ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักใสใสหัวใจคยองซู { KaiSoo ft. HunHan ChanBaek }

    ลำดับตอนที่ #2 : รักใสใสหัวใจคยองซู 2

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 57



     

    -2-



              ภาพที่จะได้เห็นต่อไปนี้ คือภาพช้าขณะที่ผมกำลังผลักประตูห้องน้ำเข้าไปอย่างสุดแรงเกิด แต่ทันใดนั้นร่างปริศนาด้านในกลับเปิดมันออกพร้อมกับตัวของผมพุ่งถลาเข้าไปที่ฝาชักโครกเข้าอย่างจัง โชคดีที่มันถูกปิดอยู่ทำให้หน้าใสใสไม่ก้มลงไปจิ้มสิ่งปฏิกูลไม่พึงประสงค์ จากนั้นฉากจึงตัดไปที่ก้นของผมกระแทกจ้ำเบ้าลงกับพื้นโดยสายตาของผมสะท้อนใบหน้าเจ้าของเสียงหลุดขำนั่น

     

     

     

              “พ.. พ่อเทพบุตรผิวแทน”

     

     

     

              เอาแล้วไงอิโด้ ขายหน้าใครไม่ขายมาขายหน้าใส่ไค นี่ตอนจิตหลุดฟุ้งซ่านเผลอพูดชื่อคนตรงหน้าไปบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ แค่คิดก็แทบอยากจะเอาหน้าจุ่มส้วมตายไปเลย โคตรจะอายยยยยย

     

     

     

              “อ้าว โด้คนเตี้ยนี่นา” เขาทักขึ้นก่อนจะส่งมือหนามาตรงหน้าผมที่นั่งแสดงอาการเจ็บบั้นท้ายกลมออกทางสีหน้าชัดเจน “นึกว่าใครมาทำเปิ่นแถวนี้”

     

     

     

              ก็ถ้ารู้ว่าใครอยู่ในห้องน้ำด้วยจะกล้าเปิ่นมั้ยล่ะ 

     

     

     

              จุ่มหน้าลงส้วมตอนนี้ทันป่ะ ฮือออออ

     

     

     

              “แฮ่ๆ” ผมมองมือหนาที่ยื่นมาแล้วก็ชั่งใจ 

     

     

     

              ถ้ายื่นมือไปจับเขาจะหาว่าเราง่ายป่ะ 

     

     

     

              หรือว่าถ้าไม่จับนี่เค้าจะมองว่าเราหยิ่งป่ะ 

     

     

     

              หรือว่าถ้าเราอ่อยมากไปเขาจะมองเราไม่ดีป่ะ 

     

     

     

              โอยยยเอายังไงดีใจก็เต้นดังจังเลยอิเหี้ย(เสียงแบบพี่เผือก พระโขนง) ห้องยิ่งเงียบๆแคบๆอยู่ ถ้าไคได้ยินเขาจะคิดยังไงห้ะะะ

     

     

     

              “ส่งมือมาสิ่ พื้นห้องน้ำมันไม่น่านั่งเท่าไหร่มั้ง” เขาเร่งพลางโน้มตัวลงมาจะจับที่ต้นแขนผมดึงขึ้น สายตาของเราเผลอประสานกัน สุดท้ายเป็นผมเองที่เลือกเบี่ยงหน้าหลบไค 

     

     

     

              แค่นี้ก็เขินจะตายอยู่แล้ววว ยังจะมาอ่อยใส่อีก

     

     

     

              เย็นไว้คยองซู แกจะแสดงอาการหื่นออกนอกหน้าไม่ได้นะเห้ยยยย

     

     

     

              “อื้อ” ผมช้อนตามองไคพร้อมส่งมือให้เขาจับผมดึงขึ้นจนเต็มความสูง ทำให้สายตาผมที่กำลังหลุบลงต่ำนั้นหยุดอยู่ที่ไหปลาร้าซึมเหงื่อสุดเซ็กซี่ของไคพอดี ยิ่งเวลาเขากลืนน้ำลายลงคอทำให้ผมสังเกตเห็นลูกกระเดือกทรงเสน่ห์นั่นขยับตัวขึ้นลงอย่างเย้ายวนจนทำเอาผมแทบสติแตกกระเจิง 

     

     

     

              ขืนอยู่นานกว่านี้ มีหวังผมได้จับไคปล้ำแน่ๆ

     

     

     

              คิดแล้วหื่นนนนนนน

     

     

