ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF..Nagaoka-Miyashita

    ลำดับตอนที่ #4 : SF...หากเธอจะรัก

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 56


              ....เพราะสำหรับพี่.. หนูไม่เคยมีความหมายเลย...

              คำพูดสุดท้ายดังขึ้น.. ก่อนที่สายโทรศัพท์จะตัดไป.. มิยูได้แต่นั่งทบทวนคำพูดสุดท้ายที่ร่างบางทิ้งไว้

              จากความตั้งใจที่จะโทรหาในตอนนี้กลับกลายเป็นผิดหวัง.. และโกรธ ใช่มิยูกำลังโกรธ.. โกรธทั้งคนที่อยู่ปลายสายที่ไม่เคยฟังอะไรเลย และโกรธตัวเองที่ทำให้คนปลายสายรู้สึกอย่างนั้น

     

                        ..... ฮารุกะ .....

              มือหนากำแน่นที่โทรศัพท์ นัยน์ตาคมจดจ้องไปที่สายล่าสุดพลางตัดสินใจ ว่าเค้าควรจะโทรกลับไป.. หรือว่าปล่อยให้ทุกอย่างจบลงแค่นี้

              แต่ถึงโทรกลับไปเค้าจะทำอย่างไรได้อีกล่ะ.. ในเมื่อใครอีกคน เค้าตัดสินใจไปแล้ว.. และตัวเธอเอง..ก็ไม่แน่ใจนัก ว่าหากโทรกลับไปในตอนนี้ แล้วทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม..

              ในที่สุด..ร่างสูงก็ตัดสินใจได้ มิยูเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพัก และตั้งใจว่าจะให้เวลาให้ทั้งตัวเค้าเองและร่างบางได้ตัดสินใจ

     

              ....เพราะสำหรับพี่.. หนูไม่เคยมีความหมายเลย...

              ... ฮึก ฮึก... ฮารุกะพยายามกลั้นก้อนสะอื้น หลังจากที่กลั้นใจเอ่ยประโยคนั้นออกไป.. นัยน์ตาหวานจ้องนิ่งที่หน้าจอโทรศัพท์

              .... เบอร์โทรล่าสุด.. มิยู..

              เธอคิดมาได้ซักพักแล้ว.. ว่าถึงอย่างไรเรื่องของเธอมันก็ไปกันไม่รอด.. ในเมื่อพี่มิยูที่ใครต่อใครเห็นว่าเป็นคนใจดี เข้าถึงง่าย และมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศคนนั้น กลับไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอเลย

              พี่มิยูไม่เคยสนใจเลยว่า.. วันนี้จะมีใครเข้ามาคุยกับเธอบ้าง ไม่เคยหึง ไม่เคยหวง.. เธอรู้ว่าในฐานะนักกีฬาพี่มิยูไม่อาจแสดงออกอะไรได้มากนัก แต่เธอไม่เข้าใจ.. พี่ยูกิหวงพี่ซาโอริชัดเจนขนาดนั้น ไหนจะพี่เอบาตะที่คอยดูแลพี่ริสะ ถึงไม่ต้องมีใครมาแจกแจงทุกคนก็รู้ว่าพวกพี่เค้าเป็นอะไรกัน แล้วทำไมนะ.. ในวันที่เธอต้องการคนดูแล พี่มิยูกลับไม่ใส่ใจ

              เธอนั่งรถกลับบ้าน... พี่มิยูไม่ถามซักคำ ว่าเธอเดินทางยังไง กลับบ้านกับใคร.. แม้แต่ตอนที่เธอถึงบ้าน.. เธอโทรไปหาพี่มิยูก็บอกแค่ว่า.. ขอโทษนะ พี่ยุ่งอยู่

             

              ใครต่อใครอาจจะบอกว่าเธอโชคดีที่ได้เป็นคนที่มิยูบอกว่ารัก บอกว่าเป็นแฟน.. แต่มันจะเป็นอะไรมั้ย ถ้าเธอจะบอกว่า.. เธอไม่เคยสัมผัสได้ถึงคำๆนั้นเลย..

              ถ้าการเป็นแฟนแล้วมันจะทำให้พี่มิยูเป็นอย่างนี้ เธอขอเป็นแค่รุ่นน้อง แค่คนรู้จักคงจะดีซะกว่า เพราะอย่างน้อยเธอก็คงไม่ตั้งความหวัง..

              ความหวังที่ว่า.. ซักวันพี่มิยูจะสนใจเธอ

     

              “ มิยู.. เป็นไรเปล่าแก”

              หลังจากนั่งเขี่ยข้าวต้มในชามมาได้ซักพัก ยูกิก็อดที่จะเอ่ยถามเพื่อนอย่างสงสัยไม่ได้ เพราะในเวลานี้ร่างสูงตรงหน้าดู เหม่อลอย.. แถมนั่งจ้องโทรศัพท์ราวกับว่าถ้าเพ่งนานๆแล้วมันจะดังขึ้นงั้นแหละ

     

              “ ไม่นี่.. ทำไมหรอ”

              มือหนาที่กดเลื่อนหน้าจอไปมา.. ค้างอยู่ที่เบอร์โทรสายเมื่อคืน เบอร์ของใครคนนึงที่ถ้าเป็นปกติ มันคงจะดังปลุกเค้าในตอนเช้าไปแล้ว.. แบบที่ร่างบางชอบทำตอนไม่ได้อยู่ด้วยกัน แบบที่หากเป็นเมื่อวานเค้าคงได้ยินเสียงบ่นมาตามสายเรื่องที่เค้ายังไม่ลุกจากเตียง.. แต่ในวันนี้ที่เค้าตื่นขึ้นมาเพื่อรอเวลาที่มันจะดัง... เสียงใสๆที่มักจะบ่นงุ้งงิ้งไปเรื่อยกลับหายไป

              .... หรือว่าเธอจะทิ้งพี่ไปจริงๆ..ฮารุกะ...

     

              “ ถ้าคิดถึง.. ทำไมถึงไม่โทรไปล่ะ”

              ยูกิเดาได้ไม่ยาก ว่าเพื่อนที่เหมือนจะดูง่ายแต่เก็บความรู้สึกเก่งเป็นที่หนึ่งคนนี้กำลังเป็นอะไร นัยน์ตาคมที่จดจ้องอยู่แต่หน้าจอไม่สนใจข้าวในถ้วย ไหนจะยังที่รัดข้อมืออันนั้นอีก อันที่เธอจำได้ดีว่ามันเป็นของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่คนตรงหน้าเธอเดินเข้ามาบอกว่า.. ชั้นรักเด็กคนนั้น.. เด็กผู้หญิงที่เธอรู้จักดีตั้งแต่ก่อนจะไปเล่นทีมชาติด้วยกันมาซะอีก

              เพราะเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ ชื่นชอบในความสามารถและฝีมือของเด็กคนนั้นขนาดที่โทรมาหาเธอกลางดึก ทันทีที่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นก็ติดทีมชาติรอบนี้ด้วยกัน

              และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ตลอดการซ้อมก่อนไปรวมกับทีมชาติ ไม่มีวันไหนเลยที่เพื่อนตัวดีของเธอจะไม่เอ่ยชื่อของเด็กคนนั้นออกจากปาก ชื่อที่อ่านได้ว่า.. มิยาชิตะ ฮารุกะ

     

              “ ไม่อ่ะ.. ไม่อยากรบกวน”

              มือหนาคนข้าวในถ้วยไปมา แต่ไม่ยอมตักเข้าปากจนยูกิเริ่มสงสัย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าเป็นทุกวัน... โทรศัพท์ในมือนั่น คงจะดังขึ้นแล้วตามด้วยเสียงใสๆจากปลายสาย หรือไม่ก็เสียงไลน์เด้งขึ้นมา ตามนิสัยของเด็กคนนั้นที่มักจะชอบทำอะไรๆจนเคยชินและกลายเป็นกิจวัตรที่เธอซึ่งเป็นคนนอก ยังเคยชินไปด้วยเลย

     

              “ มีเรื่องอะไรกันรึไง..”

