Ong Seongwu's part
ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าระหว่างผืนฟ้าในค่ำคืนนี้กับความรู้สึกของตัวเองอะไรจะมืดมนได้มากกว่ากัน รู้เพียงแต่ควอทโทรปอร์เต้คันสีเทาหม่นกำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังหนึ่งโดยมีตัวเองเป็นคนบังคับพวงมาลัย สูทสีเทาดำเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานและเลือกใส่มันในวันที่มีงานสำคัญเช่นวันนี้
พิธีสมรสของลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท ซึ่งเคยเป็นเพื่อนของผมมาตั้งแต่เล็กๆ
เราก้าวผ่านช่วงเวลา ในขณะที่เผลอทำใครหลายคนหล่นหายไปจากชีวิต
ดังนั้นผมจึงมีความสุขมาก เหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสู่อดีตที่เคยสดใส รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำที่งดงาม
"โห ไม่เจอกันตั้งนาน เจอกันอีกทีก็งานแต่งไอ้มินฮยอกเลยว่ะ ฮ่าๆ"
เควินหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นผมก็เข้าไปทักทายอย่างเป็นกันเอง เหมือนเจ้าตัวจะชะงักไปพักใหญ่เพราะจำกันไม่ได้แต่ในที่สุดรอยยิ้มที่ผมเคยเห็นก็ปรากฏคืนมา มือใหญ่กระชับเข้ากับฝ่ามือที่เล็กกว่าของผมในขณะที่มืออีกข้างวาดแขนขึ้นตบเข้าที่บ่า นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่มันย้ายไปเรียนอยู่ออสเตรเลีย แถมยังไม่ส่งข่าวคราวจนทุกคนคิดว่ามันลืมกันไปแล้วเสียอีก
"แล้วมินฮยอนมันหายไปไหนวะ"
"มันบินไปจีนเมื่อวานว่ะ กระทันหันเลยมาไม่ได้"
"อ้าว"
"แล้วมึงบินอีกทีเมื่อไร นานๆมาเจอกันสักทีไปหาไรกินกันหน่อยเหอะ"
"เสียใจด้วยนะครับคุณซองอู กูบินกลับมะรืนนี้แล้วว่ะ"
"โห่ไอสัส ไม่ใจเลย !"
ผมด่ามันไปแต่สุดท้ายก็ได้เพียงเสียงหัวเราะชอบใจกลับคืนมา ก่อนเควินจะขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นๆในงานเช่นเดียวกันกับผมที่ปลีกตัวออกมาทักทายคนรู้จักอีกไม่น้อยซึ่งอยู่ในงานคืนนี้
ไม่นานนักสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงของคนสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
พ่อ ...และดาเนียล
สมองพลันคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อหลายวันก่อน จากเรื่องเล็กน้อยที่รวมๆกันแล้วหลากหลายเรื่อง ทุกอย่างประกอบกันเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอจะทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ จากที่เกลียดอยู่แล้วก็กลายเป็นเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้พวกเราจะได้มีโอกาสคุยกันเยอะขึ้นก็ตามเถอะ
ขาทั้งสองก้าวตรงไปยังจุดหมายในทันที แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวคนทั้งสอง ร่างผอมบางของหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้เขยิบเข้ามาขวางผม รอยยิ้มหวานที่เคลือบด้วยลิปสติกที่ชมพูอ่อนดูเป็นมิตรเสียจนคลับคล้ายคลับคลาว่าเราอาจจะเคยรู้จักกันมาก่อน
"สวัสดีค่ะพี่ซองอู ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะ"
