ไม่ได้เล่าว่าตัวเองไปสายกว่าที่นัดมากแค่ไหน และไปทำอะไรมาถึงได้สายขนาดนั้น เดินเลี่ยงไปเก็บกระเป๋านักเรียน ถอดรองเท้า ถือถุงยาใหม่ที่ได้มาวางบนโต๊ะ ไม่ได้ใส่ใจนัก มิยูเดินตามมานั่งข้าง ๆ ถามด้วยความห่วงใยเหมือนเดิม....เช่นเดิม...

     

    เป็นอะไรเหนื่อยมากหรือเปล่า

     

    หมอพูดถึง....การเตรียมตัวผ่าตัด เดือนหน้า.....

     

    เสียงอ่อนลง ซากะเอามือทาบลงบนอกด้านซ้ายของตัวเอง ยิ้มให้มิยูเหมือนเดิมเช่นกัน

     

    เรียนช้ากว่ามิยูตั้งปีนึงแน่ะ......แย่จังเลยนะ

     

    กลัวหรือเปล่า.......ไม่ต้องกลัวหรอก เสร็จเรื่องสอบแล้วฉันจะตามไปกับมิยะ......ไม่เหงาแน่

     

    มิยู.....ถ้าฉันไม่อยากไปผ่าตัดที่นู่นแล้ว......ไม่ได้หรือ

     

    ซากะ!!~”

     

    มิยูอุทานด้วยความตกใจ มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม และออกจะตำหนิเล็กน้อย แต่ซากะยังก้มหน้า พูดต่อไปเรื่อยๆ

     

    ฉันไม่อยากไปอยู่คนเดียว ถ้ามันไม่สำเร็จ ถ้าฉันตายอยู่ที่นั่น จะเป็นยังไง

     

    พูดบ้าๆ อะไรแบบนั้น

     

    เสียงห้าวของมิยูแหบหายไปในลำคอ ภายใต้อารมณ์เย็นๆ ของน้องสาว นี่คือสิ่งที่เธอกลัวมาตลอดอย่างนั้นหรือ

     

    ทุกคนดีใจแค่ไหนที่โรงพยาบาลที่นู่นตอบรับให้เธอได้ผ่าตัด จองตัวนายแพทย์ที่ดีที่สุดไว้ให้ หาบ้านพักตากอากาศเตรียมไว้ ให้หนึ่งปีที่นู่นเป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับเธอ แล้วตัวเธอเองก็ยินดีแล้วไม่ใช่หรือ

     

    เสียงของมิยูเข้มขึ้น เรียกให้มิยะที่กำลังเมามันส์อยู่กับเกมส์ลุกออกมาด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เคยได้ยินมิยูขึ้นเสียงกับใครมานานมากแล้วนี่นา

     

     

    เอาแต่ใจไม่ได้นะ ซากะ นี่เป็นชีวิตของเธอ เป็นสิ่งที่ทุกคนเลือกสรรเพื่อเธอ

     

    มิยูจับบ่าบอบบางให้หันหน้ามาเผชิญกับเขาตรงๆ ภาพที่เห็นทำเอาความโมโหมากมายและความไม่พอใจลดฮวบลงไปกว่าครึ่ง ใบหน้าที่มักจะเคลือบด้วยรอยยิ้มจนหวานไปทั้งหน้า ตอนนี้ดวงตาที่ยามยิ้มจะยิ้มไปพร้อมกับเรียวปากสีอ่อนกลับอาบคลอด้วยน้ำใสๆ จนแวววาวบาดตา

     

    ชีวิตของฉัน....แล้วทำไมฉันเลือกเองไม่ได้หล่ะมิยู ทุกคนอยากให้ฉันทำ อยากให้ฉันไป.....แต่ฉันไม่อยากไป ไม่อยากไปไกลจากบ้าน จากแม่ พ่อ ลุง ป้า มิยะแล้วก็....มิยู.....

     

    มือขาวของซากะวางทับมือของมิยู บีบแน่น น้ำตาไหลเป็นทาง มือเรียวบางนั้นมันกำลังสั่น....และเจ้าตัวก็รู้ดีรวมไปถึงมิยูด้วย เสียงแผ่วเบาลงสะท้านจนเสียดแทงไปถึงหัวใจคนฟัง

     

     

    ฉันไม่อยากจากมิยู.....เข้าใจหรือเปล่า.....แค่มิยูคนเดียว

     

     

    แรงสั่นเกร็งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซากะดึงมือออกจากมือพี่สาว กุมทับอกด้านซ้ายของตัวเองแน่นๆ เจ็บ.....หัวใจที่กำลังเต้นแรงระรัวจนเกินกว่าที่จะรับกำลังไหว อึดอัด ทรมาน เหมือนหัวใจกำลังโดนเค้นด้วยมือที่มองไม่เห็น.......

     

    ซากะ....!!!

     

    ร่างโปร่งบางทรุดลงไปกองกับพื้นเรียกสติของมิยูที่กำลังกระเจิงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ฉีกกระชากถุงยาที่วางอยู่บนโต๊ะพลิกดูชื่อยาที่เขียนไว้บนซอง เมื่อได้ซองที่ต้องการแล้วก็รีบเทยาเม็ดเล็กสีขาวออกมาจับป้อนใส่ปากของซากะด้วยความเร็ว ใช้นิ้วดันลิ้นขึ้นเพื่อสอดยาเข้าไปใต้ลิ้น อาการทรมานของซากะก็ยังไม่ดีขึ้น เธอรีบป้อนยาเม็ดที่สองตามเข้าไปพร้อมกับที่มิยะ วิ่งปรู๊ดไปคว้ากุญแจรถ เปิดประตูให้ขณะที่มิยูอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของซากะขึ้นไปที่รถ

     

    โทรบอกพ่อกับแม่ตามไปที่โรงพยาบาลเลยนะ เร็วๆด้วยมิยะ

     

    รถพุ่งออกจากบ้านด้วยความเร็วปานจรวด ๆ พอได้ยาเม็ดที่สอง อาการของซากะดูทรมานลดลงแต่มิยูก็ไม่อยากจะปล่อยทิ้งไว้ที่บ้าน มือที่เคยอุ่นของซากะเย็นชืด จนมิยูต้องกุมเอาไว้แน่น แรงบีบตอบน้อยๆ นั้นพอทำให้ใจเขาชื้นขึ้นมาบ้าง

     

    เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะซากะ ใจแข็งไว้ก่อน

     

    มือบางๆ บีบตอบ ไม่มีเสียงพูดอะไร มิยูหันไปมองเพียงแว่บเดียวด้วยความเป็นห่วง หยาดน้ำที่ยังทิ้งร่องรอยบนผิวแก้ม กับดวงตาที่จับจ้องเพียงแค่เธอ ดุจราวกับใช้ดวงตาคู่นั้นแทนคำพูดขอร้อง

     

    ......อยู่กับฉันนะ......

     

     

    ความรู้สึกรับผิดชอบเกาะติดแน่นขึ้นในความรู้สึก มิยูเม้มริมฝีปากแน่น ทั้งที่ทำเป็นไม่รับรู้มาตลอด แต่ความใจแข็งของตัวเองกลับทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จะให้อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็ทำไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าหากใจอ่อนลงไปแล้ว คนที่เจ็บที่สุดก็คงจะไม่พ้นซากะ หากว่ามันจะทำให้ซากะดีขึ้นในตอนนี้แต่ อาจจะดูใจร้ายในอนาคต ก็ต้องยอม

     

    มือขาวจัดแข็งแรงของมิยูบีบมือของซากะแรงขึ้น

     

    ฉันจะอยู่กับซากะ...ไม่ต้องกลัวนะ....ฉันจะอยู่ข้างๆ จนกว่าทุกคนจะมา

     

    หัวใจเหมือนจะเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง

    เปล่าหรอกไม่ใช่เพราะโรคประจำตัว แต่เพราะคำพูดประโยคสุดท้ายนั้น....กรีดลึก.....เจ็บจนชา....

     

    แค่นี้ใช่มั้ย......มิยู........ให้ฉันได้เพียงแค่นี้เท่านั้นสินะ..........

     

    +******************************+

     

    ยิ่งใกล้วันสอบมากขึ้นเท่าไหร่ บรรดาเด็กเตรียมสอบหน้าใสก็กลายร่างเป็นผีดิบซอมบี้ฟื้นขึ้นจากหลุมกันแทบทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่น้องสาวสุดที่รักของซาโอริเช่นกัน ตาดำคล้ำ หน้าซีดอิดโรย ถ้าไม่นั่งเข้าฌานอ่านหนังสือ ก็ท่องขมุบขมิบทั้งวัน เวลาที่ดูจะชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างก็คงจะเป็นตอนที่โดนเรียกมากินข้าวกระมัง

     

    จะว่าไปช่วงนี้โทรศัพท์ที่เคยโทรมาดึกๆ แล้วคุยกันนานๆ ก็หายไป แถมเจ้าน้องสาวก็ดูจะหงอยๆ ยิ่งตอนที่รับโทรศัพท์แล้วต้องมาบอกซาโอริว่า....มีคนโทรมาหา.....ท่ามองโทรศัพท์ตาละห้อยนั่นน่ะ ทำเอาซาโอริทั้งสงสารทั้งขำจนบอกไม่ถูก

     

    แต่สำหรับซาโอริ ตอนนี้เหมือนกับว่าเธอต้องดูแลผีดิบถึงสองคน หนึ่งคนที่เพิ่มขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล คุณหนูนักวอลเลย์ผู้เอาแต่ใจ ยูกินั่นแหละ ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง ออกไปแต่เช้า กลับมาเคาะประตูดึกๆ ดื่นๆ มาถึงก็นอนหลับสลบใสล ต้องไปดึงไปปลุกให้ลุกมาอาบน้ำ กินอะไรให้มีเรี่ยวมีแรงบ้าง ถึงจะโหมซ้อมมากขนาดนี้ แต่หน้าตาคุณเธอก็ยังใส ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

     

     

    ซาโอริเหลือบตามองนาฬิกาที่ติดอยู่ฝาผนังห้อง เกือบจะตีสองแล้ว ฮารุกะจังโดนบังคับให้ไปนอนตั้งแต่เที่ยงคืนก่อนที่ร่างกายจะรับสภาพอดนอนไม่ไหว เหลืออยู่อีกคนที่โทรมาบอกว่าจะเข้ามาหาไม่ว่าดึกยังไงก็จะมานอนที่นี่ เลยต้องอยู่ถ่างตารอนี่แหละ อ่านหนังสือจบไปก็หลายเล่มแล้ว ดูทีวีก็หลายเรื่อง ยังไม่กลับมาอีก ดวงตาคมหวานเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์เล่มล่าสุดที่ฮารุกะจังซื้อมาฝาก ยังไม่ได้อ่านเลยนี่นา เอาวะ อยู่ว่างๆ ก็อ่านมันเสียหน่อยเป็นไร ซาโอริอ่านไปเรื่อยๆ จนถึงหน้ากีฬา กำลังจะเปิดผ่านไป แต่ว่า....หน้าขาว ๆ ปากสีอ่อนสวยได้รูป ผมสีเข้ม ๆ กับร่างเพรียว เด่นหราอยู่กลางหน้ากระดาษ ทำให้ต้องหันกลับมาสนใจรายละเอียดเนื้อข่าวแทบจะทันที

     

    ......... คุณหนูเอาแต่ใจแห่งวงการวอลเลย์ม.ปลายแอบพาXXXขิ้นห้องกลางดึก....