              ยูกิวางมือจากช้อนที่ตักอยู่ พร้อมดึงมือหนาออกช้อนด้วย.. ก่อนจะจ้องหน้าคมนิ่งๆอย่างจับผิด.. เพราะถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วมิยูจะพูดกับใครซักคน มันก็ต้องเป็นเธอนี่แหละ.. เพราะเธอกับมิยูอยู่ด้วยกันมานานจนเหมือนจะกลายเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว ดังนั้น.. ไม่มีทางที่อาการมีพิรุธของมิยูที่เป็นอยู่ตอนนี้จะหลุดรอดสายตาเธอไปได้หรอก

     

              “ ก็... นิดหน่อย”

              สุดท้าย..หลังจากที่โดนนั่งจ้องจับผิดซักครู่ ร่างสูงก็ต้องหลุดปากบอกความจริงออกไป แม้ว่าสำหรับเค้าแล้วมันจะไม่ใช่เรื่องนิดหน่อยเลยก็ตาม

     

              “ แล้วนิดหน่อยของแกอ่ะ.. มันคือเรื่องอะไรล่ะ”

              เมื่อนัยน์ตาคมก็ยังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ไม่หันไปไหน.. เป็นเหตุให้ยูกิเริ่มคาดคั้นร่างสูงมากขึ้น

     

              “ ก็.. เค้าบอกว่าสำหรับชั้น... เค้าไม่เคยมีความหมายเลย..แล้วเค้าก็หายไป”

              เมื่อพูดถึงคำสุดท้ายที่ร่างบางทิ้งไว้ นัยน์ตาคมก็สั่นไหวเล็กน้อย เสียงที่เปล่งออกมาดูสั่นเครืออย่างหมดหวัง

              “ แล้วแก..ยังจะให้ชั้นโทรไปรบกวนเค้าอีกหรอว่ะ”

     

              “ แล้วแกไปทำอะไรไว้... ทำไมน้องถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

              ยูกิเอื้อมมือวางบนบ่าคนตรงหน้าอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะคนที่รู้จักน้องจริงๆคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องเป็นคนแข็งนอก แต่อ่อนใน ชอบทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร เป็นเด็กอารมณ์ดีไปวันๆแต่ความจริง เด็กนั่นเป็นคนที่คิดมากน่าดู

              ซึ่งการที่เด็กนั่นพูดแบบนั้น.. คงเป็นเพราะเพื่อนเธอต้องไปทำอะไร หรือไม่ทำอะไรซักอย่างแน่ๆเลย

     

              “ ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แกก็รู้ว่าชั้นแสดงออกไม่เก่ง เวลาอยู่กับน้องเค้าแล้วชั้นทำตัวไม่ถูก.. กลัวน้องจะรู้สึกแย่ หรือไม่ชอบในสิ่งที่ชั้นทำ”

              ใช่... เค้ากลัว ใครจะบอกว่าเค้าป๊อดก็ช่าง หลายๆคนอาจจะดูว่าเค้าเป็นคนที่เข้ากับใครได้ง่ายๆ แต่ความจริงแล้วมันมีอยู่หนึ่งคนที่เค้ามักจะวางตัวไม่ถูกตอนที่อยู่ด้วย ใจของเค้ามันหวั่นไปหมดซะทุกอย่าง จะพูด จะทำอะไรก็ไม่กล้า กลัวไปหมดว่ามันจะทำให้ร่างบางรู้สึกแย่บ้างล่ะ ไม่พอใจบ้างล่ะ ไม่ชอบบ้างล่ะ

              ดังนั้นในเวลาที่ยูกิ ซาโอริ ริสะ เอบาตะ หรือใครต่อใครสามารถดูแลกันได้เต็มที่ แสดงออกได้อย่างไม่เกรงใจใคร มันมักจะทำให้เค้าได้แต่อิจฉาอยู่ในใจ เพราะความจริงเค้าก็อยากทำบ้าง แต่เค้ากลัว.. กลัวว่าฮารุกะจะบอกว่ามันมากไป มากเยอะไป และสุดท้ายทุกอย่างระหว่างเค้ากับฮารุกะจะจบลง

              ในวันที่น้องนั่งรถกลับบ้าน เค้าอยากจะอาสาไปส่งร่างบางแทบแย่ อยากรู้ว่าฮารุกะจะเหนื่อยรึเปล่า จะเผลอหลับบนรถแล้วไปพิงคนอื่นเหมือนเคยมั้ย จะลำบากรึเปล่ากับการถือของตั้งมากมายเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายปากมันก็หนักเกินกว่าจะเอ่ยออกไป

              พอกลับถึงบ้าน.. เค้าก็ถูกพี่สาวลากตัวออกมาข้างนอกอีก... จากที่จะนั่งรอโทรศัพท์จากร่างบางก็กลายเป็นว่าต้องกลายเป็นคนถือของแทน เค้าก็เลยค่อนข้างหงุดหงิด และยิ่งตอนที่พี่สาวพาไปเจอเพื่อน เค้าก็ยิ่งหงุดหงิด.. ตอนที่น้องโทรมาเค้าก็เลยเผลอพูดไม่ค่อยดีออกไป เพียงเพราะตอนนั้นเค้าไม่อยากให้คนปลายสายได้ยินเสียงผู้หญิงคนอื่นแล้วอาจจะเอาไปคิดมากได้

     

              “ แกจะบ้าหรอ.. แกเป็นแฟนกันนะเว้ย การที่แกจะพูด จะถาม จะหึง จะหวง มันเป็นเรื่องธรรมดา แกจะพูดแกก็พูด แล้วถ้าน้องเค้าไม่ชอบเค้าก็จะบอกแกเองแหละว่าเค้าไม่ชอบนะ ไม่ใช่มานั่งคิดแล้วก็ตัดสินเองแบบนี้”

              ยูกิที่พอได้ยินเพื่อนพูดก็อารมณ์ขึ้นทันที และตอนนี้เธอว่าเธอคงไม่สงสัยแล้วล่ะว่าทำไมน้องถึงพูดแบบนั้น ก็เพราะเพื่อนเธอมันทื่อขนาดนี้นี่เอง -^-

     

              “ ชั้นไม่กล้าว่ะ”

              มิยูเอ่ยขึ้นเสียงอ่อยๆ ..ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าถ้าสมมติเค้าพูดอะไรออกไปแล้วฮารุกะชอบหรือไม่ชอบ เค้าจะทำยังไง

     

              “ ถามจริง.. แกไม่หึง ไม่หวง ไม่เคือง ไม่งอนน้องบ้างหรอ”

              ยูกิพยายามใจเย็น ถามเพื่อนตัวเองตรงๆ..อย่างแปลกใจไม่น้อย เพราะในบรรดาเพื่อนร่วมทีมเนี่ย ฮารุกะก็มีคนเข้ามาหาไม่ใช่น้อย แถมตอนที่ไปไทยเด็กนั่นยังมีคนมาชอบอีกตั้งเยอะแยะ ตัวเธอเองยังเกือบทะเลาะกับซาโอเลย นับประสาอะไรกับไอ้คู่ที่มันเสน่ห์แรงทั้งคู่ล่ะ.. แล้วก็นะทั้งๆที่มิยูมันออกจะเป็นคนที่จัดการได้เองซะทุกเรื่อง แล้วจะมาตกม้าตายเพราะเรื่องแค่นี้อ่ะหรอ

     

              “ ก็หึงนะ หวงมากด้วย แต่ไม่เคืองหรอก..”

