คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เด็กเสี่ย : สอง { 2 }
การถ่ายทำวันนี้เรียกได้ว่าเป็นฉากหินเอาการ ตามบทแล้วคิมจงอินจะต้องถูกยิงพร้อมกับเอฟเฟกต์ระเบิดที่ดังขึ้นหลังจากทั้งคู่พากันวิ่งหนีฝ่ายตรงข้ามอย่างหัวซุกหัวซน ซึ่งคนที่จะช่วยพยุงร่างหนาก็คือคนตัวเล็กคู่หูอาชญากรระดับแนวหน้าของโซล ..โด คยองซู
บทละครเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นการโปรโมตชื่อเสียงของทั้งคิมจงอินและโดคยองซู ซึ่งสังเกตได้จากชื่อของตัวละครที่ใช้ชื่อจริงให้ผู้คนจดจำตามคำสั่งของบริษัทต้นสังกัดของทั้งคู่ แต่ความยากคือการที่จับเขาไปลงคิวบู๊ระห่ำโดยที่ไม่ใช้สแตนอินเลย
“อ่านบทแล้วใช่มั้ยคยองซู” ก่อนการถ่ายทำผู้กำกับสุดเนี้ยบก็จัดการเรียกทั้งคู่เข้ามาบรีฟงานให้เรียบร้อย “วันนี้เราจะตีสเลดไม่เกินห้าเทคนะ นายทำได้ใช่มั้ย”
“ผมเพิ่งได้อ่านบทเมื่อเช้าเองฮะ แต่จะพยายามครับ” คยองซูเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น เขาก็งุนงงไม่น้อยว่าทำไมบทถึงเปลี่ยนกระทันหันเมื่อเช้านี้ทั้งที่บทก่อนหน้าคือแค่ต้องวิ่งหนีระเบิด โดยที่จงอินไม่ได้ถูกยิง มันจึงไม่ลำบากเท่าไหร่นักเพราะแค่ต่างคนต่างวิ่งเท่านั้น
ซูโฮได้แต่เบิกตาอ้าปากกว้างเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างใส่คนตัวเล็ก แต่แล้วเงาของใครอีกคนก็เดินผ่านหางตาเขามาทำให้เขาเบนความสนใจไปที่คนมาใหม่แทน
จงอินที่อยู่ในชุดสเวตเตอร์ตัวหนาล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงไปคว้าแท่งกระดาษสีขาวแล้วจัดการจุดไฟที่ปลายหลอดจนเกิดควันลอยคละคลุ้งไปทั่ว เขาอัดบุหรี่เข้าปอดเพื่อคลายหนาวพร้อมกับพ่นควันออกพวยพุ่งบดบังสายตาของตัวเองที่มองไปยังหลังบางของคยองซูด้วยอารมณ์หลากหลาย
“ไค มึงมานี่ดิ้” ซูโฮกระดิกนิ้วเรียกไคนอกเต้นท์อำนวยการให้เดินเข้ามาหา
ร่างหนาที่ยังคงคาบบุหรี่ไว้ที่ปากเดินเอื่อยๆมาหาผู้กำกับอย่างไม่ได้เร่งรีบอะไร เขาหยุดยืนข้างร่างเล็กที่ทำหน้ายุ่งมองตาขวางใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“มีมารยาทหน่อยมึง คยองซูแพ้ควับุหรี่” เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดพูดขึ้นเมื่อเขาสังเกตเห็นหน้าที่ไม่สู้ดีของคยองซู
แต่จงอินกลับไม่ยี่หระ เขาอัดควันเข้าปอดหนักๆอีกสองสามครั้งแล้วทิ้งมันลงกับพื้นพร้อมใช้ปลายเท้าบดขยี้มันจนดับมอด แล้วพ่นควันที่กักเก็บไว้ออกทางปากทำให้ในเต้นท์ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดอากาศสีขาวอมเทาจนคยองซูสำลักควันน้ำตาเล็ด