ดวงตาคู่โตฉายแววเป็นประกาย เธอยื่นมือเข้ามาทักทายโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าผมก็ส่งมือออกไปตอบรับตามมารยาท แม้ในใจจะนึกชื่อของคนตรงหน้าอยู่นานสองนาน
"พี่ซองอูจำฉันได้หรือเปล่าคะเนี่ย ฉันไง อึนฮาเอง"
จำได้ว่าผมร้องอ๋อเสียงดังมาก คาดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เคยอยู่บ้านข้างๆกันมาก่อน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอื่นและเป็นตระกูลองเองที่ซื้อที่ดินผืนนั้นมาทำการต่อเติม ผมส่งยิ้มกว้างกลับไป ท่าทางของพวกเราดีใจเหมือนคนที่ตามหาของหายแล้วสุดท้ายก็ได้พบมัน เสียงพูดคุยถึงเรื่องลมฟ้าอากาศดังอยู่พักใหญ่ก่อนเราทั้งสองจะแยกออกจากกันเพื่อเดินไปทักทายแขกคนอื่น
ภาพความทรงจำเก่าๆเริ่มย้อนกลับคืนมา ราวกับเทปที่ถูกกรอครั้งแล้วครั้งเล่า
ผมทักทายคนรู้จักมากมายหลังจากงานเริ่มไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง รอยยิ้มกว้างถูกส่งไปอย่างอัตโนมัติยามที่มีคำกล่าวทักทายจากผู้คนมากหน้าหลายตา เพื่อน ญาติห่างๆ หรือแม้กระทั่งพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
แต่ทั้งหมดที่ผมพบก็คงไม่มีใครเหมือนกับเธอคนนี้
"ซองอู มานี่หน่อยสิลูก"
ผู้หญิงวัยกลางคนกวักมือเรียกผม ใบหน้าคมที่แม้เวลาจะพรากความเยาว์วัยไปจากเธอแต่ก็ไม่ทำให้เจ้าของใบหน้านั้นดูด้อยลงไปเลยสักนิด ผมจำเธอได้ถนัดใจ เมื่อเจ้าของเสียงนั้นคือพนักงานเก่าในบริษัทของพ่อผมเอง
"สบายดีไหม น้าไม่ได้เจอเราตั้งนานแน่ะ วันไหนว่างๆจะเข้าไปหาหนูนะ"
เธอไม่ได้ทำงานกับพ่อผมแล้ว แม้ไม่อาจทราบถึงสาเหตุแต่ผมก็คิดว่าเธอเป็นคนที่ดีในระดับหนึ่ง
"สบายดีครับ"
ผมยิ้มรับ โค้งศีรษะลงเพื่อขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่มอบให้ เธอคลี่ยิ้มจางๆก่อนจะพูดประโยคถัดไปที่ทำให้คนฟังสะอึกไปเล็กน้อย
"ได้ข่าวว่าคุณพ่อมีภรรยาใหม่เหรอ"
คนรอบตัวรู้ดีว่านี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ผมไม่ชอบหยิบยกมาพูดสักเท่าไร เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว ชีวิตของผมก็ดำเนินมาด้วยความสมบูรณ์แบบอยู่ตลอด มีคุณพ่อ คุณแม่ แม่บ้าน มีที่อยู่อาศัย มีครอบครัวที่อบอุ่นและทรัพย์สินมากมายที่ทำให้ผมใช้ชีวิตไปโดยไม่ต้องกังวล ทุกอย่างที่ผมมีมันดีมาตลอดจนกระทั่งวันที่สองแม่ลูกนั้นเข้ามาอยู่อาศัยภายใต้ชายคาเดียวกัน
และวันนั้น ...ที่ผมรู้สึกว่าผมนั้นสูญเสียในสิ่งที่ควรเป็นของตัวเอง
"อ่า ....ใช่ครับ"
เสียงนุ่มๆตอบไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไร
"แล้วเธอคนนั้นใช่เยบินหรือเปล่า ที่เขาเคยพูดๆกัน"
เธอยังถามจี้ไม่หยุดจนผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจและหาโอกาสปลีกตัวออกมาบ้าง แต่อารมณ์ที่คุกกรุ่นคงมีไม่มากเท่าความอยากรู้ของอีกคน เพราะหญิงสาววัยกลางคนยังคงต่อบทสนทนาต่อไปเรื่อยๆราวกับครอบครัวผมเป็นหัวข้อสำคัญในงานอย่างไรก็อย่างนั้น