              มิยูเอ่ย ก็มันจริงนี่.. ถ้าถามว่าเค้าหึงมั้ย เค้าน่ะหึงฮารุกะได้ตลอดแหละ แค่ไม่แสดงออก.. ถ้าถามว่าหวงมั้ย คงตอบได้เลยว่ามาก.. แต่ถ้าถามว่าเคืองมั้ย.. คงไม่หรอก เพราะไม่ว่าฮารุกะจะทำอะไร มันก็ดีสำหรับเค้าทั้งหมดนั่นแหละ.. เพราะสำหรับเค้า.. ถ้าฮารุกะบอกว่าให้เลี้ยวขวา แม้จะต้องตกเหว เค้าก็จะเลี้ยวไปทางขวา..

     

              “ แล้วแกเคยแสดงออกให้เด็กนั่นรู้มั้ย..”

              ยูกิถามอีกครั้ง เมื่อเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่ามิยูที่เคยเป็นคนง่ายๆ เปิดเผย และกล้าแสดงออกคนนี้ จะกล้าบอกเด็กนั่นตรงๆมั้ยว่าหึง ว่าหวง..

     

              “ ไม่อ่ะ.. ชั้นกลัวน้องอึดอัด”

              นั่นไง !! ว่าแล้วเชียว.. เธอไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าถ้าไม่บอกออกไป แล้วเด็กนั่นมันจะตรัสรู้ได้เองรึไงกัน เพื่อนเธอนี่บ้าแท้ๆเลย..

     

              “ ถามจริงๆนะมิยู.. ถ้าแกไม่พูด แล้วเด็กนั่นจะรู้มั้ยว่าแกรู้สึกยังไงน่ะ”

              ยูกิถามขึ้นอย่างหมดปัญญาจะอธิบายกับเพื่อน.. เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในแง่ความรักเพื่อนเธอมันจะซื่อขนาดนี้

     

              “ ก็ชั้นไม่อยากให้น้องรำคาญนี่นา”

              มิยูเอ่ยขึ้นเสียงเบาเหมือนพูดอยู่ในลำคอ ด้วยไม่กล้าเถียงเพื่อนตรงหน้าเพราะยิ่งพูดก็เหมือนเธอจะยิ่งพลาด

     

              “ งั้นถามใหม่ แกเคยรำคาญมั้ยเวลาที่น้องเค้าหึง เค้าหวงแกอ่ะ”

     

              “ ไม่นะ..”

     

              “ แล้วแกรู้สึกดีมั้ยเวลาที่มีคนคอยถาม คอยเป็นห่วง คอยดูแลแบบน้องอ่ะ”

     

              “ ดีสิ.. สำหรับชั้น สิ่งที่น้องทำมันดีมากๆเลยล่ะ”

     

              “ นั่นไง.. แกยังรู้สึกดีเลย แล้วแกลองคิดดูนะ ในขณะที่น้องทำทุกอย่างเพื่อให้แกรู้สึกดี แต่แกกลับเงียบ นิ่ง ไม่ทำอะไรเลย..

              ชั้นถามจริงๆ.. ถ้าเป็นแก แกจะคิดว่าตัวเองมีความสำคัญอยู่เปล่าว่ะ”

     

              “ เอ่อ..”

     

              “ แล้วแกยังจะกล้าคิดเข้าข้างตัวเอง.. ว่าแกมีความหมายอยู่รึเปล่าว่ะ แถมเด็กนั่นยังเป็นคนเดินเข้ามาขอแกเป็นแฟนเองอีก.. เป็นชั้น ชั้นก็น้อยใจว่ะ.. แล้วถ้ายิ่งคิดมากๆอยู่ด้วย ชั้นคงคิดเป็นตุเป็นตะด้วยซ้ำ ว่าที่แกตอบตกลงคบกับชั้น ก็คงเป็นเพราะความเกรงใจ หรือไม่ก็จำใจ ไม่ใช่เต็มใจ”

              ยูกิที่หมดอารมณ์กินข้าวแล้ว เริ่มเก็บถ้วยของตัวเองและถ้อยของร่างสูงด้วย เมื่อจากที่ดูๆแล้วมิยูก็คงไม่มีอารมณ์กินต่อแล้วเหมือนกัน

     

              “ แต่ชั้นรักน้องเค้าจริงๆนะ”

             

              “ นั่นแกต้องไปยืนยันกับน้องเค้าเว้ย ไม่ใช่ชั้น !!

     

              “ แล้วแกคิดว่าชั้นควรจะทำไงต่อดีว่ะ”

     

              “ ไม่รู้ว่ะ.. แต่ถ้าเป็นชั้น ชั้นจะไปอธิบายให้น้องเค้าเข้าใจ แล้วก็คุยกันให้มันรู้เรื่อง ไม่ใช่มานั่งรอโทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่ามันจะดังเมื่อไหร่ แล้วก็ไม่กล้ากดโทรไปแบบนี้”

              ยูกิพูดขึ้นก่อนจะยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดโทรหาใครบางคน เมื่อนึกได้ว่าเวลานี้คนที่อยู่ตุรกีคงจะว่างมารับสายเธอแล้ว

     

              “ ยูกิ!! ฝากลาโค้ชให้ทีนะ ชั้นจะไปหาฮารุกะ”

              หลังจากนั่งคิดตามคำพูดของเพื่อนซักพัก ร่างสูงก็โพล่งขึ้นให้เพื่อนสนิทมุ่ยหน้าใส่ ก่อนจะพยักหน้าตกลงแล้วส่งเสียงตอบกลับกับปลายสายต่อ

     

              “ ทำไมไม่โทรไปล่ะฮารุกะ..”

