ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic exo } เด็กเสี่ย | kaido ft.exo

    ลำดับตอนที่ #6 : เด็กเสี่ย : ห้า { 5 }

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 57






                “โอ้ยย หนักชะมัด!” ผมทิ้งตัวเด็กสี่ขวบในคราบคนตัวหนาลงบนโซฟากลางห้องโถงอย่างทุลักทุเลโดยที่มีมือไม้ของจงอินปัดป่ายไปมาวุ่นวายไปหมดจนผมรำคาญ 

     

     

     

                “อาวววว จาอาวววอีก อึ๊ก” เสียงโหยหวนนี่ก็น่ารำคาญไม่แพ้กัน ร้องจะเอาๆมาตั้งแต่เปิดประตูเข้าห้องมาไม่หยุดปาก

     

     

     

                ผมทำเป็นไม่สนใจและเดินเลี่ยงไปที่ห้องน้ำ จัดการอาบน้ำอาบท่าล้างกลิ่นแอลกอฮอล์จากคนตัวใหญ่ที่ติดมาอย่างสบายใจ พอออกมาอีกทีคนที่ว่าก็หมดฤทธิ์เผลอหลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง 

     

     

     

                เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งมองหน้าคนเจ้าอารมณ์นี้อย่างเต็มตา ยอมรับเลยว่าคิมจงอินเป็นคนที่หล่อเหลาเอาการจนเผลอเอื้อมมือไปแตะใบหน้าที่ได้รูปสันกรามนิดๆทำให้เขาดูเซ็กซี่ในแบบฉบับชวนฝันของสาวๆหลายคนเลย ไล้นิ้วไปยังเรียวตาคมที่ไม่ว่าใครมองสบเป็นอันต้องหลงกลในความเจ้าเสน่ห์น่าค้นหา ลากผ่านจมูกโด่งรับกับเรียวปากอิ่มทุกอย่างที่สรรค์สร้างมาเป็นเขาทำให้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนๆนี้ถึงกำลังไต่ชาร์ตความร้อนแรงเป็นอันดับต้นๆของวงการได้อย่างรวดเร็ว 

     

     

     

                แต่พอมองเลยไปที่กรอบรูปชายวัยสูงคนนั่นแล้วผมก็ต้องชะงัก นึกสงสารคนตรงหน้าอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่กลับต้องมาเป็นเครื่องมือให้ผมในครั้งนี้ จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อผมเองก็ไม่มีทางเลือกที่ดีไปมากกว่านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นอะไรที่ผมพอจะชดเชยให้เขาได้ผมก็จะพยายามทำให้ก็แล้วกันนะคิมจงอิน 

     

     

     

     

                ผมไปหอบผ้าห่มจากในห้องมาห่มให้คนที่ยึดครองโซฟาเต็มพื้นที่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คืนนี้ผมคงต้องปล่อยเขาไว้อย่างนี้ก่อน เดินไปเก็บกรอบรูปของคิมแรวอนให้มิดชิด เพราะถ้าจงอินตื่นมาเจอรูปของพ่อเขาวางในห้องผมแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ การที่ผมวางรูปไอ้ชั่วนี่ไว้ให้เห็นชัดๆเพียงเพราะแค่ต้องการย้ำเตือนตัวเองเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็เท่านั้น

     

     

     

                “ฉันต้องทำยังไง..” อยู่ๆเสียงทุ้มก็ดังขึ้นขณะที่ผมนั่งคิดอะไรเพลินๆ หันไปมองคนข้างตัวก็เห็นคนเมาลืมตามองผมนิ่งจนใจผมกระตุกวูบหวังว่าเขาคงยังไม่เห็นกรอบรูปนั่นหรอกนะ เอียงคอมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย

     

     

     

                “….”