“แค่กๆ” คนตัวเล็กไอจนตัวโยนน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทาง ดวงตากลมโตแดงก่ำเพราะแพ้ควันบุหรี่จนซูโฮที่นั่งอยู่ต้องลุกขึ้นมาประคองตัวคนที่ทำท่าจะยืนไม่อยู่ ท่ามกลางสายตาที่มองอย่างสมเพชของคนก่อเรื่อง
“มึงเป็นเหี้ยไรไอ้ไค เดี๋ยวนักแสดงกูเป็นลมขึ้นมาจะทำไงห้ะ!” ซูโฮตวาดลั่น
“อย่ามาสำออยหน่อยเลย แค่นี้แม่งไม่ตายหรอก” ร่างหนาตีหน้าขรึมกระตุกมุมปากร้ายแล้วก้มตัวลงไปมองเสี้ยวหน้าของคนอ่อนแอ “ใช่มั้ย คยองซู”
คนตัวเล็กเขวี้ยงสายตาแค้นเคืองใส่ทั้งๆที่ยังคงไอไม่หยุด เมื่อวานยังคุยกันได้ดีอยู่แท้ๆแต่แค่ข้ามคืนทุกอย่างมันก็กลับตาลปัตร แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรเพราะส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่คนมนุษยสัมพันธ์ดีนัก บางทีอาจเป็นเพราะจงอินคิดว่าเขาหยิ่งจึงได้ทำตัวเหยียดๆใส่อย่างนี้ก็ได้
“พอเลยทั้งคู่” ซูโฮถอนหายใจเฮือกก่อนจะพาคนตัวน้อยไปนั่งพักบนเก้าที่เขาลุกขึ้นมาเมื่อครู่ แล้วปรามทั้งสองคนด้วยสายตาดุๆของตำแหน่งผู้กำกับ “แล้วทำไมวันนี้คยองซูบอกกูว่าเพิ่งรู้ว่าบทเปลี่ยนเมื่อเช้า ทั้งที่เมื่อวานกูให้มึงเอาบทไปให้คยองซู”
มือหนาล้วงกระเป๋าดุ้นลิ้นไว้ข้างกระพุ้งแก้มเบ้หน้ากวนๆ “ก็ขี้เกียจ”
“ขี้เกียจ?” ซูโฮที่ได้ฟังคำจากปากของร่างหนาสั้นๆก็ถึงกับฉุนกึก “มึงบอกว่าขี้เกียจ! มึงเล่นเหี้ยไรอยู่วะ!! แล้วงานกูล่ะมึงขี้เกียจทำด้วยป่ะกูจะได้หานักแสดงใหม่ อย่าคิดว่ากูเป็นพี่มึงแล้วจะตามใจมึงทุกอย่างนะไอ้น้องเหี้ย!!”
“แค่กๆ ใจเย็นๆครับ แค่ก พี่ซูโฮ” มือเล็กกระตุกชายเสื้อซูโฮเรียกสติ “ผมจะพยายามครับ ผมทำได้ แค่กๆ”
เสียงถอนหายใจหนักๆลอดออกมาจากโพรงจมูกโด่งของซูโฮเป็นรอบที่สองพร้อมแตะมือนิ่มที่จับชายเสื้อเขาเอาไว้ “ถ้าไม่ไหวก็บอกนะคยองซู พี่เป็นห่วง”
คนตากลมโตฉีกยิ้มหวาน “ฮะ พี่ซูโฮ”
“ฮึ จะอ้วก” เสียงทุ้มสบถกระแทกกระทั้นสองคนตรงหน้าจนซูโฮต้องตวัดสายตาดุๆใส่
“หยุดเลยนะมึง ถ้าวันนี้ถ่ายไม่เสร็จไม่ต้องกลับ”
“อ่าวเห้ยได้ไงอ่ะพี่ แล้วตารางงานผมอ่ะ”
“ก็เรื่องของมึง กูขี้เกียจนัดวันถ่ายแก้ เอาวันนี้ให้เสร็จๆไปเนี่ยล่ะ” แล้วก้มไปหาคยองซูที่นั่งหน้าซีดแต่หยุดไอได้สักพักแล้ว “วันนี้นายไม่ติดงานอะไรใช่มั้ยคยองซู”
ใบหน้าหวานพยักลงน้อยๆแล้วกุมมือซูโฮไว้หลวมๆ “จะได้ปิดกล้องไวไวผมจะทำให้เต็มที่ฮะ”
“น่ารักมากตัวเล็กของพี่” บิดจมูกโด่งรั้นอย่างหมั่นเขี้ยวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
คยองซูก้มหน้างุดด้วยความเขินเพราะสายตาเจ้าชู้ของซูโฮที่ส่งมาอย่างปิดไม่มิดนั่น ก่อนจะฉายแววตามาดร้ายที่กลบทับความใสซื่อก่อนหน้าเพียงเสี้ยววินาที พร้อมกับประกาศสงครามเบาๆโดยที่ศัตรูไม่ทันได้สังเกต “อีกอย่าง ..ผมจะได้รีบจัดการเรื่องสำคัญสักที หึ”
ปัง!