     

     

    กลับมาแล้วคร้าบบบบบบบบบบ

    เสียงทุ้มนุ่มร้องบอกดังขึ้นในความมืด เสียงประตูถูกเปิดออกพร้อมๆ กับใบหน้าขาวจัดเยี่ยมเข้ามา วันนี้ไม่ได้ทำหน้าเหี่ยวหมดพลังเหมือนทุกวัน ออกจะร่าเริง ดวงตาพราวด้วยความตื่นเต้นจนยากจะระงับได้ พอมองเห็นว่าใครนั่งรออยู่ก็ตีหน้าระริกระรี้ตรงเข้ามาหา เชิญตัวเองนั่งแหมะลงข้างๆ โซฟาโถมตัวลงหนุนตักถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนคนยกภูเขาออกจากอก เสร็จสิ้นภารกิจอันหนักหน่วง

     

    กลับมาแล้วหรือ

    เสียงนุ่มหวานถามไถ่ วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย มือบางถูกมือเรียวกว่าดึงรั้งมากุมเอาไว้

     

    อาทิตย์หน้าแล้วนะ.....วันแข่งนัดสำคัญ ไปดูเค้าด้วยนะซาโอริ

     

    ...........จะดีหรือ................

     

    ดีสิ....ดีที่สุดเลย นะ......ไปให้ได้นะ...ซาโอริจัง

     

     

     

    ปากอิ่มเม้มนิดๆ ไม่แม้แต่จะสบตา ไม่มีคำตอบใดๆออกมา เสมองไปทางอื่น

     

    หิวมั้ย.....ทานอะไรก่อนนอนหรือเปล่า

     

    ยูกิทำหน้าคิด ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอีก ก็เหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน ค่อยๆ ตื้อเอาทุกวันก็ต้องได้สักวันหล่ะน่า ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่า ดวงตากลมสีน้ำผึ้งของคนรักจับจ้องมองอยู่ที่หนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้อ่านข่าวแบบนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่น.....ไปถึงห้องของยูกิ.....ห้องที่เจ้าของมันบอกว่า คนๆ เดียวที่เข้าไปได้ก็คือคนที่กำลังหนุนตักอยู่ตอนนี้......ซาโอริ....

     

    ............ที่ที่เป็นของเราสองคน..............

     

    ตอนนี้ มันยังคงเป็นที่ของเราอยู่อีกอย่างนั้นหรือ???

     

    น่าละอายใจนักที่รู้สึกไม่พอใจเมื่อได้อ่านข่าวของยูกิกับคนอื่นๆ ทั้งที่ตัวเธอเอง.....ภายในใจส่วนลึก ก็ยังไม่อาจให้คำตอบกับคนๆนี้ได้.. ว่าคนร่วมทาง.. จะเป็นเธอรึเปล่า

     

    แต่ว่า...........

     

    ซาโอริ

    คะ

     

    ถ้าฉันจะเลิกเล่นวอลเลย์ กลับไปตั้งใจเรียน จบแล้วก็มาทำกิจการที่บ้าน เป็นคนไม่มีชื่อเสียง ไม่มีคนคอยตาม ห้อมล้อม...... เธอจะยอมอยู่กับฉันตลอดไปได้มั้ย??”

     

    ผิวแก้มร้อนผ่าวขึ้นทันควัน.......แต่พอมองเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น.......

     

    ซาโอริดึงมือออกจากการเกาะกุมแผ่วเบา เสไปจับที่ผมนุ่มๆ สีเข้มของยูกิแทน หัวเราะแสร้งทำเป็นเรื่องเห็นขัน

     

    เอาไว้เลิกให้ได้จริงๆ ก่อนก็แล้วกัน......คุณน่ะ.....คงจะเลิกเล่นไม่ได้หรอก.. ก็มันคือชีวิตคุณไม่ใช่หรอ

     

    แต่ถ้าฉันทำจริงๆ หล่ะ

     

    ดึกแล้ว....ไปนอนดีกว่านะ.....ลุกเถอะ

     

    ยูกิยิ้มนิดๆ คงไม่ยอมตอบสินะ......คนร่วมทาง........คนที่เป็นอนาคต  กับคนที่อยู่ตรงนี้ คนที่จับต้องได้ ดูความสำคัญมันช่างแตกต่างกันจนน่าน้อยอกน้อยใจนัก

     

    ยูกิ

    เสียงเรียกเบาๆ เมื่อเห็นอีกคนยังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ ซาโอริยอมเป็นคนวางมือทับลงบนมือข้างหนึ่ง

     

    เราง่วงแล้ว....นะ

    ดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง อยากจะแคะหูตัวเองว่าหูฝาดไปหรือเปล่า แรงฉุดเบาๆ ทำให้รู้ว่าของจริงเว้ย.....

     

    ลืมไปเลยว่ากำลังน้อยใจ.......

    ก็ตอนนี้มันกำลังย่ามใจ.......

    คอยดู เขาจะเอาแต่ใจ...........

    ให้สาสมใจเลย..............

     

     …………………………………………………..

     

     

    ………………………………..

     

     

     

    ร่างเล็กๆ บอบบางที่สะพายกระเป๋าใบใหญ่ มือข้างหนึ่งถือกระดาษโน้ต มืออีกข้างถือกระป๋องกาแฟเย็นเอาไว้ ปากขมุบขมิบท่องสิ่งที่อยู่ในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ อีกไม่กี่วันเท่านั้นสนามสอบที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในชีวิตม.ปลายของฮารุกะจังจะเริ่มขึ้น เวลาทุกนาทีแทบจะเรียกได้ว่า นาทีทอง ต้องตักตวง ไขว่คว้า

    เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ เด็กสาวลดกระดาษโน้ตลง ทอดสายตามองไปไกลๆ เพื่อพักสมองที่ตึงเครียดมาหลายวัน ไม่ได้เจอกับเพื่อนๆ เลย แม้กระทั่งมินามิ ตั้งแต่วันที่ไปดูวอลเลย์ด้วยกันในวันนั้น ไม่ได้เจอไอ้คนปากหนานั่นด้วย... ไม่รู้ทำไม พอถึงวันนัด.. เจ้านั่นก็ติดธุระ.. เหมือนๆกันกับคนในโทรศัพท์ ที่ตอนนี้.. หายไปไหนก็ไม่รู้

     

    ........เหงาจัง........

     

    ไม่เคยรู้สึกเปลี่ยวดายในใจขนาดนี้มาก่อนเลย อาจจะเพราะความไม่สบายใจและกดดันจากการสอบก็ได้ แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องให้กังวลก็ไม่เคยต้องอยู่คนเดียวแบบนี้นี่นา ซาโอริก็ต้องเตรียมสอบปลายภาค แถมยังเหมือนมีเรื่องให้คิดอีกด้วย ฮารุกะจังไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะขนาดยูกิที่เที่ยวก้อร้อก้อติก ยังทำให้พี่สาวของเธอปริปากหรืออารมณ์ดีขึ้นได้เลยนี่ อีกอย่างถ้าซาโอริอยากเล่าก็คงจะพูดเอง ขานั้นน่ะไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้สักเท่าไหร่นักหรอก

     

    แล้ว......ก็ไม่มีโทรศัพท์มาหาเลย......นับตั้งแต่วันนั้น.....

     

    หายไปไหนนะ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าเบื่อกันแล้วอย่างนั้นหรือ

     

    ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคิดมากขนาดนี้เลยนี่หว่า ก็แค่ความผิดพลาดที่ทำให้บังเอิญได้พูดคุยกัน แล้วก็ดันถูกคอถูกอัธยาศัยกันอีก ไม่เคยได้เจอหน้า หรือรู้จักชื่อด้วยซ้ำ คาดเดานิสัยได้ก็แค่เพียงจากสำเนียงการพูด คำที่ใช้และน้ำเสียงเท่านั้นเอง

    ก็เหมือนกับคนที่ผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านออกไป ไม่ได้มีความสำคัญหรือมีผลต่อชีวิตที่ดำเนินต่อไปสักเท่าไหร่

     

     

    .........แต่มันลืมไม่ได้............

     

     

     

    เพราะความรู้สึกบางอย่างของฮารุกะจัง กำลังสร้างภาพของคนๆ นั้น ทาบลงกับอีกคนที่บังเอิญได้รู้จักในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

     

    ........นากาโอกะ  มิยู..............

     

    สำเนียงการพูด ถ้อยคำที่เลือกมาใช้ เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่การทอดน้ำเสียงมันช่างคล้ายคลึงกันนัก

    ถึงจะทะเลาะกันบ้าง เห็นหน้ากันทีไรก็คอยแต่จะก่อกวนให้อารมณ์เสีย แต่มันก็สนุกดีไม่ใช่หรือ ถึงได้ยอมให้มิยูมาตอแยอยู่แบบนี้

     

    รู้สึกเหมือนได้คุยกับคนๆ นั้นอย่างงั้นแหละ

     

    อดคาดหวังเอาไว้ไม่ได้เหมือนกันว่า......ถ้าคนๆ นั้นเป็นมิยูก็คงจะดีไม่น้อย.........แต่จะตะขิดตะขวางใจนิดหน่อยก็ไอ้ตรงที่มิยูชอบยั่วโมโหนี่แหละ โกรธขึ้นมาครั้งหนึ่งก็กลัวว่าอายุมันจะสั้นเอา ตัวเธอยังเด็กไม่อยากจะมาหน้าแก่ก่อนวัยสักเท่าไหร่

     

    แต่ตอนนี้.......แม้กระทั่งมิยูก็หายไป.....มีเพียงการบอกเล่าจากริกะว่า ต้องไปคอยดูแลซากะที่โรคหัวใจกำเริบจนต้องเข้าโรงพยาบาล หอบหนังสือไปอ่านปักหลักปักฐานอยู่โรงพยาบาลเลยนั่นแล ก็น้องสาวน่ารักออกขนาดนั้นนี่นา ไม่หวงไม่ห่วงก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน

     

    ฮารุกะก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง รถประจำทางยังไม่มาอีกแฮะ กว่าจะมาก็อีกนานโข เลยนั่งแปะลงบนม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ ไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเชือกที่โดนขึงจนตึง ถ้าไม่ผ่อนคลายลงบ้างกลัวว่าจะคลุ้มคลั่งเอาน่ะสิ ปากบางสีสดกัดหลอดกาแฟมองไปทางนู้นทางนี้ฆ่าเวลา ดูดน้ำขมหวานให้มันตื่นตัวไม่ง่วงงุบงับสัปหงก ก็ไม่มีคนมานอนเป็นเพื่อนเหมือนวันก่อนนี่หว่า........