     

     

     

                “เพื่อที่จะหยุดเธอ..” จงอินมองคยองซูนิ่งด้วยสายตาอ่อนแสง “บอกทีว่าฉันต้องทำยังไง”

     

     

     

                “ฉัน.. ฉันไม่เข้าใจ” ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองนักว่าที่เขาพูดจาดีด้วย ใช้น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปแล้วแววตานั่นอีก ผมไม่อยากคิดว่านั่นคือความห่วงใย 

     

     

     

                จงอินลุกขึ้นนั่งเอื้อมมือมาบีบหัวไหล่เล็กของคยองซูแน่น “สิ่งที่นายกำลังทำอยู่ มันทำให้นายมีความสุขเหรอคยองซู”

     

     

     

                “นายไม่ได้...”

     

     

     

                “ใช่ ฉันไม่ได้เมา”

     

     

     

                “แล้วทำไมต้องแกล้งเมา” ผมทำตีนิ่งเพราะมั่นใจว่าจงอินไม่เห็นรูปของพ่อเขา 

     

     

     

                “ก็ถ้าไม่แกล้ง ฉันจะเขาถึงตัวเธอได้อย่างนี้เหรอคยองซู” มือหนาเลื่อนมาจับที่ปลายคางมน เชิดหน้าใสของคนตัวเล็กให้เงยขึ้นสบสายตา

     

     

     

                “ฉัน..”

     

     

     

                “หยุดเถอะนะ สิ่งที่นายกำลังทำตอนนี้มันผิด” 

     

     

     

                “นายรู้?” คยองซูถามอย่างตกใจกลัวว่าเขาจะรู้เรื่องทั้งหมด ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวรอฟังคำตอบ 

     

     

     

                จงอินที่เห็นอย่างนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าบางทีเขาเองก็ไม่ควรพูดความจริงออกไป แต่จะมีทางไหนล่ะถึงจะหยุดคนๆนี้ได้ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้แค่ว่าฉันไม่อยากให้มันมากไปกว่านี้ นายหยุดมันไม่ได้เหรอคยองซู”

     

     

     

                คนฟังนิ่งอึ้งลอบถอนหายใจที่อย่างน้อยจงอินก็ยังไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ถ้าเขาตอบไปว่าไม่ คนตรงหน้าจะคัดค้านเขาอย่างแน่นอน มีทางเดียวที่เขาจะตัดจบปัญหาไม่ให้โผล่ขึ้นมาเป็นอุปสรรคนี่คือเขาคงต้องยอมรับมันสิ่นะ “ฉันเองก็ไม่ได้อยากทำมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

     

     

     

                “หมายความว่าเธอจะหยุดใช่มั้ย”

     

     

     

                คยองซูไม่ตอบอะไรแต่พยักหน้าเบาๆกลับไป จงอินยิ้มให้คยองซูบางๆแต่คยองซูที่เคยเจอแต่จงอินที่เป็นคนเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจกลับหัวใจกระตุกและอุ่นชื้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

     

     

                “ขอบคุณที่ฟังฉันนะ” จากที่บีบหัวไหล่แน่น มือหนาก็เคลื่อนไปโยกหัวเล็กไปมาอย่างเอ็นดูด้วยสายตาอ่อนโยน “เธอไปนอนเถอะคงเหนื่อยมามาก”

     

     

     

                “อื้ม แล้วนายจะไม่กลับบ้านตัวเองรึไง” ถามออกไปเพราะว่าจงอินก็ไม่ได้เมาแล้ว เขาควรจะกลับบ้านแต่ก็กลับได้คำตอบเป็นการส่ายหน้ากลับมา 

     

     

     

                “ไม่อ่ะขี้เกียจ ให้ฉันค้างสักคืนนึงนะคิดซะว่าฉันเมาแล้วกลับบ้านไม่รอดละกัน” ตอบไปอย่างนั้นแต่ที่จริงแล้วจะบอกว่าเขาไม่เมาก็คงจะโกหก เขาแค่กรึ่มๆเท่านั้นแต่แค่อยากมั่นใจว่าพรุ่งนี้หากเขาลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นนี่เป็นเรื่องจริง 

     

     

     

                คนตัวน้อยพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวจะกลับเข้าห้องนอนไปแต่ก็ต้องชะงัก เพราะเสียงนุ่มละมุนที่ร่างสูงเอ่ยออกมา