ร่างสูงทรุดลงทันทีที่เสียงลั่นกระสุนจบลง สองมือแกร่งประคองตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาใช้เข่าข้างหนึ่งยันขึ้นให้ตัวเองไม่นอนราบไปกับพื้นทั้งที่แทบจะหมดแรงแม้กระทั่งหายใจก็ตามที
คิมจงอินลั่นไกเป็นครั้งสุดท้ายสังหารศัตรูตัวฉกาดในครั้งนี้ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องแลกมากับบาดแผลนับร้อย อีกทั้งรอยกระสุนใหญ่ที่ทะลุผ่านเนื้ออุ่นมาฝังอยู่หน้าท้องแกร่งข้างซ้ายจนของเหลวกลิ่นคาวไหลออกมาเป็นลิ่ม
แต่เขาจะจบชีวิตลงตรงนี้ไม่ได้ ยังมีคนที่เขาต้องดูแลอีกหนึ่งชีวิต สายตากร้าวมองเชิดขึ้นไปเบื้องหน้าที่มีคู่หูตัวเล็กของเขายังคงถูกเชือกมัดติดกับเก้าอี้ตรงหน้าอยู่ ขมับบางอาบเลือดไหลรินลงเป็นทางยาวจนหยดลงบนพื้น ..เขาต้องช่วยคยองซูแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งก็ไม่สน
ในที่สุดเขาก็ค่อยๆพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กได้สำเร็จ มือหนาที่หยาบกร้านจับปลายคางมนแผ่วเบาแล้วยกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหวานละมุน ดวงตากลมโตพร้ิมหลับราวกับคนไร้สติ ริมฝีปากอวบอิ่มที่หลายครั้งเขาพยายามหักห้ามใจไม่ให้เผลอเข้าไปโฉบชิมความหอมหวานของกลีบดอกไม้งามนั่นเผยอออกอย่างยั่วยวน แต่ไม่มีเวลาแล้วเขาจะปล่อยให้ตัวเองอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้ ระเบิดลูกใหญ่ในโกดังแสนอับชื้นนี้กำลังจะทำงานในไม่ช้า!
“คยองซู” เขาจับใบหน้านั้นพลิกไปมาแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคู่หูคนตัวเล็กของเขาจะฟื้นขึ้นมาเลย แววตาวูบไหวปรากฏขึ้นในเสี้ยววินาทีของดวงตาเรียวทรงเสน่ห์ แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจดำเนินการมันต่อเองโดยที่ไม่รอให้ใครสั่งตามบท
เพี้ยะ!!
เสียงมือหนากระทบลงบนผิวหน้าบางจนเกิดเสียงดังก้องรอบโกดัง “แม่งเอ้ย!! ตื่นเดี๋ยวนี้นะเว้ยไอ้ตัวถ่วง!”
เพี้ยะ!!
“กูบอกให้มึงตื่นไง!!”
เพี้ยะ!!!
