ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] To Be With You

    ลำดับตอนที่ #25 : chapter 24 : Flash back I

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 86
      0
      18 ต.ค. 57



    Flash back I 

     

    “หิวรึยังลูก แม่จะไปอุ่นข้าวต้มมาให้”

     

    คุณนายโอถามพลางเอื้อมมือไปแตะไหล่เซฮุนที่นอนตะแคงข้างหันหลังมาทางเธอ พอเห็นว่าลูกชายนอนหลับอยู่ ดวงตาของคนสูงวัยก็หม่นวูบลงขณะที่ใช้ฝ่ามือลูบไปตามเส้นผมอ่อนนุ่มนั้นช้าๆ

     

    “แม่เคยบอกลูกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่ใช่ความผิดของลูก”

     

    สัมผัสเบาๆที่เส้นผมทำให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัวตื่นแต่ยังคงแสร้งทำเป็นนอนหลับเพื่อรอฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากผู้เป็นแม่

     

    “อุบัติเหตุวันนั้นไม่ใช่ความผิดของลูก ยิ่งลูกเอาแต่โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง คนที่ทรมานที่สุดก็คือตัวลูกเอง และแม่ก็ปวดใจที่ได้แต่มองเราอยู่แบบนี้ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย อย่าลงโทษตัวเองแบบนี้เลยนะลูก อย่าฝืนทำเป็นเฉยชา ทั้งๆที่ลูกเจ็บมากขนาดนี้”

     

    “"ผมไม่ได้เป็นอะไร”

     

    คุณนายโอเผยรอยยิ้มออกมาตอนที่ลูกชายคนเดียวของเธอพลิกตัวหันมาสวมกอดเธอเอาไว้แรงสะอื้นเบาๆนั้นทำให้เธอต้องกระชับอ้อมกอดร่างของลูกชายเอาไว้แน่น

     

    “เป็นสิทำไมจะไม่เป็นเซฮุนของแม่ไม่เคยอ่อนแอแบบนี้มาก่อน” จงอินค่อยๆปิดประตูที่แง้มเปิดเอาไว้เบาๆปล่อยให้สองแม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกัน หลังจากที่สองสามวันที่ผ่านมา เซฮุน เอาแต่ปิดกั้นตัวเองจากทุกคน

     

    เกิดอะไรขึ้นกับเซฮุนกันแน่ อุบัติเหตุอะไรกัน”

     

    จงอินหันมองรอบตัวไปมาอย่างไม่แน่ใจกับเสียงที่เขาได้ยิน เสียงคุ้นหูที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหน หากเสียงนั้นจะดังกว่านี้สักนิดเขาคงรู้ได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร

     

    “แล้วทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้เนี่ย”

     

    ภูติน้อยยังคงพูดต่อไปคนเดียวพลางยกมือขึ้นมากุมหน้าอกของตัวเองเอาไว้

     

    สิ่งที่เขารับรู้ได้จากเซฮุนไม่ใช่เพียงความเศร้าที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย แต่มันคือความเศร้าโศกเสียใจความ คิดถึงที่สับสนปนเปกันไปหมด และอีกหนึ่งความรู้สึกที่เขาไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไร

     

    ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นภายในใจของเขาเอง ความรู้สึกโหยหาไม่อยากจากไปแบบนี้ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้เพียงแค่ความรู้สึกเหล่านี้มันไม่มีที่มาที่ไปใดๆเลย

     

    “โอเซฮุน นายเป็นใครกันแน่”

     

    “เสียงใครน่ะ”

     

    จงอินหมุนตัวกลับมา เมื่อรู้สึกถึงเสียงที่ดังอยู่ด้านข้างหลังและคราวนี้เขาจำได้แล้วว่าเสียงนี้คือเสียงของใคร

     

    “พี่มินซอก?

     

    ใบหน้าที่แสดงออกถึงอาการตื่นตกใจของจงอิน ทำให้เปาจื่อต้องก้าวถอยหลังหนีไปจนติดกำแพง

     

    “ทะ ทะ .. ทำไม”

     

    “พี่มินซอกนั่นพี่ใช่ไหม”

     

    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ แต่ฉันไม่คิดว่านายจะได้ยินเสียงฉันเป็นเสียงมินซอกหรอก”

     

    จงอินหันขวับไปตามเสียงนั้น ท่าทางแปลกใจปรากฏอยู่เพียงครู่ก่อนที่จะหายไปพร้อมกับแววตาขุ่นมัว

     

    “กลับมาทำไม” เอ่ยถามเสียงแข็งกับคนที่ยืนกอดอกพิงผนังห้องด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

     

    “พอดีว่าฉันลืมของเลยกลับเข้ามาเอาน่ะ”

     

    มองตามมือที่ถูกชี้มาที่ที่วางแจกัน ที่มีโทรศัพท์เครื่องบางที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ ที่น่าแปลกก็คือเขาเพิ่งจะได้ยินเสียงเรียกเข้าของมันก็ตอนนี้เอง

     

    “ไม่ยักรู้ว่านายก็ชอบพูดคนเดียวเหมือนกันนะ” จุนมยอนฉีกยิ้มขณะที่เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาถือเอาไว้ รอยยิ้มแบบที่ทำให้จงอินต้องกำหมัดแน่นเพื่อสะกดอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นในใจ

     

    “มันก็ไม่แน่หรอกว่าฉันจะพูดคนเดียวรึเปล่า” คำกล่าวของจงอินทำให้เปาจื่อที่รีบวิ่งไปหาจุนมยอนทันทีที่อีกฝ่ายปรากฎตัว ต้องรีบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเทพตัวขาวทันที

     

    “นายคงไม่ได้บอกว่ากำลังยืนคุยกับวิญญาณของมินซอกอยู่นะ”

     

    จงอินไม่ตอบมีเพียงแววตาที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นเทพเท่านั้น ที่ตอบทุกอย่าง ความลับที่เขาจะต้องค้นหา อะไรก็ตามที่จุนมยอนพยายามปิดบังเอาไว้

     

     

     

     

    “ซูโฮทำยังไงดีจงอินเขาต้องเห็นฉันแน่ๆเลย”

     

    เปาจื่อเดินวนไปวนมาภายในร้านต้นไม้ของจุนมยอน ตั้งแต่ที่กลับมาถึงที่ร้านภูติน้อยก็เอ่ยคำพูดซ้ำ เดิมไปมาไม่หยุด

     

    “ไอ้เห็นน่ะไม่เห็นหรอกไม่อย่างนั้นเขาก็คงพูดอะไรบ้างแล้ว”

     

    “ถ้าอย่างนั้น...”