     

     

     

                “ฝันดีนะ คยองซู” ถึงจะได้ยินอย่างนั้นดวงตาคู่น้อยกลับสั่นระริกไม่กล้าหันกลับไปมองหน้าจงอินด้วยซ้ำ เพราะรู้ดีว่าตัวเองเพิ่งจะโกหกคนที่ยอมอ่อนข้อลงให้ตัวเองได้อย่างเลือดเย็น ทั้งที่เขาขอร้องยอมอ้อนวอนแต่คยองซูก็ไม่สามารถทำตามที่จงอินต้องการได้ ซ้ำยังโกหกรับปากไปว่าจะหยุดอีกต่างหาก

     

     

     

                แผ่นหลังบางพิงเข้ากับประตูที่กั้นห้องนอนหมดเรี่ยวแรงก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างหนักอก แค่นึกถึงว่าต่อจากนี้ตัวเองต้องแสร้งทำดีให้จงอินตายใจและหลอกใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกอย่างบอกไม่ถูก …สงสารและรู้สึกผิดคงเป็นคำที่อธิบายความรู้สึกเขาได้ดีที่สุดในตอนนี้สิ่นะ

     

     

     

                “ขอโทษนะคิมจงอิน แต่ฉันถอยหลังกลับไม่ได้แล้วจริงๆ”

     

     

     

     




     

     

     

     

     

                เพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเขาไม่ได้แค่มึนหัวอย่างที่บอกเลย แต่ไอ้อาการที่ทำให้เขาโลกหมุนไม่หยุดนี่ล่ะคืออาการของคนเมาค้างชัดๆ จงอินกุมขมับบีบนวดมันให้คลาดปวดก่อนจะลุกขึ้นนั่งมองสำรวจรอบตัวแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่คือบ้านของคยองซู เขานั่งนึกไปถึงเหตุการณ์สุดท้ายก็มุ่นคิ้ว ที่ทำลงไปยอมรับเลยว่าเขาเองก็ศูนย์เสียความเป็นตัวเองหน่อยๆที่ยอมไปขอร้องให้คนตัวน้อยหยุดเป็นเด็กของพ่อ แต่หวังว่าเขาคงไม่ได้หลุดอะไรออกไปให้คยองซูสงสัยหรอกนะว่าเขารู้ว่าคยองซูเป็นเด็กของพ่อ เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้มานั่งอึนอยู่อย่างนี้แน่ๆ 

     

     

     

                ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อกลิ่นหอมฉุยของอาหารเช้าก็เตะเข้าจมูก จงอินพยุงตัวขึ้นแล้วเดินตามกลิ่นนั้นไปก็พบเจ้าของบ้านยืนคนหม้อโจ๊กอยู่หน้าเตาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขายืนพิงขอบเคาน์เตอร์บาร์มองอยู่ด้านหลัง 

     

     

     

                ร่างบางในชุดผ้ากันเปื้อนหมีน้อยสีเหลืองทำให้จงอินแอบชมอยู่ในใจว่าน่ารักไม่หยอก

     

     

     

                “ทำอะไรน่ะ” เขาก้าวเข้าไปซ้อนหลังของคนที่พัลวันอยู่กับอาหารเช้าจนคยองซูที่เพิ่งรู้สึกตัวสะดุ้งโหยง

     

     

     

                “อ๊ะ..” คยองซูเอี้ยวตัวมาด้านหลังก่อนจะปะทะกับอกอุ่นที่ซ้อนอยู่แล้วก็ต้องเบี่ยงหน้ากลับมาคนหม้อโจ๊กตามเดิม พยายามไม่สนใจว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดกลายๆ “ต.. ตื่นแล้วเหรอ”

     

     

     

                “อืม กลิ่นหอมขนาดนี้ไม่ตื่นก็บ้าแล้ว” แต่กลิ่นหอมที่ว่าไม่รู้ว่าเป็นอาหารหรือว่าคยองซูกันแน่ เพราะจงอินทำจมูกฟึดฟัดใส่บริเวณต้นคอขาวของคยองซูจนตัวเล็กขนลุกซู่ 