     

    อ๊ะ............!!!

     

    เด็กสาวชะงักสายตา ฝั่งตรงข้ามของถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน รถเมล์ฝั่งตรงข้ามจอดเทียบรอผู้โดยสารทยอยลงจากรถ ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอกถ้าคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดินข้ามถนนตรงมาที่ป้ายรถเมล์ที่ฮารุกะนั่งอยู่น่ะ ไม่ใช่เด็กสาวผมเข้ม ร่างสูงโปร่ง คนที่เวลายิ้มแล้วหวานไปทั้งหน้า ยิ้มทั้งปากทั้งตา ......

     

    ซากะ!!~”

     

     

    เสียงอุทานของฮารุกะคงไม่เบานัก เจ้าของชื่อสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง ชุดที่ซากะใส่ดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก กางเกงผ้าบางๆ สีอ่อน โผล่พ้นชายเสื้อคลุมยาวที่ติดกระดุมจนถึงคอ รองเท้าแตะสานแบบสบายๆ เหมือนไม่ค่อยแต่งตัวพิถีพิถันนัก พอเห็นฮารุกะจังเข้าก็ยิ้มให้ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนมาถึงม้านั่งที่ไอ้ตัวเล็กนั่งอยู่

     

    ฮารุกะจัง กลับบ้านเหรอ

     

    ร่างโปร่งของซากะนั่งลงข้างๆ ฮารุกะพึ่งได้สังเกตว่าผิวขาวๆ นั้นดูเซียวลงไม่มีน้ำมีนวลไม่ค่อยสดใสเหมือนครั้งแรกที่ได้เจอ ริมฝีปากก็ดูซีดลง เหมือนจะผอมลงอีกด้วย อยากจะทักถามแต่ไม่กล้า ก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นนี่นา

     

    เอ่อ.....ฮารุกะจัง

    เอ่อ.....ซากะ

     

    เด็กสาวสองคนหันมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงไปไม่น้อย ซากะทอดตัวพิงพนักสบายๆ แสงแดดไม่ร้อนมากนัก อาบแดดอุ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองฟ้าใสสว่าง สูดหายใจลึกๆ

     

    อากาศดีจังนะ......ที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนที่บ้านเลยจริงๆ

     

    อือม์...........เอ่อ.....ฉันได้ข่าวว่าเธอเข้าโรงพยาบาล.....เป็นยังบ้าง

     

    ก็...อย่างที่เห็น

     

    ซากะหันหน้ามานิดๆ ใบหน้ายังอาบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเดิม เอามือข้างหนึ่งวางทาบอกด้านซ้าย ตบปุๆ

     

    ตรงนี้ฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันเลยส่งสัญญาณเตือนภัยน่ะ แต่ตอนนี้มันก็ดีขึ้นแล้วหล่ะ

     

    ดีใจด้วยนะที่ไม่เป็นอะไรมาก

     

    ดวงตาใสซื่อ หมายความอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาทหรือเป็นคำที่ต้องพูด ความรู้สึกดีๆ ที่จริงใจแบบนี้ทำให้ซากะกลับเป็นฝ่ายที่ต้องหลบตา เสมองไปทางอื่นเสียเอง ภาพของถุงผ้าใบเล็กที่มิยูเพิ่งเอามาให้ยังติดอยู่ในใจ ไม่อยากจะรับของจากคนที่กำลังจะแย่งมิยูไป แต่เจตนาและน้ำใจทำให้ปฏิเสธไม่ออก ยิ่งมาเห็นแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

     

    ขอบใจนะ....ฮารุกะจัง สำหรับเครื่องรางที่ฝากมิยูไปให้

     

    เล็กน้อย นิดเดียวเอง.....เสียงใสหัวเราะร่าเริง

     แต่ถ้าเธอไม่ใจสู้ เครื่องรางก็คงไม่ขลังแล้วหล่ะ ดีจังนะที่เธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว

     

     

    ฮารุกะจัง.......มิยูเป็น......พี่.....ที่ดีมากๆ เลยนะ

     

     

     

    จู่ๆ ซากะก็พูดออกมา ขยับตัวนั่งให้ตรงขึ้น จ้องหน้าคนฟังนิ่ง วางมือลงบนเข่าเล็กๆ คนหน้าหวานทำหน้าไม่ถูก ทำไมจู่ๆ มาพูดแบบนี้หล่ะยังไม่ทันได้โต้ตอบหรือถามอะไรต่อ

     

    เสียงรถแล่นใกล้เข้ามา รถประจำทางคันที่ฮารุกะกำลังรออยู่ ร่างบางขยับลุกขึ้น กระชับสายกระเป๋าให้แน่น หันมามองซากะที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมก็ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

     

    ซากะไม่กลับด้วยกันหรือ....รถมาแล้วนะ....

     

    เดี๋ยวสักพักน่ะ.....จะไปหาพ่อก่อน

     

    ประโยคท้ายเบาลง เสียงบีบแตรเร่งให้ฮารุกะรีบโบกมือลา แม้รถจะเคลื่อนไปแล้ว ไอ้ตัวเล็กก็ยังคงมองไปด้านหลัง ซากะยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รอยยิ้มที่ทำให้คนที่เห็นละลายด้วยความหวานยังคงอยู่ริมฝีปากสีสวยนั้น คล้ายๆ กับคนที่มีความสุขกับการตัดสินใจอะไรสักอย่าง จนถึงตอนนี้ ฮารุกะเพิ่งจะเอะใจ แล้วมิยูหล่ะ ...ไม่มาคอยดูแลน้อสาวหรือ.....

     

     

    กลับมาแล้วคราบบบบบบบบ..............

     

    เสียงหงอยๆ ของไอ้ตัวเล็กร้องบอกเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป เงียบเชียบจังแฮะ ไปไหนกันหมดนะ รองเท้ายังอยู่ครบทุกคู่นี่นา เดินเข้าไปในบ้าน แสงไฟลอดออกมาจากห้องรับแขก พร้อมกับเสียงทีวีดังเบาๆ ซาโอรินั่งอยู่บนโซฟาตัวโต ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องอยู่ที่หนังสือในมือ ดูเหมือนจะสมาธิดีจนไม่สนใจเสียงรอบข้างเลยละมั้ง ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งฮารุกะเดินเข้ามาข้างหลัง

     

    ซาโอริจัง

     

    แค่เสียงเรียกเบาๆ ก็สะดุ้งเฮือก ฮารุกะมองลงไปที่หนังสือที่ทำให้พี่สาวสนใจขนาดนั้นแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

     

    อ่านหนังสือกลับหัวได้ด้วยเหรอเนี่ย....

     

    หน้าหวานๆ ระเรื่อขึ้น รีบปิดหนังสือทันที

     

    เป็นอะไรหรือเปล่า แล้วยูกิหล่ะ......

     

    หิวมั้ย ??”

     

    เสียงของพี่สาวแทรกขึ้นมาทันที ฮารุกะแอบเห็นซาโอริกระแทกหนังสือลงกับหนังสือพิมพ์เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง เดินดุ่มๆ ลิ่วๆ ไปที่ห้องครัว เดินตามเกือบไม่ทัน

     

    ไม่หิวหรอก....ไม่ต้องหาก็ได้ซาโอริจัง....เป็นอะไร

    ฮารุกะจังดึงแขนเรียวบางเอาไว้ ซาโอริถอนหายใจหนักๆ เหมือนกำลังระงับอารมณ์ มือบางๆ ของพี่สาวลูบผมนุ่มของเธอเบาๆ รุนหลังให้ขึ้นบันไดขึ้นไปห้องพัก

     

    ไปพักเถอะ อ่านหนังสือก็ได้.....พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก.....

     

    จริงๆ นะ

     

    จริงๆ ...ฮารุกะจังต่างหากที่ต้องเป็นห่วงตัวเองมากว่า ใกล้สอบแบบนี้ยิ่งต้องระวังรักษาสุขภาพ ไปเถอะ

     

     

    ไอ้ตัวเล็กส่งสายตาที่บอกถึงความเป็นห่วงเป็นใยมากมายมาให้ กว่าจะยอมเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไปแต่โดยดี ซาโอริหันไปมองปฏิทินที่แขวนอยู่ข้างฝา ปากกาสีแดงกากบาททับวันที่วันหนึ่งในนั้น เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ที่ซาโอริคุ้นเคยเป็นอย่างดี

     

    .......ไปเชียร์เค้านะ........

     

    ........วันที่ยูกิมีแข่งนัดสำคัญ.........

     

    ซาโอริเบนสายตาออกมาจากกระดาษแผ่นนั้น ริมฝีปากอิ่มขบเม้มแน่น ก็วันที่กากบาทไว้น่ะ.....ก็คือวันนี้เอง.........

     

    และไอ้หนังสือพิมพ์ที่ซาโอริเพิ่งวางหนังสือทับลงไปนั่นนะก็หนังสือพิมพ์ที่อ่านแล้วมันชวนให้อยากกระตื๊บคนเสียเหลือเกิน หน้าทะเล้น ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือยิ้มสู้นักข่าว ที่ถามคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้น  คำตอบที่ได้อ่านมันกวนอารมณ์นัก

     

    ........แค่เรื่องธรรมดาของเพื่อนร่วมทีมกันมาค้างด้วยกันบ้างเท่านั้นเอง.....

     

    ต้องไปค้างที่ห้องเลยหรือไงนะ ...หงุดหงิดเว้ย....แล้วจนป่านนี้ก็มีแค่โทรศัพท์มาบอกเวลาว่าจะมารับตอนไหนเท่านั้นเอง ซาโอริทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกครั้ง ไม่มีกะใจจะอ่านหนังสือเลย ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทุกครั้งที่ได้อ่านข่าวแบบนี้เมื่อก่อนไม่ได้สนอกสนใจเลยด้วยซ้ำ ก็เรื่องของยูกิ นักกีฬา หน้าตาดี ขี้เล่น ใครๆ ก็รักก็อยากคุยด้วย จะมีข่าวก็ไม่แปลก เธอเสียอีกที่ทำให้ยูกิน้อยอกน้อยใจที่ทำเหมือนคนไม่รักกัน

     

    รักกันอย่างนั้นหรือ??