     

    ”บางทีจงอินอาจได้ยินเสียงของนาย”

     

    “ใช่ๆเมื่อสายๆฉันไปที่โรงพยาบาลมาแล้วเจอจงอิน ตอนนั้นเขาทำท่าทางเหมือนได้ยินเสียงตอนฉันพูด” พูดน้อยเอ่ยสนับสนุนความคิดของเทพตัวขาว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล

     

    “แล้วทำไมนายถึงไม่ระวังตัว” จุนมยอนเอ่ยดุภูติน้อย

     

    “แล้วฉันจะไปรู้เหรอ ก็คนอื่นๆไม่มีใครเคยมองเห็นหรือได้ยินเวลาฉันพูดนี่นา”

     

     “ตั้งแต่ไปอยู่กับลู่หานนี่เถียงเก่งจังนะ”

     

     “กะ.. ฉันก็ติดมาจากพวกนายนั่นแหละ” พูดพลางทำแก้มป่องอย่างน่ารัก

     

    “ใช่เหรอ”

     

    “ก็ใช่น่ะสิ” เปาจื่อทำหน้างอ แล้วเดินตึงตังเข้าไปที่หลังร้าน

     

    “เดี๋ยวนั่นจะไปไหนน่ะ”

     

    “คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่” ได้ยินเสียงเล็กๆตะโกนกลับออกมา

     

    “ใครอนุญาตไม่ทราบ” จุนมยอนบ่นพึมพำ ขณะที่รัวนิ้วเคาะลงบนโต๊ะ “หัวรั้นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นมินซอกหรือเปาจื่อนายก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ”

     

     

    “ฉันจะลงไปบนโลกจะตามหาคนที่เป็นเจ้าของแหวนอีกวง”

     

    “ไม่ได้นะมินซอก”

     

    จุนมยอนแทบจะเอาหัวทุบโต๊ะทันทีเมื่อมองเห็นแหวนสีเงินในมือของมินซอก ตั้งแต่กามเทพแวะมาที่นี่พร้อมกับแหวนวงนี้ที่มอบให้กับมินซอกเป็นของขวัญพร้อมกับคำทำนาย

     

    เจ้าของแหวนอีกวง คือผู้ที่จะร่วมกำหนดชะตาของท่าน รักจักสรรค์สร้างทุกสิ่ง

     

    “ทำไมจะไม่ได้”

     

    “มินซอกนายก็รู้ดีว่าทำไมฉันถึงห้าม”

     

    “เอาน่าจุนมยอนมันเป็นโชคชะตาอย่างน้อยมันก็เป็นโชคชะตาของฉันล่ะนะ”

     

    “ไม่มินซอก มันไม่ใช่แค่โชคชะตาของนาย” มินซอกแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของจุนมยอน

     

    “จงแดเด็กดี มาหาฉันนี่มา”

     

    มินซอกหันไปเอ่ยเรียกเทพตัวน้อยที่นั่งปั้นก้อนเมฆอยู่อีกด้านของของสระน้ำที่งดงามระยิบระยับราวกับเพชร พอถูกเรียกจงแดก็ปัดก้อนเมฆตรงหน้าให้ลอยหายลับไปปีกสีขาวเล็กๆที่ดูบอบบางค่อยปรากฏขึ้นกลางหลัง

     

    จงแดขยับปีกไปมาเพื่อเตรียมพร้อมบิน พอเทพตัวน้อยเขย่งปลายเท้า ปีกทั้งสองข้างก็สยายออกเต็มความ กว้างก่อนที่มันจะพาร่างของจงแดให้บินข้ามสระน้ำมาหยุดยืนตรงหน้าของมินซอก

     

    จงแดก้มทำความเคารพเทพรุ่นพี่อย่างอ่อนน้อมแต่มินซอกกลับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตักอย่างเอ็นดู

     

    “เด็กดีของฉัน ถ้าฉันไม่อยู่นายจะหมุนวงล้อนี้แทนฉันใช่ไหมจ๊ะ”

     

    มินซอกถามแล้วชี้ชวนให้จงแดดูวงล้อกาลเวลาที่กำลัง หมุนช้าๆอยู่กลางสระน้ำ

     

    “ครับท่านเทพ” จุนมยอนนั่งมองมินซอกจรดปลายจมูกลงบนแก้มขาวๆของจงแดอย่างเอ็นดู

     

    “นายจะไม่ฟังฉันเลยใช่ไหม สักวันนายจะเสียใจ”

     

     

     

     

    ลู่หานก้มมองนาฬิกาข้อมือเป็นรอบที่สิบ ขณะที่สายตาสอดส่ายไปมาท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านในสนามบิน

     

    “เที่ยวบินไปปักกิ่งเที่ยวสุดท้ายออกไปครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”  ลู่หานหันมองจงอิน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความ ร้อนใจ

     

    นั่นน่ะสิเที่ยวบินเที่ยวสุดท้ายที่จะกลับปักกิ่งออกไปแล้วตั้งครึ่งชั่วโมง แต่ทำไมล่ะพ่อกับแม่ของเขายังไม่มาอีก

     

    “แกแน่ใจนะว่าป๊ากับม้าแกบอกว่าจะกลับวันนี้” ชานยอลเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมือถือที่เล่นเกมส์ค้างไว้มามองเพื่อนชาว จีนที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่ไม่ห่าง

     

    “จนป่านนี้ฉันยังติดต่อพวกเขาไม่ได้เลยคงเอาแต่เที่ยวจนลืมเวลาตามเคยนั่นแหละ” ลู่หานบ่นทั้งที่ใจเริ่มไม่ดี

     

    “เอาน่าๆ ก็รอไปก่อน” จงอินเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนให้คลายกังวลลงบ้าง แต่ถึงกระนั้นสีหน้าวิตกกังวลของลู่หานก็ยังไม่ จางไป

     

    “อาลู่วววววววววว” ไม่ทันขาดคำที่จงอินเอ่ยบอกเพื่อน เสียงแจ้วๆที่เอ่ยเรียกลู่หานก็ดังขึ้นพร้อมกับชายหญิงวัยกลางคนที่โบกมือเรียกอยู่ไม่ไกล ทำเอาชานยอลหลุดขำพรืดออกมาทันทีเมื่อมองเห็นบุคคลทั้งสองที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสกับแว่นกันแดดและหมวกสานใบโตของทั้งคู่ จนจงอินต้องกระทุ้งศอกให้หยุดขำ

     

    “**ป๊า ม้าไปไหนมาเนี่ย ทำไมเพิ่งจะมาเครื่องเทคออฟไปนาน แล้วนะ แล้วนี่แต่งตัวอะไรเนี่ย ไม่อายคนเขาบ้างรึไง**” หัวคิ้วของลู่หานขมวดกันเป็นปมขณะที่โดนผู้เป็นแม่ดึงไปกอดแน่น

     

    “**ป๊า กับม้าจะไปเที่ยวต่อที่ภูเก็ตเพราะไหนๆก็ลางานมาแล้ว แล้วทำไมนี่ม้าไม่สวยเหรอ**” คนพูด พูดพลางหมุนตัวโชว์ชุดกระโปรงลายดอกสีชมพูสดใสให้ลูกชายดู ก่อนที่ดวงตาคู่สวยที่เหมือนกับลู่หานจะไปสะดุดเข้ากับเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลัง ลูกชายของเธอ