     

              สุดท้ายผมเลยดีดตัวเองออกห่างจากร่างหนาอย่างไว เพราะว่าพื้นที่แคบๆในห้องน้ำนี้นอกจากจะทำให้ร่างกายเราเกือบแนบสนิทไปทุกสัดส่วนแล้ว กลิ่นเหงื่อกับกลิ่นของอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆของพ่อเทพบุตรไคนั้น มันทำให้สมองผมมึนเบลอ ดึงดูดจนผมแทบจะยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นนั้นที่ปกเสื้อนักเรียนของเขาอยู่แล้ว ดีที่ว่าเสียงนุ่มขัดขึ้นมาก่อน

     

     

     

              “ไม่เป็นไรใช่มั้ย เอ่อ.. เราขอโทษนะที่แอบฟังนายน่ะ” รอยยิ้มพิมพ์ใจถูกซัดมากินสติอีกรอบ และคราวนี้มันก็ใกล้แบบโคตร HD โคตรบลูเรย์ จนขาแข้งสั่นเอาดื้อๆได้แต่ท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆอยู่ในใจแล้วส่งยิ้มกลับไปแห้งๆ

     

     

     

              “เอ้ยไม่เป็นไร เราไม่โกรธหรอกมันบังเอิญน่ะ เราเข้าใจ” ผมมองหน้าเขายิ้มๆเป็นนัยว่าไม่ได้โกรธจริงๆ “แล้วก็ขอบคุณนะที่ช่วยดึงเราขึ้น”

     

     

     

              “ครับ” เขายิ้ม

     

     

     

              “….” ผมยิ้ม

     

     

     

              แล้วจู่ๆเราทั้งคู่ก็เงียบแบบไม่มีสาเหตุ

     

     

     

              ห้องทั้งห้องเงียบสนิทจนผมอึดอัดเพราะเสียงใจที่เต้นดังระรัวจนกลัวอีกคนจะได้ยิน เขาไม่พูดอะไรต่อและผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรก่อน จึงได้แต่ประสานสายตาก่อความรู้สึกประหลาดๆบางอย่างในใจเงียบๆอย่างนั้นนานเกือบห้านาที!

     

     

     

              สุดท้ายเสียงโทรศัพท์ของไคก็ดังขึ้นเรียกสติเราสองคน เขายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะผละไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกตรงส่วนของอ่างล้างมือ 

     

     

     

              “เออว่าไงวะ” 

     

     

     

              ผมยืนนิ่งไม่กล้าหันไปมองอีกคนในห้องโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองมาที่ผมพร้อมกับตอบปลายสายด้วยสายตาขบขันกึ่งเอ็นดูแบบแปลกๆ 

     

     

     

              แค่นึกไปถึงภาพเมื่อกี้ ผมก็ได้แต่ส่ายหัวหนักๆด้วยความเขินจนรู้สึกร้อนๆผ่าวที่หน้าเหมือนกับมีใครเอาเพลิงมาจุดใส่ 

     

     

     

              นี่ถ้าหน้าผมหนากว่านี้อีกหน่อยนะ บางทีฉากนี้อาจจบลงด้วยการที่ผมกระชากคอเสื้อพ่อเทพบุตรผิวแทนลงมาจูบหนักๆไปแล้วก็ได้ 

     

     

     

              คิดแล้วก็เสียดาย โอกาสอย่างนี้จะหาได้จากที่ไหนได้อีกห้ะคยองซู

     

     

     

              “โอเคได้ เดี๋ยวกูไป เออ แค่นี้นะ”

     

     

     

              ติ้ด

     

     

     

              ไควางสายแล้วหันกลับมามองคยองซูที่ยืนยู่หน้าอยู่เหมือนเด็กน้อยก็ยิ้มขำ เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับร่างเล็ก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดมันแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆโดยที่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าเผลอเอาใจใครแถวนี้ติดมือไปด้วย

     

     

     

     





     

     

              “หายไปตั้งนานนึกว่าตกส้วมตายไปละ” แบคฮยอนแซะผมในขณะผมที่กึ่งย่องกึ่งคลานมาเข้าห้องเรียนคาบแรกซึ่งสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง 

     

     

     

              “ฟู่วววว” มือเล็กหยิบหนังสือขึ้นมาจัดเตรียมสำหรับวิชาโปรดปรานอย่างภาษาอังกฤษที่เขาทำได้ดี ซึ่งเป็นวิชาหลักของสายศิลป์ฝรั่งเศสและห้องนี้ยังเป็นห้องคิงของสายศิลป์อีกด้วย “ถึงไหนละ เดี๋ยวตามไม่ทัน”

     

     

     

              “ถึงห้องหกมั้ง ไม่รู้สิ่ไม่ทันมองตาม” 

     

     

     

              เฮือก! 