เขาเข้ากระชากร่างเล็กจนหัวสั่นคลอนแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับของคนที่ผิวแก้มแดงเห่อบนใบหน้าเพราะแรงกระทบอย่างหนัก
“โว้ยย!! ตื่นสิ่วะ!” จงอินเสยผมชื้นเหงื่อขึ้นลวกๆอย่างร้อนใจ สายตาเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือที่เหลือเวลาแค่ไม่ถึงห้านาที ระเบิดลูกแรกก็จะทำงานขึ้น
เขาตัดสินใจแก้มัดของคนตัวเล็กออกอย่างรวดเร็วแล้วจับคนไร้สติพาดบ่าพร้อมยันตัวขึ้น แต่เพราะว่าบาดแผลที่ท้องทำให้กำลังของเขาถดถอยลง ขาแกร่งอ่อนแรงจนล้มลงไปแนบพื้นทั้งคู่อย่างทุลักทุเล
จงอินใช้ฝ่ามือยันตัวขึ้นอีกครั้ง แต่โชคร้ายที่ครั้งนี้เขากลับถูกเศษแก้วชิ้นใหญ่บาดเข้าระหว่างกลางนิ้วโป้งและนิ้วชี้จนเลือดหยดเป็นสายธาร
เขาจับชายเสื้อขึ้นเช็ดเลือดสดลวกๆแล้วหันไปคว้าเอวของร่างบางมาแนบอกแกร่ง สองขาหยัดตัวขึ้นแล้วพาคนตัวน้อยก้าวเดินออกจากโกดังอย่างรวดเร็วเท่าที่จะมีแรง
แต่ไม่ทันจะเดินพ้นประตูกรังสนิมของโกดัง ร่างในอ้อมกอดก็กระตุกสำรอกเอาก้อนลิ่มเลือดออกมายกใหญ่จนจงอินตัวชาวาบจนมือใหญ่ที่โอบรอบตัวคยองซูสั่นไหว
อาการคยองซูไม่สู้ดีนักจนเขาเองอดกังวลไม่ได้ นิ้วโป้งเปื้อนเลือดเอื้อมไปปาดลิ่มเลือดที่มุมปากอิ่มของคยองซู “แกอย่าตายนะไอ้เด็กบ้า แกจะตายไม่ได้นะเว้ย”
เขากลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากแล้วรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายของตัวเองจับคนป่วยขึ้นพาดบ่าอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเตือนของนาฬิกายมทูตที่ดังขึ้นเตือนเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนแรงระเบิดทั้งหมดจะพุ่งอัดกระแทกคนทั้งสองกระเด็นออกมาจากหน้าประตูเหล็กหนา
บึ้ม!!
“คัททททททท” ซูโฮตะโกนลั่นพร้อมกับภาพสุดท้ายในจอมอนิเตอร์ที่เบื้องหลังของร่างทั้งสองถูกปกคลุมด้วยไอความร้อนของเอฟเฟกต์ระเบิดลูกใหญ่อย่างสวยงามตามที่คาดหวังไว้ในสตอรี่บอร์ดงาน “เยี่ยมมาก เลิกกองได้!”
ทั้งคยองซูและจงอินกระเด็นมาทิ้งตัวลงที่ฟูกนิ่มอย่างทันท่วงทีหลังจากที่เอฟเฟกต์ร้ายได้มอดไหม้ลงไป แรงอัดนั่นทำเอาคยองซูหอบไออีกครั้งจนเลือดปลอมที่อมไว้ในลำคอระหงส์ถูกบ้วนทิ้งออกมาเป็นวงกว้าง มือเล็กทุบอกตัวเองให้คลายอาการอึดอัดกลางทรวงอกดูน่าสงสารจนทีมงานต้องรีบเข้าไปช่วยปฐมพยาบาล
ส่วนจงอินที่ได้รับบาดแผลไม่คาดคิดบนมือใหญ่ก็ยื่นให้ทีมพยาบาลจัดการล้างแผลแล้วเอาเศษแก้วออกจนหมด ใส่ยาให้เรียบร้อยจากนั้นจึงพันด้วยผ้าก๊อซขาวสะอาดที่เตรียมไว้ เขาเบ้หน้าน้อยๆเพราะนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเจ็บตัวจริงๆจากฉากบู๊อลังการในครั้งนี้