"โอ้โห น้าไม่คิดเลยนะว่าคุณเยบินจะทำแบบนี้"
"ช่วงนั้นมีคนชอบพูดอยู่บ่อยๆด้วยว่าครอบครัวเธอน่ะถังแตก เป็นหนี้เป็นสินจนต้องเลิกกับสามีคนเก่า"
"คุณซองอุคไม่น่ามองคนผิดเลย"
"แล้วนี่คุณมินอาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ คุณแม่ของเราสบายดีใช่มั้ย"
"แม่เธอก็ใจกว้างเหลือเกิน ปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน"
"อย่าหาว่าน้าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะจ๊ะ ถ้าเป็นน้าน้าไม่ยอมหรอก"
"มีครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่แล้วไม่รู้จะไปหาเศษหาเลยอีกทำไม"
"เฮ้อ พูดแล้วก็สงสารเราจังเลยซองอู"
"ไม่ว่ายังไงก็ต้องเข้มแข็งนะ"
ถ้าเป็นปกติแล้วผมคงด่าคนๆนั้นกลับไปโดยไม่เก็บเอาคำพูดไร้สาระมาคิดให้มาก แต่ในวันนี้ทุกอย่างแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง สมองของผมยังคงจดจำและประมวลผลคำพูดเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ผมจำได้แม่น ทุกประโยค ทุกถ้อยคำยังคงชัดเจนราวกับสลักเอาไว้ในความทรงจำ
และใช่ ...ผมไม่ชอบเวลาที่ใครสงสารผม
ไม่เคยชอบเลยสักครั้งเมื่อสิ่งที่ผมเคยมีโดนพรากจากไปเพราะใครบางคน ...ผมไม่เคยจัดการความรู้สึกเหล่านี้ให้หายไปได้
ตรงกันข้าม ....ทั้งหมดล้วนตกตะกอนกลายเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ และยากเกินกว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ผมกล่าวขอโทษและขอตัวออกมาจากบทสนทนาอันยุ่งเหยิงตรงหน้า ทิ้งให้หญิงสาววัยกลางคนยิ้มเจื่อนอยู่ท่ามกลางฝูงคนจำนวนไม่น้อย ในเมื่อเธอไม่รักษามารยาทในการพูดคุยก็ไม่มีความจำเป็นให้ผมต้องใส่ใจเธอมากนัก แต่สิ่งถัดมาที่ผมได้รับกลับแย่กว่าการยืนอยู่ตรงที่เดิม
เท้ายาวเก้าตรงไปหา 'ครอบครัว' ที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก พวกเรานั่งลงในส่วนที่เจ้าของงานจัดไว้ให้ แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเท่าไหร่เมื่อบริเวณนี้เป็นส่วนที่ผู้คนเดินผ่านไปมา
และมันก็ทำให้ผมได้รับสายตาเคลือบแคลงจากทุกคนที่เดินผ่านผมไปอย่างไม่มีปิดบัง
"นั่นก็เมียอีกคนของเค้าไง"
"นี่เธอไม่รู้หรอ นั่นน่ะบ้านเล็กของคุณซองอุคเค้า"
"นั่นน่ะลูกเลี้ยง ส่วนคนนี้น่ะลูกแท้ๆ"
"กล้าพามาออกงานทั้งสองคนเลยนะ"
ผมกำมือแน่น รู้สึกได้ถึงความเจ็บที่แผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย ชาไปทั้งตัวเมื่อประโยคเหล่านั้นยังคงวนเวียนและตอกย้ำถึงความจริงของพวกเรา สิ่งที่ผมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทุกประโยคยังคงชัดเจนอยู่ในหู คำพูดมากมายที่พวกเขาก็แค่ปลดปล่อยวาจาร้ายกาจออกมาด้วยความสนุกปาก
โดยที่เขาคงนึกไม่ถึงว่าหัวใจของคนฟังได้แหลกเป็นเสี่ยงๆ