     

     

     

              เป็นอีกครั้งที่ร่างกายผมแข็งทื่อทันที ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนโดนสาป ผมหายใจติดขัดอย่างยากลำบากเสมือนกำลังรอ บยอน แบคฮยอนลงโทษด้วยการจามขวานเข้ามาที่กลางหัวเข้าอย่างจัง เลือดกลิ่นคาวคละคลุ้งกระเซ็นออกจนเปรอะเปื้อนหน้าเล็กนั่น พร้อมกับรอยยิ้มกว้างทรงสี่เหลี่ยมของนัยตาหยีที่เยาะเย้ยผมอย่างไม่ปิดบัง 

     

     

     

              ผมกำลังจะตาย...

     

     

     

              “ไม่ต้องทำหน้าเหมือนกับเห็นผีขนาดนั้นก็ได้” เจ้าของคำพิพากษาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เรื่องแค่นี้ทำไมไม่บอกกันวะ”

     

     

     

              ผมรีบดึงตัวเองกลับมาจากมโนภาพที่สร้างขึ้นแล้วปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งที่สุด “บอก? บอกอะไร ไหนใครชอบใครอยู่ห้องหก ไม่มี๊!”

     

     

     

              “ถึงขนาดนี้ยังจะมาทำปากแข็ง” แบคฮยอนทำหน้าล้อเลียน “ต้องให้เล่าต่อมั้ยว่าใครเดินออกจาห้องน้ำครูมาก่อนหน้าแกอ่ะ คุณโด คยองซู”

     

     

     

              ผมเบะปากใส่แบคฮยอนทันทีกับท่าทางที่แสนกวนตีนจนอยากจะยันลงไปนอนจูบพื้นห้อง แต่ก็เกรงใจอาจารย์หน้าชั้น เลยทำได้แค่ทุบหนักๆไปที่ไหล่เล็กหนึ่งที “เออๆๆๆๆๆ ก็ได้วะ”

     

     

     

              คนขี้เสือกเบิกตาพราวระยับพร้อมขยับตัวเองเข้ามาใกล้อย่างสนอกสนใจที่ผมกำลังจะเฉลยความจริง 

     

     

     

              “ก็อย่างที่แบคคิดอ่ะแหละ” ผมบอกเสียงอ่อน มองซ้ายมองขวาอีกครั้งเพื่อแน่ใจว่าชานยอลตัวโย่งจะไม่ได้ยิน แต่มันจะต่างอะไรกับการบอกเมียมันแทน คิดแล้วก็ต้องปาดเหงื่อแต่ก็ยอมพูดออกไปจนได้ “เราชอบไค”

     

     

     

              “เย้เฮท! กูว่าแล้ว” ผมเกาหัวแกรกๆพลางเหลือบมองไปหาแบคฮยอนที่นั่งข้างๆ แบคยิ้มแหยๆแล้วโบกมือใส่เป็นเชิงว่า เปล่านะเราไม่ได้พูด

     

     

     

              ไม่ทันได้สงสัยอะไรนาน เจ้าของคำพูดประหลาดๆนั่นก็หันหลังกลับมาสบตากับผมพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยจนผมขนลุกซู่ 

     

     

     

              ..ไอ้เซฮุน!!

     

     

     

              “มึงได้ยินกูพูดได้ไงวะ!” ผมขึ้นเผลอเสียงอย่างตกใจพร้อมกับคำพูดหยาบคายที่นานๆจะหลุดออกมาที ทั้งที่ตั้งใจจะเก็บเป็นความลับแท้ๆแต่แบคฮยอนก็รู้จนได้ ผมก็คิดว่าไม่เป็นไรแค่คนเดียว แต่ตอนนี้กลับมีถึงสองคน แล้วสองคนนี้ก็ตัวพ่อตัวแม่สังคมขี้แซวทั้งนั้น 

     

     

              ต่อจากนี้อย่าถามว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน น้องคยองคิดไว้แล้วว่าจะเอาไปซบไว้ที่อกพ่อเทพบุตร แอร้ยย

     

     