แต่เหมือนว่าจะน้อยกว่าคู่แสดงของเขาที่ตอนนี้ถูกหามไปนอนบนเปลให้ส่วนของเต้นท์พยาบาลเสียแล้ว
“ขอบใจมึงมาก ที่อุตส่าห์ทุ่มเล่นจนไม่คัทถึงมันจะผิดพลาดไปหลายอย่างก็เหอะ” ซูโฮเดินมาตบไหล่หนาของน้องชายต่างมารดาอย่างซาบซึ้ง
จงอินเงยหน้าเหลือบมองพี่ชายที่มีสีผิวต่างจากตัวเองแล้วถอนหายใจหนักๆ “ผมก็แค่อยากเสร็จตารางงานให้ตรงเวลาแค่นั้นล่ะ พี่ไม่ต้องมาขอบคุณผมหรอก”
“เออๆ จะเหี้ยไรก็ตามแต่กูก็ขอบคุณมึงละกัน”
“อืม”
ซูโฮหันซ้ายหันขวาก่อนจะมองลอดไปยังผืนผ้าใบที่ถูกปิดเป็นประตูของเต้นท์พยาบาลในกองถ่าย สีหน้าเขาฉายแววกังวลและตึงเครียดทันทีที่นึกถึงภาพร่างเล็กถูกหามขึ้นเปลพยามบาลไป
“แต่กูว่ามึงนอกบทเยอะไปหน่อยป่ะวะไอ้ไค” เขาตวัดตากลับมามองน้องชายอีกครั้ง “กูว่ากูไม่ได้ให้มึงตบหน้าคยองซูนะ แล้วยังจะไปสั่นตัวน้องเขาจนคอแทบหักอีก มึงก็รู้ว่าก่อนเข้าฉากน้องเขาอาการไม่สู้ดีอยู่แล้วเพราะควันบุหรี่มึงอ่ะ”
“ช่วยไม่ได้ก็ไอ้เด็กนั่นมันนอกบทก่อนนี่หว่า” เขาหยิบบุหรีขึ้นมาจุดแล้วอัดมันเข้าปอดทั้งที่มือยังมีผ้าก๊อซซึมเลือดอยู่ “ตามบทมันต้องพยุงกูด้วยซ้ำ แต่นี่อะไรเสือกแกล้งสลบ หึ!”
“จะเหี้ยไงก็แล้วแต่ มึงไปดูน้องเขาเลยนะ ท่าทางจะอาการหนักกว่าเดิมว่ะ”
จงอินมีสีหน้าชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็หมุนตัวก้าวเข้าไปที่เต้นท์พยาบาลนิ่งๆตามที่ซูโฮสั่ง โดยไม่ลืมดับมวนบุหรี่ที่เพิ่งใช้งานได้ไม่ถึงครึ่งมวน ..เพราะว่าคนป่วยแพ้ควันบุหรี่
ภายในเต้นท์สีขาวสะอาดเต็มไปด้วยอุปกรณ์การแพทย์พื้นฐานเคลื่อนที่ กลิ่นยาคละคลุ้งลอยในอากาศจนจงอินต้องยกมือขึ้นปิดจมูกก่อนจะค่อยๆปรับให้ชินกับมัน
ด้านในสุดปรากฏร่างบางนอนหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอบนเตียงสำรอง ดวงตากลมโตหลับพริ้มทิ้งขนตายาวสีดำขลับเป็นแพเรียงตัวสวยราวกับเจ้าหญิงนิทราแต่ใบหน้าหวานกลับซีดเผือด กลีบดอกไม้อิ่มแห้งผากพร้อมคราบเลือดปลอมที่ยังคงติดเลือนลางอยู่มุมปาก แก้มใสขึ้นสีแดงเห่อจากแรงตบของมือหนาและถ้าจะสังเกตให้ดีมันค่อนข้างบวมและช้ำน้อยๆด้วยซ้ำ
จงอินลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่คิดว่าการที่เขาจะนอกบทเพื่อแกล้งคนตัวน้อยตรงหน้านี่จะทำให้ถึงกับต้องล้มป่วยกระทันหันขนาดนี้
“เอ่อ อาการเขาเป็นยังไงบ้างครับ” ผมถามหมอที่กำลังเชคร่างกายของคนตัวเล็กอยู่ฝั่งตรงข้ามของเตียง
“คุณคยองซูมีประวัติแพ้ควันบุหรี่อย่างรุนแรงค่ะ ทำให้มีอาการปวดหัวและอาเจียนเป็นลิ่มเลือดเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจากร่างกาย”
“แล้วเรื่องการถ่ายทำล่ะครับ”