     

    “เอ๊ะ นั่นใช่จงอิน กับชานยอล รึเปล่าจ๊ะ” เอ่ยถามด้วยภาษา เกาหลีกับเด็กหนุ่มทั้งสอง

     

    “ครับ”

     

    คนสูงวัยยิ้มอย่างเอ็นดูให้เด็กหนุ่มที่โค้งทำความเคารพเธอด้วยท่าทางอ่อนน้อม “เป็นหนุ่มหล่อกันทั้งคู่เลยนะ โอ๊ะตายจริง ไม่มีเวลาแล้ว อาลู่ม้า ไปก่อนนะ” คุณนายลู่ดึงลูกชายเข้าไปกอดอีกครั้ง ลู่หานได้แต่ทำหน้าอึกอัก

     

    “**ดูแลตัวเองดีๆนะ อาลู่ สัญญากับม้านะว่าจะต้องดูแลตัวเอง ดีๆ**” ฝ่ามืออุ่นที่ลูบไปมาที่หลังของเขาทำให้ลู่หานหลับตาลง ก่อนจะฝั่งจมูกลงบนไหล่ของคนเป็นแม่สูดกลิ่นหอมที่เขาคิดถึง

     

    “**ผมจะดูแลตัวเองดีให้ ม้าไม่ต้องเป็นห่วง**”

     

     “**จ้ะ เรียนจบแล้วต้องรีบกลับไปหาป๊ากับม้านะรู้ไหม**”

     

     “**รู้แล้วน่า**”

     

     “**แล้วก็อย่าดื่มเยอะนักนะ**”

     

     “**ครับ**”

     

     “**แล้วอย่า-**”

     

     “**ม้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก**”

     

    “**ป๊ากับม้ารักลูกนะ**”

     

    “**ผมก็รักป๊ากับม้า**”

     

    “**ดูแลตัวเองนะลูกรัก**”

     

     “ป้าไปก่อนนะจ๊ะ” คุณนายลู่หันไปส่งยิ้มให้จงอินและชานยอลอย่างใจดี

     

    “ป๊าไปนะ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”

     

    ”เดินทางปลอดภัยนะครับ” ชานยอลยิ้มกว้างให้หญิงสูงวัยที่ยังหันมาโบกมือบ๊ายบายให้พวกเขาจนเดินลับสายตาไป

     

     

     

    “ฉันว่าฉันก็อยากไปเที่ยวภูเก็ตบ้างนะ ไว้เราไปกันบ้างดีไหม” ชานยอลพูดขณะกอดคอเพื่อนรักทั้งสองเดินไปบนถนนเส้นยาวที่จะพาพวกเขากลับบ้าน

     

    “พวกแกไปกันเถอะ ฉันไม่ชอบทะเล”

     

     

    “เออว่ะ ลืมไปงั้นไปไหนกันดีล่ะ ไปปีนเขาที่พูกันซานดีมะ ปีก่อนไปฝนดันตกซะได้ แกก็ชวนเซฮุนไปด้วยสิจงอิน” พอเอ่ยถึงเซฮุน ทั้งลู่หานและชานยอลก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากจงอิน

     

    “เซฮุนเป็นยังไงบ้างล่ะ กลับมาอยู่บ้านแล้วไม่ใช่เหรอ” ลู่หานเลียบๆเคียงๆถามแต่จงอินก็ยังคงเอาแต่ถอนหายใจอยู่เหมือนเดิม

     

    “เฮ้ย สรุปมันยังไงวะ ถอนหายใจอยู่นั่นแหละ พวกข้าจะไปตรัสรู้กับแกไหมห๊ะ”

     

    เป็นชานยอลที่เอ่ยบ่นแกมด่าออกมาอย่างหมั่นไส้กับกริยานั้นของเพื่อน

     

    “เซฮุนมันกลับมาบ้านแล้ว แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ หมอนั้นยังไม่หายดีด้วยซ้ำ แต่แค่จุนมยอนไปบอกกับหมอ หมอก็ให้เซฮุนกลับมาที่บ้าน แล้วยังเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นทำตัวแปลกๆอีก”

     

    ลู่หานกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอตอนหันไปมองหน้าของจงอิน เขาลืมไปเลยว่าเคยสงสัยว่าจงอินจะเป็นพวกเดียวกันจุนมยอน แต่พอฟังที่จงอินพูดแบบนี้ ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจุนมยอนไปมากกว่าเขาหรอก

     

    แล้วมีเหตุผลอะไรกันที่จุนมยอนจะไปวุ่นวายกับเรื่องของเซฮุน มันมีอะไรที่เขายังไม่รู้อีกรึเปล่า

     

    ไม่สิ เขาลืมคิดถึงภูติตนนั้นไปได้ยังไงกัน

     

    เพราะภูติตนนั้นที่ทำให้ซูโฮเข้ามาข้องเกี่ยวกับพวกเขาทุกคน

     

    ลู่หานครุ่นคิดอยู่กับเรื่องในหัวจนแทบไม่ได้ฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองด้วยซ้ำว่ามันดำเนินต่อไปยังไง พอมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ชานยอลทุบหลังเขาดังอั๊ก

     

    “พรุ่งนี้ไปเยี่ยมเซฮุนกัน”

     

     “อือ”  ลู่หานขานรับอย่างลอยๆ ตอนที่หางตาเหลือบไปเห็นเจ้าโกลเด้นที่นอนอยู่ตรงม้านั่ง ภาพของเปาจื่อที่คลานสี่ขาไปมาก็ปรากฏขึ้น เขาพยายามจะสลัดความคิดเกี่ยวกับภูติตนนั้นออกไปจากสมอง แต่พอหันกลับมาเพื่อนทั้งสองของเขาก็เดินกอดคอกันพ้นมุมตึกไปซะแล้ว

     

     แต่เดี๋ยวนะ

     

     เมื่อกี้ชานยอลพูดอะไรนะ

     

     

     

    To be with you

     

     

     

    เปาจื่อมองเตียงที่ว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอย เขารีบตื่นแต่เช้ามืดหวังจะมาคอยดูแลเซฮุน แต่เมื่อมาถึงกลับไร้วี่แววของอีกคน หลังจากที่เข้าออกห้องนั้นห้องนี้ทุกห้องของบ้านเขาถึงได้รู้ว่าเซฮุนหายออกไป

     

    ใช่เซฮุนหายไป เพราะแม่ของเซฮุนยังนอนหลับอยู่บนเตียง และจงอินก็ไม่ได้มาที่นี่ด้วย

     

     เปาจื่อวิ่งตัดสนามจากบ้านของเซฮุนตรงดิ่งไปที่บ้านของจงอินที่อยู่หลังติดกัน

     

    “จงอิน ตื่นเร็ว เซฮุนหายไปไหนก็ไม่รู้”

     