              “โง่หรือว่าโง่ครับเพื่อน นี่กูนั่งหน้ามึงนะ ห่างกันแค่เนี้ยะ” พูดแล้วก็ทำท่าประกอบโดยจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าหากันพร้อมหรี่ตาลงสื่อให้เห็นถึงคำว่า ‘แค่เนี้ยะ’ ของมัน 

     

     

     

     

              ..กระทืบเพื่อนสนิทนี่ต้องขึ้นโรงพักมั้ยครับ

     

     

     

              ผมกุมขมับแน่น นวดวนกดจุดให้หายเครียดแล้วถอนหายใจก่อนพูดต่อ “โอเคๆ ไหนๆก็ไหนๆละ ช้าหรือเร็วมึงก็รู้อยู่ดี แต่กูขออย่างนึง มึงให้กูได้ป่ะวะ?”

     

     

     

              ผมจ้องตาเพื่อนทั้งสองคนสลับไปมาอย่างจริงจังจนมันพยักหน้าหงึกๆ 

     

     

     

              “ห้าม แซว กู”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              พักกลางวันผมมักจะลงมากินข้าวช้ากว่าเสียงออดยี่สิบนาทีด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจต่อแถวแย่งกับคนอื่น แต่ก็ต้องยอมแลกกับอาหารที่มีให้เลือกน้อยลงเพราะขายหมดแล้ว ซึ่งผมเป็นคนกินง่ายไม่ได้สนใจอะไรมากนัก 





              ร้านประจำของผมจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามปริมาณอาหาที่เหลืออยู่ แล้ววันนี้ก็มาลงเอยที่ร้านบะหมี่ที่ผมมักจะบ่นบ่อยๆว่าไม่อร่อยทั้งที่จริงๆแล้วก็กินหมดชามทุกครั้ง

     

     

     

              ในจังหวะที่ผมได้คิวกำลังจะเอ่ยปากสั่งบะหมี่ ก็มีร่างสูงสองสามคนเดินมาแซงคิวผมแล้วตัดหน้าอย่างจงใจ 

     

     

     

              “ป้าครับผมเป็นนักยูโดโรงเรียนต้องรีบไปซ้อมขอเกี้ยวแห้งพิเศษสามด่วนครับ”

     

     

     

              ผมได้แต่กำมือแน่นกับท่าทีไร้มารยาทของสามคนนั่น ขาสั้นๆที่ใครต่อใครชอบล้อก้าวออกไปข้างหน้าหวังจะเอาเรื่องคนมาแซง แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะใครที่คุ้นตากำลังเดินตรงปรี่พร้อมในมือถือซุปหางวัวร้อนควันโขมงมาตรงนี้ด้วยสายตาเอาเรื่องจนผมต้องผละออกจากแถวอย่างไวแล้วรีบวิ่งไปห้ามบยอน แบคฮยอนทันที

     

     

     

              “เฮ้ยๆๆๆๆ ใจเย็นมึง กูไม่กินแล้วเดี๋ยวไปสั่งร้านอื่นไม่รีบๆ”

     

     

     

              “ไม่! มึงต้องกินร้านนี้แล้วกูจะเป็นคนสั่งให้มึงเอง!!” คนตัวเล็กที่สูงกว่าผมนิดหน่อยถลึงตาใส่ผมแล้วหันไปกระชากไอ้คนที่สั่งบะหมี่ตัดหน้าผมอย่างเอาเรื่อง โดยที่มันทั้งสามคนไม่ได้รู้ตัวเองว่ากำลังเผชิญกับอะไร 

     

     

     

              ..เจ้าแม่บยอนที่ต่อใครต่างลือกันว่าถ้ามีเรื่องด้วยศพไม่สวยทุกราย!!

     

     

     

              “หิวมากป่ะมึง?” ยังไม่ทันที่ไอ้สามคนนั้นจะได้หันหน้ากลับมามองเจ้าของเสียงใส ผมก็ตากระตุกรัวๆและไม่ช้าสิ่งที่ถูกเตือนก็เกิดขึ้นแค่เสี้ยววินาที

     

     

     

              โครม!!