     

    คบกันในฐานะคนรัก โดยที่คนตัวขาวจัดคนนั้นยอมรับในเงื่อนไขทุกอย่าง จนกว่าคนร่วมทางในแบบที่ซาโอริต้องการจะปรากฏตัว ยูกิจะยังคงเป็นคนรักของเธอ  เป็นเจ้าของปีกสีขาวคู่นี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง หากจะตัดสินใจแยกทางไปก็เป็นเรื่องของซาโอริ จะไม่ขัดขวางหรือห้ามปรามใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่เคยทำเหมือนว่าโดนเอาเปรียบ ยังคงร่าเริงออดอ้อนทำตัวเป็นลูกหมาน่ารักช่างประจบ จนซาโอริเองยังเคลิ้มไปกับความน่ารักแบบนั้น คำหวานๆที่คอยจะพร่ำบอกรัก ความสำคัญของการมีตัวตนในใจของยูกิ  เคยชินกับความรู้สึกแบบนั้นจนเผลอลืมไปว่า .....ในใจตัวเองยังคงคิดถึงและรอคอยใครซักคนมาร่วมทางเดิน ......มาตอนนี้.....พอรู้สึกว่าสิ่งนั้นกำลังจะหายไป ......ใจมันก็หวิวหวั่น....ไม่พอใจ แต่จะมีสิทธิห้ามได้หรือ

     

    ที่ของเราสองคน กำลังมีคนอื่นเข้าไปแทรกแซง ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน ยูกิไม่เคยบอก และเธอก็ไม่คิดจะถาม กลัวคำตอบว่า....ใช่....

     

     

    นาฬิกาเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลาที่นัดหมาย ซาโอริยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้คิดจะเปลี่ยนชุด นอกจากนั่งมองทีวีที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ ครุ่นคิดอย่างสับสนในหัวใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงสัญญาณเรียกเข้ามือถือ รีบหยิบขึ้นมาดู ....ยูกิ....

     

    ซาโอริจัง....ไปสายหน่อยนะ....นักข่าวรอสัมภาษณ์อยู่น่ะ....ยังไม่เสร็จเลย

     

    อื้ม.....ไม่ต้องมาก็ได้

     

    จะมาเองเหรอ...ไม่เอาหรอก เดี๋ยวหากันไม่เจอเสียงห้าวออดอ้อน รอแป๊บนึงนะ ถ่ายรูปเสร็จแล้วจะรีบไปรับเลยนะ

     

    มือเรียวบางกำโทรศัพท์แน่น เม้มริมฝีปากนิดๆ

     

    ไม่ต้อง....เค้าไม่ไป

     

    อะไรนะ!!....ไม่เอาน่า ก็ตกลงกันแล้วนี่

    เสียงอีกฝ่ายดูจะร้อนคนขึ้นในทันที หากหูไม่ฝาด ซาโอริคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งแทรกมาด้วย

     

    อย่าเลย....คุณจะเป็นข่าวเสียเปล่าๆ เค้าเองก็ไม่ชอบโดนจ้องมอง อีกอย่าง...........เป็นข่าวกับคุณXXX....น่าจะมีความสุขมากกว่าไม่ใช่หรือ

     

    ซาโอริ.....อย่าพูดแบบนี้นะ

    เสียงปลายสายสั่นขึ้นจนฟังออก ไม่ใช่แค่ยูกิหรอก.....ตัวเธอเองก็เช่นกัน ซาโอริไม่รู้ตัวสักนิดว่าเสียงตัวเองสั่นไหวแค่ไหน หยาดน้ำอุ่นกลิ้งตัวทิ้งร้องรอยบนผิวแก้มเนียน และยังรินรดย้ำลงบนเสื้อจนเป็นร่องรอยเปียกชื้น พยายามกลั้นเอาไว้มากเพียงใดก็ยิ่งหลั่งไหลไม่หยุด

     

    ซาโอริ....อย่าพูด....พอแล้ว.....อย่าร้องไห้....

     

    เสียงที่ปวดร้าวของยูกิ ทำให้คนฟังรู้สึกได้

     

    แผ่วเบาราวกับจะขาดใจ

     

    ทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุดเถอะ......โชคดีนะ

     

    กดตัดสายในทันทีที่พูดเสร็จไม่ไหวแล้วกับความรู้สึกแบบนี้ ยอมรับว่าเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นยูกิอยู่กับคนอื่นแบบนั้น ที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ดูไปดูการแข่งของยูกิก็เช่นกัน มันไม่อยากมองฉากที่คนๆ นั้นกอดคนอื่น โอบกระซิบคำหวานหรือแม้แต่แสดงแววตาที่ห่วงใยให้ใครต่อใครแบบนั้น ไม่อยากให้ยูกิมีอิทธิพลกับหัวใจมากไปกว่านี้ ถึงได้พยายามยกเอาคนที่พยายามตามหา... คนที่หวังว่าจะได้ร่วมทาง......มาคอยเตือนตัวเอง ตอกย้ำว่ามีคนในแบบที่ต้องการอยู่แล้ว อย่าพลาดท่าเผลอใจไปกับเด็กเจ้าเสน่ห์ จะได้ไม่ต้องเจ็บเมื่อวันแห่งการลาจากมาถึง

     

    สุดท้ายก็ทนไม่ได้.............

     

    ไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเองเท่านั้น ยังทำร้ายยูกิอีกด้วย...........

     

     

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง .... ซาโอริก้มลงมองตาพร่าไปหมด......ไม่อยากพูดไม่อยากคุย........กดตัดสายทิ้งไป และกดทิ้งทุกครั้งที่คนตัวขาวจัดโทรมาหา

     

    ติ๊ด

     

    เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้ามาหลังจากที่กดตัดสายทิ้งไปไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้ว ตัวหนังสือสั้น ๆที่เรียงรายอยู่บนหน้าจอพร่าเลือนยิ่งนัก

     

    .....อย่าร้องให้.....

    .....ดวงตาของซาโอริสวยมากๆ นะ...อย่าร้องไห้เลย.....

     

    น้ำตามากมายหลั่งไหลไม่หยุด เสียงสะอื้นสั่นไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป ซาโอริลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือสั่นเทาควานหากุญแจรถที่วางไว้บนโต๊ะ ไม่สนใจแม้กระทั่งจะหยิบเสื้อคลุมหรือเปลี่ยนชุด เร่งรถให้เคลื่อนออกจากบ้านด้วยอาการสั่นที่ยังไม่หยุด ไม่แม้แต่จะบอกฮารุกะจังที่วิ่งลงมาหน้าตาตื่น เมื่อได้ยินเสียงรถคำรามลั่น เหยียบคันเร่งแรงเท่าที่หัวใจสั่ง ก็ตอนนี้มันบินไปไกลเกินกว่าที่จะตามทันแล้ว....

     

    คนร่วมทางที่ตามหาจะเป็นยังไง... ไม่สน

     

    คนที่ตามหา..และหวังว่าจะเจอมาตลอดเป็นแบบไหนก็ไม่อยากรู้

     

     

    ในวินาทีนี้ถึงเพิ่งเข้าใจว่า

     

    บางที....คนที่คอยมองหากับคนที่อยู่ข้างๆ มาตลอดนั้น อาจจะเป็นคนเดียวกัน

    หัวใจเต้นแรงระรัวด้วยความตื่นเต้น ....คนร่วมทาง... อิชิอิ ยูกิ

     

    มือเรียวบางส่งบัตรให้สตาฟที่ยืนงงอยู่หน้าโรงยิม ด้านนอกมีคนเหลือเพียงเล็กน้อย ซาโอริวิ่งผ่านทางเดินเข้าไปด้านในด้วยแข้งขาที่สั่นเทาเสียงนกหวีดเป่าเริ่มการแข่งขันดังมาให้ได้ยิน แสงสว่างจากสนามทำให้ชะงักเท้า มองหากลุ่มผมสีเข้มๆ ผิวขาวจัดที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็โดดเด่น แต่ไม่เจอ...ไม่เห็น

     

    ภาพบนจอขนาดยักษ์คือ เด็กผู้หญิงผมสั้นจนเหมือนผู้ชาย  มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นตบไปเต็มแรงบนบอลที่ข้ามมาตรงหน้า.. แรงตบที่ทำให้บอลฝั่งลงไปกับพื้นของฝ่ายตรงข้าม... แรงตบที่คนตบไม่แม้จะเหลือบดูด้วยเพราะมั่นใจในฝีมือ ว่ามันจะฝั่งจนไม่ว่าลิบคนไหนก็ไม่สามารถขุดขึ้นมาได้

     

    มั่นใจก็เพราะ... การเล่นแบบเมื่อครู่ เป็นสไตล์การเล่นในแบบของคนที่อยู่ลึกลงไปข้างในหัวใจและความรู้สึก

     

    <......เธอจะบ้าหรอ.. ตบเอาๆแบบนั้น ไม่มองช่องว่างของฝ่ายตรงข้าม.. มีแต่เปลืองแรงเปล่าๆ......>

     

     

    <.....เป็นนักกีฬาได้ไง ทำไมไม่รู้จักออมแรงเอาไว้บ้าง..

    ...เล่นกีฬามันก็ต้องใช้หัวนะ.. ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์แบบนี้...

    ... พอเลย... ครั้งหน้าชั้นจะสอนเธอเล่นด้วยสมอง... ไม่เอาแล้ว.. เล่นแบบนี้ไปก็เปลืองแรงเปล่าๆ.....>

     

    “ มาไม่ทันจนได้สินะ”

     

    รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าของตัวตบประจำทีมม.ปลายที่ฉายอยู่บนจอ... บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าความเครียดที่เคยมีมาตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มันถูกชะล้างไปจนหมดสิ้น...

     

    ...จะเหลือก็แต่.. ความเศร้าในแววตา...

     

     

    อ๊ะ...

     

    แรกกระแทกเข้าที่ด้านหน้า รู้สึกถึงแรงโอบรัดที่แน่นขึ้น สัมผัสที่คุ้นเคย กลิ่นหอม อ้อมกอด อกกว้างที่ซุกซบอยู่ทุกวัน แขนเรียวกำเสื้ออีกฝ่ายแน่น เบียดตัวเองให้อยู่แนบชิดยิ่งขึ้น ให้รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้ฝัน ไม่ได้หลอกหลอนตัวเอง

     

    ยูกิ.....

     

    กระซิบเบาๆ อยู่บนบ่าแข็งแรง รู้สึกถึงริมฝีปากร้อนผ่าวของคนรักแนบลง จูบเบาๆ ไปตามดวงตาคู่สวย อาศัยช่วงที่ทุกคนสนใจกับการรีเพลย์ภาพการแข่งขันเมื่อสักครู่

     

    “.....ขอบคุณนะที่มา.....