    เปาจื่อตะโกนเสียงดังลั่น หวังจะใช้ข้อที่จงอินได้ยินเสียงของเขาให้เป็นประโยชน์แต่อีกฝ่ายกลับนอนหลับสบายไม่แม้แต่จะมีท่าทีว่าได้ยินเสียงของเขาสักนิด

     

    “จงอินนนนนนนนน”

     

     “นี่ตื่นสิ นายดำ”

     

    เปาจื่อฟาดมือไปที่หน้าของจงอิน ในคราแรกมือของเขาทะลุผ่านหน้าของจงอินไป แต่พอลองครั้งที่สองมันกลับฟาดถูกแก้มของจงอินถึงแม้แรงนั้นจะถูกลดทอดลงเพราะมือของเขายังคงทะลุผ่านหน้าอีกคนไป แต่แรงนั้นก็มากพอจะทำให้จงอินขยับตัวพลางยกมือขึ้นมาถูใบหน้าได้บ้าง

     

    “คราวนี้ล่ะ” เปาจื่อมองมือตัวเองอย่างหมายมั่นแต่พอง้างมือจะฟาดจงอิน ข้อมือของเขาก็ถูกรั้งไว้

     

    “อย่าเปาจื่อ” เปาจื่อหันมองผู้ที่จับมือของเขาเอาไว้อย่างแปลกใจ

     

    “คยองซู นายมาทำอะไรที่นี่”

     

     “ซูโฮให้ฉันมาคอยดูว่านายจะก่อเรื่องอะไรอีกรึเปล่าน่ะสิ”

     

    พอได้ยินคยองซูพูดแบบนั้น ใบหน้าเล็กก็เชิดขึ้นอย่างถือดี พลางเอ่ยพูดเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ก่อเรื่องนะ ฉันแค่จะปลุกเขา”

     

    “ก็ที่นายทำนั่นแหละ ถ้านายถูกดึงเข้าไปในความฝันของหมอนี่ มีหวังได้เรื่องแน่”

     

     “ทำไมฉันต้องเข้าไปในฝันของจงอินด้วย แต่ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ต้องปลุกเขา” เปาจื่อพูดพลางสบัดมือที่จับมือเขาไว้แล้วเตรียมจะฟาดลงไปที่หน้าของจงอินอีกครั้ง แต่คยองซูไวกว่าที่ใช้สองมือรวบตัวของภูติที่ตัวเล็กกว่าเขาให้ออกห่างจากเตียง

     

    เปาจื่อสะบัดตัวหลุดจากคยองซู เตรียมจะพุ่งกลับไปที่เตียงแต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัว ร่างทั้งร่างของเขาก็รู้สึกแข็งทื่อขึ้นมาเสียเฉย ไม่อาจขยับไปเลยแม้แต่น้อย

     

    นายทำอะไรฉันน่ะคยองซู  เปาจื่อถามผ่านกระแสจิต

     

    “ฉันพูดแล้วนายไม่ฟัง ก็ต้องจัดการด้วยวิธีนี้แหละ” คยองซูเอ่ยทั้งที่มือข้างขวายังยื่นออกมาข้างหน้าฝ่ามือขาวนั้นหันไปทางเปาจื่อที่ยืนตัวแข็งอยู่

     

    แต่ฉันต้องปลุกจงอินจริงๆนะคยองซู ตอนนี้เซฮุนหายไป

     

    “ว่าไงนะ”

     

    เซฮุนหายไปน่ะสิ

     

    ทีนี้จะปล่อยฉันได้รึยังล่ะ

     

     รีบถามเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบไป เพราะตอนนี้แขนขาที่ขยับไม่ได้ของเขามันปวดเมื่อยไปหมดแล้ว

     

    คยองซูพยักหน้ารับก่อนจะรีบลดมือลง ส่งผลให้ร่างของเปาจื่อหล่นลงไปกองกับพื้น พร้อมเสียงโอดครวญประท้วง แต่ภูติแห่งฝันหาได้สนใจไม่ เมื่อเขาค่อยๆปิดเปลือกตาลง เพ่งรวมสมาธิไปยังความฝันสุดท้ายของเซฮุน บานประตูบานแล้วบานเล่าที่ถูกเปิดออกและปิดลง

     

    “คยองซู”

     

    เปาจื่อขยับมายืนใกล้กับร่างที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

     

    “นี่ หลับเหรอ” เอ่ยถามพลางยื่นหน้าเข้าไปพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะแอบเป่าลมไปบนแพขนตายาวของอีกฝ่ายที่รับกับดวงตากลมโต แต่เมื่อคยองซูยังคงนิ่งอยู่เปาจื่อก็ได้แต่เบะปากพลางทำหน้ามุ่ย

     

    “นี่ ฉันปลุกเขานะ” ภูติน้อยก้าวไปยืนข้างเตียงแล้วชี้ไปที่ร่างของจงอิน

     

    “ฉันจะปลุกแล้วนะ” เปาจื่อยกมือทำท่าจะฟาดไปบนร่างของจงอินแต่ก็ยังไม่วายจะหันมาบอกกับคยองซู

     

    “อันนยอง จะปลุกจริงๆนะ”

     

     “จะปลุกแล-/ฉันรู้แล้วว่าเซฮุนอยู่ที่ไหน!” คยองซูลืมตาขึ้นพลางเอ่ยเสียงดังทำเอาเปาจื่อสะดุ้งโหยง

     

    “ตามฉันมาสิ”

     

     

     

     

    เปาจื่อมองสถานที่รอบๆตัวอย่างแปลกใจ ทางเดินที่คุ้นเคย ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่เขาเคยนั่งมองมันอยู่ประจำจากบ้านของเขา

     

    “ทำไมเป็นที่นี่ล่ะ” เอ่ยถามคยองซูที่เดินนำอยู่ด้านหน้าแต่ทันทีที่สายตาเหลือบไปเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาของเซฮุนที่นั่งอยู่บนเนินหญ้า

     

     สองเท้าเล็กก็พาร่างกระทัดรัดของภูติน้อยวิ่งไปบนทางที่จะพาเขาไปหาเซฮุน เปาจื่อแทบจะไม่สนใจเสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างหลังด้วยซ้ำ ตอนที่มาหยุดยืนหายใจติดขัดอยู่ข้างๆกับเซฮุน

     

    “นายรู้ไหมว่าทำให้ฉันเป็นห่วง รู้ไหมฉันกลัวแค่ไหนตอนที่ไม่เห็นนายอยู่ที่บ้าน”

     

     “ถ้าพี่ยังอยู่ เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่เราฉลองวันครบรอบด้วยกัน มีพี่มีผม มีแค่เรา”

     

    “นายไม่คงไม่รู้สินะ” เปาจื่อแค่นยิ้มกับตัวเองขณะที่ยังจ้องมองเซฮุนที่นั่งหันหน้าเข้าหาป้ายหินอ่อนสีขาว

     