คุณใช้เวลาพูดแค่ไม่กี่นาที แต่เวลาที่เหลือหลังจากนั้นของคนฟังต้องเสียไปกับการคิดทบทวนคำพูดของคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รู้ดีว่าไม่ควรให้ค่ากับคำพูดที่เสียดแทงความรู้สึก ...แต่ท้ายที่สุด ผมก็แค่คนๆหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจ และมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
50% is loading
"มองอะไร"
ผมเอ่ยถามเมื่อเหลือบเห็นสายตาจากร่างสูงที่นั่งอยู่ถัดไป เจ้าของใบหน้าเรียวส่งยิ้มให้ผมจางๆ
"ไปเดินดูภาพตรงนู้นกับผมมั้ย"
ถ้าให้เดา ดาเนียลคงได้ยินคนอื่นพูดเรื่องครอบครัวจนเจ้าตัวพลอยรู้สึกแย่ไปด้วยจึงชวนผมออกไปจากบรรยากาศหม่นๆแถวนี้ ผมไม่ได้ตอบรับ แค่พยักหน้าเบาๆก่อนดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก่อนที่เราจะได้ลุกออกไปเสียงของคุณพ่อก็ดังขึ้น
"ลูกจะไปไหนกัน"
ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยไปตามวัยหันมามองผมสลับกับร่างสูงที่ยืนข้างกันก่อนจะลากตัวพวกเราให้เดินตามไป เพราะวันนี้แขกในงานเกินครึ่งหนึ่งเป็นคนที่พ่อของผมรู้จัก รอยยิ้มและคำทักทายจึงถูกส่งมาหาครอบครัวของเรามากเสียจนผมนับได้ไม่หมด พลางเรียวขาก็ก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาววัยกลางคนท่านหนึ่ง
คนที่ผมได้พูดคุยกับเธอไปเมื่อไม่นานมานี้
"สบายดีไหม น้าไม่ได้เจอเราตั้งนานแน่ะ วันไหนว่างๆจะเข้าไปหาหนูนะ"
"ได้ข่าวว่าคุณพ่อมีภรรยาใหม่เหรอ"
"โอ้โห น้าไม่คิดเลยนะว่าคุณเยบินจะทำแบบนี้"
"ช่วงนั้นมีคนชอบพูดอยู่บ่อยๆด้วยว่าครอบครัวเธอน่ะถังแตก เป็นหนี้เป็นสินจนต้องเลิกกับสามีคนเก่า"
"คุณซองอุคไม่น่ามองคนผิดเลย"
"แล้วนี่คุณมินอาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ คุณแม่ของเราสบายดีใช่มั้ย"
"แม่เธอก็ใจกว้างเหลือเกิน ปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน"
เธอระบายยิ้มกว้างเหมือนนี่เป็นครั้งแรกของวันที่ได้เจอหน้าผม ทั้งที่จริงๆแล้วเราพึ่งคุยกันไปด้วยซ้ำ
"สวัสดีครับ"
มือผอมๆของคุณพ่อยื่นออกไปทักทายอย่างเป็นกันเอง ด้วยความที่เธอเคยทำงานที่บริษัทของเราผมจึงไม่แปลกใจที่พวกท่านดูสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ในขณะที่ร่างสูงข้างๆผมกลับมองด้วยความสงสัย ใบหน้าเรียวขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากันราวกับใช้ความคิดอย่างหนัก นั่นก็เป็นเพราะดาเนียลย้ายไปเรียนต่างประเทศเลยทำให้เจ้าตัวไม่ได้รู้ข่าวคราวอะไรมากนัก
"ไม่เจอกันนานเลยนะคะคุณซองอุค"
"คิดไว้แล้วว่าจะต้องได้เจอคุณที่นี่ สบายดีใช่ไหมครับ"
"ดิฉันสบายดีค่ะ คุณซองอุคกับครอบครัวล่ะคะ"
"สบายดีครับ ลูกสวัสดีคุณน้ากันก่อนนะ ท่านเคยทำงานที่บริษัทของเรา"
ผมโค้งทักทายในขณะที่ร่างสูงก็ทำไม่ต่างกัน เธอหันมายิ้มให้ผมสลับกับดาเนียลเป็นระยะๆ แววตาคู่นั้นดูมีพิรุธคล้ายกับว่ามีอะไรจะเอ่ยออกมา
"แล้วลูกชายคุณซองอุคสบายดีใช่ไหมคะ หนูซองอูนน่ะ"
"ฮ่าๆ สบายดีครับ นี่องซองอู และนี่ก็คังดาเนียลลูกชายของผม"
"อ่า หนูนี่เองที่เป็นลูกชายของเยบินใช่ไหมจ๊ะ"