     

     

     

    ประโยคที่สร้างสายในรัดร้อยจับจองหัวใจดวงน้อยเอาไว้ ได้อีกครั้ง จากคนๆเดิม แค่คำสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจเต็มตื้นจนบรรยายไม่ถูก ร่างน้อยซุกหน้ากับอกคนตัวเล็กกว่าไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ นอกจากกอดรัดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้นแรงขึ้นเท่าเทียมกัน ริมฝีปากอุ่นกระซิบแผ่วอยู่ชิดใบหู

     

    .....ฉันรอเธอมาตลอด......

    .....เธอคือเวลาทั้งหมดของฉัน......

    .....เธอคนเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เวลาของฉันเดินต่อไป.....

     

    .....ซาโอริ.....วันที่ฉันส่งจดหมายฉบับนั้นให้เธอ.....

     

    .....วันนั้น......เวลาแห่งการรอคอยสิ้นสุดลง และเวลาชีวิตของฉันกำลังเริ่มเดิน.....

     

     

    .... คนร่วมทางที่ชั้นเฝ้าตามหา... ชั้นได้รับคำตอบแล้วว่ามันคือเธอ...

     

     

    +***********************+

     

    Rrrrrrrrrrrrrrrr……Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr….

     

    เสียงโทรศัพท์กรีดกริ่งร้องยาวนาน ฮารุกะแทบจะวิ่งมารับสาย ด้วยความเป็นห่วงพี่ที่อยู่ดีๆ ก็ขับรถเป็นตีนผีออกไปอย่างนั้น โทรไปหาก็ไม่มีคนรับ ไม่รู้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า โทรเข้าเบอร์ยูกิก็พอกัน น่าเป็นห่วงทั้งคู่

     

    ฮารุกะจัง....พี่เองนะ

     

    ซาโอริจัง....ไม่เป็นไรใช่มั้ย....

     

    ไม่หรอก...ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง.....ไม่ต้องกังวลนะ....

     

    อื้ม....จริงๆ นะ

    เด็กน้อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะวางหู ค่อยสบายใจอ่านหนังสือได้หน่อย ยังไม่ทันจะเดินออกไปไหนเลย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก สงสัยลืมสั่งเสียอะไรแน่เลย พี่สาวเรา

     

    อื้อ...ลืมอะไรซาโอริจัง

     

    ฉันเองนะ......

     

    เสียงห้าวทุ้มที่พอได้ยินก็แทบจะใจกระตุก อุ่นวาบขึ้นไปจนถึงปลายเท้า!! เสียงที่หายไปนาน....

     

     

     

    หายไปไหนมา...เป็นไงบ้าง....ไม่โทรมาตั้งนาน.....

     

    เสียงใสตื่นเต้นระคนประหลาดใจ นึกว่าลืมกันไปแล้วเสียอีก ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนจะพูดช้า ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ฮารุกะจังนิ่งขึงอยู่กับที่.....ตะลึง....

     

    “....ฮารุกะจัง....ฉันมิยูนะ

     

    อะไรนะ!!~

     

    .....มิยู......

     

     

    ซากะหายไปจากโรงพยาบาล ตามหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้าน มีคนบอกว่าเห็นซากะนั่งรถมาลงแถวๆ นี้ เธอเห็นน้องฉันบ้างหรือเปล่า...พอจะเห็นเค้าบ้างมั้ย? มะรืนเค้าจะต้องบินไปผ่าตัดแล้ว.....ทุกคนเป็นห่วงเค้ามาก....ถ้าเธอรู้บอกฉันที

     

     

    หมายความว่ายังไง???

     

    ฮารุกะจังยังนิ่งอยู่กับที่แม้ประโยคที่ได้ยินค่อนข้างจะชัดเจน ยืนยัน บอกเล่าแน่นอนว่า.....มิยู....คือคนๆ นั้น.....

     

    ความสงสัยไม่เข้าใจ ผุดขึ้นในความคิดเต็มไปหมด แต่เพราะน้ำเสียงร้อนรนและประโยคถัดมาทำให้เธอต้องสลัดความสงสัยไม่แน่ใจเก็บเอาไว้ก่อน ซากะจังหายตัวไปนะ ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถามหรือโวยวายเอาตอนนี้

     

    ถึงจะคิดได้อย่างนั้นก็เถอะ ไอ้เด็กหน้าหวานก็ยังหุบปากนิ่งสนิท ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

     

    ฮารุกะจัง.....ฮารุกะจัง.....

     

    เสียงนุ่มทุ้มเรียกชื่อเธอซ้ำๆ ยิ่งเร่งเร้าให้ฮารุกะพยายามเค้นเสียงออกมา แต่ก็ได้เพียงแค่เสียงแห้งๆ แผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินว่า

     

    ฉันฟังอยู่....

     

    “..........ฉัน........

     

    กลับเป็นฝ่ายมิยูเองที่พูดอะไรไม่ออกบ้าง ปลายสายเงียบไปอึดใจ คนหน้าหวานส่ายหน้าไปมา บอกตัวเองว่า ไม่เอาน่าฮารุกะจัง......ไม่ใช่เวลานี้นะ......

     

     

     

    ซากะหายไปใช่มั้ย.....ตอนเย็นฉันยังเห็นอยู่เลยนี่นา

     

    จริงๆ หรือเปล่า

     

    น้ำเสียงตื่นเต้นร้อนรนขึ้นมาทันที ฮารุกะทำเสียงในลำคอเป็นการตอบรับ ขณะเดียวกันก็มองหารองเท้ากับเสื้อคลุมไปด้วย

     

    จริงๆ เจอกันที่ป้ายรถเมล์น่ะ ..... ฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่เขานั่งรอรถอยู่ไม่รู้ว่าจะไปไหนถามก็ไม่บอกอะไร..... เดี๋ยวฉันออกไปดูที่ป้ายรถนะ อาจจะยังอยู่แถวนั้นก็ได้

     

    เดี๋ยวๆ .... ไม่ต้องก็ได้ฮารุกะจัง...

     

    คนหายทั้งคน ช่วยกันได้ก็ช่วยสิ..... ไม่เป็นไรน่า

     

    เด็กสาวคว้าเสื้อมาสวม ทั้งที่ยังหนีบหูโทรศัพท์เอาไว้ เขียนโน้ตแปะเอาไว้ที่ข้างโทรศัพท์ เสียงมิยูทำอะไรขลุกๆ ขลัก ๆ ก่อนจะส่งเสียงตอบกลับมาว่า

     

    งั้นเดี๋ยวเจอกัน อย่าไปไหนคนเดียวนะฮารุกะจัง รอฉันไปหาที่ป้ายรถก่อน

     

    เออน่า....ไม่ต้องกลัวว่าจะได้มาตามหาฉันอีกคนหรอก

    อารมณ์นี้ก็ยังอุตส่าห์หยอดมุขให้ได้หัวเราะคลายความกังวลลงไปบ้าง มือบางวางโทรศัพท์ลงบนแป้น แล้วเร่งฝีเท้าออกจากประตูบ้าน ย่ำค่ำแล้ว ความมืดโรยตัวเป็นบรรยากาศรอบด้านและคงจะมืดลงเรื่อยๆ ฮารุกะเดินแกมวิ่งไปจนถึงป้ายรถเมล์ บนม้านั่งที่ใช้สำหรับนั่งรอ ร่างที่มองไกลๆเหมือนหมีตัวโตๆ เพราะสวมเสื้อคลุมสีเข้มเข้ากับอากาศเป็นยิ่งนัก ยิ่งทำให้ฮารุกะเดินเร็วขึ้นไป กำลังจะอ้าปากเรียกชื่ออยู่แล้วถ้าคนที่นั่งอยู่นั่นไม่หันมา ไอ้ตัวเล็กหยุดนิ่งอยู่กับที่....

     

    รอยยิ้มหวานบาดตา กับร่างที่ความสูงไล่เลี่ยกับมิยูแต่ผอมบางกว่า ...... ในเสื้อคลุมตัวโตสีเข้มที่ข่มให้ร่างนั้นบอบบางลงไปอีก

     

    ....ซากะ....!!~

     

     

    จะไปไหน....รีบร้อนเชียว

     

    เสียงทักออกแหบเครือขึ้นจมูกนิดๆ เหมือนคนเป็นหวัด รอยยิ้มที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่ได้เจอกัน ยิ้มทั้งปากทั้งตา

     

    ฮารุกะจัง

     

    ซากะ....

    พอตั้งสติได้ ฮารุกะรีบก้าวให้เข้าไปหา ยังพอเห็นนิดๆ ว่าใบหน้าหวานๆนั้นออกจะซีดเซียว แต่ประกายตาแจ่มใสพอๆ กับรอยยิ้ม พอเห็นหน้าเธอเข้าก็หัวเราะร่าเริง รีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ฮารุกะจะอ้าปากเสียอีก

     

    อย่าเพิ่งดุนะ.....เมื่อกี้ฉันเพิ่งโทรไปที่บ้าน มิยูดุไปแล้วหนึ่งยก........หูชาเลย

     

    ทุกคนเป็นห่วงนะ.....มิยูก็คงดุเพราะเป็นห่วงนั่นแหละ เธอน่าจะได้ยินตอนที่มิยูโทรไปบอกว่า... เธอหายตัวไป น้ำเสียงเค้าร้อนรนแล้วก็ไม่สบายใจมากๆ ด้วย

     

     

    ซากะเลิกคิ้วนิดนึง ชั่วขณะนั้น ฮารุกะเหมือนกับจะมองเห็นความดีใจ ชื่นใจปรากฏขึ้น ก่อนมันจะวูบหายไปอย่างรวดเร็ว

     

    มิยูเป็นพี่ที่ดีเสมอ....อย่างที่ฉันบอกฮารุกะจังเมื่อตอนบ่ายนั่นแหละ ใจดี ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยถือโทษโกรธใครได้นานหรอก อ่อนโยน แล้วก็เป็นที่พึ่งได้ด้วย......