     

     

     

                “งั้น.. งั้นไปนั่งที่โต๊ะสิ่โจ๊กจะเสร็จแล้วล่ะ” 

     

     

     

                “ให้ฉันช่วยมั้ย” ไม่ว่าเปล่าแต่สอดมือผ่านเอวคอดของคยองซูมาจับมือเล็กช่วยคนโจ๊กร้อนในหม้อหน้าตาเฉย

     

     

     

                ใบหน้าใสร้อนผ่าวจนแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะไอร้อนจากหม้อโจ๊กหรือว่าเพราะเขินกันแน่ แต่ก็ต้องขืนเบี่ยงตัวออกมาจากอ้อมกอดของจงอินอย่างขัดเขิน “เสร็จ.. เสร็จแล้ว ไปนั่งที่โต๊ะสิ่ฉันจะได้ตักให้ทาน นายจะได้รีบกลับบ้าน”

     

     

     

                “ไล่กันจริงนะ” สุดท้ายจงอินก็ยอมผละออกไปนั่งรอที่โต๊ะอย่างว่าง่าย แต่ไม่วายเท้าคางมองตามร่างเล็กที่เดินวุ่นวายหยิบจานชามมาใส่โจ๊กไม่คลาดสายตา “ผ้ากันเปื้อนนี่ก็เหมาะกับนายดีนะ”

     

     

     

                คยองซูที่กำลังเทโจ๊กใส่ชามชะงักกึก ก้มลงมองผ้ากันเปื้อนตัวโปรดที่ตัวเองใส่อย่างอายๆ เขาลืมไปซะสนิทเลยว่าวันนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว ทำเป็นไม่สนใจแล้วยกชามโจ๊กมาเสิร์ฟแขกที่ไม่ได้รับเชิญพร้อมแก้วน้ำและยาแก้ปวดหัวอีกสองเม็ด

     

     

     

                “กินซะสิ่จะได้ไม่ปวดหัว ดูก็รู้ว่านายท่าจะแฮงค์” 

     

     

     

                ส่วนตัวเองก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มตักโจ๊กเข้าปากกินเหมือนกัน เพราะนี่ก็เลยเวลาอาหารเช้าของเขามานานแล้ว ทุกทีจะมีโอเซฮุนซื้อหรือไม่ก็ทำอาหารให้ทุกเช้าเพราะเขาเองก็ไม่ได้ว่างถึงขนาดมาทำกินเองทุกวัน และวันนี้ก็เหมือนกันเซฮุนโทรมาหาเขาแต่เช้าเพราะจะเข้ามาทำอาหารให้แต่เป็นคยองซูเองที่บอกปัด ไม่ใช่ว่าอยากอยู่กับจงอินสองต่อสอง แต่เขาจำเป็นต้องทำดีกับจงอินไว้ให้มากๆต่างหาก …เพื่อให้เหยื่อตายใจ

     

     

     

                หลังจากมื้ออาหารเช้าจงอินก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำก่อนจะกลับออกมาด้วยชุดเดิม เขาเดินหาเจ้าของบ้านอยู่นานก็ไม่พบคิดว่าคงออกไปข้างนอก เลยเลี่ยงเข้ามาที่ห้องๆหนึ่งซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นห้องหนังสือก็เจอคนที่ตามหายืนรับลมอยู่ริมระเบียงที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ 

     

     

     

                แสงแดดที่ปะทะใบหน้าใสส่องสว่างให้คยองซูน่ามองขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ลมอ่อนๆพัดเบาบางพาเอาเส้นผมนุ่มปลิวไสวเผยโครงหน้าขาวนวลเนียนให้ชัดเจนขึ้น ดวงตากลมโตทอดมองผืนน้ำกระเพื่อมด้วยแววตาอ่อนโยน จมูกโด่งที่ที่รับเข้ากับกลีบปากอิ่มสีสดที่เมื่อเวลายิ้มมันจะรูปหัวใจแสนทรงเสน่ห์อย่างปฎิเสธไม่ได้

