ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic exo } เด็กเสี่ย | kaido ft.exo

    ลำดับตอนที่ #1 : เด็กเสี่ย : game on

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 57



     


              



              ท่ามกลางคำ่คืนที่ในย่านสถานบันเทิงชื่อดังใจกลางเมืองที่คราคร่ำไปด้วยนักย่ำราตรีมากหน้าหลายตาที่ผลัดเปลี่ยนแวะเวียนกันไปอย่างไม่ขาดสาย แสงไฟวูบวาบรายล้อมสว่างไสวเทียบเคียงแสงดาวที่ส่องสลัวไม่แพ้ดวงจันทร์กลมโตกลางผืนผ้าสีมืด พร้อมกับควันบุหรี่ที่พวยพุ่งออกมาแข่งกับไอเย็นของอากาศที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีไม่ขาดสาย แต่สุดท้ายไม่ว่างานเลี้ยงจะสนุกสุดเหวี่ยงขนาดไหนก็มีอันต้องเลิกราเป็นธรรมดา



     

              ผู้คนต่างพากับหอบสังขารที่มีสติบ้างไม่มีสติบ้างลากขาเดินทอดน่องโซเซไปตามท้องถนน คิดแล้วก็น่าขันตอนมาราวกับเทวดานางฟ้าลงมาจุติ แต่เมื่อน้ำสีอัมพันได้กลืนลงคอแล้ว เหล่าเทพธิดานางฟ้าเดินดินก็เป็นเพียงซากของจิตที่ต่ำที่สุดของมนุษย์ บ้างก็เดินร้องเพลงโหวกเหวกโวยวายและมีอีกไม่น้อยที่กึ่งเดินกึ่งคลานราวกับคนไร้ซึ่งสติ 



     

              แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คืนนี้ใครบางคนที่ห่างหายจากย่านนี้มานานเขาได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้ง 



     

              ผมรู้สึกเหมือนนกบินทางไกลข้ามโลกที่กำลังซมซานกลับมารังเก่าด้วยอารมณ์สบายใจอย่างบอกไม่ถูก สองมือสอดเข้าที่กระเป๋ากางเกงสบายๆกับอากาศที่ลดตัวเย็นลงเรื่อยๆพลางมองสำรวจสถานที่ที่คุ้นเคยซึ่งมันโคตรจะชัดเจนในความทรงจำ ทั้งถังขยะตรงเสาไฟมุมถนนที่ครั้งหนึ่งมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมในยามที่ต้องการใครสักคนให้พักพิง ซอกอับชื้นตรงตึกเก่าที่ถูกปิดร้างมานับสิบปีที่ให้ผมพบกับความสามารถพิเศษในตัวที่ถูกซ่อนอยู่ราวกับเรื่องมหัศจรรย์ ท่อรางน้ำฝนเคลือบสนิมที่เคยเป็นแหล่งน้ำให้ผมได้สงบสติความพุ่งพลานในหัวอยู่บ่อยๆ 



     

              …นี่สิ่นะความรู้สึกที่เรียกว่า ‘บ้าน’



     

              และการที่เจ้าถิ่นกลับมาบ้านอีกครั้งในรอบเกือบสองปีที่ผ่านมา ผมก็ไม่ลืมที่จะรำลึกความหลังที่แสนจะโหยหา สายตาที่คุ้นชินในความมืดเริ่มทำงานตามนิสัยดิบอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป้าหมายที่มองหาไม่ได้ยากอย่างที่คิด 



     

              ผมจับจ้องไปยังสาวัยแรกรุ่นที่แต่งตัวโชว์เนื้อหนังวาบหวิวที่ใครเห็นต้องต้องร้องซี้ดกันเป็นแถวๆ ดวงตากลมโตที่เลื่อนลอยมองม่านอากาศกับท่าทางที่ไร้สตินั่นบ่งบอกได้ดีว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงของฤทธิ์น้ำเมาขนาดไหน ผมกระตุกยิ้มอย่างพอใจกับ ‘เหยื่อ’ ตรงหน้าอยู่ไม่น้อย 