              มินามิถามขึ้น หลังจากที่เดินออกมาจากห้องน้ำ.. เพราะฮารุกะตื่นก่อนเธอ และเธอก็เห็นฮารุกะนั่งจ้องโทรศัพท์ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเข้าไปอาบน้ำจนเธออาบน้ำเสร็จ ฮารุกะก็ยังคงนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ ราวกับจะว่าถ้าจ้องไปนานๆแล้วมันจะดังขึ้นงั้นแหละ

     

              “ ไม่หรอก.. พี่เค้าคงไม่อยากคุยกับชั้นหรอก”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา นัยน์ตาหวานดูเศร้าผิดไปจากที่เคยจนมินามิสังเกตได้ไม่ยาก

     

              “ มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า.. บอกชั้นได้นะ”

              มินามิรู้ดีว่าฮารุกะเป็นคนคิดมาก แม้ว่าร่างบางจะพยายามแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง และเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร แต่ความจริงแล้วฮารุกะเป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่อง จนบางครั้งมันก็มากเกินไป.. เหมือนกับตอนนี้ที่ดวงหน้าหวานนั้นดูหมองลง รอยคล้ำใต้ตาเหมือนคนอดนอน และเพราะฮารุกะขาว.. ในเช้านี้มันจึงเห็นได้ชัดเจน

     

              “ ก็.. ไม่รู้เหมือนกันสิมินามิ มันเหมือนกับว่า... เป็นชั้นเองที่รักพี่เค้าแค่ฝ่ายเดียว”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นเหมือนไม่แน่ใจนัก มือบางลูบที่หน้าจอราวกับอยากให้คนในโทรศัพท์ปรากฏตัวขึ้นแล้วตอบคำถามเธอในตอนนี้ แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อ.. แค่โทรศัพท์ซักสายจากพี่เค้า.. ยังไม่มีเลย

     

              “ ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ.. ทะเลาะกันหรอ”

              น้ำใสๆที่คลอขึ้นรอบหน่วยตาหวานมันกำลังทำให้เธอเป็นห่วง เธอไม่ชอบเห็นฮารุกะร้องไห้ เพราะตอนไหนที่เพื่อนเธอคนนี้ร้องไห้ มันเป็นสัญญาณว่าฮารุกะกำลังอ่อนแอ มันเป็นสัญญาณว่าฮารุกะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

     

              “ ถ้าทะเลาะกัน.. มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ”

              ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมองหน้ามินามิ น้ำใสๆไหลลงช้าๆอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจกลั้นไว้ได้ เมื่อทุกความรู้สึกมันเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน

              ... ทั้งๆที่ในใจ.. เธอแอบหวังว่าเช้านี้ พอเธอหายไปแล้วพี่มิยูจะโทรมาแท้ๆ แต่เหมือนมันก็เป็นได้แค่ความหวัง.. เมื่อสายโทรเข้าที่เธอรอ มันไม่เคยดัง...

     

              “ ไม่เป็นไรนะ..ฮารุกะจัง”

              มินามิได้แต่ดึงตัวเพื่อนเข้ามากอดแน่น ปล่อยให้เสียงสะอื้นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องไม่ได้มีผลต่อทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย เมื่อเสียงสะอื้นที่เจ้าของพยายามกลั้นให้มันหยุด กลับไม่เป็นไปตามใจ เพราะมันกลับดังก้องห้องกว้างๆ มีเพียงแต่เสียงของมินามิที่กระซิบข้างหูเพื่อนเบาๆว่า ..ไม่เป็นไรนะ...

     

    ..............................................................

              “ ยูกิ.. โค้ชว่าไรมั้ยอ่ะ”

              เสียงทุ้มกว่ากรอกไปทางโทรศัพท์ ขณะที่กำลังมืออีกข้างกำลังกดเปิดรีโมตเปิดรถที่เธอกลับมาเอาที่บ้าน ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยมีแต่แม่บ้านที่กำลังเดินไปเปิดประตูใหญ่ให้เธออยู่

     

              “ ไม่อ่ะ.. โค้ชบอกว่าถือซะว่าให้พัก แต่ต้องกลับมาภายใน 3 วันนะแก”

              เสียงปลายสายดัง­ขึ้น ก่อนที่มิยูจะกดตัดสายไปแล้วเริ่มกดเส้นทางเพื่อที่จะไปโรงยิมที่ใครบางคนคงกำลังซ้อมอยู่ในเวลานี้

    ...........................................................

     

              “ ฮารุกะ.. ไหวมั้ย”

              มินามิเดินเข้ามาถามร่างบาง  หลังจากที่ฮารุกะร้องไห้เสร็จ.. ฮารุกะก็เล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร.. เล่าแม้กระทั่งว่าเพื่อนเธอเป็นคนที่เดินเข้าไปขอคบพี่มิยูเอง ซึ่งในความจริงแล้วมันก็เดาได้ไม่ยากหรอก ในเมื่อเพื่อนเธอเป็นคนตรงๆ กล้าๆ เกรียนๆ ชอบทำเล่นๆเหมือนไม่ค่อยจริงจัง แต่ในบางมุมเพื่อนเธอคนนี้ก็ซื่อสัตย์ และเคารพความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่น้อย เมื่อใจมันบอกว่าชอบ เพื่อนเธอก็ไม่ลังเลที่จะบอกออกมาว่าชอบ

              แต่มันแปลก.. ตรงที่พี่มิยูนี่สิ ทั้งๆที่ดูเป็นคนใจดี เข้าใจคน แล้วก็ดูแลคนเก่งซะขนาดนั้น ทำไมถึงได้ละเลยเพื่อนเธอถึงขนาดนี้กันนะ ชิส์..ไว้ถ้าเธอได้เจอพี่มิยูเมื่อไหร่คงจะต้องถามให้มันรู้เรื่องซะแล้ว

     

              “ ไหว.. เค้าโอเคแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก..”

              เสียงหวานเอ่ยตอบ.. แต่ฮารุกะคงไม่รู้ตัวหรอกว่า คำพูดที่บอกว่าไม่เป็นไร ท่าทางที่ทำให้ดูเหมือนว่าโอเค มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เมื่อสิ่งที่มินามิเห็น ดวงหน้าหวานที่เคยสดใสกลับมีรอยช้ำที่ใต้ขอบตา หน้าอมชมพูที่ในเวลานี้มันดูซีดๆ และดวงตาที่มักจะมองตรงมาอย่างมุ่งมั่นเสมอ ในตอนนี้มันกลับเหมือนมีอะไรอยู่ข้างในตลอดเวลา จนทำให้ดวงตาหวานในตอนนี้ฉายแววเศร้าเหมือนผิดหวัง

     

              “ พักก่อนเหอะนะ.. อย่าฝืนเลย”

              มินามิบอกร่างบางที่ทรุดตัวนั่งลงขอบสนามอย่างเป็นห่วงไม่น้อย เพราะฮารุกะเป็นโรคชอบฝืนตัวเอง แขนก็ยังไม่หายดี เข่าก็เจ็บ.. แล้วมาโหมซ้อมแบบนี้ร่างกายมันก็มีแต่พัง กับพังเท่านั้นแหละ

     

              “ อื้ม.. มินามิไปซ้อมต่อเหอะ เค้าดูแลตัวเองได้”

              มือบางรับผ้าจากมือเพื่อน ก่อนจะเอ่ยไล่เพื่อนไปซ้อมต่อด้วยไม่อยากให้เป็นห่วง และเธอรู้ดีว่าต่อให้ไปซ้อมต่อตอนนี้เธอก็คงไม่ไหวแล้ว ในเมื่อไหล่ของเธอตอนนี้มันกำลังเจ็บจนชาไปแล้ว แถมเข่าที่น่าจะดีขึ้น แต่เพราะเธอล้มไปเมื่อกี้มันก็เลยเริ่มเจ็บข้างในนิดๆแล้วน่ะสิ

     

              “ งั้นฮารุกะนั่งพักตรงนี้นะ.. เดี๋ยวเค้าไปซ้อมต่อ เสร็จแล้วค่อยไปกินข้าวกัน”

              มินามิบอก ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในสนาม ทิ้งให้ฮารุกะนั่งอยู่คนเดียว..

     

              ... พี่มิยู.. พี่เคยคิดถึงหนูบ้างมั้ย.. พี่รู้ตัวรึเปล่าค่ะ.. ที่วันนี้หนูหายไป...