     

     

     

                จงอินยืนมองคยองซูอยู่นานอย่างหลงใหลในความงามตรงหน้า ทั้งที่คยองซูก็ไม่ใช่ผู้หญิงสวยๆอย่างที่พ่อเขามักจะสรรหามายัดเยียดให้เขาไปดูตัวแต่กลับสะกดสายตาให้เคลื่อนไปมองที่อื่นไม่ได้เลย เขาได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมถึงต้องห่วงคนๆนี้จนไม่อยากให้เดินทางผิด ไม่ใช่ว่าพ่อเขาจะมีแค่คยองซูที่เป็นน้อยคนเดียวซะเมื่อไหร่ คิมแรวอนยังมีเล็กมีน้อยอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่เขาต้องมาห้ามปรามและขอร้องคนตัวน้อยคนนี้เพราะไม่อยากให้คยองซูต้องเจ็บช้ำและเป็นเพียงของเล่นของคิมแรวอน เขารู้ดีว่าพ่อเป็นคนยังไงและเขาก็ไม่อยากให้คนที่ตัวเองสนใจไปยุ่งเกี่ยวด้วย 

     

     

     

                จากที่ไม่เคยคิดว่าจะชอบ แต่เพราะว่าต้องคอยจับผิดว่าคยองซูจะไปทำอะไรให้ครอบครัวเขาเป็นปัญหาอีกรึเปล่า พอรู้ตัวอีกที.. ก็ไม่สามารถปล่อยคยองซูให้คลาดสายตาไปได้อีก

     

     

     

                “อ๊ะ” เสียงใสร้องตกใจเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นจากแผ่นอกที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง มือหนาของจงอินช้อนเข้าที่เอวบางไปวางที่ราวกั้นระเบียง จึงดูเหมือนว่าคยองซูถูกขังอยู่ในอ้อมกอดของจงอินกลายๆ จะพลิกตัวก็ไม่ได้จะหลบออกก็ไม่ได้ เลยทำได้แค่ยืนนิ่งให้คนตัวใหญ่กอดอยู่อย่างนั้น

     

     

     

                “มายืนให้ตัวเย็นทำไมอยู่อย่างนี้” เอื้อมไปจับมือเล็กอย่างถือวิสาสะพลางยกเอามาซุกไว้กับกระเป๋าเสื้อกันหนาวของตัวเองให้มือที่เย็นชืดอุ่นขึ้นมาบ้าง “ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะว่ายังไง”

     

     

     

                “ก็คิดว่ากำลังจะเข้าไป เห็นนายอาบน้ำอยู่เลยออกมารับลมนิดหน่อย”

     

     

     

                “ทำไม” จับคนในอ้อมกอดพลิกตัวกลับมาสบตา แต่คยองซูก็ถอยหลังหนีจนชนเข้ากับราวกั้น “อยู่กับฉันมันอึดอัดนักเหรอ”

     

     

     

                แล้วเขาควรจะตอบว่าอะไรดี ถ้าตอบว่าใช่ตามที่รู้สึกจริงๆจงอินคงจะโกรธเขาแน่ๆ แต่ถ้าตอบไปว่าไม่ความสัมพันธ์ของเขาและจงอินคงจะดีขึ้นรึเปล่า สองตาจับจ้องไปที่มือของตัวเองในกระเป๋าเสื้อของจงอินแล้วก็นิ่งคิด 

     

     

     

                “ถามแค่นี้ถึงกับต้องคิดนานขนาดนั้นเลย” เสียงทุ้มอ่อนแรงลง เขาน้อยใจที่แม้แต่คำโกหกคยองซูก็ให้เขาไม่ได้ แค่โกหกออกมาก็ยังดี 

     

     

     

                “นายอยากให้ฉันตอบตามที่นายต้องการ หรือตามที่ฉันรู้สึกจริงๆล่ะ” 

     

     

     