     

     

     

              “เฮ้ย!” ผมร้องเสียหลงยกมือขึ้นค้างกลางอากาศทันทีที่เห็นซุปร้อนๆสาดเข้าที่หน้านักยูโดขี้อวดจนหมดชาม เศษผักและเนื้อแปะเข้าที่โคนผมจนแทบจำไม่ได้ว่าเป็นใครแต่นั่นยังไม่เท่ากับความร้อนของซุปที่ราดผิวจนหน้าแดงเห่อ 

     

     

     

              “หิวมากก็เอาไปแดกซะกูยกให้ แล้วทีหลังอย่ามาทำสันดารต่ำๆกับเพื่อนกูอย่างนี้อีกจำไว้!!”  พูดจบก็คว้ามือผมฉับๆตรงมาที่มินิมาร์ทโดยที่ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆจะพูดก็พูดไม่ออก 

     

     

     

              เราสองคนหยิบขนมปังกันคนละสองก้อนพร้อมกับนมและน้ำก่อนจะตรงดิ่งขึ้นห้องเรียนอย่างไว

     

     

     

     

     

              แบฮยอนทิ้งตัวลงนั่งบเก้าอี้ประจำพร้อมอารมณ์ฉุนเฉียว ในมือก็แกะห่อขนมปังจับยัดเข้าปากอย่างโมโห จนผมต้องรีบเขย่ากล่องนมแล้วเจาะใส่หลอดส่งให้ดูดเพราะกลัวคนเจ้าเรื่องจะติดคอตายต่อหน้า

     

     

     

              “เราว่าครั้งนี้แกทำเกินไปว่ะแบค” ผมละล่ำละลักเอ่ยออกมาทั้งที่ยังอึ้งกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย

     

     

     

              “ไม่เกินไปหรอก เราเห็นพวกแม่งแซงคิวชาวบ้านหลายครั้งละ เรารู้จักพวกมันดี” พูดไปก็หยิบกล่องนมดูดอึกๆ ทุบอกตัวเองสองสามทีแล้วก็เล่าต่อ “ไอ้รุ่นพี่คริส รุ่นพี่เทาเด็กแลกเปลี่ยน พูดแล้วก็กระดากปาก หน้าตาก็ดีแต่ทำตัวเหี้ยชะมัด”

     

     

     

              “งี้พวกมันก็รู้จักแกอ่ะดิ่” แบคฮยอนพยักหน้าอย่างขอไปที คิ้วเรียวขมวดมุ่น “แล้วแกไม่กลัวโดนเอาเรื่องเหรอวะ” 

     

     

     

              รอยยิ้มร้ายๆจุดขึ้นที่มุมปากที่ยังเคี้ยวขนมปังห่อที่สองตุ้ยๆ “มันชอบเรา! มันไม่กล้าหรอก”

     

     

     

              “ก็เหี้ยแล้วแก ชอบแค่ไหนถ้าโดนสาดซุปใส่หน้าเข้าขนาดนั้นเป็นเรานี่ต่อยแล้วอ่ะเอาจริง”

     

     

     

              “ไม่หรอก เราเคยทำมากกว่านี้อีก” มือเล็กหยิบไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมาวางบนโต๊ะราวกับรออะไรบางอย่าง “สุดท้ายแม่งก็โทรมาหาเราทุกทีหลังเกิดเรื่อง”

     

     

     

              ครืน.. ครืน..

     

     

     

              ถูกอย่างที่แบคฮยอนว่า ไม่ขาดคำก็มีสายเข้ามาทันที แบคฮยอนยักคิ้วเป็นเชิงให้ผมก่อนจะกดรับสายแล้วคุยกับเจ้าของชื่อหน้าจอ ‘ตุ้ยจาง’

     

     

     

              ผมเงี้ยหูฟังอย่างอยากรู้ก่อนจะจับใจความได้ว่าที่พี่คริสทำไปเพราะไม่รู้ว่าผมเป็นเพื่อนกับแบคฮยอน แล้วก็กลับเป็นฝ่ายขอโทษแบคฮยอนเสียเอง 

     

     

     

              “ทำแบบนี้ชานยอลไม่ว่าเหรอวะแบค” ผมยิงคำถามใส่หลังจากที่แบคฮยอนวางสาย 

     

     

     

              “ก็คงรู้แหละมั้ง แต่เราคบกันแบบแฟร์ๆไม่ได้จริงจังอะไรว่ะ” ยกคิ้วขึ้นกวนๆใส่ผมหนึ่งที “มันมีได้ เราก็มีได้ เป็นอันเจ๊ากันไป”

     

     

     

              “นี่เรานึกว่าพวกแกจริงจังกันซะอีก เห็นหวานซะ” 

     

     

     