              ..ฮารุกะที่นั่งอยู่คนเดียวได้แต่ลอบถอนหายใจ เมื่อมือบางหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาเลื่อนเปิดหน้าจอ ดวงตาที่หลับลงค่อยๆลืมขึ้นช้าๆด้วยความหวังว่าจะมีรายการสายที่ไม่ได้รับ.. กลับพบกับความผิดหวัง เมื่อมันไม่มีสายโทรเข้า ไม่มีแม้แต่ไลน์ที่เด้งขึ้นมา หรือข้อความอะไรซักอย่างที่บ่งบอกว่าใครอีกคน ก็ยังคงนึกถึงเธออยู่เหมือนกัน

              ความรู้สึกที่เธอพยายามจะกลั้นไว้ มันกำลังตีตื้นขึ้นมาจากข้างใน.. เมื่อสุดท้าย... ความสำคัญที่เธอเคยหวังว่ามันจะมีอยู่บ้าง.. ในวันนี้.. เธอรู้แล้วว่ามันไม่มี...

    .........................................................

     

              เฮ้อ !! แล้วจะเริ่มยังไงดีว่ะเนี่ย..

              มิยูที่ขับรถมาถึงโรงยิมที่ใครบางคนซ้อมอยู่ได้ซักพักแล้ว กลับไม่กล้าก้าวขาลงจากรถ.. เมื่อความกล้าที่คิดว่ามีในตอนแรก มันเริ่มเหือดหายไปในตอนนี้

              สายตาคมมองสอดส่องเข้าไปภายใน ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่ว.. เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่า มันใกล้จะถึงเวลาที่ใครบางคนเลิกซ้อมแล้ว..

     

              ... เธอจะไม่โทรหาพี่จริงๆหรอฮารุกะ !!...

              เมื่อมือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วพบว่า..มันไม่มีสายจากร่างบางเลย ไม่มีแม้แต่สายเดียว.. แม้ว่าปกตินั้น.. ในเวลานี้ร่างบางจะต้องโทรหาเค้าไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้วก็ตาม

    .......................................................................

     

              “ ฮารุกะ.. โทรไปเหอะ โทรไปคุยให้รู้เรื่อง จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดไปเอง เสียใจเองคนเดียวอย่างตอนนี้”

              หลังจากซ้อมเสร็จ.. มินามิก็ลากร่างบางมากินข้าว แม้ว่ามันจะไม่ค่อยได้ผลนักเมื่อฮารุกะให้ความสนใจแต่กับโทรศัพท์ ฮารุกะที่เคยกินเก่งกลับเพียงแค่หยิบโยเกิร์ตขึ้นมาทานก่อนจะนั่งจ้องโทรศัพท์จนเธอรู้สึกสงสาร

     

              “ เค้าไม่อยากรบกวนพี่มิยูน่ะ.. บางทีแบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก ดวงตาหวานฉายแววท้อและเสียใจจนมินามิอดไม่ได้ที่จะดึงร่างบางเข้ามากอด..

     

              “ ไม่หรอก.. แบบนี้มันไม่ดีหรอกนะฮารุกะ เราว่าโทรไปถามพี่เค้าตรงๆเลยดีกว่า.. ถ้าเจ็บ.. ฮารุกะจะได้เจ็บแค่ครั้งเดียวไง”

              มินามิจ้องดวงตาหม่นตรงหน้าอย่างให้กำลังใจ.. ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมานั่นช้าๆ.. พร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจเพื่อนตรงหน้า

     

              “ แต่เรากลัว.. อย่างน้อยๆ.. ตอนนี้.. เราก็ยังมีข้ออ้างให้คอยโทรหาพี่เค้าได้ แต่ถ้าเกิดว่าพี่เค้าบอกเลิกเราขึ้นมา.. เราไม่แน่ใจว่าตอนนั้น.. เราจะยังคงยิ้มได้ จะยังคงโอเคอยู่มั้ย”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นสั่นเครือ จนเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆเริ่มมองมาอย่างสงสัย ว่าตัวป่วนของทีมวันนี้เป็นอะไร ทำไมถึงดูไม่ค่อยสดใสอย่างเคย

     

              “ ไม่หรอก.. ถ้าถึงตอนนั้น เราเชื่อว่าฮารุกะจะผ่านมันไปได้ แต่บางที..มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ฮารุกะคิดก็ได้นะ”

              มินามิเอ่ยย้ำอย่างให้กำลังใจ และเชื่อมั่นในตัวเพื่อนคนนี้ อีกทั้งความจริง.. มันก็อาจจะไม่ร้ายแรงขนาดนั้นก็ได้.. บางทีมันฮารุกะอาจคิดมากเกินไป และไม่แน่..ถ้าเธอไม่หวังจนเกินไป พี่มิยู..ก็อาจรอโทรศัพท์เพื่อนเธอ..เหมือนที่เพื่อนเธอก็รอโทรศัพท์จากพี่เค้าก็เป็นได้

    .......................................................................

     

              “ ฮะ.. อะไรนะ !! โหย!! ไอ้มิยู.. ทำไมแกป๊อดอย่างนี้ว่ะ วนรถมารับชั้นเลยมั้ย..ฮะ??

              เสียงยูกิตวาดขึ้นดังออกมาจากโทรศัพท์เครื่องหรู เมื่อมิยูที่นั่งรออยู่ในรถไม่สามารถรวบรวมความกล้าแล้วลงไปหาร่างบางได้ซักที เลยเลือกที่จะโทรหาเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ก็น่าจะเพิ่งเลิกซ้อมเหมือนกัน.. ว่าเค้าควรจะทำยังไงต่อ แต่เหมือนมันจะทำให้เค้าโดนเพื่อนด่าแทนซะแล้วล่ะ

     

              “ ก็ชั้นไม่รู้จะเริ่มตรงไหนนี่... แกอย่าเพิ่งโวยวายได้มั้ยเล่า -^-

              ใบหน้าคมดูยุ่งขึ้นเล็กน้อยตามอารมณ์.. ก็ถ้าฮารุกะเหมือนผู้หญิงทั่วไป เค้าก็คงรู้อยู่หรอกว่าควรทำยังไง.. แต่เพราะสำหรับเค้า ฮารุกะไม่เหมือนใคร และไม่เคยมีใครเหมือน.. เค้าก็เลยไม่รู้ว่า.. ควรจะเริ่มต้นยังไงดีน่ะสิ

     

              “ โอ๊ย !! ชั้นจะบ้าตาย.. นี่มิยู.. ชั้นถามหน่อยเหอะว่าทำไมตอนง้อคนอื่น ตอนช่วยคนอื่นง้อแฟนเนี่ย.. แกคิดได้คิดเอา แล้วพอตอนนี้กลับคิดเองไม่ได้ฮะ..”

              เสียงยูกิที่ดังเทศน์นามาตามสายทำให้มิยูเริ่มรู้สึกว่า คิดผิดที่ตัดสินใจโทรหาเพื่อนคนนี้.. เพราะนอกจากจะไม่อาจช่วยอะไรเค้าได้แล้ว ยังจะมาเทศน์ให้เค้าหูชาเล่นอีก

     

              “ โอ๊ย!! พอๆๆ.. ถ้าแกไม่ช่วย งั้นชั้นจะวางแล้ว.. จะได้เอาเวลาไปคิดว่าควรทำไงต่อดี..แค่นี้นะ”

              มิยูกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ก่อนจะกดตัดสายทิ้ง.. พร้อมทิ้งตัวลงกับเบาะรถอย่างหงุดหงิด เมื่อพบว่าความจริงมันก็ถูกอย่างที่ยูกิพูด เพราะถ้าเป็นคนอื่นเค้าคงรู้ว่าจะทำอะไร แต่ตอนนี้.. เค้ากลับคิดอะไรไม่ออกเลย..