     

              ผมไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าหล่อนด้วยท่าทีนิ่งสงบ และผมก็รู้สึกได้ว่าดวงตาที่เลื่อนลอยนั่นกำลังจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา 



     

              แก้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยคราบเครื่องสำอางค์หนาเตอะถูกมือผมสัมผัสแผ่วเบาจนเจ้าของใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรกับสถานที่ในย่านนี้กับคำว่า one night stand เมื่อผมมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้านี้กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสจากฝ่ามือที่กำลังลูบไล้ใบหน้าเรียว ลำคองระหงส์ที่เผยออกอย่างชัดเจนด้วยรูปทรงของเสื้อผ้าน้อยชิ้น 



     

              ไม่รอให้เวลาได้ล่วงเลยไปนานกว่านี้ ริมฝีปากร้อนของผมโฉบเข้าที่ลำคอขาวผ่องนั่นทันที แตะเบาๆที่จี้มุกน้ำงามอย่าจงใจ งับเบาๆให้มันยกขึ้นแล้วออกแรงกระตุกเพียงนิดเดียว สร้อยทองคำขาวพร้อมจี้ที่ส่องแวววาวนั่นก็หลุดออกจากคอของหล่อนทันที 

     



              ผมเหลือบตามองเหยื่อด้วยสายตาแพรวพราวพร้อมขยิบตาเป็นนัยทีเล่นทีจริง และก็ได้ผลเมื่อเธอไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองอะไรกลับหัวเราะขันกับการกระทำของผมอย่างพอใจ 



     

              “คุณสวยมากจนเส้นมุกนี้แทบไม่จำเป็นเลย รวมทั้ง..” ผมหลุบตามองทรวดทรงองเอวของเธออย่างจงใจด้วยสายตาที่ใครก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันหมายถึงอะไร “เสื้อผ้าพวกนี้ก็แทบไม่จำเป็นเลย …ถ้าอยู่กับผม”



     

              “คุณเองก็เซ็กซี่จนใจฉันเต้นเหมือนกันค่ะ” มือบางยกขึ้นคล้องคอผมราวกับจงใจยั่ว 



     

              และทันทีที่เหยื่อตกหลุมพรางที่ผมได้ขุดไว้ มือของผมที่โอบรอบเอวของเธอก็เริ่มปฏิบัติการทันที กระเป๋าราคาแพงที่เหยื่อเผลอเปิดออกตอนไหนก็ไม่รู้อยู่ใกล้ผมแค่เอื้อม ผมรีบความหาของในนั้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ลืมจะให้ของรางวัลเล็กๆน้อยๆเป็นการตอบแทนด้วยจูบที่คั่นกลางกับสายสร้อยทองคำขาวอย่างเร่าร้อน 



     

              เมื่อของที่ต้องการอยู่ในมือผมก็รีบโยนมันออกไปให้ไกลพอทีเธอจะไม่ทันสังเกตมัน แล้วผละออกจากริมฝีปากอิ่มที่ฉ่ำไปด้วยลิปสติกราคาแพงอย่างอ้อยอิ่งเพื่อให้เหยื่อตายใจ 



     

              “หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกนะครับ” ในมือผมกำสร้อยเส้นที่กระตุกออกจากคอของเหยื่ออย่างแนบเนียนจนเจ้าหล่อนไม่ทันได้เอะใจ ขยิบตาให้อีกหนึ่งทีแล้วเดินไปด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่ได้ร้อนรนอะไร ผมรู้สึกได้ว่าเธอแสดงสีหน้าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ผมตัดสินใจเดินออกมา

     



              …แต่อย่างว่าล่ะครับ ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง




     

              ผมหยุดเดินเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว สองขาหมุนตัวกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง และหยุดลงตรงกระเป๋าสตางค์หนังทรงสี่เหลี่ยมใบยาวที่มีโลโก้สามเหลี่ยมสีดำราคาแพง ถอนหายใจอีกครั้งแล้วจัดการเปิดกระเป๋าออก สิ่งที่เห็นทำให้ผมลอบยิ้มอย่างความพอใจ



     

              ธนบัตรห้าหมื่นวอนปึกใหญ่กับบัตรเครดิตแล้วก็บัตรสมาชิกจุกจิกอีกนิดหน่อยตามประสาคุณหนูผู้ดีไฮโซมีอันจะกินถูกรื้อกระจายด้วยมือหนาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากที่บวกลบพร้อมราคากระเป๋าและสร้อยทองคำขาวจี้มุกในมือแล้วก็ราวๆเกือบสามล้านวอน 



     

              “ฮึ นี่ล่ะนะคนโง่ ยังไงก็เป็นเหยื่อของคนฉลาดวันยังค่ำ” ผมจัดการเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋าแล้วยัดมันเข้ากระเป๋ากางเกงลวกๆ

     





              สองขาหมุนตัวจากมุมมืดนั่นเตรียมจะเดินกลับไปยังที่พักแต่แล้วก็ต้องชะงัก 



     

              คนตัวเล็กท่าทีใสซื่อกับดวงตากลมโตกลอกขึ้นมองท้องฟ้าใต้เสาไฟนั่น ทำเอาใจผมกระตุกวูบไหวไปหนึ่งจังหวะ ขาที่กำลังจะก้าวออกไปจากตรงนี้ถูกจัดกลับมายืนสังเกตการณ์ที่เดิมเมื่อคนตัวเล็กนั่นเริ่มทำอะไรบางอย่าง 



     

              ..บางอย่างที่ผมก็คาดไม่ถึง



     

              ชายแก่คราวพ่อค่อยๆปรากฎตัวขึ้นหลังเงามืดนั่น เขาตวัดแขนรอบคอขาวที่ผมกำลังจับตามองอย่างไม่วางตา และเพราะความเงียบบวกกับตรงนี้มืดสนิทจนอาจไม่มีใครทันสังเกตมันจึงกลายเป็นเหมือนที่นั่งชมการแสดงชั้นเยี่ยม



     

              “ให้พี่ไปส่งมั้ยคยองซู” ไอ้แก่นั่นพูดด้วยน้ำเสียงหื่นกาม สายตาก็โลมเลียไปทั่วผิวกายขาวผ่องที่โผล่ออกมานอกสาบเสื้อคอกว้างใต้แสงไฟสว่างจ้า



     

              ตากลมโตกระพริบสองสามครั้งก่อนจะวาดยิ้มระบายบนใบหน้าสดใสนั่นเป็นรูปหัวใจ “ไม่เป็นไรฮะ ผมต้องรีบกลับไปเตรียมตัวทำงานพาร์ทไทม์” 



     

              อุ้งมือหนาเหี่ยวย่นทั้งสองข้างแตะไหล่ลู่ที่ห่อตัวเข้าหากัน “เป็นเด็กดีจริงๆเลยนะ ฉันล่ะอยากสนับสนุนจริงๆ”



     

              “ก็ผมจนนี่ครับ” ใบหน้าเล็กก้มต่ำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “มันไม่มีทางเลือก”



     

              “งั้นเอาอย่างนี้มั้ย คืนนี้ไม่ต้องไปทำงานแต่เดี๋ยวพี่จ่ายเอง”



     

              “ผมไม่ใช่...” ดวงตาโตเหลือบขึ้นมองขึ้นมาด้วยความน้อยใจ ปากเบะยื่นออกมาราวกับจะร้องไห้



     