น้ำเสียงเย็นๆกับรอยยิ้มที่มุมปากถูกส่งมายังคนข้างๆด้วยความสะใจ แวบนึงที่ผมเห็นแววตาของดาเนียลชะงักไปก่อนจะยื่นมือไปทักทายคนตรงหน้าพร้อมกับพยักหน้ารับ
"ตายแล้ว หนูจะพยักหน้าตอบผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ได้นะจ๊ะ"
เธอหัวเราะร่วน ผมได้แต่ยืนมองสถานการณ์ตรงหน้าที่เริ่มจะปั่นปวน
มันออกจะน่าอายแต่คิดๆดูแล้วก็สนุกดี
เพราะคนที่ควรจะอายไม่ใช่ผม ...แต่เป็นดาเนียลต่างหาก
"เป็นยังไงบ้างจ๊ะ สบายดีใช่ไหม ถ้าให้น้าเดาตั้งแต่หนูเข้ามาอยู่กับพ่อใหม่คงมีความสุขมากๆเลยใช่ไหมจ๊ะ"
มันเริ่มแล้วล่ะ
"เอ่อ"
ดาเนียลเอ่ยเพียงแค่นั้นก็เสียงในคอจะกลืนหายไป
"แน่นอนครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้ลูกลำบากหรอก เพราะจริงๆดาเนียลเขาก็เป็นเด็กที่มีความสุขมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
"ผมแค่อยากให้เด็กๆได้มาอยู่ด้วยกันก็เลยขอให้เยบินพาลูกเข้ามาอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของครอบครัวผมหรอกครับ เด็กพวกนี้น่ะมีความสุขดีแน่ๆ"
"อ๋อ ใช่เลยสินะ ลืมไปเลยว่าดาเนียลอยู่กับคุณแม่แค่สองคน คุณซองอุคก็คงเลี้ยงหนูมาเป็นอย่างดีเลยใช่ไหมจ๊ะ"
"อ่า ใช่ครับ คุณพ่อเลี้ยงผมมาดีมากๆ ผมเลยมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ครับ"
แววตาจริงจังถูกส่งกลับไปให้คนถามหน้าชาไปเล็กน้อย เธอยิ้มเจื่อนๆตั้งแต่คุณพ่อตอบคำถามแทนดาเนียล และนั่นก็เรียกความหงุดหงิดให้กับผมไม่มากก็น้อย
ไม่เห็นจำเป็นจะต้องป่าวประกาศให้ใครรู้
"มีความสุขก็ดีแล้วจ้ะ แต่หนูอย่าลืมนึกถึงความรู้สึกของคนในบ้านที่เขาเลี้ยงดูเรามาด้วยนะจ๊ะ น้าเองไม่ได้อยากจะสอนหรอกแต่เรารู้ดีว่าตัวเราเป็นใคร ทำอะไรก็ต้องเจียมตัวอย่าให้ใครเขาเอาไปพูดได้"
ผมยกยิ้มที่มุมปาก อารมณ์เหมือนคนที่กำลังนั่งดูละครน้ำเน่าในทีวีแล้วพบว่ามันใกล้เคียงกับชีวิตตัวเองเกินไป มันช่างน่าสมเพชที่เรื่องของเราต้องกลายไปเป็นขี้ปากของคนอื่น ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขาด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไปกว่านั้นเมื่อฝ่ามือของคนข้างๆกำเข้าหากันแน่น พยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ให้ลึกจนไม่มีใครค้นถึง
แต่เพียงแค่สะกิดนิดเดียว ผมรู้ดีว่ามันคงได้ระเบิดออกมาแน่นอน
"ผมกับลูกๆขอตัวก่อนนะครับ"
ผู้เป็นพ่อตบไหล่เราเบาๆเป็นเชิงบังคับให้เดินตามไป แต่ก่อนที่ผมจะเดินผ่านคู่สนทนาได้พ้น เสียงหวานๆก็เอ่ยเชิญผมอย่างเป็นกันเอง
"วันไหนมาทานข้าวที่บ้านน้าได้นะจ๊ะ จะเตรียมอาหารที่หนูชอบไว้เลย ชวนน้องชายหนูมาด้วยก็ได้นะ"
"ยินดีครับคุณน้า แต่ผมต้องขอโทษด้วยเพราะผมเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้องอย่างที่คุณน้าเข้าใจผิดครับ"
เวลากำลังนับถอยหลัง
เพื่อที่จะให้ระเบิดลูกนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ระเบิดอารมณ์ที่ผมสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง
"องซองอู!"