“หมอว่าอาจจะต้องพักการถ่ายทำเพื่อดูแลอาการสักสองสามวันก่อนค่ะ” คุณหมอส่งยิ้มให้ผมจนความรู้สึกผิดเข้ามาถาโถมกินพื้นที่จิตใจ คนตรงหน้ารู้ดีว่าที่คยองซูเป็นแบบนี้เพราะใครแต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าอะไร ทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไปให้ “หมอเพิ่งให้ยานอนหลับกับคุณคยองซู คาดว่าอีกนานกว่าเขาจะฟื้น ถ้าเป็นไปได้รบกวนพาเขากลับไปพักผ่อนโดยที่ไม่ปลุกจะดีมากค่ะ ยังไงหมดธุระแล้วหมอขอตัวนะคะ”
“อ่า ขอบคุณมากครับ” ผมโค้งตัวให้คุณหมอก่อนที่เต้นท์ทั้งเต้นท์จะเหลือแค่ผมและคนป่วยหน้าตาซีดเซียวบนเตียงนี่
ผมเพ่งไปที่เรียวคิ้วสวยของคยองซูซึ่งขมวดปมเข้าหากันเหมือนคนกำลังฝันร้าย ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวพร้อมกับเหงื่อที่ค่อยๆแย่งกันผุดพรายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จนผมเผลอเอื้อมนิ้วไปปาดไล้หยาดน้ำอุ่นตรงหน้าให้อย่างเบามือ
หมับ!
“พ่อ.. ฮึก พ่อฮะ..” มือบางผวาคว้ามือผมเอาไว้แน่น น้ำตาไหลรินลงหางตาเป็นทางยาวก่อนจะหยดลงซึมบนเนื้อหมอนสีขาวเนื้อละเอียดเป็นวงกว้าง
ผมนิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกกับท่าทีอ่อนแอน่าสงสารของคยองซู ความรู้สึกในหัวตบตีกันยุ่ง ใจนึงอยากจะเอื้อมมือลงไปโอบกอดร่างที่สั่นเทานั่นไว้ ปลอบโยนให้คลายความหวาดกลัว จูบกระหม่อมบางสูดดมความหอมของกลิ่นกายคนตรงหน้าแล้วสัญญาว่าจะปกป้องเขาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง
แต่พอนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รูปภาพของพ่อที่ฉายวาบเข้ามาในหัวบนชั้นวางทีวีของเซฟเฮ้าส์ก็ได้แต่ขบกรามแน่น ความโกรธเกรี้ยวเข้ามาแทนที่ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านไปยังคนตรงหน้าทันที
เมื่อหลายวันก่อนแม่โทรมาร้องไห้กับผมอย่างหนักเพราะท่านคิดว่าพ่อกำลังจะมีบ้านเล็กบ้านน้อย ทั้งๆที่ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา พ่อไม่เคยจะต้องทำให้แม่เสียน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว แสดงว่าคราวนี้มันจะต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควร ถึงทำให้ท่านโทรมาระบายกับผมเป็นวรรคเป็นเวรอย่างนี้
ผมจึงตัดสินใจจ้างนักสืบชาวจีนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของผม เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหลไปถึงหูนักข่าว แล้วไม่กี่วันก่อนเปิดกล้องละครเรื่องนี้ลู่หานก็ทำมันสำเร็จ