              “ชู่ว” นิ้วหนาป้อมน่าเกลียดนั่นแตะเข้าที่ปากอิ่มของคนตัวเล็ก ไอ้แก่นั่นส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ย “พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่พี่หมายถึงว่าให้เราไปพักผ่อนซะเดี๋ยวค่าจ้างส่วนนั้นพี่จะจ่ายให้ เราจะได้ไม่ต้องไปทำงานให้เหนื่อยไงจ้ะ”



     

              ..ฮึ จะอ้วก



     

              ใบหน้าที่สลดเมื่อครู่พลันยกยิ้มกว้างอย่างพอใจ เนื้อแก้มยกตัวสูงขึ้นอย่างน่ารักน่าเอ็นดูจนมือไอ้แก่นั่นต้องเอื้อมไปบิดมันอย่างหมั่นเขี้ยว และเพียงแค่วูบเดียวสายตาใสซื่อนั่นก็ทำเอาผมแทบหลุดขำพรืด เพราะมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าแขยงไอ้แก่อ้วนตัวหนาจนแทบอยากจะตะบันหน้าขนาดไหน



     

              และละครเรื่องสั้นที่ผมเฝ้ามองมาตลอดก็จบลงด้วยก้อนเงินปึกหนาบนมือเล็กที่เขากระชับแน่นพร้อมค้อมตัวลงลาไอ้แก่หื่นกามที่เดินออกไปจากจุดเดิม 



     

              ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคนหน้าตาใสซื่ออย่างเจ้าหมอนั่นทำไมถึงตีสองหน้าได้เนียนซะจนนักแสดงมืออาชีพบางคนยังต้องอายแทบมุดแผ่นดิน เพราะทันทีที่แสงไฟบนเวทีดับลง ใบหน้าที่ยิ้มราวกลับลูกหมาเชื่องๆก็พลันกระชากหน้ากากที่สวมอยู่นานกว่าค่อนชั่วโมงออกเพียงแค่เสี้ยววินาที 



     

              สีหน้าที่เรียบเฉย มึนตึงและไม่แสดงอารมณ์ใดๆก็เผยออกมาให้เห็น เขากลอกตาไปมาอย่างสะอิดสะเอียนกับรอยสัมผัสเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้ทำท่าทีว่าจะสะบัดมัน ไหล่ลู่บางยกตั้งขึ้นเหมือนเรียกกำลังใจพร้อมขาที่กำลังจะก้าวเดินไปตามทาง



     

              แล้วก็ไม่รู้ว่าขาผมมันเป็นบ้าอะไร พอเห็นร่างเล็กนั่นกำลังจะเดินจากไป รู้สึกตัวอีกทีผมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบางคนนี้ซะแล้ว 



     

              ตาของเราสบกันนิ่งราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร เหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน เสียงรอบตัวเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย 

     



              แปะ แปะ แปะ




              และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทำลายบรรยากาศอึดอัดนั่นด้วยการปรบมือให้กับฝีมือแสดงอันยอดเยี่ยมของร่างเล็กจนบางทีมันก็ฟังดูกวนประสาทไปสักหน่อย



     

              “สุดยอด” ผมพูดเบาๆเคล้ากับเสียงปรบมือของผมเองที่ยังไม่หยุดจนคนข้างหน้าส่งสายตาเย็นเยียบเสมือนคำขู่กลายๆมาให้ 



     

              “ยุ่งอะไรด้วย” คนที่ชื่อคยองซูเอ่ยเสียงราบเรียบ แต่ผมรู้ว่านี่มันอันตรายเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะมันคือสัญญาณเตือนภัยร้ายของสึนามิที่หลอกใครต่อใครให้ตายใจด้วยคลื่นที่นิ่งสงบ




     

              “ฉันชอบนะ” ผมทำท่าไม่หยี่ระกับสาส์นของคนตรงหน้าที่ส่งมาอย่างเปิดเผย “การแสดงของนาย มันทำให้ฉันอึ้ง.. นิดหน่อย”



     