              “อืม เอาจริงเราก็เคยคิดจะจริงจังกับมันอ่ะนะ เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันด้วย” ดวงตาขี้เล่นหมองลงอย่างปลงๆดูน่าสงสาร “แต่พอเรารู้ว่าเมื่อก่อนมันแม่งโคตรเจ้าชู้ขนาดไหน เราเลยไม่กล้าฝากใจไว้ว่ะ”

     

     

     

              “ก็จริง เราเห็นมันชอบมาปรึกษาแกเรื่อยอ่ะ” ผมเห็นด้วย

     

     

     

              แบคฮยอนนั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปมาก่อนจับมันมากดเข้าเฟสบุ้คอ่านนิวส์ฟีดแก้เซ็ง สองตาเลื่อนขึ้นลงเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างจากหน้าจอไอโฟน นิ้วโป้งเล็กๆแตะสัมผัสลงที่คีย์บอร์ดจิ้มเป็นคำๆแล้วจัดการกดส่ง โพสต์สเตตัสใหม่

     

     

     

              บยอน เจ้าแม่สายศิลป์ทุกสถาบัน

              เด็กมอห้าห้องหกน่ารักจังเลย มุ้งมิ้ง :D

                 ลู่เกอคนแมน แฟนลิเวอร์พูล และอีก 5 คนชอบสิ่งนี้ ·  1 การแบ่งปัน 

     

     

     

              ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูเพราะเห็นเพื่อนตัวแสบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็หน้าชา 

     

     

     

              เอาแล้วไงน้องแบคเล่นน้องคยองแล้วโว้ยยยย ปาดเหงื่อแปป

     

     

     

              “แกโพสต์เหี้ยไรเนี่ย” ผมถามเสียงขุ่น จิกตาใส่เพื่อนรักหนึ่งจึกแล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเล่นบ้าง

     

     

     

              “อ่าวไม่ดีเหรอ ไคจะได้รู้ไงว่ามีเด็กห้องเก้าแถวนี้เค้าชอบ” แบคฮยอนทำหน้าทะเล้น แลบลิ้นแล้วขยิบตาใส่อย่างชอบอกชอบใจ แบคฮยอนรู้ดีว่าไคเป็นคนดีและเขาก็ไม่คิดจะขัดขวางความรักของเพื่อนครั้งนี้แน่นอน ซ้ำยังจะสนับสนุนเป็นแม่สื่อแม่ชักให้จนถึงฝั่งซะด้วยซ้ำ 

     

     

     

              แต่ติดตรงที่เพื่อนตาโตของเขานี่แสนจะเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยสุงสิงกับใครจะสนิทก็มีแค่แบคฮยอนกับเซฮุนแค่นั้น ส่วนชานยอลคนตัวโย่งก็เพิ่งจะมาสนิทกันก็ตอนที่เป็นแฟนแบคฮยอน เพื่อนๆทั้งห้องถึงได้ตั้งฉายาให้คยองซูว่า ศรีโด้ ตามชื่อเล่นดีโอของเจ้าตัว 

     

     

     

              ขณะที่แบคฮยอนนั่งกดอ่านไทม์ไลน์ของตัวเองไปเรื่อยๆ ก็มีหนึ่งการแจ้งเตือนขึ้นสีแดงๆตรงแท็บเมนูรูปโลกโชว์หรา นิ้วเล็กกดเช็คทันทีก่อนจะพบว่า ศรีโด้ ของเพื่อนทั้งห้องนั้น ไม่ได้เป็น ศรีเรือน เรียบร้อยอย่างที่ทุกคนคิด ..บยอน แบคฮยอนรู้ดีกว่าใคร

     

     

     

              ศรีโด้ ห้องเก้า ถูกใจโพสต์ของคุณบนไทม์ไลน์ 

     

     

     

              แบคฮยอนเหลือบตามามองผมที่นั่งทำนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งที่หลักฐานยังคามือแต่ก็ยังนิ่ง ผมไม่ได้สนใจแบคฮยอนนักเพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้รู้จักผมดียิ่งกว่าอะไร ก็อย่างที่บอกว่าภายนอกผมเหมือนคนเรียบร้อย ภาพพจน์ดูใสใส แต่จริงๆแล้วผมก็แค่เด็กวัยรุ่นคนนึงที่แอบชอบคนอื่นเป็น แรดเป็น แค่ไม่แสดงออกกับคนที่ไม่สนิทเท่านั้นเอง 

     

     

     