     

    เด็กสาวสองคนทรุดลงนั่งบนม้าไม้เก่าๆ ท่าทางของซากะที่เหยียดขายาวหายใจลึกเข้าปอด ทำให้ฮารุกะอดจะห่วงไม่ได้ เธอเองก็ไม่เคยดูแลพยาบาลคนป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่ร้ายแรงแบบนี้ ตั้งแต่แม่ตายไป ซาโอริกับครอบครัวก็ดูแลเธอมาตลอดแทบจะไม่ให้เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนซากะจะดูออก ดวงตาหวานๆ นั้นหันมองเธอตรงๆ

     

    ฉันไม่เป็นไรหรอก.....จริงๆนะ ไม่ต้องห่วง มิยูคงเล่าให้ฟังแล้วว่า มะรืนนี้ฉันจะไปแล้ว กว่าจะกลับก็คงอีกสักปี แล้วแต่ผลการรักษา ฉันก็เลยไปลา.....พ่อ......มาน่ะ

     

    คนเล่าแหงนเงยพาดศีรษะไปกับพนักพิง ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แสงไฟตามทางเดินสว่างขึ้น ถึงตอนนี้ฮารุกะเริ่มเข้าใจแล้วว่า พ่อ ที่ซากะพูดถึงไม่ได้หมายถึงอาของมิยูที่เป็นผู้ปกครองตามกฎหมายในปัจจุบัน แต่เป็น...พ่อ....แท้ๆ ของซากะ ที่เสียไปนานแล้ว

     

    ไปบอกพ่อว่าฉันคงจะไม่ได้มาเยี่ยมบ่อยๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ ตอนแรกก็อยากจะไปกับแม่กับมิยู แต่.....ทุกคนก็วุ่นวายกับเรื่องของฉันมากพอแล้ว เลยคิดว่าไปคนเดียวดีกว่า เสร็จธุระก็จะรีบกลับมา ดันเล่าอะไรให้พ่อฟังเพลินไปนิดเดียวเอง เลยแตกตื่นกันใหญ่เลย

     

    ถึงตอนนี้ ซากะเอื้อมมือมาบีบมือเรียวบางของคนที่นั่งข้างๆ

     

    ฮารุกะจัง....คิดว่าพรหมลิขิตมีจริงมั้ย?”

     

    เอ๋....ถามทำไม

     

    คนตัวเล็กหัวเราะนิดๆ พรหมลิขิตงั้นหรือ ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มานานแล้วนะ แต่ซากะยังพูดต่อไปเรื่อยๆ

     

    คนสองคน ที่เส้นทางชีวิตไม่น่าจะมาพบหรือเจอกันได้ ...อยู่ๆ ความบังเอิญก็ทำให้ได้พบกันอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่คาดฝัน

     

    ถึงตอนนี้ เด็กหน้าหวานผงกศีรษะขึ้นมองคนฟัง เปลี่ยนจากประโยคบอกเล่าเป็นคำถามสั้นๆ

     

    “......เมื่อเดือนก่อนมีคนโทรศัพท์ผิดเบอร์ไปบ้านเธอใช่มั้ย.....

     

    อะ อื้อ....รู้ได้ยังไง...มินามิเล่าให้ฟังเหรอ ตลกจะตายไป

     

    ฮารุกะเสมองไปทางอื่น หัวเราะกลบเกลื่อนแต่ไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงหัวเราะมันฝืนๆ จนคนฟังรู้สึกได้ แรงบีบที่มือหนักขึ้น

     

     

    เมื่อเดือนก่อน..... มิยูเล่าให้ฟังว่า โทรไปหายูกิแต่กดเบอร์ผิด ไปติดบ้านใครก็ไม่รู้ คุยกันถูกคอ ท่าทางนิสัยจะเข้ากันได้......ตอนนั้นมิยูกำลังตึงๆ อยู่กับการเตรียมสอบ...แล้วก็เรื่องที่ชมรมพอดี...เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้มิยูคลายเครียดลงไปแบบที่คนที่บ้านยังทำไม่ได้ .....ทุกคนเลยไม่ห้ามปรามหรือซักถาม เพราะถ้ามันจะทำให้มิยูสบายใจ ก็ไม่มีใครเห็นว่าไม่ดี

     

    ปกติมิยูเป็นคนตื่นเช้ามากๆ เพราะต้องนั่งรถไปเรียนไกล.... มีอยู่วันหนึ่งเกิดตื่นสายผิดปกติ .....ก็เพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบนั่นแหละ แทนที่มิยูจะอารมณ์เสียเพราะไปโรงเรียนเกือบไม่ทัน เค้ากลับหัวเราะร่าเริงทั้งวัน.....ตั้งแต่นั้น.....พี่ของฉันก็มีแต่รอยยิ้มกลับบ้าน ฉันเองก็ไปก่อนกับมิยะ เลยไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก.....อยากรู้เหมือนกันนะว่าไปเจออะไรมา

     

    คนพูดก็พูดไปเรื่อยๆ แต่คนฟังเริ่มผิวแก้มร้อนผ่าว .... เผลอลูบไปบนนิ้วที่เคยเป็นรอยช้ำตอนฟาดกับเก้าอี้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนอย่างลืมตัว...ใครคนหนึ่งทำหน้าซื่อแล้วมาถามว่า....บวมขนาดนี้เป็นเกาท์หรือเปล่า??

     

    ถ้ามิยูไม่รีบจนกดเบอร์ผิด.....ถ้าไม่เสียดายเงินที่หยอดไปตั้งเยอะ.....ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่เด็กเตรียมสอบ หรือเด็กที่อยากไปดูแข่งวอลเลย์นัดวันเสาร์ที่ผ่านมาเหมือนกัน ก็คงไม่คุยต่อเนื่องได้นานขนาดนั้น.....แล้วถ้ามิยูไม่ตื่นสาย....ก็คงไม่ได้เจอกับ...อะไรสักอย่างที่สำคัญสำหรับเค้า......เป็นความบังเอิญที่ไม่คาดฝันจริงๆ นะ

     

    ....พรหมลิขิต.....อย่างนั้นหรือ

     

     

    ฝากดูแลมิยูด้วยนะ....ฮารุกะจัง

     

    เห....อ่า....พูด...พูดอะไรแบบนั้นจู่ๆ ก็ได้รับคำขอร้องที่ไม่คาดฝัน ทำเอาเกิดอาการติดอ่างทันควัน หน้าเอ๋อ ส่ายหน้าจนผมกระจาย ไม่เอาหรอก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันนี่นา แต่ซากะหัวเราะเบาๆ

     

    ฉันเป็นลูกคนเดียวมาตั้งนาน พอมามีพี่สาวก็เลยหวงเป็นธรรมดา.....แต่ดันต้องไปนอนให้หมอเปิดอกอยู่ตั้งคนละซีกโลก....เลยอดห่วงไม่ได้......พี่ฉันหาไม่ได้ตามท้องตลาดนะ หน้าตาก็ดี ฐานะก็พอใช้ ความฉลาดก็ไม่เป็นรองใคร กีฬาก็เทพ ถึงนิสัยจะกวนอารมณ์สักหน่อยก็เหอะ....แต่พี่ฉันไม่เคยยั่วโมโหคนไม่สนิทนะ.....ถ้าไม่ใช่คนที่เค้าอยากตอแยด้วย...มาเกาะแกะแค่ไหนก็ไม่สนใจหรอก

     

     

    เด็กสาวสองคนสบตากันในแสงสว่างเพียงน้อยนิด เงียบไปอึดใจ ยังไม่ทันที่ฮารุกะจะตอบรับหรือปฏิเสธคำขอร้อง เสียงรถแล่นมาจอดเทียบกับม้านั่ง คนขับเปิดประตูออกมาหน้าตาร้อนรน ผมสีเข้มยุ่งกระเซิง พอเห็นว่าใครนั่งอยู่บนม้านั่งบ้างก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะตีหน้าดุขึ้นมาแทนที่

     

    อ๊ะ.....อย่าดุนะ....ต่อหน้าฮารุกะจัง... พี่ไม่กลัวใครเขาเอาไปว่าใจร้ายกระทั่งกับคนป่วยเป็นโรคหัวใจหรือ

     

    ดักคอแทบจะทันทีที่มิยูอ้าปาก ได้ผลแฮะ คนตัวขาวจัดหุบปากทันควัน พ่นลมจิ๊จ๊ะด้วยอาการขัดใจ ฉุดมือน้องสาวให้ลุกขึ้นด้วยอาการที่เรียกว่า ทะนุถนอมจนฮารุกะอดจะทึ่งไม่ได้ คนกวนตีนแบบมิยูมีมุมอ่อนโยนด้วยหรือ

     

    กลับไปแก้ตัวกับแม่เอาเองก็แล้วกัน นั่งร้องไห้เป็นห่วงเธอจะแย่อยู่แล้ว

     

    มิยูบ่นงึมงำ หันกลับมาสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ น้องสาวที่กำลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น ส่งเสียงครึ่กๆ ในลำคอ ชั่วขณะที่ดวงตาสองคู่สบกัน แทบจะในวินาทีถัดไปที่รีบเมินมองไปทางอื่นทั้งสองคน ฮารุกะลุกขึ้นยืน ปัดมือไปมา

     

    ฉันกลับแล้วหล่ะนะ ทิ้งบ้านมา ไม่รู้ป่านนี้ซาโอริจังจะกลับหรือยัง

     

    ฉันไปส่งนะ.....

     

    เสียงทุ้มขัดขึ้น แต่ฮารุกะส่ายหน้าเร็วๆ

     

    ไม่ต้องหรอก รีบกลับบ้านเถอะ.....ฉันเดินไปแค่นี้เอง ยังไม่มืดมากเท่าไหร่ด้วย.....

     

    ไอ้ตัวเล็กโบกมือให้ซากะที่นั่งรอให้รถเรียบร้อยแล้ว ปรายหางตามองคนขับที่ยืนเกาะประตูตาละห้อย แล้วรีบหันหลังให้วิ่งกลับทางเดิมอย่างรวดเร็ว......

     

    จะให้มาส่งได้ยังไงกัน......ก็ในรถมีกันแค่สามคน .... เงียบๆ แบบนั้นน่ะ .....ไอ้ปากหนาหน้ามึนมันก็ได้ยินหมดน่ะสิว่า

     

    .........หัวใจมันเต้นแรงเป็นบ้าเลย.........

     

    +*************************+

     

     

    เสียงปรบมือกึกก้องเมื่อการแข่งขันจบลง แม้ว่าดาวรุ่งที่ถูกวางตัวในการแข่งครั้งนี้จะไม่ครบ แต่เพียงแค่ยูกิกับริกะมันก็เกินพอแล้ว แฟนคลับและผู้คนที่ใจมาเชียร์เหลียวมองไปทั่วสนาม..

     

    หลังจากที่นักกีฬาขึ้นรับเหรียญรางวัลเรียบร้อยแล้ว..

     

    ยูกิไปไหนแล้ว

     

    หันไปถามผู้เล่นร่วมทีมคนอื่นๆ เพื่อนร่วมทีมยิ้มนิดๆ ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่ทราบ  ยังไม่ทันที่จะถามจากคนอื่นต่อ เสียงฮือฮาอื้ออึงยิ่งกว่าเก่าดังขึ้นมาจากหน้าโรงยิม คาดว่าน่าจะมาจากแฟนคลับอันเหนียวแน่นของเด็กสาวเจ้าเสน่ห์

     

    ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

    เพื่อนร่วมทีมคนอื่นยังคงยิ้ม.......มองเพียงหลังของอาจารย์ผู้คุมทีมที่เดินออกไป.....

     

    Do you believe in DESTINY?