เพื่อนหน้าหวานส่งรูปของพ่อในภัตตาคารหรูริมแม่น้ำฮันกับชายร่างเล็กผิวพรรณผุดผ่องราวกับน้ำนมมาให้ผม ในรูปนั่นเผยให้เห็นเสี้ยวใบหน้าใสเจือรอยยิ้มกว้างร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อแต่มันก็ไม่ได้ชัดมากนัก เพราะว่าการ์ดของพ่อรายล้อมเต็มไปหมด แต่นั่นก็ถือว่าชัดที่สุดแล้วสำหรับการเข้าถึงคนอย่างระดับผู้บริหารคิมกรุ้ป คอร์ปเปอร์เรชัน
ผมเพ่งเสี้ยวหน้าคนในรูปจนจำได้ขึ้นใจ และส่วนที่จะสังเกตได้ดีที่สุดอาจจะเป็นตรงบริเวณกระดูกอ่อนของหูขวาที่มีไฝเม็ดเล็กๆประดับอยู่อย่างชัดเจน
ในครั้งแรกที่ผมเห็นรูปพ่อในเซฟเฮ้าส์ของคยองซู ผมยอมรับว่าผมช้อคมากจนความคิดชั่วๆผุดขึ้นในหัวสมองที่โง่เขลาของผมเต็มไปหมด รวมทั้งการกระทำในวันนี้ด้วย
และเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั้นไม่ผิดคนจริงๆ จากมือที่ตั้งใจจะเอื้อมไปกอดคนตัวบางก็แปรเปลี่ยนมาเสยผมนิ่มของคยองซูขึ้นทัดหูแทน
ผมก้มลงเพ่งมองใบหูขาวที่เผยออกให้เห็นสิ่งที่ตามหามานาน เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาของผมพร่ามัวเสมือนมีภาพซ้อนทับกับรูปใบนั้นที่ลู่หานส่งมาให้จนต้องเผลอกระพริบตาถี่ๆอยู่หลายครั้ง...
“ไม่จริง!”
ผมเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้เห็นก่อนจะรีบผละมันออกราวกับต้องของร้อน คนตรงหน้าผมยังคงนอนนิ่งหลั่งน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อคนๆนี้ คือคนที่คิดจะทำลายครอบครัวของผมในรูปบ้าๆนั่นจริงๆ
มือหนายกขึ้นลูบหน้าเพื่อคลายความกังวลพร้อมพรูลมหายใจออกมาด้วยความตึงเครียดอย่างปิดไม่มิด ทั้งที่คิดว่าถ้าพบใครคนนั้นแล้วเขาจะจัดการมันให้เข็ดหลาบโทษฐานที่กล้ามาทำให้ครอบครัวของเขามีรอยร้าวจนไม่กล้ากลับมาเสนอหน้าทำให้แม่ต้องร้องไห้อีก
แต่พอเอาเข้าจริงเขาเองกลับทำอะไรไม่ถูกเมื่อรู้ว่าใครคนนั้นคือ โด คยองซู
เพื่อนที่เขาจะต้องร่วมงานไปอีกเกือบสองเดือนจนกว่าละครจะปิดกล้องลง เขาไม่อยากรู้สึกอึดอัดใจเวลาที่จะต้องเข้าฉากแสดงเหมือนวันนี้อีก แต่จะให้ทิ้งงานไปกลางคันก็ทำไม่ได้ เพราะเขาต้องรักษาหน้าของพี่ชายที่เป็นผู้กำกับซึ่งได้ทุ่มเทให้กับงานนี้อย่างเต็มที่ ทั้งยังโดนคาดหวังจากวงการบันเทิงให้เป็นงานมาสเตอร์พีซชิ้นสำคัญของปีนี้อีกด้วย
มาถึงตอนนี้ก็มีอยู่แค่ทางเลือกเดียวเท่านั้น คือเขาจะต้องเดินต่อไป เลือกเดินโดยที่มีหนามหัวใจของครอบครัวเป็นนักแสดงคู่หูในบทละครโดยที่จะบอกให้พี่ซูโฮให้รู้ไม่ได้
เรื่องนี้จะเริ่มที่เขาและจะจบลงที่เขาเท่านั้น
“โดคยองซู ฉันจะจัดการกับนิสัยร่านๆของนายเอง”
ขออภัยในความไม่สุภาพนะคะ
ส่วนตอนหน้าขอให้ติดตามและให้กำลังใจน้องกันเยอะนะฮะ
ศึกที่แท้จริงกำลังจะเริ่มจากนี้แล้วจ้า
#โด้เด็กเสี่ยไค
ความคิดเห็น