    .......................................................................

     

              .... โทรซะฮารุกะ จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากอยู่ฝ่ายเดียว คุยกันให้รู้เรื่องไปเลย... ถ้าพี่เค้าบอกว่าจบ มันจะได้จบ....

              ร่างบางที่หลบออกมานั่งอยู่ที่สวนหน้าที่พัก.. กำลังชั่งใจว่าควรจะกดโทรออกดีหรือไม่ เพราะใจนึง..เธอก็อยากโทร แต่อีกใจ..เธอก็กลัวคำตอบที่จะได้รับ

              เธอกลัว... กลัวว่าสุดท้าย พี่เค้าก็จะทิ้งเธอไป...

              กลัวว่าสุดท้าย... พี่เค้าจะไม่เลือกเธอ

              กลัวว่าสุดท้าย... ทุกอย่างที่ผ่านมา.. มันจะเป็นแค่ความทรงจำ ที่ไม่ใช่ปัจจุบัน..

     

              เฮ้อ !! เอาว่ะ..เป็นไงเป็นกัน... สู้ๆดิ่ฮารุกะ...

              ร่างบางให้กำลังใจตัวเองเบาๆก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วกลั้นหายใจกดโทรศัพท์หาเบอร์ของใครอีกคนที่เธอจำขึ้นใจ เบอร์ของคนที่ทำให้เธอตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ดีใจทุกครั้งที่เค้ารับสาย และมีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกัน

              แต่ตอนนี้.. มันเป็นเบอร์ที่เธอกำลังแอบกลัว กลัวกับคำตอบจากคำถามที่เธอจะถามต่อไปนี้.. เธอกลัวที่จะผิดหวัง..

              ... ตื้ด.... ตื้ด... ตื้ด... ถ้าแ...

    .................................................................

     

              &^*#$^@#%^&%#

              “ ถ้าแกจะโทรมาก่อกวนก็วางไปเลยนะ คนเค้าใช้ความคิดอยู่..รำคาญ”

              เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้มิยูเข้าใจว่าคนที่โทรมาคือเพื่อนที่เพิ่งวางสายไป มือหนาเอื้อมหยิบโทรศัพท์มากดรับทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตาดูว่าใครโทรมา ก็กรอกเสียงใส่ปลายสายไปอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะคิดว่าเพื่อนจะโทรมากวนเล่นอีกครั้ง

     

              “ ขะ..ขอโทษนะคะ.. ถ้าหนูทำให้พี่รำคาญ”

              เสียงหวานที่ส่งมาจากปลายสายเริ่มสั่นเครือเล็กน้อย.. จนคนที่อยู่อีกฝังของสายที่ได้ยินเสียงผงกหัวขึ้นนั่งตัวตรงแล้วดึงโทรศัพท์ออกมาดูรายชื่อคนที่โทรเข้า ก่อนที่ร่างสูงจะตาโตแล้วด่าตัวเองในใจ

     

              “ ฮะ.. ฮารุ.. ฮารุกะหรอ”

              มิยูเอ่ยระร่ำระลัก ก่อนที่ดวงตาคมจะกวาดเจอกับร่างบางของคนในสายที่กำลังนั่งอยู่คนเดียวในสวน

              ...อากาศก็หนาว..ทำไมออกมานั่งตากน้ำค้างเล่นแบบนี้นะ...

     

              “ ขะ..ฮึก..ฮึก...ขอ..ขอโทษนะคะรุ่นพี่..ถะ..ฮึก..ถ้าหนู..ฮึก..ฮึก..ถ้าเกิดว่าหนู..ฮึก.. ถ้าเกิดว่าหนูทำให้รำคาญ งะ..งั้น...ฮึก..งั้นหนู..ฮึก.. ฮึก...งั้นหนูไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”

              เสียงสะอื้นที่ดังแทรกขึ้นมาตามสาย... กับแผ่นหลังที่สั่นเบาๆอยู่ตรงหน้าทำให้ร่างสูงได้แต่สะท้านในใจ.. มือหนาลดโทรศัพท์ในมือลง ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างบางตรงหน้าช้าๆ..   ฮารุกะคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะในตอนนี้ร่างบางกำลังก้มหน้าพยายามกลั้นสะอื้นไม่ให้ปลายสายได้ยินอยู่ ฮารุกะจึงไม่ทันรู้สึกว่าใครอีกคนที่กำลังก้าวเข้ามาจากด้านข้าง ใครอีกคนที่ตอนนี้กำลังเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา

             

              พรึ่บ !!

              “.. ฮารุกะ!! พี่ขอโทษ.. อย่าร้องไห้เลยนะ”

              มิยูที่ทรุดตัวนั่งลงข้างๆร่างบาง ดึงฮารุกะเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะซุกหน้าลงกับกลุ่มผมหอม เสียงทุ้มกว่าเอ่ยขึ้นสั่นเครือเล็กน้อยเมื่อก้อนสะอื้นที่กลั้นไว้มันขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ มือหนากระชับร่างบางเข้ามาแน่น แน่นที่สุดตั้งแต่เคยกอดร่างบางมา..

     

              “ ฮึก..ฮือ... พี่มิยู..”

              เมื่อรู้ว่าคนข้างๆเป็นใคร มือบางก็เอื้อมมารัดเจ้าของอ้อมกอดแน่น..ราวกับกลัวว่าหากปล่อยแล้ว คนๆนี้จะหายไป.. ศีรษะบางซุกอยู่ในอ้อมแขนก่อนจะเงยขึ้นมองหนาคม

              ใบหน้าหวานที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตา.. ถูกมือหนาปาดให้ช้าๆ... แต่มันก็ไม่หมดซักทีเมื่อเสียงข้างในมันสะท้อนขึ้นมา ว่าสุดท้ายแล้วอาจเป็นเธอเองที่ต้องการร่างสูงอย่างขาดไม่ได้.. แล้วเธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันเพื่อรั้งให้พี่มิยูอยู่ตรงนี้ ข้างๆเธอ..

     

              “ พี่ขอโทษนะฮารุกะ.. ขอโทษกับทุกอย่างเลย... ขอโทษ ขอโทษ ๆๆๆ”

              มิยูพร่ำบอกคำว่าขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. จนร่างบางคลายอ้อมแขนออกมา.. นัยน์ตาที่เคยหวานจ้องไปยังนัยน์ตาคมตรงหน้าอย่างคาดหวัง.. คำขอโทษที่ออกจากปากหนามันดูเลื่อนลอย..และมากไป... ซึ่งเธอไม่ต้องการ

              เพราะสิ่งที่เธอต้องการตอนนี้.. คือพี่มิยู คือคนที่พร่ำบอกว่าขอโทษ คือคนที่เป็นเจ้าของอ้อมกอด.. คือคนที่เธอกำลังกลัวว่ามันอาจถึงเวลาที่เธอจะต้องเสียเค้าไป

     

              “ พี่มิยู.. อย่าขอโทษ”

     

              “ ไม่ฮารุกะ.. พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ.. พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างน..”