     

    เด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬาดาวรุ่ง ที่ดังที่สุด เนื้อหอมที่สุด ที่หลายยอมรับว่าเป็นคนที่สร้างความหวั่นไหวให้กับหัวใจสาวๆ และหนุ่มๆได้ไม่ยากเลยสักนิด ท่าทางมั่นอกมั่นใจนั้น หายไปจนหมดเมื่อโดนเพื่อนร่วมทีมถามถึงเรื่องราวที่แรงบันดาลใจให้เด็กสาวก้าวเข้ามสู่วงการวอลเลย์  ผิวขาวจัดเป็นสีเข้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เหมือนเด็กสาวธรรมดาที่พูดถึงคนสำคัญอย่างเช่น.....คนรัก.....

     

    <<......เราโตในโรงพยาบาลเพราะป๋าเป็นหมอ.....เจอคนป่วยก็เยอะ....ไม่เคยสนใจนอกจากหาเพื่อนเล่นไปวันๆ แต่มีเด็กคนหนึ่งเป็นคนไข้ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ตัวเล็กนิดเดียว แขนหักใส่เฝือกอันเบ้อเริ่ม นั่งร้องให้อยู่กับลูกวอลเลย์...เพียงเพราะว่าแขนเจ็บ... ก็เลยไม่สามารถถือลูกวอลเลย์ไว้กับมือได้...รู้มั้ย.....นั่นเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่า.....ดวงตาสวยๆ เหมือนลูกแก้วคู่นั้นไม่น่าเปื้อนน้ำตาเลย.......>>

     

    ยามหัวเราะเขินๆ เอามือลูบท้ายทอยตัวเองไปมาแบบนั้นน่ะ ถ้าใครได้เห็นรับรองว่าต้องลืมภาพเด็กเจ้าเสน่ห์ไปจนหมดแน่ๆ

     

    <<......แล้วเค้าก็ออกย้ายกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ยังไม่ทันได้รู้จักชื่อกันเลย แอบดูในประวัติคนไข้ถึงรู้ว่าเป็นใคร แต่จะไปหาก็ไม่กล้า ป๋าก็ย้ายกลับไปทำคลินิกที่บ้านเกิด.....นานจนมันก็เลือนๆ ไปว่าเคยรู้จักกัน.....

     

    .....พวกเธอเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า??....

     

     

     

    .....ภาพที่กำลังเลือนจางมันกลับชัดขึ้นเมื่อเด็กคนนั้นมาปรากฏตัวต่อหน้าเราอีกครั้ง.....ทั้งที่น่าจะเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ แต่เรากลับจำได้แม่นเลย.....ดวงตาที่เหมือนลูกแก้วใสแวววาวคู่นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด .......

     

    .......ถึงเค้าจะจำเราไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ.....เมื่อเค้ากลับยืนตรงหน้าเราอีกครั้ง.....หน้าที่ของเราคือสานต่อให้เส้นทางที่มันบรรจบกันดำเนินไปให้ยาวนานที่สุด......เพราะเรารักเค้าหมดหัวใจเลย.....>>

     

    คำพูดตรงๆ สั้นๆ นี้คงจะบาดหัวใจใครหลายๆคนให้สลายแน่ถ้าได้ยินเข้า.....เมื่อตอนที่เกมพักครึ่ง ยูกิที่นั่งอยู่ข้างๆ กันในฐานะนักกีฬาจู่ๆ ก็ลุกพรวดออกไป  เพื่อนทุกคนล้วนมองตามด้วยความสงสัย ร่างของใครสักคนถูกยูกิโอบรัดแนบแน่น อาการกอดรัดแสดงถึงความรักมากมายกว่าที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้เสียอีก

     

    .....คนนั้นสินะ......

     

    ยินดีด้วยนะ....ยินดีด้วยจริงๆ .....

     

    +*************************+

     

    โอ๊ยย....ปล่อยได้แล้วยูกิ......จะกอดไปถึงไหน.....เจ็บนะ

     

    เสียงนุ่มหวานโวยวาย ดิ้นขลุกๆ ขลักๆ อยู่ในอ้อมแขนที่กอดรัดจนแน่น ลมทะเลพัดแรงจนเสื้อสะบัดไปตามแรงลม แต่ซาโอริกลับไม่หนาวเลยสักนิด แถมออกจะร้อนเกินไปด้วยซ้ำ ร้อนทั้งข้างนอก ข้างใน

     

    ก็น่าน้อยใจมั้ยหล่ะ.....ตั้งสองปีจำกันไม่ได้สักที ไอ้เราอุตส่าห์ ออดอ้อนกระแซะ ยอมเป็นจิโร่ให้กอดตั้งปีนึง ยังจำไม่ได้อีก

     

    ตาโตหวานเบิกกว้าง ก่อนจะหัวเราะคิกคัก

     

    คิดดูดิ .... ว่าคนแบบฉัน มีตัวตน จับต้องได้ แต่มาสู้กับคนในความฝันที่ไร้ตัวตนของเธอไม่ได้น่ะ มันก็เสียความมั่นใจไปหนึ่งจุดแล้วนา.... น่าโมโหชะมัดเลย

     

    บ่นงึมๆ งำๆ อยู่กับหูเล็ก จงใจให้ลมอุ่นๆ เป่ารดผิวอ่อนบริเวณนั้น ร่างบางดิ้นยุกยิกหัวเราะคิกๆ คักๆ เอามือตบแปะๆ ทับมือเรียวที่กุมหลวมๆ อยู่ตรงเอวบาง

     

    โอ๋.........จิโร่อย่างอนน้า.....ขอโทษหลายๆ ทีเลย....นะนะนะ

     

     

     

    เปลี่ยนได้มั้ย.....เอาอย่างอื่นนะ

     

    เห.....คนหน้าหวานพาซื่อ ก้มลงมองตาคนเจ้าเล่ห์ ....พอเห็นรอยยิ้มที่แอบซุกซ่อนเอาไว้ก็กลืนน้ำลายลำบากขึ้นมาทันที.....พลาดอีกแล้ว ซาโอริ....

     

    เฮ้ย....ไม่เอา....อื้อ....

     

    เสียงหายไปในลำคอ กลีบอ่อนสีสดหนานุ่มถูกงับด้วยปากมอมๆ ของจิโร่ภาคแปลงกายเป็นมนุษย์ ทบต้นทบดอกคืนจนมือที่พยายามขัดขืนเปลี่ยนเป็นเกาะเกี่ยวพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้อ่อนแรงลงไปกับรสหอมหวานที่ถูกหยิบยื่นให้ มืออุ่นร้อนไล้ผิวอ่อนช้าๆ ทุกสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนหวาน เกลือกริมฝีปากไปทั่วผิวเนียน ประทับลงบนดวงตาคู่สวยอีกครั้ง

     

    ในประกายวาววามคู่นั้น นอกจากความหวานฉ่ำและความรู้สึกมากมายที่คนปากหนักแบบที่ซาโอริไม่ค่อยพูดออกมาง่ายๆ สิ่งยูกิมองเห็นคือ ปีกอ่อนบางสีขาวสะอาดกำลังคลี่กางออก ก่อนจะโอบล้อมร่างกายของเค้าเอาไว้ พร้อมกับถ้อยคำที่ทำให้อุ่นวาบลึกไปจนถึงหัวใจ

     

    .......พูดว่าอะไรน่ะหรือ........

    .......จะให้บอกจริงๆ หน่ะ....บอกไปก็คงไม่รู้เรื่องล่ะมั้ง.....

    .......ก็ตอนนี้กำลังอยู่ในภาคจิโร่ ....หมาน้อยแสนดีที่ชอบเลียปากเจ้าของเป็นที่สุด....โฮ่ง....

     

    +*********************+

     

    ท่ามกลางผู้คงพลุกพล่านวุ่นวายของสนามบินนานาชาตินาริตะ เสียงพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ แต่กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงริมกระจกมองเครื่องบินค่อยเชิดหัวขึ้นบินทะยานสู่ท้องฟ้าคงไม่ในใจนัก เด็กสาวสี่คนยืนนิ่ง คนหน้าสวยตาโตถอนหายใจเฮือก

     

    คิดถึงแย่เลย ยิ้มหวาน แบบนั้นน่ะ.....

     

    นั่นสิ.....

    ริกะรับเป็นลูกคู่ มองไปที่มิยู ขานั้นยังนิ่งอยู่ พ่อกับมิยะกลับไปตั้งแต่ซากะกับแม่ขึ้นเครื่อง เท่าที่เธอสังเกต ซากะคงจะปลงได้แล้ว เพราะสายตาที่มองมิยูไม่ได้รุนแรงด้วยความรู้สึกที่มากกว่าพี่น้องเหมือนเมื่อก่อน จะมีอีกคนก็ฮารุกะจังที่ ไม่ค่อยสบตาหรือคุยกับมิยูเป็นพิเศษเลยแฮะ มิยูเองก็ไม่ได้ตอแยมากเหมือนทุกครั้งด้วย

     

    กลับกันเถอะ

    ฮารุกะชวนเบาๆ เมื่อเครื่องบินลอยลับไปกับสายตาแล้ว สูดลมหายใจลึกๆ พยายามทำน้ำเสียงให้กระตือรือร้น ริกะกับมินามิเดินนำไปก่อน เหลือก็แต่มิยูที่ดูเหมือนจะชะลอฝีเท้าให้พอๆ กับเธอ ขาก็ยาวกว่าจะมาทำเป็นเดินช้าๆ ทำไมหว่า

     

     

    เกือบจะถึงรถแล้ว ริกะเดินแยกไปที่รถของตัวเอง คงกลับไปติวหนังสือนั่นแหละ ในขณะที่ฮารุกะกับมิยูเดินแยกไปอีกทางเพราะจอดอยู่คนละที่ เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอสองคู่ดังเป็นจังหวะ ก่อนอีกคู่หนึ่งจะช้าลงๆ และกลายเป็นหยุดนิ่ง

     

    ฮารุกะจัง

     

    เสียงนุ่มๆ เรียกเอาไว้เสียก่อน เสียงมันหงอยๆ เศร้าๆ จนอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ไม่เคยได้ยินมิยูเป็นแบบนี้เลยแฮะ

     

    อะไรมิยู...

     

    ขอโทษนะ.....

     

    เรื่องอะไร.......เรื่องที่มาส่งซากะหรือ....โฮ้ย....ฉันเต็มใจไม่เป็นไรหรอก...คนน่ารักแบบนั้นน่ะ

     

    ยิ้มจนตาเป็นขีด หันหลังกลับทำท่าจะเดินต่อ แต่มิยูยังไม่ขยับฮารุกะจังเลยต้องหยุดอีกครั้ง หน้าสวยของเด็กสาวออกจะไม่สบอารมณ์สักหน่อย เลยเถิดมาถึงน้ำเสียงด้วย

     

    นี่...มิยู.....ฉันกับเธอสอบเข้าที่เดียวกันนะ ดังนั้นรู้ใช่มั้ยว่าอีกสี่วันจะสอบแล้ว.....ไม่ใช่สี่สิบวัน....จะอืดอาดเป็นหมูไปถึงไหนกลับได้แล้ว...