    “ทำไมวันนั้นผมถึงไม่ตายๆไปซะ ทำไมผมต้องตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงว่าพี่จากผมไป ทำไมล่ะครับ ทำไมถึงไม่รอผม” เซฮุนค่อยๆบรรจงวางดอกไฮเดรนเยียในมือลงข้างๆป้ายหินอ่อนนั้นช้าๆ

     

    “นี่เป็นหลุมฝั่งศพของคนรักของเซฮุน” เสียงของคยองซูที่เอ่ยขึ้นมาเบาๆดังจากด้านหลัง ทำให้เปาจื่อต้องหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย ที่ดวงตาคู่โตคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เซฮุน ถึงคยองซูจะไม่พูด แต่แววอาลัยอาวรณ์นั้นก็บ่งบอกชัดผ่านทางสายตาเป็นอย่างดี

     

    “คนรักของเซฮุนตายในอุบัติเหตุที่เซฮุนอยู่ในเหตุการณ์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเซฮุนถึงจมปลักอยู่กับความเศร้าแบบนี้ เขาเอาแต่โทษตัวเองว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นความผิดของเขา แต่เปล่าเลย…”

     

    ไม่รู้ทำไมจู่ๆภาพบางอย่างก็แทรกเขามาในสมองของภูติน้อย เสียงของคยองซูฟังดูลางเลือนทุกทีเมื่อภาพนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น ราวกับภาพที่ฉายซ้ำไปซ้ำมา หยดเลือด เสียงกรีดร้อง สีของเลือดที่ฉาบอยู่บนร่างของใครบางคนที่เขาไม่เห็นหน้า ลมหายใจรวยรินที่เขารับรู้

     

     ทรมาน

     

     เปาจื่อกำหมัดแน่นจนขึ้นข้อสีขาวชัดเจน

     

     หยุดที ใครก็ได้หยุดมันที

     

     ภาพของเลือดที่รินไหลสลับไปมากับเสียงกรีดร้อง พร้อมกับคำพูดที่เขาจับใจความไม่ได้

     

     กลิ่นคาวเลือดที่โชยมาแตะจมูก ค่อยๆกดประสาทการรับรู้อื่นๆของเขาไป

     

     ใครก็ได้ ช่วยที หยุดมัน

     

     เปาจื่อมองเห็นมือคู่บางที่เปื้อนไปด้วยเลือดกำลังลูบไล้ไปบนใบหน้าของเซฮุน

     

     จู่ๆเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่ากลัวก็ดังขึ้น

     

    “ไม่ พอแล้ว” เปาจื่อพึมพำออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว มือทั้งสองข้างยังคงเกร็งแน่น เม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่บนใบหน้าขาว จนไรผมสีอ่อนเปียกชุ่ม

     

    “เปาจื่อ”

     

     “หยุดที ช่วยหยุดมันที”

     

     “เปาจื่อ!!”

     

     “ไม่-”

     

     “เปาจื่อ ตั้งสติสิ เปาจื่อ!!!!

     

    ภูติน้อยสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกดึงแรงที่เขย่าอยู่ที่ไหล่ ช้อนตาขึ้นมองใบหน้าของคยองซูที่มองมาที่เขาด้วยสีหน้ากังวลอย่างตื่นตระหนก

     

    “เมื่อกี้ พะ ภาพ... ภาพเมื่อกี้มันคืออะไร”

     

    ละล่ำละลักถามออกมาขณะที่ใช้สองมือจับแขนของคยองซูเอาไว้เพื่อทรงตัว

     

    “ไม่มีอะไรหรอกเปาจื่อ นายจะลืมมันไป ลืมมันไปซะเสียงของคยองซูดังก้องอยู่ในหัวของภูติน้อย ดวงตาที่สบกับดวงตากลมโตเมื่อครู่ค่อยๆอ่อนแสงลง ขณะที่รูม่านตากลับค่อยๆขยายกว้างขึ้น ภาพของคยองซูตรงหน้าดูเลือนลางเต็มที

     

     ลืมมันไปซะ

     

     ประโยคที่คยองซูเอ่ยพูดยังคงดังซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง พาลจะทำให้สมองของเขาทำงานช้าลงเรื่อย

     

     ลืมมันไปซะ

     

     ไม่

     

     เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากส่วนลึกในจิตใจของเขากำลังต่อต้าน

     

    “เปาจื่อ นายจะลืมมันใช่ไหม”

     

    คยองซูมองสบตาคู่นั้นที่ดูเลื่อนลอยของเปาจื่อ

     

    “ไม่ ฉันต้องไม่ลืม” คยองซูขมวดคิ้ว เมื่อจ้องเข้าไปในดวงตาของภูติน้อย เปาจื่อกำลังต่อต้านพลังของเขา

     

    “นายต้องลืมมัน”

     

     “ไม่!” สิ้นเสียงของเปาจื่อร่างของคยองซูก็ล้มลงไปบนพื้น

     

    “คยองซูนายเป็นอะไรไป” รีบเอ่ยถามทันทีที่มองเห็นภูติแห่งฝันลงไปนอนอยู่กับพื้นพลางใช้มือกุมไว้ที่หน้าอกด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บปวด

     

     คยองซูมองเปาจื่อที่ทรุดตัวลงมานั่งอยู่ข้างๆพลางจับพลิกตัวสำรวจหาร่องรอยบาดแผลบนตัวเขา

     

    มินซอกนายไม่สงสารเปาจื่อบางเหรอ

     

     

     

     

     

    “เซฮุน หายไปไหนมาลูก รู้ไหมแม่เป็นห่วงเราแค่ไหน”

     

    ทันทีที่เซฮุนกลับมายังไม่ทันจะถึงบ้านดีด้วยซ้ำผู้เป็นแม่ก็รีบวิ่งมารับพร้อมกับเสื้อโค้ทตัวหนาที่คลุมทับลงมาบนเสื้อกันหนาวที่เขาสวมอยู่ก่อนแล้ว

    พอมองเลยไปก็เห็นจงอินในสภาพที่ดูยังไงก็เหมือนเพิ่งลุกจากที่นอนยืนอ้าปากหาวอยู่ตรงประตูบ้าน ก็คงจะเป็นแม่ของเขาสินะที่คงไปปลุกจงอินให้มาช่วยตามหาเขา

    "รีบเข้าบ้านเถอะลูก ข้างนอกอากาศเย็นเดี๋ยวจะป่วยเอานะ”


    “ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แม่ไม่ต้องห่วง ผมขออยู่คนเดียวนะ” เซฮุนปัดมือของผู้เป็นแม่ที่เอาผ้าพันคอมาพันให้เขาออก ก่อนจะเดินหนีเข้าห้องไปดื้อๆ

    จงอินมองคนสูงวัยที่ยืนมองผ้าพันคอในมือที่ดูจะสั่นน้อยๆอย่างเห็นใจ

    “ป้าไปนอนพักบ้างเถอะครับ ช่วงนี้ดูซูบๆไป เดี๋ยวผมไปจัดการเซฮุนมันให้เองครับ มีอย่างที่ไหนทำตัวเหมือนเด็กๆอยู่ได้” จงอินยิ้มให้คนที่แก่กว่า ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องของเซฮุนทันทีโดยไม่เคาะประตู