เสียงเข้มตะโกนดังขึ้น ไม่สนใจเลยว่าบริเวณนั้นมีคนอยู่เยอะเท่าไร สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เราสี่คนด้วยความใส่ใจก่อนที่พวกเราทั้งสามจะเดินออกไปจากบริเวณนั้น
จนในที่สุด ผม ดาเนียล และคุณพ่อก็ไปอยู่ตรงโรงจอดรถที่เวลานี้ไม่มีใครอีกเลย ใบหน้าที่คล้ายกันกับผมแต่สูงวัยกว่ามองจ้องด้วยความไม่พอใจพร้อมกับลมหายใจแรงๆที่พ่นออกมา ผมรู้สึกถึงก้อนที่ลำคอจนไม่สามารถจะกลืนน้ำลายลงได้ รู้สึกถึงความเห่อร้อนทั่วใบหน้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธ ผิดหวัง หรือเสียใจที่ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้
ผมไม่เคยโดนพ่อตวาดใส่ ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวตั้งแต่จำความได้ พ่อเป็นคนที่ใจดี ถึงแม้จะเป็นระเบียบแต่ก็ไม่เคยพูดจาทำร้ายน้ำใจของผม แต่ในเวลานี้ สิ่งที่ผมได้รับกลับมีแต่ความไม่พอใจ สายตาที่ส่งมาคล้ายกับจะผิดหวังในตัวผม
ทั้งๆที่ผมยังเป็นองซองอู ลูกชายคนเดิมขององซองอุค แต่บางสิ่งกลับทำให้ระยะห่างระหว่างผมกับพ่อมันเพิ่มขึ้น
บางสิ่งที่ผมคิดว่าคือ คังดาเนียล
และระเบิดเวลาที่ผมสร้างขึ้นมา ผมไม่ได้ใช้มันกับดาเนียล
แต่กลับกลายเป็นพ่อ ....พ่อของผมเอง
"ขอโทษน้องซะ"
คุณพ่อคาดคั้นให้ผมทำตามที่ท่านบอก มือทั้งสองข้างกำแน่น รู้สึกถึงไหล่ที่เริ่มสั่นเทาไปด้วยความโมโห
ผมส่ายหน้า
ปฏิเสธโดยไร้ซึ่งคำพูด
"พ่อบอกให้ลูกขอโทษ ....ที่พูดจาแบบนั้นออกไป"
"...."
"องซองอู"
"...."
"...."
"ผมพูดผิดตรงไหน"
พยายามบังคับเสียงที่พูดออกมาให้เป็นปกติ สวนทางกับความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นอยู่เต็มอก ผมไม่สนใจหรอกว่าดาเนียลจะยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่ เพราะคนที่ผมแคร์ที่สุดในตอนนี้คือพ่อ พ่อที่ดูจะแคร์แต่ดาเนียลจนอาจลืมไปว่าผมเองก็มีหัวใจ มีความรู้สึก
ไม่มีใครชอบที่จะโดนแย่งความรักไป
ไม่มีใครชอบที่จะต้องแบ่งของที่ตัวเองรักให้คนอื่น
ผมไม่ได้เห็นแก่ตัว ....แต่ผู้ใหญ่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว รักแต่ตัวเองจนมองข้ามความรู้สึกของลูกที่เขาได้ให้กำเนิดขึ้นมาด้วยความรัก
ท้ายที่สุดเขาก็ลืมไปว่าเด็กคนนั้นก็ต้องการความรักไม่ต่างจากเดิมเลย
"พ่อจะไม่พูดซ้ำ ลูกโตแล้วลูกน่าจะเข้าใจความรู้สึกของน้องบ้าง น้องไม่ใช่เด็กๆที่จะยอมให้ลูกรังแกยังไงก็ได้อีกต่อไปแล้วนะซองอู"
"...."
"ไม่เห็นแก่น้องก็เห็นแก่พ่อบ้างเถอะ"
"พ่อคิดแบบนี้หรอกหรอ..."
ผมถามเสียงเรียบ มันไม่ใช่การยั่วโมโหโดยการใช้คำพูดกวนประสาทหรือวาจาเราะร้ายให้อีกฝ่ายทนไม่ได้เหมือนทุกที มีแค่ประโยคที่ผมกลั่นออกมาจากความคิด และทุกคำผมก็หมายความตามที่พูด ไม่ได้ประชดประชันแต่อย่างใด
ไม่ใช่การทะเลาะเหมือนที่เคย แต่เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ระบายความในใจ ...ที่ไม่เคยมีใครได้ล่วงรู้
"...."