     

    คนตัวขาวหน้าหล่อหงอยไปถนัดใจ ไม่รู้ว่าแกล้งหรือหงอยจริง ฮารุกะเกาหัวแกรกๆ ถอนหายใจ

     

    รู้มั้ยมิยู.....ฉันจริงจังกับการสอบครั้งนี้มากนะ.....เป็นมหาวิทยาลัยและคณะในฝันของฉัน...พี่สาวฉันก็เรียนที่นี่.....และที่สำคัญ....ฉันสัญญากับคนๆ หนึ่งไว้ว่า....ถ้าสอบติดแล้วเราจะมาพบกัน

     

    หน้าขาวๆ เอ๋อไปถนัดใจ เงยหน้าขึ้นจ้องหน้าสวยๆ ที่ยังพูดไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างนั้น

     

    ถ้าเธอ ยังมัวแต่ยืนหงอยแบบนี้ แล้วฉันบังเอิญสอบไม่ติดขึ้นมา ก็ต้องกลายเป็นคนผิดสัญญา......ซึ่งฉันคงจะโกรธเธอมากกกกกกกกกกกกกกกเน้นเสียงหนักแน่นจนมิยูยิ้มแหย...แต่ดวงตาดำจัดพราวระยับ

     

    เข้าใจมั้ย.....มิยู

     

    เข้าใจ.....ครับผม

    ตะเบ๊ะเลียนแบบทหารหาญ แล้วมิยูก็เปลี่ยนโหมดจากหน้ามือเป็นหลังมือ อารมณ์ดีสุดๆ แทบจะเป็นคนละคนกับที่เดินเซื่องๆ เมื่อหนึ่งนาทีที่แล้ว เหอะ ฮารุกะแอบจิกด้วยสายตา กระดี๊กระด๊าขึ้นมาเชียวนะ นากาโอกะ  มิยู

     

     

    รถแล่นมาจนถึงหน้าบ้านของฮารุกะ เจ้าของบ้านยังคงไม่ยอมสบตาคนขับมาส่ง ดึงสายกระเป๋าขึ้นพาดบ่า

     

    ไปก่อนนะ ขอบใจมากที่มาส่ง

     

    เดี๋ยว...

     

    ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ......ขอให้โชคดีนะมิยู

     

    ฮารุกะจัง......

    ไม่ใช่แค่เรียก แต่คราวนี้มือขาวจัดรั้งแขนเรียวเอาไว้ไม่ให้ลงจากรถ ทำให้ฮารุกะต้องหันกลับมามอง ริมฝีปากสีสดกำลังยิ้ม....ชนิดที่ทำให้ฮารุกะอยากจะกำหมัดฟาดปากสักทีสองที

     

    ก็ยิ้มแบบนี้น่ะ....เขินนะเว้ย.....

     

    ขอให้....ได้เจอกับคนที่สัญญาไว้นะ......

     

    อื้อ....ขอบใจ.....หลบตาอีกจนได้ ทำเป็นพูดนะ

     

    “....หาเค้าให้เจอนะ....ฉันว่าเค้าอยากเจอเธอมากๆ .....มากจนใจจะขาดเลยหล่ะ

     

    เด็กน้อยบิดแขนออกอย่างรวดเร็ว กระโดดลงจากรถคันโต เอามือลูบๆ แก้มตัวเองที่มันร้อนวูบวาบไม่หาย โบกมือที่ดูไม่ออกว่า บ๊ายบายหรือไล่ให้มิยูสองที เดินดุ่มๆ เข้าบ้าน เร็วจนกลายจะเป็นวิ่งไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคนที่ยังนั่งอยู่ในรถทำหน้าตาแบบไหน.....ก็คงจะยิ้มจนหุบไม่ลงเลยน่ะสิ......

     

    หน้าไม่อายชะมัด....พูดออกมาได้......ไม่รู้หรือไงว่าเขินแทนจะแย่แล้วน่ะ......

     

    แต่เมื่อรถคันใหญ่ถอยออกไปแล้ว .... เด็กสาวตัวจ้อยก็อดจะมองกลับไปไม่ได้....รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก....

     

    ฉันหาเจอแน่นอน......คนสำคัญขนาดนั้น....รู้มั้ยมิยู

     

    +*********************+

     

    ฮารุกะจัง.......วู้

     

    เสียงตะโกนเรียกชื่อดังแว่วๆ เจ้าของชื่อที่กำลังเบียดเสียดยัดเยียดกับคนมากมายอยู่หน้าบอร์ดขนาดใหญ่ ติดกระดาษที่เต็มไปด้วยรายชื่อเรียงเป็นพรืด หันไปตามเสียงเรียก ริกะกับมินามิกำลังกระโดดเหย็งๆ เดินแทรกกลุ่มเข้ามาหาเธอ พอมาถึงเห็นหน้า มินามิก็โถมตัวกอดร่างบางๆ แน่นหัวเราะเริงร่าไม่หยุด ดวงตาเป็นประกายพอๆ กับริกะที่ยิ้มไม่หุบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข่าวดีเป็นแม่นมั่น

     

     

     

    .....DESTIN.....

     

    เกินไปแล้วนะ ..... ติดทั้งสองคนเลยหรือไง

     

    กระเซ้านิดๆ แต่ก็กอดตอบเพื่อนรักด้วยความยินดีและดีใจด้วย

     

    เธอหล่ะฮารุกะจัง เห็นหรือยัง.....แล้วมาคนดียวหรือเปล่าเนี่ย

     

    ซาโอริจังรออยู่ข้างนอกน่ะคนเยอะเลยไม่ให้เข้ามาที่จริงยูกิกลัวโดนรุม ไม่กล้าเข้ามาแต่ก็ไม่อยากปล่อยซาโอริ ฮารุกะจังเลยบังคับให้เฝ้ารถทั้งสองคนนั้นแหละ

     

    ส่วนผลหน่ะเหรอ......

     

    ไอ้ตัวเล็กยิ้มเจ้าเล่ห์ ยืดอกเชิดหน้าพอน่ารักน่าหมั่นไส้

     

    มือระดับนี้.....ไม่ติดก็ไม่มีใครติดแล้วหละ รู้ไว้ซะท่านทั้งหลาย

     

    เป็นประโยคที่ชวนตื๊บมากมาย แต่อารมณ์แบบนี้ ความสุขหลั่งล้นขนาดนี้ ไม่คิดจะถือสาหาความกันแล้วหล่ะ ฮารุกะจังมองไปรอบๆ

     

    มินามิ.....ฉันมีธุระขอตัวก่อนนะ

    ไม่ต้องรอคำตอบ ฮารุกะเดินแทรกคนไปตามป้ายต่างๆ มือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เผื่อมีคนโทรเข้า ดวงตายาวเรียวสอดส่ายไปทั่วบริเวณนั้น เมื่อครู่ตอนที่ตรวจสอบหมายเลข เห็นแว่บด้วยหางตาว่าผิวขาวๆ ผมเข้ม ปากแดง ๆอยู่ใกล้ๆ แต่พอหันไปมองกลับหายไปกับตา

     

    ......สอบติดเหมือนกันสินะ......

    ......ตอนนี้อยู่ที่ไหน......

     

    แรงสั่นสะเทือนในกระเป๋าจนสะดุ้ง เบอร์แปลกๆ รีบกดรับทันที

     

    “....ค่ะ....

     

    ฉันเองนะ.....

     

    เสียงทุ้มๆ นุ่ม ๆที่คุ้นเคยแม้จะมีเสียงรบกวนแค่ไหนก็จำได้เสมอ ริมฝีปากบางวาดเป็นรอยยิ้ม ไม่คิดจะถามหรือสงสัยหรอกว่าเอาเบอร์มือถือของเธอมาจากไหน

     

    ติดแล้วหล่ะสิ....ดีใจด้วยนะ คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องทำได้

     

    เสียงปลายสายชื่นชมด้วยความจริงใจ คนตัวเล็กหัวเราะอายๆ

     

    เธอก็เหมือนกันใช่มั้ย......ติดแล้วหล่ะสิ

     

    อยู่แล้ว......มือระดับนี้

     

    เสียงหัวเราะที่ชัดเจนท่ามกลางคนมากมายราวกับกำลังพูดอยู่ใกล้ ๆฮารุกะมองไปซ้ายมองขวาอย่างรวดเร็ว อยู่ตรงไหนในขณะที่อีกฝ่ายยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

     

     

     

    รู้มั้ย.....เธอน่ะตรงกับที่ฉันคิดไว้เลยนะ......ตัวเล็กๆ ขาวๆ เวลายิ้มแล้วโลกสว่างเชียว......

     

    รู้ได้ยังไงว่าคนที่เธอเห็นเป็นฉันน่ะ

     

    เถียงทั้งที่แก้มร้อนผ่าว เอาอีกแล้วเสียงหัวเราะที่ชวนให้ใจสั่นๆ

     

    บอกแล้วไง......ว่าฉันจะหาเธอจนกว่าจะเจอ......ตอนนี้.....หาเจอแล้วนะ........แล้วเธอหล่ะ .....หาฉันเจอหรือยัง...........

     

    เสียงแผ่วนั้นชัดเจนยิ่งนัก ฮารุกะหลังกลับทันที.....และ......

     

    ผิวขาวจัด ใบหน้าคม กับริมฝีปากสีสดแย้มยิ้ม ร่างสูงที่ดูโดดเด่นกว่าใครทั้งหมด ผมสีเข้มเข้ากับดวงตาพราวพร่าง มือข้างหนึ่งที่ถือโทรศัพท์แนบหูค่อยๆ ลดลง หย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อโค๊ตสีสวย ยิ้มล้อเลียนทำให้ฮารุกะจังไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ เก็บโทรศัพท์เข้าไว้ในกระเป๋าเช่นกัน ดวงตาดำจัดแลสบกับดวงตาสีน้ำตาลนิ่ง......

     

    มือขาวจัดยื่นออกมาเกี่ยวปลายนิ้วไว้กับมือเรียวบาง ที่เจ้าของมันไม่ได้ขัดขืนเลยสักนิด คนตัวสูงค้อมตัวลงนิดๆ เสียงนุ่มที่ฟังไพเราะกว่าในโทรศัพท์ยิ่งนักเอ่ยขึ้น พร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

     

    นากาโอกะ  มิยู.......ยินดีที่ได้รู้จักนะ.....

     

    ฮารุกะค้อมตัวลงบ้าง เสียงใสกลั้วหัวเราะ

     

    มิยาชิตะ  ฮารุกะ.......ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ....

     

    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

     

    คุณหล่ะ....เชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า??

     

     

    -*-*-*THE END-*-*-*-

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×