                “ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะให้เธอตอบตามใจได้ เพราะฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับความรู้สึกของเธอนักหรอก” เขาเว้นช่วงพร้อมสบตาคนตัวน้อยลึกถ่ายทอดความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจจนคยองซูเองยังรู้สึกได้ว่าจงอินรู้สึกอย่างไร “แต่ตอนนี้.. เธอช่วยโกหกให้ฉันสบายใจหน่อยได้มั้ย …สักนิดก็ยังดี

     

     

     

                คยองซูตกใจนิดๆเหมือนกันไม่คิดว่าจะได้ยินคำสารภาพรักกลายๆจากคนตรงหน้าชัดขนาดนี้ เขาเองยังสงสัยอยู่ว่าอะไรทำให้จงอินมาปักอกปักใจกับเขาขนาดนี้ แล้วถ้าจงอินรู้ว่าความจริงคืออะไรเขายังจะได้รับความอ่อนโยนอย่างนี้อยู่อีกรึเปล่า 

     

     

     

                “ไม่ได้พูดให้นายรู้สึกดีหรอกนะ แต่ฉันเองก็ไม่ได้อึดอัดขนาดนั้นหรอก แต่แค่บางครั้งมันแปลกๆ”

     

     

     

                “แปลกยังไง”

     

     

     

                “วันก่อนนายยังพูดจาไม่ดีกับฉันอยู่เลย แต่วันนี้กลับมาพูดดีด้วย บอกตรงๆว่าฉันตามนายไม่ทันหรอกนะจงอิน” นี่คงเป็นความจริงเพียงสิ่งเดียวที่เขาพูดออกมาในวันนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้คนตัวใหญ่ตรงหน้าจะแผลงฤทธิ์อะไรอีกรึเปล่า 

     

     

     

                “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอทำตัวยังไงเท่านั้นล่ะ แต่ในเมื่อเธอรับปากฉันว่าจะหยุดเรื่องพวกนั้น แล้วฉันจะไปหาเรื่องเธออีกทำไม” มือหนายกขึ้นจับเส้นผมที่ปลิวตามแรงลมปรกหน้าใสทัดกับใบหูให้คยองซู “จริงมั้ย?”

     

     

     

                คนตัวน้อยไม่ตอบอะไรแต่ยิ้มส่งกลับให้บางๆ เพราะรู้ตัวเองดีว่าถ้าเผลอหลุดความจริงออกไปคงไม่มีหวังจะได้ยินคำพูดดีๆจากปากหยักนี้แน่ๆ แต่การที่จงอินพูดอย่างนี้เขาเองก็สบายใจได้ว่าตอนนี้เขาสามารถซื้อใจจงอินให้ไว้ใจเขาได้แล้ว 

     

     

     

                แผนการนี้อีกไม่นานคงจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเท่าไหร่

     

     

     

     

                หลังจากยืนตากลมปรับความเข้าใจกันอยู่สักพัก เสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้นทำให้คยองซูเลือกที่จะผละออกจากจงอินไปเปิดประตูแทน และก็เป็นเซฮุนที่เดินเข้ามาอย่างถือวิสาสะจนลืมไปว่ามีแขกอีกคนหนึ่งยังคงอยู่ในบ้าน 

     

     

     

                “ใคร!” เป็นจงอินที่ถามขึ้นก่อนในการเผชิญหน้ากันตรงๆครั้งนี้ 

     

     

     

                “ไร้สำนึกจริงๆ น่าจะปล่อยให้นอนเฝ้าร้านเนื้อย่างไปซะก็สิ้นเรื่อง” เซฮุนทำยู่ปากกลอกตาอย่างไร้อารมณ์ เจอทักกันอย่างนี้ป่วยการจะญาติดีด้วยแน่ๆ ไม่น่าล่ะก่อนหน้านี้พี่คยองซูถึงได้โอดโอยจะตีสนิทไอ้จงดำนี่นัก วันนี้โอเซฮุนเพิ่งจะเข้าใจ

     

     

     

                “นี่เซฮุน น้องชายแล้วก็คนดูแลฉันทุกเรื่อง” คยองซูเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาห้ามทัพไว้ “ส่วนนี่ก็จงอิน นายคงรู้จักดีแล้ว”

     

     

     

                “แล้วทำไมยังไม่กลับไปอีก มาเสนอหน้าอยู่ต่อทำไม” 

     

     

     

                “เซฮุน! อย่าเสียมารยาทน่า” คยองซูหันมากัดฟันพูดเสียงเบาใส่ “ไหนนายเองบอกให้พี่เป็นคนตีสนิทเขาไม่ใช่เหรอ อย่าลืมสิ่!”