    "ฉันอยากอยู่คนเดียวจงอิน"

    "ฉันไม่กวนแกนานหรอก แต่จะบอกอะไรแกเอาไว้อย่างนะ รู้ไหมว่าไอ้การที่แกทำตัวแบบนี้ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก"

    "ไม่ต้องทำมาสอนฉันได้ไหม นี่มันชีวิตฉัน แกไม่ต้องมาเกี่ยว"

     

    เซฮุนพูดอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วหันมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง 

     

    "อ้อ แน่ล่ะชีวิตแก แต่แกรู้ไหมตลอดสองปีที่แกนอนเป็นซากเน่าอยู่ แม่แกเขาทุกข์แค่ไหน ไหนจะทำงานเพื่อหาเงินมาเป็นค่ารักษาพยาบาลแก ไหนจะต้องคอยดูแลแกด้วย พอแกฟื้นมาก็ทำเหมือนไม่เห็นหัวแม่แก เลิกคิดได้แล้วว่าตัวเองโตพอจะดูแลตัวเองได้ เลิกรั้นแล้วกลับมามองชีวิตจริงได้แล้ว แกรู้ไหม เมื่อเช้าแม่แกวิ่งหน้าตาตื่นมาหาฉันเพราะแกหายไปจากเตียง อากาศหนาวขนาดนั้น แต่ป้ากลับวิ่งออกมาด้วยเท้าเปล่ากับชุดนอนบางๆเท่านั้น แล้วดูแกสิ พอแกกลับมาก็ทำตัวเป็นลูกที่น่ารักมากแบบนี้ท่านคงปลื้มใจจนกินน้ำตาต่างข้าวแน่ ถ้าฉันเป็นแม่แกนะ ฉันเอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เด็กๆแล้ว"พูดจบจงอินก็กระชากประตูเปิดก่อนจกระแทกปิดมันลงตามหลังอย่างหงุดหงิด

     

    หลังจากที่จงอินออกไป ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ภูติทั้งสองเอาแต่ยืนนิ่ง กลัวว่าหากขยับตัว ความอึดอัดที่แผ่กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในห้องจะทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกไปมากกว่านี้

     

    เซฮุนกำมือแน่น เพื่อให้สัมผัสเย็นๆของโลหะทำให้ใจของเขาเย็นลง แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ความรู้สึกมากมายในตอนนี้มันประเดประดังเข้ามาพร้อมๆกันจนเขาไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อน

     

    เขารู้ว่าเพราะเขาแม่ถึงต้องเสียใจ รู้ว่าเพราะเขาจงอินถึงได้โกรธ

     

    เขารู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่ใช้อารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ในเวลานี้ที่ความจริงทุกอย่างมันย้อนกลับมาตอกย้ำเขาอีกครั้งว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเขา

     

    "เปาจื่อเราไปกันเถอะ" คยองซูคว้าแขนของเปาจื่อเอาไว้แน่นแล้วพยายามจะรีบพาภูติน้อยออกไปจากห้อง แต่เปาจื่อกลับขืนตัวเอาไว้

     

    "เดี๋ยวสิคยองซู นายจะรีบไปไหน ฉันคิดว่าเซฮุนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่"

     

    คยองซูได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างหมดหนทาง ก็เพราะเขารู้น่ะสิถึงอยากพาอีกฝ่ายไปจากตรงนี้ แต่ดูเหมือนมันจะช้าไปซะแล้ว

     

     

    ร่างโปร่งของเซฮุนก้าวยาวๆมายังรถเต่าสีน้ำเงินที่จอดอยู่พร้อมช่อดอกไม้ในมือ  

     

    รอยยิ้มมีเสน่ห์แต่งแต้มไปบนใบหน้าหล่อเหลายามที่จรดจมูกลงไปสูดดมกลิ่นของดอกกุหลาบขาวที่อวดโฉมสวยงามไม่แพ้กลิ่นที่เย้ายวน

     

    "พี่จะต้องชอบมัน ผมรู้" เซฮุนเอ่ยกับตัวเองยามที่บรรจงวางช่อกุหลาบสวยนั้นลงที่เบาะด้านข้างคนขับ พลางจินตนาการถึงตอนที่ พี่ ของเขาได้เห็นมัน รอยยิ้มน่ารักของอีกคนคือสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้

     

    เซฮุนสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างไม่เร่งรีบ ฮัมเพลงเบาๆในลำคอขณะที่พรมนิ้วไปบนพวงมาลัย เป็นจังหวะตามทำนองเพลง แหวนเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายที่มีลายเถากุหลาบปรากฏอยู่สะท้อนแสงล้อกับแสงไฟสีนวลจากเสาไฟสองข้างทางเป็นประกายวิบวับ

     

    ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย เซฮุนจอดรถเยื้องกับร้านขายต้นไม้ของจุนมยอนไปสองบล็อค ประคองช่อกุหลาบขึ้นมาอย่างเบามือก่อนที่จะส่งยิ้มให้มันอีกครั้ง ค่อยๆปิดประตูรถอย่างเบามือแล้วหันไปส่งยิ้มสดใสให้เจ้าของร้านขายของเล่นที่ส่งยิ้มทักทายมาให้

     

    เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อยทำให้เซฮุนต้องหันไปมองด้วยความสนใจ เมื่อเด็กชายตัวน้อยกำลังชี้ชวนเพื่อนวัยเดียวกันให้เงยหน้ามองท้องฟ้า ที่หิมะแรกกำลังโปรยปรายลงมา

     

    เซฮุนยื่นมือไปจับเกล็ดหิมะที่ปลิวผ่านหน้าเขาเอาไว้ เฝ้ามองเกล็ดน้ำแข็งค่อยๆละลายลงเพราะความร้อนจากตัวเขา ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างออกมา สองเท้าพาเขาก้าวเดินไปยังร้านขายต้นไม้ของจุนมยอนที่เขาแวะเวียนมาเป็นประจำจนแทบจะกลายเป็นผนักงานของร้านนี้ไปซะแล้ว

     

    เซฮุนหยุดยืนอยู่ชั่วครู่พลางสำรวจเสื้อผ้าของตัวเองแล้วพยายามจะจัดมันให้เขาที่ข้างทาง ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะพิถีพิถันกับการแต่งตัว แต่ทุกครั้งที่ต้องมายืนต่อหน้าพี่มินซอกของเขา เขาจะต้องเสียเวลาไปกับการเลือกเสื้อผ้าแล้วถามย้ำความมั่นใจจากคนเป็นแม่ก่อนเสมอ

     