     

              “ ไม่เป็นไรค่ะ.. หนูเข้าใจ..”

              มือบางยกขึ้นปิดริมฝีปากหนา หยุดคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมา เพราะในเวลานี้เธอไม่ต้องการเหตุผล...

              หากทุกอย่างมันจะจบ... เธอก็ขอเวลาซักนิด เวลาที่เธอได้อยู่ในอ้อมแขนของพี่มิยูแบบนี้ ...อ้อมแขนที่เธอต้องการมาตลอด แม้ว่ามันจะได้เพียงแค่เสี้ยววินาที เธอก็ต้องการ

     

              “ แต่ว..”

     

              “ ไม่มีแต่หรอกค่ะ พี่มิยูฟังหนูซักครั้งนะคะ”

              ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาจากปากบาง ทำให้มิยูสั่นสะท้านไปทั้งใจ.. ทั้งๆที่เค้ารักคนตรงหน้ามาตลอด.. ทั้งๆที่ฮารุกะมาเป็นที่หนึ่งสำหรับเค้าเสมอ.. ฮารุกะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เค้าไม่อยากให้เห็นตอนที่เค้าอ่อนแอ แต่กลับเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เค้าต้องการ

              ทำไมนะ... มันจริงอย่างที่ยูกิว่า..

              หรือเป็นเพราะว่าตัวเค้าไม่เคยแสดงออกอะไรเลย... ฮารุกะถึงได้พูดแบบนี้ ถึงได้พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ และดวงตาที่ฉายแววไม่มั่นใจราวกับเกรงว่าจะขัดใจเค้าแบบนี้

              หรือว่าที่ผ่านมา... เค้าไม่เคยเป็นคนรัก ในแบบที่ควรเป็นเลย...

              ........ พี่ขอโทษนะ ฮารุกะ...

     

              “ พี่มิยูจะพาหนูไปไหนคะ!!..”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างตกใจปนสงสัย เมื่อร่างสูงดันเธอเข้ามาในรถคันหรูที่จอดอยู่ด้านหน้า.. ก่อนที่พี่มิยูจะเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งแล้วนั่งตรงที่นั่งคนขับ

     

              “ ไม่รู้ค่ะ.. ฮารุกะอยากไปไหนมั้ย”

              มิยูหันมาบอกร่างบางตรงๆ.. เพราะความจริงเค้าเองก็ไม่มีโปรแกรมอะไร แค่คิดว่าข้างนอกมันหนาวและเค้าก็ไม่อยากให้ร่างบางต้องนั่งตากน้ำค้าง แถมจะเข้าไปในที่พักของร่างบางมันก็ไม่ใช่เรื่อง.. เพราะมันต้องห้ามคนนอกเข้าอยู่แล้ว

     

              “ ขับไปเรื่อยๆได้มั้ยคะ..”

              .. เพราะหนูอยากอยู่กับพี่นานๆ..

              ประโยคสุดท้ายร่างบางเอ่ยขึ้นในใจ.. ดวงตาหวานเหลือบมองร่างสูงที่ตอนนี้กำลังมองตรงไปยังถนนตรงหน้า นัยน์ตาหวานมองไล่ตั้งแต่แววตาคมที่กำลังมองตรงไปยังถนน ลงมายังคอที่ยังคงสวมสร้อยที่เธอเคยให้อยู่ แม้ว่าพี่มิยูจะบอกว่ามันใหญ่ไปก็เถอะ.. เสื้อเชิตที่พี่มิยูใส่วันนี้ทำให้พี่เค้าดูแปลกตา อาจเพราะเธอเคยเห็นแต่ตอนที่พี่เค้าใส่วอร์ม หรือไม่ก็ชุดกีฬา ข้อมือที่วันนี้ไม่มีที่พัน แต่แทนที่ด้วยนาฬิกาเรือนงามที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง ไหนจะแหวนที่นิ้วก้อยซ้ายนั่นอีก.. ทองคำขาวที่สะท้อนกับแสงไฟรถที่สาดเข้ามายิ่งทำให้แหวนวงนั้นดูมีค่า และยิ่งมันอยู่บนนิ้วของพี่มิยู มันก็ยิ่งลงตัว.. เธอหลงรักคนที่ดูดีขนาดนี้รึเปล่านะ เธอถึงต้องมานั่งเสียใจอยู่ในตอนนี้

              พี่มิยู.. ในแบบที่เธอไม่เคยเห็น มันจะมีโอกาสรึเปล่านะที่เธอจะได้เห็นพี่เค้า ในมุมอื่นๆนอกจากนี้บ้าง.. ในมุมที่เธอ..ไม่เคยได้เห็น แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความหวังลมๆแล้งๆใช่มั้ยนะ ในเมื่อ.. สุดท้าย.. ทุกอย่างมันก็ต้องจบลงอยู่ดี

     

              ... ขอโทษนะฮารุกะ...

              นัยน์ตาคมเหลือบมองดวงหน้าหวานเป็นระยะ.. รอยชื้นจากน้ำตาที่ชุ่มอยู่บนเสื้อเค้าเป็นพยานได้อย่างดี ว่าที่ผ่านมา..เค้าคงทำร้ายร่างบางไม่น้อย

              ฮารุกะถึงได้เสียใจขนาดนี้ ถึงร้องไห้ขนาดนี้... เค้าไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าวันนี้เค้าไม่อยู่ตรงนั้น.. แล้วร่างบางจะเป็นยังไง จะร้องไห้กับใคร.. หรือจะฝืนกลั้นยิ้มให้เค้า ทั้งๆที่ตัวเองนั่งร้องไห้อยู่ฝ่ายเดียว

     

              กริ๊ก !!

              “ หนาวหรอ..”

              มิยูเอ่ยถามร่างบางเมื่อนั่งมาได้ซักพักแล้วร่างบางก็ยกมือขึ้นกอดตัวเอง แถมยังปรับแอร์ให้ไปทางอื่นอีก..

     

              “ นะ..นิดหน่อยคะ”

              เสียงหวานตอบแผ่วเบา.. เมื่อความจริงมันไม่นิดหน่อยหรอก แต่พี่มิยูยังไม่หนาวเลย ถ้าขอให้เบาแอร์ลงเดี๋ยวพี่มิยูจะร้อนซะเปล่าๆ..

     

              “ ถ้าหนาวก็บอก.. พี่จะได้เบาแอร์ให้รู้มั้ย”

              มิยูตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมที่เบาะหลังมาคลุมให้ร่างบางที่กำลังสั่นนิดๆ มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดูแล้วกลับมาออกรถอีกครั้ง

              ทิ้งให้ฮารุกะได้แต่นั่งยิ้มในความมืด.. รอยยิ้มน้อยๆที่ผุดขึ้นอย่างยินดี ที่วันนี้ร่างสูงดูจะ.. ใส่ใจเธอ

     

              “ พี่มิยู.. หนูถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ”

              เมื่อร่างสูงมาจอดรถอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง.. แล้วเอื้อมไปหยิบของที่เบาะหลังที่แวะซื้อมาเมื่อกี้มาเปิดออกดู มือหนายื่นเบอร์เกอร์ปลาให้ร่างบางก่อนจะแกะของตัวเองออกกินช้าๆ มีแต่ร่างบางที่กำเบอร์เกอร์แน่น แล้วเสียงหวานก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบหลังจากที่รวบรวมความกล้าได้

     

              “ อืม.. จะถามอะไรล่ะ”

              มิยูชะงักปากที่กำลังจะงับเบอร์เกอร์ต่อลดมือลง ก่อนจะหันมาแกะเบอร์เกอร์ที่มือร่างบางแล้วยกขึ้นให้ร่างบางลงมือกินบ้าง

              “ แต่ไว้หลังกินเสร็จก่อนนะ ตอนนี้พี่หิวมาก.. และเธอต้องกินเป็นเพื่อนพี่ด้วย เข้าใจมั้ย..”