              ผมนั่งไล่อ่านคอมเม้นท์ที่เข้ามาตอบโพสต์ของเพื่อนสุดฮอตอย่างถล่มทลาย แบคฮยอนเป็นคนสดใส ร่าเริง น่ารักน่าฟัดและเนื้อหอมมาก ถึงขนาดมีแฟนคลับมารุมหน้ารุมหลังจนบางทีผมก็ยังงงว่าคนเงียบๆอย่างผมมาเป็นเพื่อนกับมันได้ยังไง 

     

     

     

              อู๋อี้ฟาน แฟนคลับน้องแบค : มอหกห้องสามอย่างพี่ก็น่ารักนะครับ 

     

     

     

              ชานยอลคนโง่ : เมนท์บนไม่เสือกดิ่ครับ เจ้าของเฟสมีผัวแล้ว

                ลู่เกอคนแมน แฟนลิเวอร์พูล ถูกใจ

     

     

              ลู่เกอคนแมน แฟนลิเวอร์พูล : เหยดด ชานยอลคนโง่ออกตัวแรงตลอดครับบบบบ

     

     

     

              กูไม่ได้ดำ กูผิวสีแทน : ก็เงี้ยะอะครับ หายใจเข้าก็เฮ้อเมีย หายใจออกก็เฮ้อเมีย คิกคิก

              ลู่เกอคนแมน แฟนลิเวอร์พูล ถูกใจ

     

     

     

              ชานยอลคนโง่ : คิกหน้าพ่อมึงส่ิครับเพื่อน เบื่อคนโสดขี้อิจฉา คิกคิก

              ลู่เกอคนแมน แฟนลิเวอร์พูล ถูกใจ

     

     

     

     

              ลู่เกอคนแมน แฟนลิเวอร์พูล : กูไม่รู้ กูมากดไลค์ คิกคิก

     

     

     

              แอร้ยยยย คนอะไร๊ขนาดชื่อเฟสยังเท่อร้ะะะะ  

     

     

     

              ยังไม่ทันได้คิดอะไรนิ้วก็ไปไวกว่าสมองจ้ะ กดจิ้มจึ๊กเข้าที่ชื่อเฟส กูไม่ได้ดำ กูผิวสีแทน อย่างไว แล้วก็ไม่ผิดคาด ทั้งหน้าวอลล์ของพ่อเทพบุตรผิวแทนนั้นเต็มไปด้วยรูปล้อเลียนหน้าเดิ้ปจากนายแก๊กและตารางบอล แถมคัฟเวอร์เพจยังเป็นโลโก้ทีมหอยทะเลหรา ประกาศตนเป็นสาวกเชลซีอย่างโจ่งแจ้ง 

     

     

     

              “ทำไรอ่ะ!” แบคฮยอนที่เห็นศรีโด้นิ่งไปนาน แถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็สงสัย เลยยื่นหน้าเข้ามาดู ก็เห็นเพื่อนแสนขี้อายของตัวเองกำลังส่องเฟสของใครบางคนอยู่ 

     

     

     

              “ป่าวสักหน่อย” ศรีโด้เก็บมือถือฉับหลบสายตาเพื่อนแบค 

     

     

     

              “อย่ามาโม้ เมื่อกี้เห็นส่องเฟสใครอยู่ ตอบมาเลยศรีโด้”

     

     

     

              “ส่องเสิ่งอะไร ก็นั่งอ่านไทม์ไลน์ไปเรื่อยไม่ได้ส่องใครสักหน่อย” 

     

     

     

              “หราาาา” แบคฮยอนบู้หน้าหมั่นไส้แอบตีแขนเบาๆหนึ่งที “ว่าแต่ชอบเขาอ่ะมีเฟสเขายัง”

     

     

     

              “เขานี่ใคร เราไม่เข้าใจ”

     

     

     

              “ไม่ต้องมาทำแบ้ว รู้ๆกันอยู่”

     

     

     

              อันที่จริงก็รู้น่ะล่ะว่าเป็นไค แต่ก็ไม่อยากแสดงออกโจ่งแจ้งมากนักเดี๋ยวจะไม่ดีงาม ผมเลยโคลงหัวเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธไปซึ่งแบคฮยอนก็แสดงออกถึงสีหน้าที่ระริกระรี้จนออกนอกหน้า 

     

     

     

              ..แหม เรื่องนี้นี่ขอให้บอกนะจ้ะ เสือกๆเผือกๆดันๆเนี่ย แบคถนัด

     