    มือเรียวดันบานประตูตรงหน้าออกแรงเพียงเบาๆมันก็เปิดออก พร้อมเสียงกรุ้งกริ๊งของโมบายที่แขนอยู่ เซฮุนกวาดตามองไปรอบๆร้านที่เมื่อไม่เห็นคนที่คิดว่าน่าจะเตรียมตัวรอให้เขามารับ แต่ไร้วี่แววของใครสักคนในร้าน มีเพียงเสื้อโค้ทสีดำสนิทวางพาดอยู่บนชุดเก้าอี้กลางร้าน ซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่ใช่ของมินซอกหรือจุนมยอนเพราะขนาดที่ใหญ่โตของมัน

     

    “ลูกค้าลืมไว้งั้นเหรอ” เซฮุนบ่นพึมพำ แต่เสียงของมินซอกที่พูดอะไรสักอย่างอยู่หลังร้านก็ดึงความสนใจของเขาไปแทน เพราะเสียงทุ้มต่ำของคู่สนทนาที่ไม่ว่าจะฟังยังไงก็ไม่ใช่เสียงของจุนมยอนอย่างแน่นอน

     

    เซฮุนวางช่อกุหลาบไว้บนเคาน์เตอร์แล้วดันประตูเคาน์เตอร์ให้เปิดออกก่อนจะก้าวอย่างแผ่วเบาตรงไปที่ประตูทางเข้าหลังร้าน แนบใบหน้าไปกับประตูเพื่อรอฟังเสียงพูดคุยนั้นต่อ แต่ดูเหมือนเสียงนั้นจะเงียบไปแล้ว

     

    เซฮุนถอยออกมาแล้วแล้วยืนรีรอว่าเขาควรจะเปิดเข้าไปดีไหม แต่สุดท้ายมือที่กำรอบลูกบิดประตูก็ค่อยๆหมุนมันให้เปิดออกอย่างระมัดระวัง แรงบีบที่ลูกบิดเพิ่มมากขึ้น จนแทบจะให้มันแหลกคามือเพราะภาพของคนสองคนตรงหน้าที่กำลังจูบกันอยู่ เขารู้สึกได้ถึงเส้นเลือดที่ขมับที่กำลังเต้นตุบอยู่ว่ามันเต้นแรงแค่ไหน หรือแม้แต่ตอนที่ปล่อยมือจากลูกบิดแล้วกำหมัดแน่น อีกความรู้สึกที่ตามมาคือผิดหวัง และก่อนที่เซฮุนจะรู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไร บานประตูก็ถูกกระชากให้เปิดออกอย่างแรง สองคนตรงหน้าเขาสะดุ้งก่อนจะผละจากกัน และก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ทำอะไรต่อ เซฮุนก็พุ่งเข้าไปก่อนจะปล่อยมัดใส่คนที่ตัวสูงกว่าเขาเกือบหกเซน

     

    “แกเป็นใคร ไอ้ทุเรศ”

     

    “เซฮุน” มินซอกรีบเข้ามาจับแขนของเซฮุนเอาไว้ ห่อนที่อีกฝ่ายจะปล่อยหมัดใส่หน้าคู่กรณี แต่เซฮุนกับสะบัดมือหนีแล้วปล่อยหมัดใส่หน้าอีกฝ่าย แต่คราวนี้อีกคนกับรับหมัดของเขาไว้ด้วยมือข้างเดียว

     

    รอยยิ้มหยันและสายตาดูถูกที่ส่งมาจากคนตรงหน้าทำให้เซฮุนยืนหน้าชา  แต่ก็ไม่เท่ากับประโยคร้ายกาจนั่นที่ทำให้เขาได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

     

    “คนไร้ค่าที่ไม่มีอะไรแบนี้น่ะเหรอ ที่เจ้ายอมลดตัวมาผูกพัน มินซอก”

     

    “ไม่ใช่เรื่องของนาย” มินซอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างจนเซฮุนได้แต่แปลกใจ และไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งๆที่เพิ่งจูบกันต่อหน้าเขาเมื่อครู่ แต่ในน้ำเสียงของมินซอกกลับแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด

     

    คนตรงหน้าเขากระตุกยิ้ม “อย่าลืมที่เราคุยกันล่ะ”

     

    เซฮุนไม่รู้ว่า ไอ้ประโยคอย่าลืมที่เราคุยกันมันหมายถึงอะไร และเขาก็ไม่อยากรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เขายืนกำหมัดแน่นตอนที่ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นดังห่างออกไป

     

    เซอุนเหลือบมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของเขา สองมือกำหมัดแน่น

     

    อยากขยี้ให้แหลกคามือ อยากทำลาย อยากทำร้ายอีกคน เมื่อรู้สึกว่าความรักของเขากำลังถูกเหยียบย่ำ ความโกรธอัดแน่นอยู่ในใจจนไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันยังไงดี และสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดออกก็มาพร้อมกับเสียงกรีดร้องห้ามให้หยุด เมื่อเซฮุนรัวหมัดใส่ผนังห้องอย่างแรง เลือดค่อยค่อยๆไหลซึมจากข้อมือที่แตกยามที่ปะทะกับผนังปูน

     

    “พอเถอะเซฮุน ฉันบอกให้หยุดไง” มินซอกร้องไห้ออกมาตอนที่พยายามจะกุมรอบหมัดขอเซฮุนเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายตัวเอง จนเซฮุนหยุดการกระทำนั้น มินซอกถึงได้เปลี่ยนมาลูบไปบนรอยแผลของเซฮุนอย่างเบามือ

     

    “เจ็บมากรึเปล่า”

     

    “หมายถึงตรงไหนล่ะ” มินซอกช้อนตาขึ้นมองคนถามคำถามนั้นด้วยดวงตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน “ถ้าที่มือผมไม่เจ็บหรอก แต่ถ้าที่ใจผมเจ็บมาก” เซฮุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนท้ายประโยคแทบจะกลืนหายไปในลำคอ

     

     

    ไม่มีคำพูดใดจากมินซอก เมื่ออีกคนเลือกที่จะก้มหน้ามองมือที่มีแต่รอยเลือดของเซฮุน และเพราะท่าทางแบบนั้นมันยิ่งเป็นการยั่วยุให้ความโกรธในใจของเด็กหนุ่มคุกรุ่น

     

    เซฮุนดึงมือออกอย่างหงุดหงิด พยายามทำใจให้เย็นลงด้วยการมองเลยอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปหยุดสายตาที่ผนังห้องฝั่งตรงข้าม

     

    "นายไม่เชื่อใจพี่รึไง"

     

    "ผมหิวแล้ว เราจะไปกันได้รึยัง" เซฮุนพูดแล้วหันหลังเดินออกไปทางหน้าร้านโดยไม่สนใจมินซอกที่ยืนอยู่เลยสักนิด

     

    เทพตัวเล็กเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ตอนที่มองแผ่นหลังของเซฮุนที่เดินอยู่ข้างหน้า เหลือบมองช่อกุหลาบที่ถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะรีบหยิบมันขึ้นมาประคองไว้ในอ้อมกอด

     