     

              “ ค่ะ..”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ขัดกันกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัว.. เพราะพี่มิยูไม่เคยทำอะไรแบบนี้.. ไม่เคยดูเหมือนแคร์..ขนาดนี้

              แต่สุดท้ายในตาหวานที่สดใสขึ้นมาชั่วครู่ก็หม่นลงอีกครั้ง เมื่อคิดได้ว่า... หากคำถามของเธอไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แล้วมันจะเป็นอย่างไร..

              ... ทำไมพี่ต้องทำให้หนูรู้สึกดีด้วยล่ะคะ.. ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้ว ระหว่างเรามันไม่มีอะไร...

     

    ......................................................................

              “ อิ่ม !! ว่าไง.. เมื่อกี้เรามีอะไรจะถามพี่หรอ ??

              หลังจากที่ทานเสร็จ เก็บของเรียบร้อย.. มิยูก็หันไปหาฮารุกะอย่างต้องการคำถาม.. นัยน์ตาคมจ้องมองไปยังดวงตาหวานที่ดูหม่นแสงนั่นอย่างรอคอย

              มือบางๆที่กำลังจับกันแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ทำให้มิยูอดที่จะเอื้อมมือไปดึงมากุมไว้เองไม่ได้..

              “ ว่าไงคะ.. จะถามอะไรพี่..”

     

              “ เราเลิกกันมั้ยคะ..”

              ฮารุกะกลั้นลมหายใจเอ่ยออกไป ดวงตาหวานปิดลงสนิทกลั้นใจรอคำตอบจากคนตรงหน้าอย่างคาดหวัง.. มือบางที่ถูกใครอีกคนกุมอยู่ถูกปล่อยเป็นอิสระทันทีที่คำถามเอ่ยจบ ใจดวงน้อยกำลังเต้นระรัวกลัวคำตอบ..

     

              “ เอาอย่างนั้นหรอคะ..”

              มิยูที่ปล่อยมือร่างบางออกทิ้งตัวลงกับเบาะตัวเองอย่างหมดแรง.. ท่าทางของคนตรงหน้าที่ดูเหมือนกำลังลุ้นกับคำตอบทำให้เค้าไม่กล้าที่จะเอ่ยปฏิเสธออกไปตรงๆ นัยน์ตาคมทิ้งสายตาอยู่กับแม่น้ำสายตรงหน้าที่กำลังไหลไปเรื่อยๆ..

              “ ฮารุกะต้องการอย่างนั้นหรอ”

     

              “ หนูอยากให้พี่มีความสุขค่ะ..”

              หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบได้ทำงานซักพัก มือที่เย็นเฉียบก็เริ่มด้านชา ดวงตาคู่สวยมองตรงมายังคนตรงหน้า.. ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ

              เมื่อจบประโยค มิยูก็หันกลับมาสบกับสายตาหวาน.. นัยน์ตาคมมองคนตรงหน้านิ่ง.. มือหนาเอื้อมไปหยิบมือบางมากุมไว้แน่น..

              “ ถ้าอยากให้พี่มีความสุข... ก็อยู่กับพี่ อยู่ข้างๆพี่ อย่าหายไปไหน.. ได้มั้ย ??

     

              “ พี่มิยู !!

              เสียงหวานหลุดออกมาแผ่วเบา อย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองนัก.. เมื่อร่างสูงกำลังพูดเหมือนกับว่า.. ยังไม่อยากเลิกกับเธอ.. แถมยังขอ... ไม่ให้เธอหายไปไหนอีก..

              “ ได้มั้ยฮารุกะ.. อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะ พี่ขอโทษที่แสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง.. แต่พี่ก็รักเธอจริงๆนะ.. ช่วยอดทน.. อยู่กับคนแบบพี่ได้มั้ย.”

     

              “ คะ..ค่ะ.. พี่มิยู.. หนูรักพี่นะคะ”

              เสียงหวานเอ่ยขึ้นรัว.. ก่อนจะถูกร่างสูงดึงเข้าไปกอดแน่น... ใบหน้าหวานกำลังยิ้มเต็มแก้มในรอบหลายวันที่ผ่านมา.. ขณะที่มือหนาก็เลื่อนถอดแหวนที่นิ้วก้อยตัวเองช้าๆ แล้วสวมเข้ากับนิ้วของร่างบาง..

              ใบหน้าหวานทอประกายแห่งความสุข.. เมื่อเธอได้คำตอบในแบบที่ไม่คาดคิด.. และพี่มิยูก็ดูเหมือนจะแคร์เธอมากขึ้น ให้ความสำคัญกับเธอมากขึ้น..

             

              “ พี่ขอโทษนะ.. ถ้าหากทำให้เธอเสียใจ ต่อจากนี้พี่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจ หรือว่าผิดหวัง.. เพราะพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องของเรามันจะเป็นยังไงต่อ... แต่พี่ขอได้มั้ย.. ขอยึดฮารุกะไว้เป็นของพี่ตลอดไป..

              ช่วยอดทนกับคนแบบพี่ได้มั้ย.. ให้โอกาสพี่นะ.. พี่คงไม่มีอะไรมายืนยัน ดังนั้นพี่คงบอกได้แค่ว่า.. พี่จะพยายามปรับปรุงตัว จะพยายามเป็นแฟนที่ดี เป็นแฟนในแบบที่ฮารุกะไม่ต้องมาคิดมาก หรือน้อยใจอะไรอีก.. ให้โอกาสพี่นะฮารุกะ.. พี่รักเธอจริงๆ”

              เสียงที่เอ่ยจากคนตรงหน้า.. ทำให้ฮารุกะได้แต่ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ... ยิ่งมือหนาที่เอื้อมมายึดมือของเธอไปกุมไว้.. มันก็ยิ่งทำให้เธอยิ้มออก เพราะมันแสดงว่า.. อย่างน้อยพี่มิยูก็ยังคงแคร์เธอมากขึ้น ใส่ใจเธอมากขึ้น กล้ามากขึ้น.. และเธอก็คงไม่ต้องมานั่งน้อยใจ และอิจฉาคนอื่นๆเหมือนแต่ก่อนแล้ว

              เพราะถึงแม้ว่าพี่มิยูจะไม่เปลี่ยนนิสัย.. แต่ในวันนี้พี่มิยูก็ยืนยันกับเธอแล้ว ว่าพี่เค้าก็รักเธอไม่ต่างกันกับที่เธอรักพี่เค้า..

              และสำหรับเธอ.. แค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว..

              “ หนูก็รักพี่ค่ะ.. รักมากด้วย”
    _____________________________________
    มาแล้วๆ.. อิอิ.. มาเพราะมีคนทวงเลย ฮ่าๆๆ(ล้อเล่นค่ะ)
    หวังว่าจะชอบนะคะ..
    ขอขอบคุณทุกคอมเม้นท์ กำลังใจ และการติดตามค่ะ..
    อากาศหนาว.. อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ^^


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×