     

     

     

                แต่แม่งมันไม่น่าไว้ใจอ่ะ เซฮุนก็ไม่ยอมแพ้เถียงกลับพี่ชายแบบไม่มีเสียงจนคนที่นอกเหนือบทสนทนามองอยู่นานต้องกระแอมไอขัดจังหวะ

     

     

     

                “แล้วนายจะกลับบ้านเลยมั้ย” คยองซูเห็นท่าไม่ดีก็รีบเอ่ยปากไล่จงอินอ้อมๆจนแขกค้างคืนตีหน้าตึงใส่

     

     

     

                “อืม งั้นฉันกลับก่อนล่ะ เธอก็อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันก็แล้วกันถ้าไม่อยากให้ฉันทำอะไรที่ไม่ตรงกับใจเธออีก”

     

     

                ก่อนจะกลับก็เห็นท่าทียียวนของเซฮุนที่มองตามทุกอิริยาบทแล้วจงอินก็นึกหมั่นไส้ ท่าทางจะหวงพี่ชายเอาการเหมือนกันอย่างนี้คงต้องหาเรื่องอะไรเล่นสนุกๆสักหน่อย ว่าแล้วความคิดชั่วครู่ก็แล่นปรากเข้ามาจนจงอินเผลอกระตุกยิ้มร้าย

     

     

     

                ฟอดดดดด

     

     

     

                “เห้ย มึงทำอย่างนี้กับพี่กูได้ไงวะ!!” เซฮุนวิ่งชี้นิ้วตามพร้อมแผดเสียงลั่นใส่จงอินที่ใช้ความรวดเร็วในการหอมแก้มนิ่มของคยองซูเสียงดังฟอดจนคนถูกหอมเองยังไม่ทันตั้งตัว แต่จงอินก็วิ่งหนีไปซะแล้ว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองทิ้งให้คนถูกหอมแก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกอยู่ตรงนี้
     

     


     

                "หยุดนะเว้ยไอ้คิมจงอิน! กลับมาให้กูกระทืบก่อน! มีสิทธิ์อะไรมาทำกับพี่กูแบบนี้วะ!"
     


     

     

    แต่ไม่ว่าเสียงที่แผดลั่นของเซฮุนจะดังรัวติดกันขนาดไหนก็ตาม ดูเหมือนว่าพี่ชายของเขาที่เป็นผู้เสียหายกลับไม่ได้ยินมันเลย หัวหูมันอื้ออึงไปหมด ตัวก็ชาวาบราวกับใครกำลังเอาน้ำเข็งสาดใส่ แต่มีอยู่อย่างนึงที่คยองซูรู้สึกได้ จงอินไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองทิ้งให้คนถูกหอมแก้มหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกขนาดไหน





     

     



     

     

                ให้ตายเถอะ.. สาบานเลยว่าเขาไม่ได้หวั่นไหวกับจงอินเลยจริงๆ
















     

    ไรท์กลับมาแล้ว แฮ่กๆ ขอโทษที่ไม่ได้มาต่อเลยนะคะ 
    จะพยายามอัพให้มากขึ้นนะะะ 
    ช่วงนี้แอดกำลังหางานทำอยู่ค่ะ ชีวิตเด็กจบใหม่นี่ช่างยากลำบากจริงๆ 
    ยังไงฝากฟิคเรื่องนี้ด้วยนะะะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะจ้ะเตงง xoxo
    ขอกำลังใจหน่อยเร้วววว แฮ่ #รักเด็กเสี่ย





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×