     

     

              แบคฮยอนจิ้มจึกๆบนหน้าจอสองสามทีก็เปิดหน้าเฟสของ กูไม่ได้ดำ กูผิวสีแทน ขึ้นมาทันใจทันด่วน โชคดีที่แม่เพิ่งจะจ่ายค่าเน็ตให้ ไม่งั้นล่ะก็สามจีหมดก็จบอนาถ อดเข็นเพื่อนเป็นฝั่งเป็นฝาแน่ๆ เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าอินเตอร์เน็ตเดี๋ยวนี้มีผลต่อความโสดของคนนะเนี่ย เป็นปลื้มค่ะคุณขา

     

     

     

     

              “นี่ไงๆเฟสไค อ่ะ” แบคฮยอนยื่นไอโฟนของตัวเองให้ผม ผมเลยแกล้งทำท่าสนอกสนใจ

    จนเพื่อนผู้แสนดีคลี่ยิ้มถูกใจ “แอดไปดิ่แก จะได้มีช่องทางทำแต้ม อิอิ”

     

     

     

     

              “จะดีเหรอแก” ผมเบ้หน้าคิ้วขมวด ม้วนอายนิดๆ

     

     

     

              “ดีดิ่ เนี่ยเพื่อนที่มีร่วมกันก็เยอะจะตายมันไม่แปลก...” พูดได้แค่นั้นแล้วก็ชะงักกึก แบคฮยอนเม้มปากถอนหายใจอย่างแรงแล้วตวัดสายตามาหาผมฉับจนผมแทบสะดุ้งตกเก้าอี้ “อิศรีโด้!!”

     

     

     

              “หืออ มีไรเหย๋อ” ผมทำแบ้วเลิ่กคิ้วใส่เลียนแบบน้องเดคกับพี่เฉโปในวีอาร์โซเพ็ทที่ตอนนี้กำลังดังอยู่ในยูทูป 

     

     

     

              “ไหนว่าไม่มีเฟสไคไง! แล้วนี่คือระ!” แบคฮยอนพูดเสียงสูงขึ้นจมูก จิ้มเข้าเมนู เพื่อนที่มีร่วมกัน ก่อนจะกระแทกโทรศัพท์ราคาหลักหมื่นมาตรงหน้าผมอย่างไม่เสียดาย “หน้าแกไปโชว์หราในลิสต์ของเพื่อนที่มีร่วมกันในเฟสไคได้ไงห้ะ!!”

     

     

     

              “อุ้ย! แฮ่ๆ” ผมยิ้มแหยก่อนจะยกมือถือของตัวเองที่ซ่อนแบคฮยอนเอาไว้ขึ้นมากดดูบ้าง ก็เห็นว่ามีหนึ่งการแจ้งเตือนบนรูปโลกเป็นสีแดงๆอยู่ 

     

     

     

              กูไม่ได้ดำ กูผิวสีแทน รับคุณเป็นเพื่อนแล้ว เขียนบนไทม์ไลน์ของ กูไม่ได้ดำ กูผิวสีแทน เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

     

     

     

              ผมค่อยๆช้อนตาขึ้นมองเพื่อนซี้ที่นั่งจ้องมาตาเขียวปั๊ด ปากแบคฮยอนเบะคว่ำยกมือขึ้นกอดอกฉับจนผมควานหาคำพูดไม่ถูก แต่ก็ยอมเอ่ยออกไปเสียงแผ่ว

     

     

     

              “เขากดรับเร็วเนอะ” กดยิ้มแห้งๆให้อีกหนึ่งที “ตอนเอาโทรศัพท์หลบแก สงสัยมือมันไปโดนอ่ะ แฮ่ๆ”

     

     

     

              แล้วบอกว่าไม่ได้ส่องเฟสใครอยู่!! 
     

     

     

              แต่บอกเลยนะจ้ะ ใครเชื่อศรีโด้ก็เชิญแดกหญ้าแทนข้าวเถอะจ้ะ
     

     

     

              แบคฮยอนคนนึงล่ะไม่เชื่อแน่นอน !






















     

         น้องเดค : พี่เฉโปๆ เดคๆมีไรจะบอก     

                 พี่เฉโป : ว่าไงน้องเดค             

         น้องเดค : เดคๆขอกำลังใจโหน่ย     

         
    พี่เฉโป : กำลังใจพ่อมึงสิสัสสสสสส    



        งื้ออ -.-;;   

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×