    เซฮุนออกรถแทบจะทันทีที่มินซอกก้าวขึ้นมาบนรถ เขาไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าอีกคนจะคาดเข้มขัดหรือแม้แต่จะปิดประตูรถแล้วหรือยัง

     

    เซฮุนแค่อยากทำให้อีกคนได้รับรู้ความโกรธในใจของเขา

     

    ยิ่งคิดถึงตอนที่ใครหน้าไหนก็ไม่รู้มาจูบคนของเขา

     

    มันก็แทบทำให้เขาคลั่งตายได้อยู่แล้ว

     

    แต่นี่พี่มินซอกของเขากลับทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเห็นเขาเป็นไอ้งั่ง

     

    ยิ่งคิดมือที่ประคองพวงมาลัยอยู่ก็ยิ่งกำแน่นจนแทบจะให้มันแหลกคามือ

     

    ระดับความเร็วของรถที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกระทันหันทำให้มินซอกต้องเอ่ยเตือยสติอีกฝ่าย

     

    "เซฮุน นายกำลังขาดสตินะรู้ตัวไหม"

     

    เซฮุนไม่ตอบเพียงแค่แค่นยิ้มออกมาแล้วเหยียบคันเร่งลงไปอีก เข็มไมล์ค่อยๆไต่ระดับขึ้นพร้อมกับความเร็วของรถคันเล็กที่พุ่งออกไปในความมืดของยามราตรีราวกับลูกธนูที่ออกจากแหล่ง

     

    "นายอาจจะไม่เชื่อ แต่พี่รักนายมาก จนไม่มีใครสามารถมาแทนที่ของนายในใจพี่ได้"

     

    "หึ งั้นเหรอ" เอ่ยถามด้วยคำสั้นๆทั้งๆที่ในใจเขากำลังตะโกนคำว่าโกหก อยู่ดังลั่น

     

    เซฮุนมองตรงไปเบื้องหน้า เพ่งมองตำแหน่งที่ไฟหน้ารถส่องกระทบกับหิมะที่ตกลงมาเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลริน

     

    มินซอกคลี่ยิ้มน้อยๆ ตอนที่เอื้อมมือไปสัมผัสกับแหวนบนนิ้วของตัวเองมันสลักลายเถากุหลาบเช่นเดียวกับของเซฮุนเอาไว้

     

    "เกลียดฉันมากเหรอเซฮุน โกรธมากใช่ไหม เด็กดีของฉัน แต่ไม่ว่ายังไง พี่ก็รักได้แค่นายคนเดียว"

     

    เซฮุนหันมองใบหน้าของอีกคนที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา เพียงแค่นั้นก็ทำเอาใจของเขาถึงกับอ่อนยวบ

     

    "ผม...-"

     

    "เซฮุนระวัง!!!"

     

    เสียงเตือนของมินซอกดังขึ้นก่อนที่เซฮุนจะทันได้ตั้งตัว แสงไฟสว่างที่สาดเข้ามาเต็มสองตาทำให้เซฮุนรีบหักพวงมาลัยหลบอย่างกระทันหัน

     

    เอี๊ยดดดดดดดดดด...

     

    โครมม!!

     

    เสียงยุบของโครงเหล็กดังสนั่นไปทั่วบริเวณเมื่อบรรทุกคันใหญ่ชนเข้ากับรถเต่าอย่างจังจนรถคันเล็กหมุนคว้างอยู่กลางพื้นถนนที่ลื่นจากหิมะ

     

    มันหมุนอย่างเสียงการทรงตัวอยู่ครู่ก่อนจะลื่นไถลไปฟาดกับขอบกั้นทางที่กระแทกเข้ากับด้านข้างของตัวรถฝั่งคนขับ

    โครงส่วนหน้ารถบุบจากแรงกระแทกอัดเข้ามาทับตรงช่วงท้องของคนที่นั่งด้านใน

     

     

    …………..

     

     

    กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่ว สิ่งที่เซฮุนมองเห็นคือร่างของพี่มินซอกของเขาที่เลือดท่วมตัว

     

    "พี่...มิ.น ซอ..ก" เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเพราะแผ่นหลังของเขาที่เจ็บราวทุกครั้งที่เปล่งเสียง เลือดเคล้าน้ำตาไหลซึมเข้าปากของเขารสชาติของมันน่าสะอิดสะเอียนจนเซฮุนนึกรังเกียจ กลิ่นคาวของมันที่ชวนให้คลื่นไส้

     

    "พี่ไม่เป็นไรหรอกเซฮุน" ลิ่มเลือดค่อยๆไหลออกจากรอยแตกที่ขมับของมินซอกจนฉาบใบหน้าขาวให้เปื้อนไปด้วยสีแดงของเลือด มือเล็กที่เต็มไปด้วยเลือดเอื้อมไปแตะใบหน้าของเซฮุนอย่างแผ่วเบา "หลับตาลงสิเซฮุน"

     

    "มะ-" พร้อมๆจะเอ่ยปฏิเสธทั้งน้ำตาแต่มือที่สัมผัสอยู่บนใบหน้าคล้ายจะบังคับกลายๆให้เขาทำตาม

     

    “อดทนไว้นะครับ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราแล้ว” เซฮุนเอ่ย เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ไม่ไกล

     

    “เซฮุน อย่าเสียใจเพราะเรื่องในวันนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนาย ... ต้อง เข้มแข็งนะรู้ไหม... ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเกิด ...จากการตัดสินใจของพี่”

     

    “พี่มินซอก หยุดพูดเถอะ แค่อยู่นิ่งๆ พี่เลือดออกมากแล้วนะ”

     

    "ถ้าพี่ไม่พูดตอนนี้ ... พี่อาจไม่มีโอกาส ... ได้พูดมันอีกแล้ว” มินซอกมองใบหน้าของเซฮุนที่หลับตาอยู่ พลางลูบนิ้วไปบนใบหน้าที่แสนรัก

     

    ตา จมูก ปาก ทุกส่วนที่มือของเขาจะสามารถสัมผัสได้ และจดจำมันเอาไว้ ตราบนานเท่านาน

     

    “พี่ รักนาย เซฮุน”

     

    เสียงบอกรักดังแผ่วเบาพร้อมกับมือที่ลูบใบหน้าเขาอยู่เมื่อครู่จะตกลงมาฟาดที่ไหล่ของเขา

     

    เซฮุนหลับตาแน่น ได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองความจริงตรงหน้า

     

    ความจริงที่ว่าหนึ่งคนที่เป็นดั่งดวงใจได้จากเขาไปตลอดกาล

     

    To be continued



    ให้เซฮุนออกมากับมินซอกทั้งทีก็ฉากสะเทือนใจกันเลยทีเดียว แต่แอบกระซิบว่า มันมีอะไรมากกว่าที่ทุกคนอ่านนะคะ 555
    อย่าเชื่อคนแต่งมากก็ได้นะคะ
    คำใบ้สำหรับตอนหน้า "บางสิ่งที่เราคิดไม่ถึงมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ"
    ไปดีกว่า 5555
    jyploy 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×