              เขายกยิ้มมุมปาก ยิ้มที่มันช่างแตกต่างกับละครก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง “ฉันก็แอบชื่นชมนายนะ  สายตาที่จ้องมองเหยื่ออย่างเปิดเผย แล้วยังไอ้ท่าทีกระตุกสร้อยกระจอกๆนั่น ..เห่ยสิ้นดี”

     



              ผมหลุดหัวเราะหึๆกับคำตอบที่เหมือนจะดีแต่ก็ตบท้ายได้อย่างแสบสัน แสดงว่าหมอนี่เองก็แอบดูละครของผมด้วยสิ่นะ “ฉันคิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดี”



     

              “ท่าไม่นับรวมกับแผนโง่ๆของนายที่แสดงออกมากจนเกินไป”



     

              “แต่ก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกตายด้านเหมือนกับนาย ที่ดูจะไม่สนุกกับบทละครของตัวเองเอาซะเลย”

     



              “ตัวละครที่ดีไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์ส่วนตัว” ร่างเล็กแหงนหน้าขึ้นมองแสงจันทร์สลัวๆที่สาดลงมาในมุมอับไฟจากเสาต้นสูง “แค่แสดงให้สมบทบาท เท่านั้นก็พอ”



     

              “แล้วสักวันตัวละครที่นายเล่นอยู่มันจะกลับมาทำร้ายตัวนายเอง ฉันขอเตือน”



     

              “บอกตัวเองเถอะ นั่นน่ะมันสำหรับไอ้พวกกระจอกที่ไม่รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวต่างหาก”



     

              ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนเผลอกัดกรามแน่น วาจาเฉือดเฉือนไร้ซึ่งแววตาที่สะท้อนแสงราวกับมันหม่นหมองจนไฟที่สาดสว่างก็เข้าไม่ถึง ถึงผมจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็น อาชญากร แต่ทุกครั้งที่ผมสวมบทบาทมัน ผมก็จะรู้สึกสนุกไปกับมัน ผิดกับคนตรงหน้านี้ที่ไร้ซึ่งหัวใจหรือแม้แต่ความรู้สึก



     

              “ฉันกำลังจะมีงานใหญ่” ผมเว้นจังหวะให้คนฟังได้คิด “มันจะทำให้เราไม่ต้องมายืนหาเหยื่อตรงนี้อีก”



     

              “ฮึ ก็แน่ล่ะเพราะคงได้ไปนอนอยู่ในซังเตกินข้าวฟรีในนั้นล่ะสิ่”

     

         

              
    “ฉันจะไม่พูดมาก มันอยู่ที่ความไว้ใจกัน” 

     



              “ไม่มีสัจจะในหมู่โจร” คยองซูแค่นยิ้มให้ผม “ฉันเตือนนายแล้วนะ”



     

              ..เล่นลิ้นเก่งจริงนะ!



     

              “นั่นคงแปลว่าตกลง?” ผมสรุปเอาเองดื้อๆและคยองซูก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรนอกจากยกไหล่เหมือนไม่ได้สนใจกับคำถามกึ่งบังคับกลายๆของผม 



     

              คยองซูหมุนตัวกลับไปทางเดิมอีกครั้งและเดินมันไปสุดท้ายโดยไม่ได้หันกลับมามองอีกคนที่ยืนยกยิ้มอย่างพอใจอยู่ไกลๆ ดวงตากลมโตเหลือบมองจุดที่เพิ่งเดินจากมาด้วยอารมณ์หลากหลายในหัวซึ่งเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่..







     

              เราจะได้เริ่มเกมกันอย่างจริงจังสักทีสิ่นะ คิมจงอิน





















     

                                                   Game  On!                                                

                        แอบกระซิบเบาๆว่าเรื่องนี้คยองซูของเราไม่ธรรมดา                 
               มีกลิ่นอายดิบเถื่อนนิดนิด ให้ขบคิดหน่อยหน่อย           
             
     ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะฮะ (:          






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×