ท่านเงียบ แววตาดูอ่อนลงเมื่อเห็นผมเป็นฝ่ายที่อดทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงสั่นเครือกำลังตั้งใจพูดออกไปอย่างช้าๆ หวังเพียงให้คนตรงหน้าเข้าใจความรู้สึกของผมบ้าง ...สัดนิดก็ยังดี
"ผมไม่คิดว่าการมีครอบครัวใหม่เป็นเรื่องที่ผิด แต่การที่เรามีครอบครัวที่อบอุ่น มีพร้อมทุกอย่างอยู่แล้วเราก็ควรให้เกียรติซึ่งกันและกันบ้าง"
"ถ้ามองอีกมุม ให้คุณแม่มีครอบครัวใหม่แล้วพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาอยู่ที่บ้านในตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อว่ามันน่าอายไหมครับ"
"อย่างนี้พอจะเรียกว่าเห็นแก่ตัวได้ไหมครับ"
"ซองอู!! พ่อรู้ว่าลูกเป็นคนเชื่อมั่นในความคิดตัวเองแต่ไม่เคยคิดเลยว่าลูกจะก้าวร้าวแบบนี้!!"
เสียงที่เงียบหายไปกลับดังขึ้นมาจนไม่สนใจว่ารอบๆนั้นจะมีใครเดินผ่านมาหรือไม่
"ขอโทษดาเนียลเดี๋ยวนี้"
"..ไม่"
"พ่อใจเย็นกับลูกมามากพอแล้ว อย่าให้พ่อต้องหักหาญน้ำใจลูกนะ"
"....."
"ไม่เป็นไรครับ ผมโอเคดี รู้ว่าพี่ซองอูไม่ได้คิดอะไรที่ไม่ดีกับผมหรอก"
เป็นดาเนียลที่พูดขึ้นมาหลังจากเงียบตลอดตั้งแต่เรามาอยู่ตรงนี้ คุณพ่อหันไปมองก่อนหันมามองผมด้วยสายตาเอือมระอา ส่วนดาเนียลเองก็หันมามองผมพร้อมกับสีหน้ารู้สึกผิด
เจ้าตัวคงคิดว่าประโยคน้ำเน่านี้จะเรียกคะแนนสงสารและความเห็นใจจากผมได้
แต่ไม่มีวัน...
ผมเกลียดเขา ยังไงผมก็เกลียดเขา
"พี่ไม่ได้ตั้งใจพูดหรอกครับพ่อ ผมไม่เป็นไร"
"นายอย่ามาทำเป็นรู้จักฉันดี คังดาเนียล"
"....."
"ฉันหมายความตามที่ฉันพูดไปทุกอย่าง ไม่เคยยินดีกับการที่นายเข้ามาเป็นคนในครอบครัว และฉันไม่มีวันยอมรับให้นายเป็นน้องชายของฉันเด็ดขาด"
"ซองอู พ่อไม่เคยสอนให้เราพูดจาแบบนี้นะ!"
"พ่อเองก็ระวังไว้เถอะครับ หลงสองแม่ลูกนี้มากๆระวังพวกมันจะผลาญสมบัติของเราไปจนหมด พวกมันคงอยากให้เราหมดตัวเร็วๆ พวกมันจะได้สบายสักที"
"ส่วนนาย เกาะคนอื่นกินไม่อายหรือไง ฉันไม่เห็นว่าการเป็นเมียน้อยมันน่าภูมิใจตรงไหน"
เพี๊ยะ
ใบหน้าคมหันไปตามแรงจากฝ่ามือผอมๆที่ตรงดิ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงน่าอายเกิดขึ้นเมื่อความอดทนของผู้เป็นพ่อขาดผึงในยามที่ผมได้เอ่ยถ้อยคำร้ายกาจออกไป
เจ็บ
แต่ไม่เจ็บเท่าความรู้สึกที่เสียไปหรอก
หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้นในขณะที่ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม
เหมือนคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก
ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง จะยืนอยู่ตรงนี้หรือแสดงสีหน้ายังไง
ราวกับหัวใจดวงนี้ได้แตกสลายไปพร้อมๆกับความรู้สึกที่เริ่มจะชินชากับสิ่งที่พบเจอ
100% is loading
ขอโทษนะคะที่หายไปนานเลย กลับมาแล้วววว
เอาใจช่วยพี่ซองอูให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยน้าา
ขอบคุณและขอให้มีความสุุขกับการอ่านค่ะ
#เกลียดเนียลอง
Thank you for your attention
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย